ใครนะ ยกม็อบพม่าต้านรัฐประหารมาเย้ยหยันว่า “ไม่สู้ก็อยู่อย่างไทย” เจ็บจี๊ดถึงใจ ไม่ใช่คนพม่าหรอก มีแต่คนไทยด้วยกันจึงคิดคำคมได้ขนาดนี้
“พม่าไม่มีสลิ่ม” คือไม่มีคนชั้นกลางดัดจริต รักษ์โลก รักษ์ป่า รักเด็ก รักษ์เต่าทะเล Black Lives Matter แต่เกลียดประชาธิปไตย เห็นคนไม่เท่ากัน คนพม่าจำนวนมากยังมีความคิดอนุรักษนิยม ชาตินิยม ไม่แยแสการกวาดล้างโรฮิงยา ซู จี “แม่แห่งชาติ” ก็ยังปกป้องกองทัพจนฝรั่งถอดรางวัล
เปรียบง่ายๆ อนุรักษนิยมพม่าเห็นโรฮิงยาไม่ใช่พลเมือง ขับไล่กวาดล้าง สลิ่มไทยน้ำตาไหลพราก บริจาค UNHCR แต่พอเห็นเรือโรงฮิงยาก็ชิ่วๆ อย่าอพยพมาประเทศเรา
เส้นแบ่งรัฐประหาร vs ประชาธิปไตย ของคนพม่าชัดแจ๋ว ทหารปกครองมาครึ่งศตวรรษ อ้างต้องเป็นเผด็จการกองทัพเข้มแข็งเพื่อชาติเป็นเอกภาพ ปราบกลุ่มชาติพันธุ์ และปราบนักศึกษา ปราบพระ ไปพร้อมกัน ชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนแย่มาก กองทัพผูกขาดเศรษฐกิจทรัพยากร NLD เป็นรัฐบาลห้าปี ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นมาก
คนพม่าจึงไม่เชื่อมิน อ่อง ไหล่ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน” คนพม่าทุกอาชีพจึงออกมาใส่เสื้อแดงชูสามนิ้วต้านรัฐประหาร หมอ ครู ผู้พิพากษา ข้าราชการหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งตำรวจ ฟากประชาชนก็มีทั้งดารานายแบบนางงาม ชายงาม LGBT ยืนต้านรถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา กลายเป็นม็อบพี่ม็อบน้อง กับม็อบชูสามนิ้วไทย
แต่ม็อบพม่าเป็นพี่นะ ทั้งในแง่ปริมาณและความร่วมมือร่วมใจ ม็อบที่ทุกสาขาอาชีพออกมาไล่รัฐบาล ก็ม็อบ กปปส.นั่นไง (หมอ ครู ผู้พิพากษา ออกมาอย่างเปิดเผย)
ประชาธิปไตยไทยต้องสู้กับโครงสร้างอำนาจที่ซับซ้อนกว่า รัฐพันลึกจัดฉากครอบงำทางความคิด เช่นต้องให้คนดีเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง คนดีที่อำนาจนำเลือกให้ ไม่แยกแยะว่าเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการ ทั้งที่ระบอบต่างกันสิ้นเชิง เผด็จการใช้ปืนปล้นอำนาจ ตรวจสอบไม่ได้ ออกกฎหมายเอง ควบคุมกระบวนการยุติธรรม แต่รู้จักเล่น Tik Tok อ้างตนเป็นคนดี
ศีลธรรมวัฒนธรรมไทยก็มีไว้ให้ร้ายประชาธิปไตย เช่นคำกล่าวว่าหากไม่มีศีลธรรม ประชาธิปไตยจะกลายเป็นระบบที่เลวร้ายที่สุด ทั้งที่ย้อนดูประวัติศาสตร์ ระบบเลวร้ายที่สุดในประเทศนี้คือเผด็จการ ทั้งนองเลือดฆ่าฟัน ทั้งทุจริตโกงกิน ก็ยังกลบเกลื่อนให้กัน
เศรษฐกิจไทยก็อาศัยการสลับไปสลับมาระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย กินบุญเก่าจากการเปิดประเทศ รัฐประหารที กลุ่มทุนใหญ่อิงอำนาจผูกขาด แต่ทุนไทยฉลาด รู้จัก CSR สร้างภาพ
ขบวนประชาธิปไตยไทยจึงยากจะชนะโครงสร้างอำนาจอนุรักษนิยม ไม่ว่าเสื้อแดงล้นหลามเมื่อปี 53 หรือม็อบคนรุ่นใหม่แผ่นดินไหว “คณะราษฎร” ทะลุเพดาน
ม็อบจะชนะได้อย่างไร ต่อให้ลงถนนเป็นสิบล้าน ในเมื่อรัฐพันลึกครอบงำ ควบคุมเบ็ดเสร็จทุกด้าน รัฐราชการ ทหาร ตำรวจ กระบวนการยุติธรรม องค์กรอิสระ
มีแต่ พธม.กปปส.ที่ชนะ เพราะปิดสนามบินจนศาลยุบพรรค เพราะชัตดาวน์จนรัฐประหาร ทักษิณ 17 ล้านเสียง ยิ่งลักษณ์ 15 ล้านเสียง เป็นรัฐบาลแต่รัฐพันลึกคือผู้กุมอำนาจตัวจริง
กระนั้น เสื้อแดง 53 ราษฎร 63 ก็เขย่ารัฐพันลึกอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แก้ไม่ตก ฟื้นความเคารพศรัทธาไม่ได้ จนต้องใช้รัฐประหาร 57 ทำลายขบวนมวลชนเสื้อแดง ใช้ปืนใช้กฎหมายควบคุมไม่ให้คิดต่าง
กระทั่งเกิดราษฎร 63 คนรุ่นใหม่ที่ไม่ยอมให้ครอบงำความคิด ไม่ยอมเป็นเหยื่อ Propaganda ทะลุเพดานการเคลื่อนไหวทั้งหมดที่เคยมีมา
ถามว่าม็อบราษฎรจะชนะไหม คำตอบก็แหงอยู่แล้ว ไม่มีปืนไม่มีกฎหมาย ก็ไม่สามารถไล่รัฐบาล ไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจที่เป็นปึกแผ่นได้หรอก
งั้นม็อบราษฎรต่อสู้เพื่ออะไร ก็เพื่อแสดงจุดยืนของคนรุ่นใหม่ คน Gen-Y Gen-Z ที่เป็นอนาคตของประเทศ ตั้งแต่อายุ 30 กว่าลงมาถึง 14-15 ว่าไม่ยอมรับอำนาจนี้ ไม่ยอมสวามิภักดิ์ ไม่นับถือ ไม่มีวันเปลี่ยนใจ
หรืออีกนัยหนึ่ง ไม่ยอม “อยู่อย่างไทย” อีกต่อไป เป็นพลังที่ประจันหน้า ทำอะไรไม่ได้ก็ยันอยู่อย่างนี้ ถึงแพ้ก็ไม่ยอมจำนน ไม่ประนีประนอมแล้วหวนกลับไปรับใช้ “แพ้อย่างไทย”
นี่ต่างหากคือความหมายของม็อบ ประชาธิปไตยไทยย่ำเท้ามาตลอดกับความคิดว่าสู้ไม่ได้ก็อย่าสู้เลย หาทางประนีประนอมดีกว่า เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ใครยืนหยัดในหลักการก็กลายเป็น “สุดโต่ง” หรือซ้ายจัด
แต่คนรุ่นใหม่หลุดพ้นจากวัฒนธรรมอย่างนั้นแล้ว พร้อมจะสู้ถึงโครงสร้าง ติดคุก 4 คน 60 คน 100 คน 1,000 คน ก็ไม่ยอมจำนน นี่ต่างหากคือความหมายของการต่อสู้
ถ้าเปรียบเทียบกับคนอีกกลุ่ม ซึ่งคิดว่าตัวเองอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย แต่กลับโทษคนรุ่นใหม่ “สุดโต่ง” ไม่น่าเล้ย แค่ไล่ประยุทธ์ก็พอ ป่านนี้อาจสำเร็จไปแล้วก็ได้
ถูกผิดว่ากันอีกเรื่อง แต่เห็นง่ายๆ ถ้าม็อบราษฎรแพ้ ก็แพ้กันหมด เพียงแต่ฝ่ายหนึ่ง “แพ้อย่างไทย” ซึ่งไม่มีวันชนะอยู่ดี
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/hot-topics/news_5932913
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar