onsdag 3 mars 2021

 เรื่องราวในคุกที่วังทวีวัฒนา

เรื่องราวในคุกที่วังทวีวัฒนา

 พิธีเผาศพกษัตริย์ภูมิพลได้ออกอากาศสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทยทุกช่อง หลายแสนคนมาที่กรุงเทพฯเพื่อเป็นสักขีพยานในพิธีกรรมนั้นและมีอีกหลายล้านคนที่ติดตามทั่วประเทศ ทุกอย่างได้วางแผนเอาไว้อย่างรอบคอบและได้ออกแบบท่าเต้นและมีการซ้อมแต่งตัวเต็มรูปแบบสามครั้ง ซึ่งทางพระราชวังต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ


แต่ในขณะที่งานพิธีฉลองกำลังดำเนินไปนั้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งทนความร้อนไม่ไหวเป็นลมล้มลงกับพื้นต่อหน้าต่อตาคนไทยที่ดูการถ่ายทอดสดทั้งประเทศ ทันทีก็มีเจ้าหน้าที่วิ่งไปช่วยเขาแล้วพยุงเขาลุกขึ้นให้ยืนบนเท้าของตัวเองได้แต่ก็ยังมีอาการโอนเอนไปมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังสามารถกลับคืนมายืนทำพิธีค่อไปได้  ซึ่งเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ของแปลก- ในสหราชอาณาจักรตัวอย่างเช่นนี้ก็เคยมีมาแล้ว ทหารห้านายในกองทหารของ Queen's Guard หมดสติลงในงาน Trooping the Colour ในพิธีที่พระราชวัง Buckingham ในเดือนมิถุนายนปี 2560 ซึ่งที่โน่นมีสภาพดินฟ้าอากาศเย็นกว่าในกรุงเทพฯ

อย่างไรก็ตามวชิราลงกรณ์ต้องการให้ทหารไทยมีการแต่งกาย อย่างสมบูรณ์แบบ เขาเป็นคยหลงใหลในเรื่องไสยศาสตร์ที่ทำให้เขามั่นใจว่าถ้าให้ทหารแต่งเครื่องแบบและฝึกซ้อมมาดีมีร่างกาแข็งแรงจะไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น พวกทหารไทยได้เรียนรู้ถึงความหวาดระแวงใจของวชิราลงกรณ์เป็นอย่างดี ถ้าเกิดมีความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย พวกเขารู้ว่าพวกเขาต้องเผชิญกับการลงโทษในค่ายทหารที่พระราชวังทวีวัฒนาอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นคุกส่วนตัวของกษัตริย์ที่อยู่เขตทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ

การลงโทษวชิรางกรณ์เองเป็นผู้กำหนด ตามระบบที่เรียกว่า   " โบว์ดำ " ( Black Ribbon )

หนึ่งโบว์ดำ:  หนึ่งเดือน

 สองโบว์ดำ: สามเดือน

 สามโบว์ดำ:  เก้าเดือน

ทหารผู้ที่เป็นลมที่งานศพของภูมิพล คือผู้ บัญชาการ กฤษณะ ปานบุตร   เป็นทหารเรือในกรมราชองครักษ์ เขาได้รับการลงโทษตามระบบโบว์ดำอันดับสาม จากวชิราลงกรณ์ เพราะท่านโกรธเคืองทหารคนนี้มาก เขาถูกลงโทษเป็นเวลาเก้าเดือนในคุกของกษัตริย์และถูกลดระดับให้เป็นพลทหารธรรมดาในกองทัพทหารของเขา

[อัพเดท - ณ เดือนมีนาคม 2561 กฤตนัยยังคงถูกควบคุมตัวและไม่ได้กลับบ้าน]

วชิราลงกรณ์มีพระราชวังหลายแห่งในและรอบ ๆ กรุงเทพฯ วังทวีวัฒนาเป็นสถานที่ซึ่งเขาได้ใช้เวลาอยู่กับภรรยาคนที่สามคือ ศรีรัศ สุวดี อดีตพนักงานต้อนรับในไนต์คลับที่เขาแอบแต่งงานในปี 2544

เริ่มตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นไปเขาเริ่มใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในมิวนิคประเทศเยอรมนีกับอดีตพนักงานต้อนรับบนเครืองบินของสายการบินไทย Suthida Tidjai และในปี 2557 เขาหย่าขาดจากศรีรัศ และได้ปฏิบัติต่อเธออย่างโหดร้ายที่สุด โดยไล่ออกจากฐานันดรศักดิ์ และได้จำคุกญาติสนิทของเธอส่วนใหญ่รวมถึงพ่อแม่ผู้สูงอายุของเธอและพี่ชายสามคนที่เคยทำงานเป็นบอดี้การ์ดของเขา

ตอนนี้วังส่วนใหญ่จะใช้เป็นคุกและค่ายลงโทษทหาร

เรือนจำ ขนาด 30 ตารางวา ที่วังทวีวัฒนา

ตาม คําสั่งกระทรวงยุติธรรม ที่ ๑๔๖/๒๕๕๕ 

เรื่อง กําหนดอาณาเขตเรือนจําชั่วคราวพุทธมณฑล 

เพื่อความเหมาะสมในการควบคุมผู้ต้องขัง อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔ (๑) และ มาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พุทธศักราช ๒๔๗๙ จึงได้กําหนดอาณาเขตเรือนจํา เพื่อควบคุมผู้ต้องขัง ขึ้นที่แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ๓๐ ตารางวา โดยเรียกชื่อว่า “เรือนจําชั่วคราวพุทธมณฑล” มีอาณาเขตตามแผนที่แนบท้ายคําสั่งนี้ โดยให้เป็น หน่วยงานในสังกัดเรือนจํากลางคลองเปรม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป 

สั่ง ณ วันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ 
พลตํารวจเอก ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุตธรรม


ใครบ้างที่ถูกคุมขังที่เรือนจำทวีวัฒนา1. พล.ต.อ. จุมพล มั่นหมาย อดีต รอง ผบ.ตร

ตามข้อมูลที่ปรากฎในขณะนี้ นักโทษที่ถูกคุมขังในเรือนจำทวีวัฒนา (ขนาด 30 ตารางวา) นี้ก็คือ พล.ต.อ. จุมพล มั่นหมาย อดีต รอง ผบ.ตร. นั้นเอง

จากการวิจัยของ ปวิน  ชัชวาลพงษ์พันธ์   ได้พบเมรุเผาศพภายในอาคารทวีวัฒนาใกล้กับเรือนจำ

ในปี 2558 คนวงในใก้ลชิดของวชิราลงกรณ์   สามคนอดีตหัวหน้าหน่วยคุ้มกัน พลตรี พิศิษฐ์  ศักดิ์ "แจ็ค"  เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยาผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง    สุริยัน   สุชาริพลวงค์   (หมอหยอง )  พันตำรวจตรี ปรากรม วารุณประภา โดยวชิราลงกรณ์สั่งให้โกนหัว ก่อนที่พวกเขาจะตายได้ถูกจำคุกในคุกที่วังทวีวัฒนา โดยทางการอ้างว่า Prakrom ฆ่าตัวตายโดยการแขวนคอในที่คุมขังและหมอหยองเสียชีวิตจาก“ การติดเชื้อในเลือด” การตายของพิศิษฐ์ไม่เคยประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ครอบครัวของเขาได้รับการบอกเล่าว่าเขาเองก็ถูกแขวนคอเช่นกัน

ศพของชายทั้งสามถูกเผาอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องชันสูตร ยังไม่ทราบว่ามีคนอยู่ในคุกที่ทวีวัฒนาจำนวนกี่คน Pavin กล่าวว่ามีบางคนที่ถูกจำคุกที่นั่นบอกว่าที่นั่นคือ "นรกบนดิน"

ห้ามมิให้คนเข้าไปดูในคุก  กลุ่มสิทธิมนุษยชนและสื่อมวลชนของไทยไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เนื่องจากความกลัวต่อกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ทำให้เกิดการถกเถียงเรื่องการใช้อำนาจโดยทางราชวงศ์

นอกจากเรือนจำวังทวีวัฒนายังมีค่ายฝึกอบรมสำหรับนักเรียนนายร้อยในหน่วยทหารราบราชวัลลภ 904 กองกำลังทหารภายใต้การบัญชาการของวชิราลงกรณ์เอง เครื่องบินโบราณสองลำรวมถึง Douglas C-47 ในปี 1940 นั้นจอดอยู่ในบริเวณพระราชวัง ก่อนหน้านี้เคยจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศที่ดอนเมืองมาก่อน วชิราลงกรณ์ก็ได้เอามาเป็นของส่วนตัวในปี 2550

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการจัดตั้งค่ายลงโทษทางทหารขึ้นในคอมเพล็กซ์ ค่ายลงโทษนี้ - แยกออกจากคุก - เป็นที่ที่ทหารถูกส่งไปลงโทษถ้าพวกเขาไม่เป็นที่พอใจของวชิราลงกรณ์จะได้รับการลงโทษตามระบบ "  โบว์ดำ "

คำให้การของทหารที่ถูกลงโทษอยู่ในค่ายได้เปิดเผยให้เห็นถึงระบอบการปกครองอันโหดร้ายนี้มาก

โดยในวันแรกที่ทหารมาถึงค่ายพวกเขาแต่ละคนจะถูกจับใส่ในกระสอบและจากนั้นจะถูก“ ผู้สอน” เตะ และถูกทุบ เริ่มต้น ตี โดยผู้รับผิดชอบของโครงการลงโทษ

จากนั้นก็จะมีกิจวัตรแต่ละวันเริ่มต้นเวลา 4:45 น. เมื่อผู้ต้องขังในค่ายตื่นขึ้นเขาพร้อมจะเริ่มต้นกิจกรรมของวันในเวลา 5:00 น. จะต้องทำการฝึกร่างกายหนึ่งชั่วโมงก่อนอาหารเช้า และได้รับการตรวจสอบเป็นรายบุคคลในเวลา 7:00 น


ไม่ว่าพวกทหารเหล่านั้นจะอยู่ในตำแหน่งใดจะถูกเจ้าหน้าที่ในค่ายรังแกและถูกทารุณเหมือนทหารเกณฑ์ธรรมดาถ้าผิดมระเบียบหรือมีความบกพร่องเพียงเล็กน้อยในเครื่องแบบหรือความผิดพลาดใด ๆ ในการซ้อมที่พวกเขาถูกบังคับให้ทำจะถูก ลงโทษกับคนที่ละเมิดระเบียบวินับ โดยให้ฝึดอยู่นานหลายชั่วโมงและรวมถึงการคลานผ่านท่อน้ำเสียต้องแบกท่อนซุงหนักผ่านจุดจนอ่อนเพลียและถูกตีโดยผู้สอนด้วยไม้เป็นมัด ๆ และ ถูกถีบดว้ยรองเท้าบู๊ต

เมื่อผู้ต้องขังแต่ละคนถูกลงโทษทุกวันส่วนที่เหลือของวันนั้นจะมีการฝึกฝนร่างกายอย่างเข้มข้น มีการหยุดพักหนึ่งชั่วโมงสำหรับมื้อกลางวันและมื้อค่ำ แต่จะอนุญาตให้พักได้เพียงห้านาทีต่อชั่วโมง การฝึกซ้อมดำเนินไปด้วยดีในตอนเย็นจากนั้นผู้ต้องขังจะต้องเตรียมเครื่องแบบและขัดรองเท้าในวันรุ่งขึ้นเมื่อการทดสอบเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

เนื่องจากความบ้าคลั่งของวชิราลงกรณ์ทหารที่มีน้ำหนักเกินต้องเผชิญกับความยากลำบากเป็นพิเศษที่ค่ายลงโทษทวีวัฒนา อาหารของพวกเขาถูก จำกัด และผู้ต้องขังบางคนได้รับอนุญาตให้กินอาหารวันละมื้อ พวกเขาไม่อนุญาตุให้ดื่มน้ำยกเว้นในช่วงเวลาอาหารและจะไม่อนุญาตให้พักผ่อนในที่ร่มในช่วงพักห้านาทีในการฝึกซ้อม บางครั้งจะถูกบังคับให้ต้องสวมเสื้อโค้ตหนา ๆ เพื่อทำให้เหงื่อออกมากขึ้นซึ่งผู้สอนเชื่อว่าจะลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น ผู้ต้องขังบางคนได้รับความทุกข์ทรมานจากภาวะไตวายซึ่งเป็นผลมาจากการทรมานแบบนี้

ผู้ต้องขังถูกห้ามไม่ให้มีการติดต่อกับครอบครัวในขณะที่อยู่ในค่ายลงโทษ ในบางกรณีครอบครัวของพวกเขาไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน

อาจารย์ผู้สอนที่ค่ายจะถ่ายทำวีดิโอในการลงโทษผู้ต้องขังทุกวัน และจะส่งไปยังวชิราลงกรณ์เป็นประจำซึ่งเห็นได้ชัดว่าท่านชอบดูวิดีโอของทหารที่ถูกทุบตีและถูกทำร้าย

ในเวลาเที่ยงคืนผู้ต้องขังจะได้รับอนุญาตให้กลับไปยังอาคารค่ายทหารในคอมเพล็กซ์เพื่อนอนไม่กี่ชั่วโมง ค่ายทหารเป็นอาคารชั้นเดียวที่คับแคบมีเพดานต่ำจนผู้ต้องขังต้องคลานไปที่เสื่อนอน มีห้องน้ำสกปรกและมีพื้นที่สำหรับซักล้างขนาดเล็กๆ ในค่ายทหารต้องเปิดไฟไว้ตลอดคืน

ผู้ต้องขังบางคนที่ถูกลงโทษเนื่องจากการลงโทษเป็นพิเศษจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้านอนจนเวลาเที่ยงคืน

- พวกเขาจะตื่นขึ้นเพราะถูกทุบตี ทหารบางคนรายงานว่าได้รับคำสั่งให้กินหนอนและดื่มปัสสาวะ

การลงโทษที่รุนแรงที่สุดคือส่งไปยังคุกในพระราชวังซึ่งเรียกกันว่า "คุกมืด" ทหารในค่ายลงโทษไม่รู้เรื่องอะไรเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่นั่นและไม่มีการติดต่อกับนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ที่นั่นเลย

เจ้าหน้าที่อย่างน้อยหนึ่งคนเสียชีวิตในระหว่างถูกลงโทษที่ค่ายฝึกซ้อมทวีวัฒนา

พันโท Kitsanapol“ Bom” Pochana ผู้บัญชาการกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 12 เป็นเจ้าหน้าที่ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงและเป็นผู้นิยมราชวงศ์ที่ภูมิใจที่มักจะพูดกับนักเรียนนายร้อยทหารและนักเรียนมัธยมปลายเพื่อให้ส่งเสริมสถาบันกษัตริย์

เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2560 คนขับรถแท็กซี่ทะเลาะกับทหารสองนายจากกองพันหน้าเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ที่รังสิต เหตุการณ์ดังกล่าวถูกแชร์บนโซเชียลมีเดียและรายงานในหนังสือพิมพ์ไทยบางฉบับ

วชิราลงกรณ์ ตระหนักถึงเหตุการณ์ดังกล่าวและสั่งให้ผู้พัน  Kitsanapol และเจ้าหน้าที่ S3 ของกองทัพ พันตรี ธ นากิจ“ มัน” Deesonthikun เพื่อรายงานการลงโทษที่วังทวีวัฒนา เห็นได้ชัดว่ากษัตริย์โกรธเพราะเขาเชื่อว่าเจ้าหน้าที่อาวุโสไม่สามารถควบคุมกำลังทหารของตนได้อย่างเหมาะสมและไม่แน่ใจว่าทหารจะแต่งตัวเรียบร้อย 

หลังจากมาถึงวังเจ้าหน้าที่ทั้งสองถูกขังในวังในขั้นต้น หัวของพวกเขาถูกโกนและพวกเขาถูกบังคับให้สวมเครื่องแบบผู้ต้องขังและใส่กุญแจมือ ต่อมาถูกย้ายไปที่ค่ายลงโทษทางทหาร

ในระหว่างการคุมขัง Kitsanapol น้ำหนักลดลงประมาณ 30 กิโลกรัม เขาต้องเผชิญกับความอัปยศอดสูและการใช้ในชีวิตประจำวัน เขาหายตัวไปจากโซเชียลมีเดียเป็นเวลาหลายสัปดาห์ด้วยหน้า Facebook ของเขาอยู่เฉยๆตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายนถึง 10 กรกฎาคม

ในวันที่ 10 กรกฎาคมเขาโพสต์เพลงชื่อ“ The Lesson” บน Facebook พร้อมความคิดเห็นที่ว่า“ ฉันชอบที่จะทิ้งเพลงนี้ไว้กับคุณ”

เมื่อเดือนสิงหาคมการทำโทษของเขาเริ่มลดน้อยลง แต่เขาก็ยังต้องฝึกซ้อมทุกวันที่ทวีวัฒนากับนักเรียนนายร้อยหนุ่มที่ต้องการเข้าร่วมหน่วยทหารรักษาพระองค์และหน่วยทหารราบราชวัลลภ

ในช่วงบ่ายของวันที่ 13 สิงหาคม Kitsanapol ได้รับคำสั่งให้เข้าร่วมวิ่งกับนักเรียนนายร้อยในระยะทาง 2 กม. และทดสอบสมรรถภาพทางกายภายในบริเวณของพระราชวัง เขาทรุดตัวลงในระหว่างการทดสอบนี้และถูกทรมานกับภาวะหัวใจหยุดเต้น อาจารย์ผู้สอนพยายามทำ CPR แต่เมื่อถึงเวลาที่รถพยาบาลมาถึงเขาก็ได้ประกาศว่าเขาเสียชีวิตแล้ว อาจารย์ทหารที่วังบอกนักเรียนนายร้อยไม่ให้พูดอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 

งานศพของเขาถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุที่บางเขน เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นยศพันเอกตามคำสั่งของวชิราลงกรณ์ จากทหารที่ได้รับ โบว์ดำ และถูกส่งไปยังค่ายลงโทษทวีวัฒนาด้วยเหตุผลเพียงเล็กน้อยที่สุด ทั้งนี้เป็นที่รู้กันทั่วไปในความแปรปรวนทางอารมณ์ของวชิราลงกรณ์

นายทหารอาวุโสคนหนึ่งต้องถูกส่งไปที่ค่ายเป็นเวลาสามเดือนหลังจากวชิราลงกรณ์สังเกตว่าเขาใส่กระดุมผิดข้าง  อีกคนหนึ่งถูกส่งไปที่ทวีวัฒนาและลดระดับลงมาเป็นพลทหารธรรมดาเพราะกษัตริย์ไม่พอใจกับรูปการทักทายของเขา ทหารคนหนึ่งถึงกับลงเอยที่ค่ายลงโทษเพราะวชิราลงกรณ์ มองว่าเขา

“  ดูหน้าตาเป็นจีนเกินไป”

กษัตริย์มักที่จะแต่งกายสมบูรณ์แบบในเครื่องแบบทหารซึ่งแตกต่างจากพฤติกรรมแปลกประหลาดของเขาในมิวนิคซึ่งเขาถูกถ่ายภาพกึ่งเปลือยหลายครั้งบ่อยครั้งขณะสวมเสื้อคอปาดและกางเกงยีนส์ทรงเตี้ยและมีรอยสักปลอมเต็มร่างกาย

เริ่มตั้งแต่เยาว์วัยวชิราลงกรณ์ ได้กลายเป็นคนพาลเกเร ชอบทรมานผู้อื่น เขามีความหลงใหลในการฝึกซ้อมทหารและคลั่งใคร้ในเครื่องแบบ จากรายงานในบทความในเดอะเดลี่เทเลกราฟเมื่อปีที่แล้ว:ในฐานะเป็นนักเรียนที่โรงเรียนประจำของมิลล์ฟิลด์ในอังกฤษ “ เขาเป็นคนไม่ฉลาดเขาไม่ได้อยู่ในทีมใด ๆ และแม้จะมีการพักเรียนก่อนหน้านี้ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา…ภาษาอังกฤษของเขายังคงไม่สมบูรณ์และมีนิสัยแปลกๆ แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเขาก็คือความกระตือรือร้นที่มีต่อโรงเรียนนายร้อยทหารราบ ซึ่งเขาจะเก่งในเรื่องการสวมชุดอย่างพิถีพิถันในการฝึกซ้อมสวนสนามในยามบ่ายวันศุกร์ที่ทุกคนไม่พอใจการตะโกนและการทักทายที่เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง ...

“ เหมือนกับคนทั่วๆไปจากฐานะความได้เปรียบที่เหนือกว่าคนอื่นที่เป็นพื้นฐานแนวความคิดของเขาประกอบกับความผิดปกติทางด้านจิตใจและชีวิตอันโดดเดี่ยวทำให้มหิดลสามารถเปลี่ยนจากความรู้สึกที่เป็นมิตรกลายมาเป็นคนพาลเกเรอย่างเลวทรามไปได้ในฉับพรันทันที ซึ่งพฤติกรรมของเขาอาจอธิบายออกมาได้ว่าเป็นคนมีสองขั้ว จากความปีติยินดีของเขาจะสามารถเปลียนเป็นตรงกันข้ามพุ่งขึ้นไปสู่ความบ้าคลั่งได้อย่างรวดเร็วจะเห็นได้ที่หอพักของเขาเพื่อนร่วมหอพักก็มักจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างหยาบคายที่สุดในเวลาไม่กี่ชั่วโมงโดยการพูดพร่ำอย่างฉับพลันราวกับว่าเขาเพิ่งจะคิดแผนการณ์แก้แค้นและการทำร้ายร่างกายกับคนที่เดินข้ามเขาไป "

ครึ่งศตวรรษต่อมาวชิราลงกรณ์ยังคงเป็นคนพาลเกเรที่สติไม่มั่นคงเหมือนเดิม แต่ตอนนี้เขาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของประเทศไทยเขามีพลังและโอกาสที่จะทรมานผู้อื่นได้โดยตนเองไม่ต้องได้รับโทษ การละเมิดและการทรมานกับคนอื่นๆที่วังทวีวัฒนาแสดงให้เห็นว่าเขาประพฤติตนอย่างไรเมื่อเขาสามารถทำในสิ่งที่เขาต้องการได้

ตราบใดที่เขายังคงเป็นกษัตริย์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ของประเทศคนไทยทั้งประเทศก็จะตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด.

.....................................................................

( แปลและเรียบเรียง จาก  " Beware of the Black Ribbon "  โดย แอนดรูแมกเกเกอร์มาแชล )

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar