ThaiE-News
เมื่อวานนี้
(11 มกราคม 2563) ราชกิจจานุเบกษาได้ลงประกาศ "พระราชหัตถเลขา" เรื่อง
แต่งตั้งคณะกรรมการโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความ ดี เพื่อชาติ ศาสน์
กษัตริย์ โดยมีไฮไลท์อยู่ที่การตั้ง "เจ้าคุณพระสินีนาฏ"
เป็นรองประธานที่ปรึกษาโครงการ
.
เมื่อดูข้อมูลย้อนกลับไป
เราจะพบว่าโครงการดังกล่าวมีการประกาศตั้ง/เปลี่ยนแปลงคณะกรรมการมาแล้วอย่างน้อย
3 ครั้ง โดยในทุกครั้งจะมีกษัตริย์วชิราลงกรณ์เป็นประธานที่ปรึกษา
เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาเป็นประธานกรรมการ
รวมถึงมีองคมนตรีและข้าราชการในพระองค์อีกจำนวนหนึ่งเป็นกรรมการด้วย
นอกจากนี้ในการประกาศก่อนหน้านี้ยังเคยปรากฏชื่อ "ราชินีสุทิดา"
ร่วมเป็นประธานที่ปรึกษาด้วย (แต่ถูกถอดชื่อไปในประกาศล่าสุด)
.
ทั้งนี้ การประกาศทั้งสามครั้งไม่มีผู้รับสนองราชโองการ
.
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/…/P…/2564/E/008/T_0001.PDF
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/…/P…/2562/E/276/T_0001.PDF
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/…/P…/2562/E/217/T_0001.PDF
.
นี่คือการที่กษัตริย์ใช้อำนาจก้าวก่ายกิจการของบ้านเมืองอย่างชัดแจ้ง
.
ในแง่หนึ่ง
นี่คือการสร้างความนิยมส่วนตัวของกษัตริย์และพวกพ้องผ่านงานที่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลอยู่แล้ว
(ในที่นี้คืองานเกี่ยวกับการจัดการกับผู้กระทำผิดกฎหมาย)
.
ในแง่หนึ่ง นี่คือการเข้าไปมีอิทธิพลต่อการบริหารราชการแผ่นดิน
ซึ่งอาจส่งผลเปลี่ยนแปลงนโยบายให้เป็นไปตามอำเภอใจของกษัตริย์
แทนที่จะเป็นไปตามแนวทางของรัฐบาลซึ่งถือเป็นผู้แทนประชาชนได้
.
และในอีกแง่หนึ่ง นี่คือการสร้างเครือข่ายของกษัตริย์ภายในหน่วยงานราชการ
(กรมราชทัณฑ์) ดึงข้าราชการมาเป็นบริวารของตัวเอง แทนที่จะเป็นคนของประชาชน
.
ต้องไม่ลืมว่างานราชทัณฑ์เป็นงานที่จะต้องควบคุมดูแลบุคคลที่กระทำผิดกฎหมาย
(โดยที่บ้านเมืองเราไม่เคยสนว่ากฎหมายจะเป็นธรรมหรือไม่)
ซึ่งรวมถึงความผิดต่อกษัตริย์ (เช่น มาตรา 112)
ที่กำลังใช้ปราบปรามผู้เห็นต่างกันอยู่ด้วย
การที่กษัตริย์แผ่อิทธิพลเข้ามาในงานราชทัณฑ์จึงอาจมีผลประโยชน์ได้เสียต่อการให้คุณให้โทษกับบุคคลเหล่านี้ได้
.
หากกษัตริย์ยังประพฤติตนเช่นนี้ต่อไป
เท่ากับกษัตริย์ต้องการย้อนกลับไปมีอำนาจล้นฟ้าแบบในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
โลกสมัยใหม่ไม่อาจให้ที่ยืนแก่กษัตริย์แบบนี้ได้
iLaw
10h ·
+++ พระราชหัตถเลขา พระบรมราชโองการ "อันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน" ต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนอง +++
.
รัฐธรรมนูญ
ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 182 ว่า "บทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา
และพระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดินต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
เว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญ"
.
ดังนั้น
พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการ "อันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน"
จึงต้องมีผู้ลงนามรับสนองเสมอ โดยผู้ลงนามรับสนองจะเป็นผู้รับผิด
ซึ่งหลักการดังกล่าว สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ที่ได้บัญญัติไว้ว่า
.
"มาตรา 6 องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้"
.
การกำหนดในบทบัญญัติดังกล่าว
เป็นไปตามหลักพระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดมิได้ (The King Can Do No Wrong)
เมื่อพระมหากษัตริย์ถูกคุ้มครองไม่ให้ถูกฟ้องร้องได้แล้ว
การกระทำของพระมหากษัตริย์นั้นย่อมต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย
พระมหากษัตริย์มิได้ใช้พระราชอำนาจในทางที่ริเริ่ม
แต่เป็นการใช้อำนาจแบบเชิงรับ เมื่อมีผู้ทูลเกล้าขึ้นมา
พระมหากษัตริย์จึงโปรดเกล้า
และผู้ที่ทูนเกล้าก็จะเป็นผู้ลงนามรับสนองการนั้น
และผู้ทูนเกล้าเองต้องรับผิดในการนั้นด้วย
.
ซึ่งหลักเช่นนี้เองที่ทำให้กษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยมีความแตกต่างจากกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ที่การออกพระบรมราชโองการพระมหากษัตริย์ไม่ต้องลงพระลงพระปรมาภิไธย
และไม่ต้องมีผู้รับสนอง
.
ตัวอย่างยุคระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
จากการค้นคว้าเพิ่มเติมในราชกิจจานุเบกษา พบว่า
พระบรมราชโองการที่มีสถานะเป็นกฎหมาย ที่ออกก่อนวันที่ 24 มิถุนายน 2475
นั้น ไม่เคยมีการลงพระปรมาภิไธย เช่น พระบรมราชโองการ ประกาศคำนำพระนาม
พระบรมวงษานุวงษ์ ที่ออกเมื่อ 15 กรกฎาคม รศ.130
หรือจะเป็นพระบรมราชโองการที่เกี่ยวกับงานบริหารจัดการกระทรวง ทบวง กรม
เช่น พระบรมราชโองการ ประกาศให้ยุบกรมทะเบียน และกรมตรวจการบัญชี
ที่ออกเมื่อ 20 มีนาคม 2475 ก็ไม่ต้องมีผู้ลงนามรับสนองราชโองการ
.
สำหรับความเป็นมาเป็นไปของหลักพระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดมิได้
(The King Can Do No Wrong)
ที่กำหนดให้พระบรมราชโองการต้องมีผู้ลงนามรับสนอง
ประเทศไทยได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอังกฤษซึ่ง โดยปรีดี พนมยงค์
ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรก เคยอธิบายไว้ในคำอธิบายกฎหมายปกครองว่า
“รัฐบาลราชาธิปตัยอำนาจจำกัด (Monarchie limitée)
ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินไม่มีอำนาจในการแผ่นดินนอกจากอำนาจในการพิธีและลงพระนาม
และยอมให้อ้างพระนามในกิจการต่างๆ แต่พระองค์มิได้ใช้อำนาจด้วยพระองค์เอง
อำนาจทั้งหลายในการบริหารตกอยู่แก่คณเสนาบดี เช่นในประเทศอังกฤษ
และเพราะเหตุที่พระเจ้าแผ่นดินทำอะไรไม่ได้นี้เอง
จึ่งมีสุภาษิตอังกฤษอยู่ว่า “King can do no wrong”
พระเจ้าแผ่นดินไม่อาจทำผิด
ถ้าจะพูดกลับอีกอย่างหนึ่งก็คือเมื่อพระเจ้าแผ่นดินทำอะไรไม่ได้
ก็ทำผิดไม่ได้อยู่เอง”
.
ศาสตราจารย์หยุด แสงอุทัย
ได้อธิบายหลักการดังกล่าวไว้ในหนังสือ
“คำอธิบายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511
และธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 ว่าด้วยกษัตริย์” ว่า
ตามรัฐธรรมนูญไทยนั้น ควรยึดหลักที่ว่ากษัตริย์ทรงทำผิดไม่ได้
เพราะมีผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการเป็นผู้รับผิดชอบแทนกษัตริย์
เพื่อที่จะดำรงอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพสักการะ
.
หากพิจารณาจากหลัก
The King Can Do No Wrong ที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 6
ไม่ได้คุ้มครองกษัตริย์อย่างสัมบูรณ์เสียทีเดียว
แต่กษัตริย์เองก็ต้องมีหน้าที่บางอย่างที่ถูกกำกับไว้ด้วยจารีตทางรัฐธรรมนูญหรือตามกฎหมาย
และต้องเคารพต่อประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยและเจ้าของอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ
ซึ่งสอดคล้องกับหลักการใหญ่คือหลักประชาธิปไตย
.
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar