ThaiE-News
17h ·
รัฐประหารเมียนมา ๒๐๒๑ ไม่ใช่แค่จุดจบ แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของอีกหลาย ๆ อย่างด้วย
%%%%
รัฐประหารเมียนมาไม่ใช่เป็นแค่จุดจบแห่งการใช้ความรุนแรงต่อการเลือกตั้ง (electoral violence) เพื่อล้มผลเลือกตั้งของกองทัพเท่านั้น หากยังเป็นจุดเริ่มต้นของหลายสิ่งหลายอย่าง อาทิ
-จุดเริ่มต้นของอาการติดเพดานขลุกขลักในการเลือกเลื่อนตำแหน่งไต่สูงขึ้นไปตามลำดับปกติในกองทัพ พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่ายที่ถ่างก้นนั่งควบเก้าอี้นำกองทัพกับการเมืองต่อไป จะลุกไม่ขึ้นง่าย ๆ เพราะต้องหวงแหนยึดกุมการนำกองทัพไว้ให้มั่นคงหรือส่งต่อให้ลูกน้องที่วางใจได้ ซึ่งย่อมกลายเป็นจุกอุปสรรคการเลือกเลื่อนตามปกติของนายทหารระดับรอง ๆ ลงไป อันจะยิ่งเพิ่มเดิมพันและเชื้อมูลความขัดแย้งแบ่งฝักฝ่ายทางการเมืองและการทหารในกองทัพมากขึ้น
-จุดเริ่มต้นของการพังทลายของหลักนิติธรรม (the rule of law) สภาพไร้ขื่อไร้แปขยายวงออกและการสวิงไปสู่แนวคิดแข็งกร้าวถึงรากยิ่งขึ้นของพลังฝ่ายค้าน (radicalisation) ทั้งที่สู้ด้วยอาวุธและด้วยความไม่รุนแรง
-จุดเริ่มต้นของการโทษรัฐบาลพลเรือนไม่ได้ต่อปัญหาโควิด-๑๙ ระบาดและผลกระทบทางเศรษฐกิจอีก ต่อแต่นี้ไปรัฐบาลทหารปกครองเองต้องรับไว้เต็ม ๆ ถ่ายเดียว
-จุดเริ่มต้นของการเสียเปรียบตกเป็นเบี้ยล่างต่อรองของเมียนมาต่อจีนและอาเซียนในฐานต้องพึ่งพาทั้งความชอบธรรม การทูตและเศรษฐกิจการค้าการลงทุนจากเพื่อนบ้านที่ไม่แยแสหลักการเสรีประชาธิปไตย แต่พร้อมต่อรองเอาเปรียบเหล่านี้
-จุดเริ่มต้นแห่งช่องทางเศรษฐกิจการค้าการลงทุนที่ปิดแคบลงกับโลกตะวันตกโดยรวม
-จุดเริ่มต้นแห่งความยากลำบากทางเศรษฐกิจซ้ำเติมสำหรับประชาชนชาวเมียนมา ภายใต้การปิดกั้นทางเศรษฐกิจการค้าเพิ่มขึ้นจากโลกตะวันตกและภายใต้รัฐบาลทหารที่ไม่จำเป็นต้องฟังประชาชนผู้เดือดร้อนก็ได้ เพราะได้อำนาจมาจากปืน ไม่ใช่เสียงโหวต
-จุดเริ่มต้นของโอกาสการปริแตกแยกห่างระหว่างกองทัพ กับ ชาติเมียนมา ที่กองทัพเคยผูกขาดชาตินิยมมาตลอดนับแต่ได้เอกราชมา มีช่องว่างที่พลังการเมืองฝ่ายอื่นจะต่อสู้ช่วงชิงธงชาตินิยมเมียนมาเป็นของตนบ้างมากขึ้นในนามประชาธิปไตย
-จุดเริ่มต้นของอาการวนลูปในการแก้ปัญหาชนกลุ่มน้อยทั้งที่ติดอาวุธและไม่ติดอาวุธใน
เมียนมา รวมทั้งปัญหาโรฮิงญาที่ค้างคาอยู่
ทำไปทำมา ทหารพม่ายึดอำนาจ นี่อาจเกี่ยวโยงอิทธิพลจีน
ตู่อ้างมารยาทอาเซียนไม่ยุ่งการเมืองภายในพม่า ถึงได้ใช้หน่วยควบคุมฝูงชนเข้าสลายการประท้วงรัฐประหารหน้าสถานทูตพม่า ซึ่งผู้ชุมนุมมีทั้งชาวพม่าในไทยจำนวนมาก และนักกิจกรรมไทยไม่น้อยเข้าร่วม รวมทั้งกลุ่ม ‘วีโว่’ มวลชนอาสา
มิใยถูกโจมตีจากบัญชี ‘ไอโอ’ ว่า “เมื่อคืนเห็นว้อยซ์ออกข่าวกล่าวหา จนท. อีกแล้ว ม๊อบช่วงนี้หิวแสงเยอะอยู่” (@Myra Sangawongse) โพสต์หนึ่งกล่าวหาว่า เพราะมี ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ พรรณิการ์ วานิช ‘คณะก้าวหน้า’ ไปร่วมสังเกตุการณ์
กระนั้นทั่วไทยให้ความสนใจการยึดอำนาจ ‘โดยรัฐธรรมนูญ’ (ม.๔๑๗ และ ๔๑๘) ของทหารพม่ากันอย่างยิ่งยวด แม้กระทั่ง ‘วู้ดดี้’ ผู้ประกาศทีวี (#กินอาหารหมา) ก็ยัง #SaveMyanmar กะเขาบ้าง น่าจะเพราะความเคลิบเคลิ้มต่อ ‘ดอว์ซูจี’ เป็นอาทิ
บ้างวิเคราะห์ว่าเพราะซูจีเดินแต้มการเมืองภายใต้เงาทหารมา ๕ ปีจนแก่กล้า สร้างฐานคะแนนเสียงท่วมท้น พร้อมที่จะสลัดอำนาจทหารได้ในรัฐสภาสมัยนี้ แต่ทหารไหวตัวก็เลยยึดอำนาจตัดหน้าเสียก่อน ด้วยอำนาจประกาศภาวะฉุกเฉินที่พวกตนฝังไว้ใน รธน.
กระทั่งสำนักข่าว ‘ชินหัว’ กระบอกเสียงของรัฐบาลจีน ก็ยังไม่ยอมเรียกการยึดอำนาจในพม่าครั้งนี้ว่า ‘รัฐประหาร’ กลับบอกว่า “เป็นการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่-Myanmar military announced a major cabinet reshuffle…” (Sunai @sunaibkk)
กลายเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองระหว่างประเทศ ที่อาจมีผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญต่อการขยายอิทธิพลของจีนในภูมิภาค อย่างควรแก่การใส่ใจ ในเมื่อมีการชักชวนให้ “จับตาดูเฟสสลิ่มอย่างเดียว หากกรูกันออกมาในสามธีม
– ด่าตะวันตก – เชิดชูจีน – เชียร์รัฐประหารพม่า แสดงว่าไอโอเขาส่งสัญญาณให้ออกมากันแล้ว” อันนี้ไม่แน่ใจจะไปถึงจุดเหล่านั้นไหม เท่าที่เห็นตามบัญชีสลิ่มบางรายตอนนี้มีแต่ด่า ‘ม็อบเด็ก’ เผือกเรื่องพม่าหาซีน อ้างเดี๋ยวได้ติดโควิดระนาว
หากแต่โพสต์ของ Mathee Sootsukont มีประเด็นให้ต้องคิดที่ว่า “จีนสร้างที่มั่นได้สองฝั่งแล้ว Kyaukpyu ฝั่งอันดามัน ในมหาสมุทรอินเดีย Ream ฝั่งอ่าวไทย ในมหาสมุทรแปซิฟิค ขาดคลองเชื่อมเท่านั้น จำเป็นต้องกระชับอำนาจให้เร็วที่สุด”
เป็นนัยยะที่ ‘ตู่’ ทำไม่รู้ไม่ชี้กับการ ‘กระชับอำนาจ’ ของทหารใหญ่ในพม่า ลูกบุญธรรมป๋าเปรม ซึ่งถูกองค์กรสิทธิมนุษยชนตะวันตกตราหน้า ว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนมุสลิมโรฮิงญาในประเทศของตน หากพลเรือนเป็นรัฐบาลมีทางได้ไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ
ไม่บังเอิญที่ ‘คลองเชื่อม’ ดังว่า เป็นส่วนหนึ่งในแผนล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจของจีน ซึ่งอยู่บนแผ่นดินไทย ตามวิสัยทัศน์และนโยบายที่เปลี่ยนแปลงมาหลายยุคสมัย ตั้งแต่ ‘คอคอดกระ’ และ ‘คลองไทย’ มาถึง ‘สะพานข้ามอ่าวไทยและแลนด์บริดจ์’
เม็กกาโปรเจ็คสำหรับโครงการ ‘อีอีซี’ ของรัฐบาลตู่ยุคกึ่งเผด็จการนี้คิดกันขึ้นมาเพื่อถลุงงบปรมาณราว ๑.๕ ล้านล้านบาท ประกอบด้วย “การสร้างสะพานข้ามอ่าวไทยจาก จ.ชลบุรี เชื่อม จ.เพชรบุรี ระยะทาง ๘๐-๑๐๐ กิโลเมตร มูลค่า ๙.๙ แสนล้านบาท”
กับ “การสร้างถนนมอเตอร์เวย์และทางรถไฟฟ้าระยะทางประมาณ ๑๒๐ ก.ม. เชื่อมสองฝั่งทะเล” ระหว่างอ่าวไทยกับอันดามัน “เพื่อให้เรือสินค้าขนาดใหญ่ที่มาจากยุโรปไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกาหรือแวะจอดท่าเรือสิงคโปร์ โครงการนี้ใช้เงินประมาณ ๖-๗ หมื่นล้านบาท”
ทั้งหมดนั่นมาจากไอเดียดั้งเดิมของการขุดคอคอดกระ บริเวณแผ่นดินแคบที่สุดบนด้ามขวานไทยตรงจังหวัดระนอง เป็นแนวคิดบรรเจิดทางเศรษฐกิจที่ถูกตีตกไปด้วยเหตุผลทางความมั่นคง กลัวว่าคลองขุดเป็นทางลัดให้เรือเดินสมุทรผ่านได้นี้ จะทำให้การแบ่งแยกดินแดนง่ายขึ้น
จนมาถึงรัฐบาล คสช. ความคิดที่จะขุดคลองให้เรือบรรทุกสินค้าผ่านก็ผุดขึ้นมาใหม่ เมื่อมีแรงผลักจากจีนบอกว่า “อั๊วขุดให้ ลื้อเก็บค่าต๋ง” ขนาดว่าองคมนตรีธานินทร์ ไกรวิเชียร เคยเขียนจดหมายถึงหัวหน้ารัฐประหารหนุนว่าอันนี้ดี ‘เซ็งลี้ฮ้อ’
แต่กำหนดแนว ‘คลองไทย’ กันใหม่เรียก ‘แนว ๙ เอ’ อ้อมหน่อย ให้ผ่าน ๕ จังหวัดคือตรัง กระบี่ นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา มีมูลนิธิรัฐบุรุษ (ป๋า) เป็นเจ้ากี้เจ้าการ ที่ไม่บังเอิญอีกแหละ ไปพัวพันกับนโยบาย ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ ของจีนจนได้
มาถึงแผนการณ์ใหญ่ ‘สะพานไทย-สะพานเศรษฐกิจ’ ที่ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ จะเอาให้ได้ ถึงขั้นตวาดข้าราชการคมนาคมว่า “เราต้องทำให้เต็มที่ ทุกคนมีวาระ มีหัวโขนในการดำรงตำแหน่งทั้งนั้น” แต่ก็เจอปัญหา
เพราะจะให้เรือยักษ์จอดถ่ายสินค้าขึ้นบกแล้วขนบนดินไปลงเรืออีกฝั่ง “เพิ่มทั้งเวลาและต้นทุน คิดอย่างไรก็ไม่คุ้ม” ก็เลยเห็นท่าจะฝ่อ แต่ก็ยังไม่ล้มหาย พอทหารพม่ายึดอำนาจปั๊บ ภาพลักษณ์เศรษฐกิจใต้ลมปีกจีนก็กลับมาโชย
(https://www.facebook.com/mathee.sootsukont/posts/4013172188694579, https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/903282, https://www.isranews.org/article/isranews-news/90602-thai-canal-land-bridge-MOT.html และ https://www.facebook.com/BBCnewsThai/posts/2865501217004233)
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar