เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดปฏิบัติการจับกุม "ขบวนการทุจริต โครงการเราเที่ยวด้วยกัน" โดยกระจายกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 55 จุดใน จ.ชัยภูมิ และ จ.ภูเก็ต จับผู้ต้องหาได้ 50 คน จากเครือข่าย 2 โรงแรม
พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) นำทีมแถลงข่าวจับกุม "ขบวนการทุจริต โครงการเราเที่ยวด้วยกัน" โดยระบุถึงพฤติกรรมกลโกงของผู้ประกอบการ ทั้งเปิดให้จองห้องพัก แต่ไม่มีการเข้าพักจริง, นําคูปองที่ได้รับหลังจากเช็กอินห้องพัก ไปสแกนใช้จ่ายกับร้านค้า แต่ไม่มีการซื้อสินค้าจริง, บางโรงแรมมีที่ตั้งจริงและลงทะเบียนถูกต้อง แต่ยังไม่เปิดให้บริการ กลับมีการเปิดให้จองห้องพัก และตั้งราคาจองห้องพักแพงเกินจริง หวังกินส่วนต่างราคาส่วนลด
- ผู้ประกอบการท่องเที่ยวภูเก็ตรอความชัดเจนจากรัฐบาลเรื่องรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
- นับถอยหลังสู่การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ กับลมหายใจที่รวยรินของภูเก็ต
- เราเที่ยวด้วยกัน : กระตุ้นท่องเที่ยว 2 หมื่นล้าน เพียงพอกับรายได้ 2 ล้านล้านที่สูญไปหรือไม่
- จาก "ไทยชนะ" สู่ "หมอชนะ" แอปชื่อดังจากฝั่งรัฐตอบโจทย์ป้องกันโรคได้เพียงใด
- เศรษฐา ทวีสิน บอสใหญ่แสนสิริ เผยความหวังในวิกฤตโควิด และ "ปีแห่งการประท้วง"
จ.ชัยภูมิ เจ้าหน้าที่นำกำลังเข้าค้นโรงแรมณัฐชญา รีสอร์ท และเครือข่ายที่เกี่ยวข้องรวม 41 ราย 38 จุด แบ่งเป็น เจ้าของโรงแรม 1 ราย, เจ้าของร้านค้า 22 ราย, คนกลางผู้รวบรวมสิทธิหรือสวมสิทธิ 14 ราย, ผู้รับจ้างเปิดบัญชี 3 ราย, ผู้รับจ้างบันทึกข้อมูลจองโรงแรม 1 ราย ซึ่งกระจายอยู่ในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ ชัยภูมิ, เลย, นครราชสีมา, ขอนแก่น, เพชรบูรณ์ และศรีสะเกษ
จับกุมผู้ต้องหา : 38 ราย
พฤติการณ์ : ลงทะเบียนเป็นรีสอร์ทขนาดเล็ก มีห้องพัก 10 ห้อง นับตั้งแต่เดือน ก.ค. 63 ถึงปัจจุบัน มีผู้ใช้สิทธิโครงการ 9,263 ราย ยอดจองห้องพัก 92,028 ห้อง เฉลี่ย 1,000-3,000 ห้องต่อวัน คิดเป็นมูลค่ารวม 33.86 ล้านบาท ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และยังพบว่ากว่า 99% ของการจองห้องพัก 1 คน จะจอง 10 ห้องเต็มทุกครั้ง และเวลาในการเช็กอินและเช็กเอาท์ทับซ้อนไม่สัมพันธ์กัน นอกจากนี้ยังพบว่าคูปองที่ได้รับหลังจากเช็กอินห้องพักที่ใช้สำหรับสแกนจ่ายกับร้านค้าที่เข้าโครงการมียอดการใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติ
พฤติกรรมของผู้ต้องหาจะทำกันเป็นขบวนการ เริ่มจากการตามหา-ตามซื้อสิทธิในโครงการจ่ายค่าตอบแทนให้รายละ 400-500 บาท เมื่อประชาชนขายสิทธิให้แล้ว ผู้ซื้อสิทธิจะให้เจ้าของสิทธิติดตั้งแอปพลิเคชั่น "เป๋าตังค์" หลังจากนั้นผู้ซื้อสิทธิจะนำโทรศัพท์ของเจ้าของสิทธิไปดำเนินการจองโรงแรมและใช้คูปอง
หรืออีกวิธีคือ นำข้อมูลบัตรประชาชนและซิมการ์ดที่ลงทะเบียนแล้วไปขายต่อให้กับผู้สวมสิทธิในราคา 800-1,000 บาท เมื่อผู้สวมสิทธิได้รับสิทธิจากโครงการแล้ว ก็จะว่าจ้างให้ผู้ร่วมขบวนการกรอกข้อมูลเพื่อจองห้องพักกับทางโรงแรม และมีอีกกลุ่มรับจ้างเปิดบัญชีธนาคารเพื่อคอยทำธุรกรรมทางการเงินแทนเจ้าของสิทธิ หลังจากผู้สวมสิทธิเช็คอินห้องพักตามที่จองไว้ ก็จะนำคูปองที่ได้รับไปใช้จ่ายกับร้านค้าที่ตนเองควบคุม
ผู้ร่วมกระทำผิด : ประชาชนกว่า 9,000 ราย
จ.ภูเก็ต เจ้าหน้าที่นำกำลังเข้าตรวจค้นโรงแรมธาราป่าตอง และเครือข่ายรวม 14 ราย ประกอบด้วย เจ้าของโรงแรม 3 ราย, เจ้าของร้านค้า 2 ราย, คนกลางผู้รวบรวมสิทธิหรือสวมสิทธิ 5 ราย, ผู้รับจ้างบันทึกข้อมูลจองโรงแรม 4 ราย
จับกุมผู้ต้องหา : 12 ราย
พฤติการณ์ : รร. ได้ปรับจากราคาห้องพักจาก 1,000-1,200 บาท เป็น 7,500 บาท และได้ร่วมมือกับผู้จัดทัวร์เชิญชวนว่าหากประชาชนจองห้องพักเต็มสิทธิ จะให้เข้าร่วมกิจกรรมทัวร์ 3 วัน 2 คืน โดยไม่มีการเข้าพักโรงแรมจริง นอกจากนี้ผู้จัดทัวร์กิจกรรมยังให้ประชาชนชำระค่าบริการในการทำกิจกรรม โดยให้สแกนคูปองที่ได้รับหลังจากการเช็คอินห้องพัก มาสเเกนใช้จ่ายกับร้านค้าที่ตนเองควบคุมไว้
ผู้ร่วมกระทำผิด : ประชาชนกว่า 800 ราย
ผบ.ตร. กล่าวว่า ผู้ต้องหาจะต้องถูกดำเนินคดีใน 4 ข้อหาคือ ฉ้อโกง, ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จฯ
พฤติกรรมการกระทำความผิดในคดีนี้มีลักษณะของการฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ซึ่งเป็นความผิดมูลฐาน ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งก็จะได้ประสานไปยัง ปปง. ดำเนินคดีในความผิดฐานฟอกเงินต่อไป
ด้าน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แสดงความขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิด และขอให้ทุกคนตระหนักว่ากำลังปฏิบัติหน้าที่ที่สำคัญเพื่อประเทศ เพราะเป็น "พฤติการณ์ที่มีผลต่อความอยู่รอดได้ของประชาชนจำนวนมาก"
นายกฯ ยังฝากถึงใครที่คิดจะเอาเปรียบพี่น้องร่วมชาติ โกงชาติ โกงระบบที่รัฐออกมาตรการมาเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน "ขอให้สำนึกว่าทุกบาททุกสตางค์ที่ท่านจะขโมยไปนั้น ส่งผลทำให้คนที่ควรจะได้ กลายเป็นไม่ได้ และกำลังทำลายกลไกและกระบวนการทั้งหมด"
สำหรับโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" ออกมาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวภายในประเทศ หลังไทยต้องสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน เมื่อเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar