10h ·
ตั้งแต่ต้น ทักษิณและพรรคพวก (พรรคเพื่อไทย ฯลฯ และผู้สนับสนุน) ชูประเด็นว่า "เศรษฐกิจสำคัญ" ด้านหนึ่งก็หวังว่าจะอาศัยจุดแข็งของทักษิณในเรื่องการจัดการทางเศรษฐกิจ หาเสียงกับประชาชน อีกด้านหนึ่ง ก็หวังว่า โดยการงดพูดเรื่องสถาบันกษัตริย์ จะเป็นช่องทางให้สักวันหนึ่งสามารถหันกลับมาคืนดีกับสถาบันฯได้ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงอดีตที่เคยมีสัมพันธ์ที่ดีต่อวชิราลงกรณ์ (บางครั้งก็เสี่ยงด้วยการเล่นเกมส์ผลักดันอุบลรัตน์ให้เป็นนายกฯ โดยไม่บอกใคร)
แต่ความหวังนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะบรรลุผล...
Somsak Jeamteerasakul
14h ·
การรณรงค์เรื่องสถาบันกษัตริย์ อยู่ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้
"มวลชนที่สนับสนุนทักษิณ พวกนี้อันที่จริงเห็นด้วยกับการปฏิรูปสถาบันฯ แต่เห็นด้วยกับทักษิณมากกว่า นี่เป็นปัญหาใหญ่ของการปฏิรูปสถาบันฯ"
และ "พวกที่เห็นด้วยอย่างเงียบๆกับการวิจารณ์สถาบันฯ ปัญหาใหญ่ของคนเหล่านี้เกลียดทักษิณ เกลียดธนาธร เรื่องสถาบันฯไม่ใช่เรื่องใหญ่ของพวกเขา"
หันมาสนับสนุนเรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกแรก
ตั้งแต่ต้น ทักษิณและพรรคพวก (พรรคเพื่อไทย ฯลฯ และผู้สนับสนุน) ชูประเด็นว่า "เศรษฐกิจสำคัญ" ด้านหนึ่งก็หวังว่าจะอาศัยจุดแข็งของทักษิณในเรื่องการจัดการทางเศรษฐกิจ หาเสียงกับประชาชน อีกด้านหนึ่ง ก็หวังว่า โดยการงดพูดเรื่องสถาบันกษัตริย์ จะเป็นช่องทางให้สักวันหนึ่งสามารถหันกลับมาคืนดีกับสถาบันฯได้ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงอดีตที่เคยมีสัมพันธ์ที่ดีต่อวชิราลงกรณ์ (บางครั้งก็เสี่ยงด้วยการเล่นเกมส์ผลักดันอุบลรัตน์ให้เป็นนายกฯ โดยไม่บอกใคร)
แต่ความหวังนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะบรรลุผล...
Somsak Jeamteerasakul
14h ·
การรณรงค์เรื่องสถาบันกษัตริย์ อยู่ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้
"มวลชนที่สนับสนุนทักษิณ พวกนี้อันที่จริงเห็นด้วยกับการปฏิรูปสถาบันฯ แต่เห็นด้วยกับทักษิณมากกว่า นี่เป็นปัญหาใหญ่ของการปฏิรูปสถาบันฯ"
และ "พวกที่เห็นด้วยอย่างเงียบๆกับการวิจารณ์สถาบันฯ ปัญหาใหญ่ของคนเหล่านี้เกลียดทักษิณ เกลียดธนาธร เรื่องสถาบันฯไม่ใช่เรื่องใหญ่ของพวกเขา"
หันมาสนับสนุนเรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกแรก
............................................................
(ช่วงท้ายของกระทู้จะเรสปัญหาเชิงทฤษฎีบางอย่าง เรื่อง democratization,
bourgeois revolution ซึ่งอาจจะยากนิด ถ้าใครไม่สนใจก็ผ่านไปได้)
เมื่อเร็วๆนี้ ในวงสนทนากับมิตรสหายจำนวนหนึ่งที่นี่ ผมเสนอขึ้นว่า
ความจริง ทักษิณ ถ้าได้ไปเป็นนายกฯของประเทศอย่างจีนหรือสิงคโปร์ คง "ไปได้สวย"
นั่นคือ เขา "เหมาะ" หรือสอดคล้องที่จะไปเป็นผู้นำในประเทศที่ระบบการเมืองมัน settled หรือ "ลงตัว" แล้ว เพราะในบรรดาอีลึตไทยทั้งหลาย ต้องยอมรับว่า เขามีวิสัยทัศน์หรือเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาในแง่เศรษฐกิจของประเทศในปริบทของเศรษฐกิจโลกมากกว่าคนอื่นๆ
เมื่อเร็วๆนี้ ในวงสนทนากับมิตรสหายจำนวนหนึ่งที่นี่ ผมเสนอขึ้นว่า
ความจริง ทักษิณ ถ้าได้ไปเป็นนายกฯของประเทศอย่างจีนหรือสิงคโปร์ คง "ไปได้สวย"
นั่นคือ เขา "เหมาะ" หรือสอดคล้องที่จะไปเป็นผู้นำในประเทศที่ระบบการเมืองมัน settled หรือ "ลงตัว" แล้ว เพราะในบรรดาอีลึตไทยทั้งหลาย ต้องยอมรับว่า เขามีวิสัยทัศน์หรือเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาในแง่เศรษฐกิจของประเทศในปริบทของเศรษฐกิจโลกมากกว่าคนอื่นๆ
แต่ - และนี่เป็นประเด็นสำคัญมาก - โดยที่ประเทศที่ระบบต่างๆ "ลงตัว" แล้วที่ว่า (จีน สิงคโปร์) ไม่จำเป็นต้องเป็นประชาธิปไตย อันที่จริง เขาอาจจะเหมาะกว่าด้วยซ้ำ กับประเทศดังกล่าว ที่มีลักษณะไปในทาง authoritarian อย่างจีน สิงคโปร์
เพราะเอาเข้าจริง ทักษิณไม่ได้มีวิสัยทัศน์ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยอะไร วิสัยทัศน์ทางการเมืองของทักษิณ (ยิ่งโดยเปรียบเทียบกับเรื่องวิสัยทัศน์การพัฒนาเศรษฐกิจที่กล่าวข้างต้น) ต้องนับว่าเป็น "ศูนย์" เลย ทักษิณไม่มีความเข้าใจหรือไม่มีไอเดียว่า ถ้าจะ "สร้างระบอบประชาธิปไตย" ต้องทำอย่างไรบ้าง หรือ "ระบอบประชาธิปไตย" จะต้องมีลักษณะอย่างไรบ้าง (นอกเหนือจากไอเดียประเภทที่เรียกว่า populism คือ เรื่องเลือกมาจากเสียงส่วนใหญ่ - จบ)
เอาเข้าจริง ทักษิณสามารถ fit in หรือเข้าได้กับ (เคยเข้าได้มาแล้วกับ) สิ่งที่เรียกว่า "ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" ปัญหาว่า ทำไม ทักษิณจึงเกิดปัญหากับ "ระบอบ" ที่ว่านี้ เป็นประเด็นใหญ่ที่ไม่สามารถพูดได้ในทีนี้ นี่เป็นประเด็นสำคัญที่ผมนำเสนอในการสัมมนาที่นี่เมื่อเดือนก่อน ภายใต้หัวข้อ "แฝดสยามแยกร่าง" Siamese Twin Separated ไอเดียคือทักษิณกับกษัตริย์นิยมนั้น ความจริงเป็น "แฝดสยาม" ที่ติดกันมาอย่างแนบแน่นมาก่อน จนถึงปี 2006
เรื่องนี้นำไปสู่ประเด็นสำคัญอีกเรื่องคือ เอาเข้าจริง ประชาชนส่วนใหญ่ที่เลือกหรือสนับสนุนทักษิณ ("เสื้อแดง") แท้จริงแล้วสนับสนุนด้วยเหตุผลในเชิงวิสัยทัศน์ในแง่การพัฒนาเศรษฐกิจดังกล่าว ไม่ใช่ด้วยเหตุผลในเชิงความเป็นประชาธิปไตยหรือการมีวิสัยทัศน์หรือข้อเสนอเกี่ยวกับการสร้างระบอบประชาธิปไตย เพราะเอาเข้าจริงทักษิณไม่มี ไม่เคยเสนอ หรือมีท่าทีจะมี หรือจะเสนอว่าจะ "เปลี่ยนระบอบ" ในแง่ทำให้เป็นประชาธิปไตยอย่างไร (ตั้งแต่ปัญหาสถานะสถาบันกษัตริย์ กองทัพ ไปถึงเรื่องกฎหมายต่างๆ เช่น ๑๑๒ เรื่องสิทธิ เสรีภาพ ไปจนกระทั่งแม้แต่เรื่องทำให้ศาสนาสอดคล้องประชาธิปไตย ด้วยการเอาออกจากรัฐ (อันที่จริง เสื้อแดงเป็นขบวนการเมืองเดียวที่เคยเสนอข้อเสนอลักษณะถอยหลังเข้าคลองเรื่องทำให้ศาสนาพุทธเป็น "ศาสนาประจำชาติ" ด้วยซ้ำ)
ในแง่นี้ ความเป็นขบวนการเมืองที่เรียกร้องประชาธิปไตยของผู้สนับสนุนทักษิณ ("เสื้อแดง") มีลักษณะจำกัดอย่างมาก คือจุดสำคัญแทบจะจุดเดียวที่โฟกัสคือเรื่องว่า ขอให้คนที่เลือกจากเสียงส่วนใหญ่เป็นรัฐบาล - นี่คือเนื้อหาของ "ประชาธิปไตยในความหมายของคนเสื้อแดง" - "เป้าหมายประชาธิปไตย" ในแง่นี้ เป็นอะไรที่ขึ้นต่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น คือต้องการให้ได้รัฐบาลทักษิณ (ด้วยเหตุที่เชื่อในเชิงวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจ)
...............
เรื่องนี้ (ที่ประชาชนสนับสนุนทักษิณมาจากเรื่อง "วิสัยทัศน์เศรษฐกิจ" เป็นหลัก ไม่ใช่มาจากเรื่องทางหลักการประชาธิปไตย หรือการจะสร้างให้ระบอบประชาธิปไตยออกมาแบบไหน) ยังเรสปัญหาสำคัญในเชิงทฤษฎีที่น่าสนใจ
คือถ้ามองให้กว้างออกไป เอาเข้าจริง สิ่งที่เรียกว่า "คลื่นลูกที่สาม" (และสี่) ของการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย (Third Wave Democracy) คือการที่ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่ตะวันตก เป็นอดีตประเทศ "โลกที่สาม" หรือ "ค่ายคอมมิวนิสต์" เริ่มเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยในทศวรรษ 1980 และ 1990 เป็นต้นมา โดยเปรียบเทียบกับสิ่งที่เรียกว่า "การปฏิวัติประชาธิปไตย" (หรือ "การปฏิวัติกระฎุมพี") สมัย "คลาสสิค" จากศตวรรษที่ 16 ถึงศตวรรษที่ 19 ถึงครึ่่งแรกของศตวรรษที่20
- จะเห็นว่า "คลื่นลูกที่สามประชาธิปไตย"
ที่ว่านี้ (ซึ่งรวมถึงกรณีประเทศไทย)
แรงผลักดันแทบจะทั้งหมดมาจากเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ
ในความหมายที่คล้ายๆกับที่เราเห็นในไทยนี้ คือ
ประชาชนต้องการผู้นำหรือการเมืองที่มีวิสัยทัศน์ในแง่จะพัฒนาเศรษฐกิจที่แข่งกับความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก
(ความล้มเหลวของผู้นำเผด็จการ ไม่ว่าจะลาตินอเมริกา มาถึงอินโดนีเซีย
หรือกระทั่งล่าสุดพม่า ล้วนมาจากเรื่องนี้เป็นสำคัญ) ....
คือไม่ใช่ปัญหาเชิงหลักการการเมืองหรืออุดมการแบบ "เสรีนิยม"
ในแบบที่เราเห็นในช่วง "การปฏิวัติกระฎุมพีคลาสสิค"*
(เรื่องใหญ่สุดคือเสรีภาพส่วนบุคคล ความเสมอภาค และ ระบบการเมืองที่มี
check and balance) และผู้นำที่กลายมาได้รับความสนับสนุนจาก
"ประชาธิปไตยเกิดใหม่-ประชาธิปไตยคลื่นลูกที่สาม" ในประเทศเหล่านี้
ก็เป็นผู้นำที่ดูเหมือนจะสนองความต้องการเรื่องวิสัยทัศน์เศรษฐกิจมากกว่าเรื่องในเชิงอุดมการหรือวิสัยทัศน์เรื่องเสรีภาพประชาธิปไตยเหมือนในสมัยคลาสสิคของตะวันตก
[* อันที่จริง ตามข้อเสนอของ Perry Anderson ในซีรีส์ของสิ่งที่เรียกว่า
"การปฏิวัติกระฎุมพี" เอง ก็มีลักษณะแบ่งเป็นสอง "วงจร" วงจรแรก
จากการปฏิวัติดัชท์ อังกฤษ อเมริกัน ถึงฝรั่งเศส ที่เน้นเรื่องไอเดีย
"เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ" กับวงจรหลัง จากการปฏิวัติเยอรมัน อิตาลี
ญี่ปุ่น ที่เน้นเรื่องชาติ
นิยมและอุตสาหกรรม]
นิยมและอุตสาหกรรม]
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar