รุ้ง ปนัสยา ทำกิจกรรมอ่านและยื่นจดหมายเปิดผนึกที่สำนักนายกรัฐมนตรี
Karnt Thassanaphak
5h ·
#จดหมายเปิดผนึก
แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม
#ถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม
.เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลกว่า การเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศไทยได้ทวีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะนับตั้งแต่กลางปี 2563 เป็นต้นมา ประชาชนจำนวนมหาศาลได้ก้าวออกมาร่วมกันชุมนุมโดยสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ ครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อส่งเสียงเรียกร้องไปยังรัฐบาลและผู้มีอำนาจ ถึงความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ไปสู่การเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงดังนานาอารยประเทศ ต้องการที่จะเห็นความเป็นธรรมในสังคมไทย อันหมายถึงความเท่าเทียมในศักดิ์ศรีและโอกาสของประชาชนทุกคน ภายใต้ข้อเรียกร้อง 3 ข้อคือ (1) ขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และองคาพยพ (2) แก้ไขรัฐธรรมนูญ และ (3) ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตย
.แต่ก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกอีกเช่นกันว่า รัฐไทยได้เลือกที่จะใช้วิธีการที่รุนแรงและเกินกว่าเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย การใช้กระบอง กระสุนยาง แก๊สน้ำตา และรถฉีดน้ำแรงดันสูง มาตอบโต้และปราบปรามผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ ไม่เว้นแม้ใจกลางเมืองหลวงและต่อหน้าสื่อมวลชน หลายครั้งหลายหน
.ยิ่งไปกว่านั้น คือการจับกุมผู้ปราศรัยและผู้ชุมนุมเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง และบ่อยครั้งด้วยวิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น จับกุมและควบคุมตัวไปยังกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 1 (บก. ตชด.1) แทนที่จะเป็นสถานีตำรวจในพื้นที่ การปฏิเสธให้ทนายและญาติเข้าร่วมการสอบสวน รวมถึงการตั้งกล่าวข้อหาที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 หรือ “ข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคง” และมาตรา 112 ที่รู้จักกันดีในนาม “ข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์” ซึ่งอัตราโทษสูงอย่างเกินกว่าเหตุ
.และที่เลวร้ายและขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนอย่างมากก็คือ การปฏิเสธสิทธิในการประกันตัวของผู้ต้องหาในระหว่างการดำเนินคดี ดังกรณีล่าสุดคือ การปฏิเสธสิทธิในการประกันตัวของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นายอานนท์ นำภา นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และนายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม ที่ถูกกล่าวหาด้วยมาตรา112 เป็นเหตุให้ทั้ง 4 คน ยังคงถูกจองจำอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จวบจนนาทีนี้
.ทั้งที่ตามหลักการ “Presumption of Innocence” ซึ่งใช้ในกระบวนการยุติธรรมทั่วโลก ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า ในคดีอาญา ระหว่างที่คดียังไม่สิ้นสุด ให้อนุมานว่าผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ “ไม่มีความผิด จนกว่าจะมีคําพิพากษาอันถึงที่สุด แสดงว่าบุคคลใดได้กระทําความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทําความผิดมิได้” ซึ่งหลักการนี้ได้ถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ แม้แต่ฉบับปัจจุบันซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย ก็ยังให้การรับรองสิทธินี้เอาไว้ ในมาตรา 29 วรรค 2 อย่างชัดเจนว่าเป็นสิทธิของปวงชนชาวไทย
.การที่ศาลปฏิเสธสิทธิในการประกันตัวโดยให้เหตุผลว่าทั้ง 4 คน “มีพฤติกรรมที่อาจกระทำความผิดซ้ำ” ซึ่งเป็นการ “พิพากษาล่วงหน้า” ว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงและอาจทำซ้ำนั้น จึงขัดต่อหลักการ “Presumption of Innocence” และเป็นการละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญของจำเลยทั้ง 4 คนอย่างชัดเจน
.ยิ่งไปกว่านั้น การที่ศาลปฏิเสธสิทธิในการประกันตัวของผู้ต้องหาหรือจำเลยตาม มาตรา 112 ให้จองจำเอาไว้อย่างไม่เป็นธรรม ทั้งที่คดียังไม่ได้เริ่มการไต่สวน ทั้งที่ผู้ต้องหาไม่มีพฤติกรรมที่จะหลบหนี ในขณะที่ยังคงให้สิทธิในการประกันผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาอื่นๆ ที่มีอัตราโทษรุนแรง เช่น ต้องหาว่าฆ่าคนตายโดยเจตนา จึงอาจนำไปสู่การสร้างมาตรฐานอันไม่ชอบธรรม นั่นคือ ผู้ต้องหาในความผิดหมิ่นประมาทกษัตริย์มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัวมากกว่าคดีอาญาอื่นๆ ซึ่ งนอกจากจะเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนรวมถึงผู้ที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมในกรณีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์แล้ว ยังทำลายเกียรติภูมิของศาลและกระบวนการยุติธรรมไทยให้ย่อยยับลง จนอาจถูกติฉินจากนานาอารยประเทศว่า ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองภายในประเทศจนละทิ้งศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิ
.เพื่อธำรงไว้ซึ่งเกียรติภูมิของศาล และความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนต่อหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม “เรา” ในนามของ “แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” ขอเรียกร้องให้มีการอนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 คน และผู้ต้องหาในคดีที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวเรียกร้องทางการเมืองทั้งหมด
.และขอเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลอาญา สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตลอดจนหน่วยงานอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงธรรม และคำนึงถึงเกียรติ ศักดิ์ศรีของความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งจะมีได้ก็ต่อเมื่อปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อประชาชนเท่านั้น
แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม - United Front of Thammasat and Demonstration
16/02/2564
1. Constitutional Court
2. Ministry of Justice
3. Criminal Court (Radchadaphisek)
4. Thai Police Headquarter
5. Office of the Prime Minister
Calling all institutions to consider and prosecute cases in accordance with the rule of law and the well-being of the people. No precipitation on the case and/or violation of human rights.
An open letter
To all concerned personnel in the judicial process
As witnessed by people around the world, the movement for democracy in Thailand has significantly gained ground since the middle of 2020. A massive number of people have gathered peacefully and unarmed time and again to make their voice heard to the government and the power that be. We want them to be aware of our desire to transform this country into a democracy on par with other countries. We want to see social justice in Thailand which paves the way for equality in terms of dignity and opportunity of all people. Our three key demands include (1) the removal of Gen Prayuth Chan-ocha as Prime Minister and other cabinet members, (2) a rewrite of the Constitution and (3) the reform of the monarchy to make it comply with constitutional monarchy.
Also witnessed by the world is how the Thai government has responded to our demand by retaliating against us with excessive violence and force. They attack us physically, beat us with truncheons, fire rubber bullets and tear gas as well as water cannon at us to suppress peaceful and unarmed assemblies. This happens even in downtown Bangkok and with the presence of the media many times.
Moreover, a number of speakers and participants in the public assemblies have been put under arrest relentlessly with the use of unlawful practice. For example, they have been arrested and held in custody at the Border Patrol Police Region 1 instead of the police stations of jurisdiction. Our attorneys and relatives are barred from being present during the interrogation. Criminal charges have been unfairly slapped against them, particularly the offence against the Penal Code’s Section 116, or sedition, and Section 112 or lese majeste, both of which carry disproportionately high penalty rate.
The most egregious and gross violation of human rights is manifested in the denial of bail of the suspects including the recent denial of bail for Parit “Penguin” Chiwarak, Anon Nampha, Somyot Pruksakasemsuk and Patiwat Saraiyaem who have been accused of violating Section 112. As a result, the four of them have been remanded in custody at the Bangkok Remand Prison until now.
This happens despite the principle of “presumption of Innocence” is practiced in the judicial process all over the world. It clearly stipulates that every person should be presumed innocent unless and until proved guilty following a fair trial. And “they shall not be treated as a guilty party just yet.” Such principle is prescribed in our Constitution including even the current Constitution which is one of the worst in the history of Thailand’s democracy. Its Section 29/3 clearly upholds it as a right of all Thai people.
By denying the four defendants bail citing that they “appear to have the tendency to repeat the offensive acts”, the court has already prejudged them convicting them even before the commencement of the trial. This is therefore a breach of “presumption of Innocence” principle and a blatant violation of their constitutional rights.
Moreover, by denying the suspects or the defendants in Section 112 case the right to bail, the court unfairly detains them even before the commencement of the hearing and even though the suspects have shown no capacity of absconding. Meanwhile, the court has granted bail to suspects or defendants in other felony cases including murder. This practice could be viewed as a double standard whereby it is likely that a person alleged to have committed lese majeste shall be denied the right to bail, more than suspects in other criminal cases. Apart from depriving the rights of those exercising their rights to demand justice concerning the monarchy, it also massively tarnishes the reputation of the judiciary and the judicial process in Thailand. It can subject the Thai judiciary to a mockery of international community since it tends to serve as a political tool at the expense of its dignity and reputation.
To uphold the dignity of the judiciary and to retain public faith in agencies in the judicial process “we” in the name of “Ratsadon” demand that the four defendants and other suspects detained on politically motivated charged be granted bail.
And we call on the Constitutional Court, the Criminal Court, the Office of the Prime Minister, the Ministry of Justice and the Royal Thai Police as well as other agencies concerned with the judicial process to execute their duties fairly and to uphold their reputation and dignity as civil servants. All these can only be made possible when they perform their duties to faithfully serve the public interest.
United Front of Thammasat and Demonstration
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar