จะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าสมมุติว่าประเทศไทยมีสถาบันกษัตริย์ที่ผ่านการปฏิรูป
สมมุติว่าวันที่ประยุทธ์ประกาศรัฐประหาร
กษัตริย์ไทยออกมาประกาศปฏิเสธการรัฐประหารนั้น
บทความของ The Economist (https://goo.gl/QQjK72)
เรื่อง "ถ้าสมมุติประเทศไทยมีสถาบันกษัตริย์ที่ผ่านการปฏิรูป :
ประเทศไทยเปลี่ยนตัวเองเป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้อง" (If Thailand had a
reformed monarchy: Turning itself into a proper democracy) หัวรอง
"ผลตอบแทน - รวมทั้งต่อสถาบันกษัตริย์เองในระยะยาว - จะมหาศาลมาก" (The
benefits - including, in the long run, for the monarchy itself would be
huge)
ได้ลองบรรยายสร้างเรื่องหรือซีนาริโอสมมุติขึ้น โดยสมมุติว่าวันที่ประยุทธ์กับพวกออกทีวีประกาศยึออำนาจ สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นได้เกิดขึ้น คือ กษัตริย์ไทยออกทีวีมาประกาศว่า ข้าพเจ้าไม่ต้องการการปกป้องจากกองทัพในลักษณะนี้ และในฐานะกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้ายึดมั่นต่อประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
หลังจากนั้น The Economist ก็บรรยายต่อถึงเรื่องสมมุตินี้ว่า เกิดอะไรตามมา - รัฐประหารล้มเหลว ประยุทธ์กับพวกถูกนำตัวเข้าคุก, สื่อต่างๆมีปฏิกิริยาอย่างไร (เขายกตัวอย่าง เดอะเนชั่น กับ มติชน) วงการทูต มีท่าทีอย่างไร, มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ สำนักงานทรัพย์สินฯถูกเปลี่ยนไปอยู่ภายใต้การควบคุมตรวจสอบ* และการเปลี่ยนแปลงของสถาบันกษัตริย์ในที่สุดนำไปสู่การทบทวนเกี่ยวกับวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของชาติ ปัญหา "ความเป็นไทย" ได้รับการทบทวน ประวัติศาสตร์ที่เคยได้รับการสอนกันมาถูกเปลี่ยนแปลง ฯลฯ
ก็ลองกันอ่านดูนะครับ (ขออภัยผมไม่มีเวลาแปลโดยละเอียดกว่านี้) ประเด็นสำคัญจริงๆของเรื่องสมมุตินี้อยู่ตอนท้าย ที่ว่า ณ ปัจจุบัน ฉากสมมุติที่ว่านี้ ดูเหมือนจะยิ่งเป็นไปได้ยากมากขึ้นกว่าช่วงไหนๆในประวัติศาสตร์ เพราะกษัตริย์วชิราลงกรณ์ยิ่งดูเหมือนสนใจจะเพิ่มอำนาจตัวเองมากขึ้น แทนที่จะลดลง แต่ The Economist เสนอว่า สถานะของสถาบันกษัตริย์ที่เป็นทุกวันนี้ เป็นผลผลิตของยุคสงครามเย็นที่พ้นสมัยไปแล้ว ดังนั้น ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า สถาบันกษัตริย์จะ "ซอฟต์แลนดิ้ง" หรือ "ฮาร์ดแลนดิ้ง" คือยังไงก็ต้องเปลี่ยนจนได้ จะรักษาไว้แบบนี้ไปตลอดไม่ได้ อยู่แค่ว่า จะลงเอยแบบ "ฮาร์ด" หรือ "ซอฟต์" เท่านั้น
หลังรัฐประหารผมเองเขียนทำนองว่า "อนาคตของสถาบันกษัตริย์มีอยู่สองอย่างเท่านั้น คือ ไม่เปลี่ยนป็นแบบอังกฤษ-ยุโรป ก็ล้มไปเลย เป็นรีพับบลิค ไม่มีทางเลือกที่สาม คือรักษาแบบปัจจุบันไปไม่มีที่สิ้นสุด" (ซึ่งคุณฟูลเลอร์แห่ง นิวยอร์ค ไทมส์ เคยเอาไปโค้ต)
กรณีวชิราลงกรณ์นั้น ตั้งแต่เดือนแรกๆหลังจากผมมาปารีส มีเพื่อนคนไทยคนหนึ่ง เคยถามว่า เป็นไปได้ไหมที่วันดีคืนดี เขาจะออกมาประกาศว่า ต่อไปนี้ ไม่เอาสถานะสถาบันกษัตริย์แบบเดิมแล้ว ฯลฯ (ตอนนั้น ในหลวงภูมิพลยังมีชีวิต แต่เห็นได้ชัดว่าคงอีกไม่นานก็ต้องเปลี่ยนรัชกาล) ผมก็ตอบทำนองว่า ความจริง "โดยทางทฤษฎีสมมุติ" ก็พูดได้ว่า เป็นไปได้ที่กษัตริย์ใหม่จะออกมาทำแบบนั้น (วันดีคืนดี ออกมาประกาศทางทีวีว่า ต่อไปนี้ จะปฏิรูปเปลี่ยนแปลง ฯลฯ) ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น เขาก็จะทำประโยชน์มหาศาลทางประวัติศาสตร์ต่อประเทศไทย และสถานะของเขาก็จะกลายเป็นฮีโร่ทางประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครลบล้างได้ .
ได้ลองบรรยายสร้างเรื่องหรือซีนาริโอสมมุติขึ้น โดยสมมุติว่าวันที่ประยุทธ์กับพวกออกทีวีประกาศยึออำนาจ สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นได้เกิดขึ้น คือ กษัตริย์ไทยออกทีวีมาประกาศว่า ข้าพเจ้าไม่ต้องการการปกป้องจากกองทัพในลักษณะนี้ และในฐานะกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้ายึดมั่นต่อประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน
หลังจากนั้น The Economist ก็บรรยายต่อถึงเรื่องสมมุตินี้ว่า เกิดอะไรตามมา - รัฐประหารล้มเหลว ประยุทธ์กับพวกถูกนำตัวเข้าคุก, สื่อต่างๆมีปฏิกิริยาอย่างไร (เขายกตัวอย่าง เดอะเนชั่น กับ มติชน) วงการทูต มีท่าทีอย่างไร, มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ สำนักงานทรัพย์สินฯถูกเปลี่ยนไปอยู่ภายใต้การควบคุมตรวจสอบ* และการเปลี่ยนแปลงของสถาบันกษัตริย์ในที่สุดนำไปสู่การทบทวนเกี่ยวกับวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของชาติ ปัญหา "ความเป็นไทย" ได้รับการทบทวน ประวัติศาสตร์ที่เคยได้รับการสอนกันมาถูกเปลี่ยนแปลง ฯลฯ
ก็ลองกันอ่านดูนะครับ (ขออภัยผมไม่มีเวลาแปลโดยละเอียดกว่านี้) ประเด็นสำคัญจริงๆของเรื่องสมมุตินี้อยู่ตอนท้าย ที่ว่า ณ ปัจจุบัน ฉากสมมุติที่ว่านี้ ดูเหมือนจะยิ่งเป็นไปได้ยากมากขึ้นกว่าช่วงไหนๆในประวัติศาสตร์ เพราะกษัตริย์วชิราลงกรณ์ยิ่งดูเหมือนสนใจจะเพิ่มอำนาจตัวเองมากขึ้น แทนที่จะลดลง แต่ The Economist เสนอว่า สถานะของสถาบันกษัตริย์ที่เป็นทุกวันนี้ เป็นผลผลิตของยุคสงครามเย็นที่พ้นสมัยไปแล้ว ดังนั้น ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า สถาบันกษัตริย์จะ "ซอฟต์แลนดิ้ง" หรือ "ฮาร์ดแลนดิ้ง" คือยังไงก็ต้องเปลี่ยนจนได้ จะรักษาไว้แบบนี้ไปตลอดไม่ได้ อยู่แค่ว่า จะลงเอยแบบ "ฮาร์ด" หรือ "ซอฟต์" เท่านั้น
หลังรัฐประหารผมเองเขียนทำนองว่า "อนาคตของสถาบันกษัตริย์มีอยู่สองอย่างเท่านั้น คือ ไม่เปลี่ยนป็นแบบอังกฤษ-ยุโรป ก็ล้มไปเลย เป็นรีพับบลิค ไม่มีทางเลือกที่สาม คือรักษาแบบปัจจุบันไปไม่มีที่สิ้นสุด" (ซึ่งคุณฟูลเลอร์แห่ง นิวยอร์ค ไทมส์ เคยเอาไปโค้ต)
กรณีวชิราลงกรณ์นั้น ตั้งแต่เดือนแรกๆหลังจากผมมาปารีส มีเพื่อนคนไทยคนหนึ่ง เคยถามว่า เป็นไปได้ไหมที่วันดีคืนดี เขาจะออกมาประกาศว่า ต่อไปนี้ ไม่เอาสถานะสถาบันกษัตริย์แบบเดิมแล้ว ฯลฯ (ตอนนั้น ในหลวงภูมิพลยังมีชีวิต แต่เห็นได้ชัดว่าคงอีกไม่นานก็ต้องเปลี่ยนรัชกาล) ผมก็ตอบทำนองว่า ความจริง "โดยทางทฤษฎีสมมุติ" ก็พูดได้ว่า เป็นไปได้ที่กษัตริย์ใหม่จะออกมาทำแบบนั้น (วันดีคืนดี ออกมาประกาศทางทีวีว่า ต่อไปนี้ จะปฏิรูปเปลี่ยนแปลง ฯลฯ) ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น เขาก็จะทำประโยชน์มหาศาลทางประวัติศาสตร์ต่อประเทศไทย และสถานะของเขาก็จะกลายเป็นฮีโร่ทางประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครลบล้างได้ .
แต่โอกาสเป็นเช่นนั้น คงยากมาก เพราะวชิราลงกรณ์ทั้งไม่ฉลาดพอ
มองการณ์ไกลไม่พอ และไม่กล้าหาญพอ .. จนทุกวันนี้
บางครั้งที่มีการคุยเรื่องนี้กันในหมู่คนไทยที่นี่ ผมก็ยังคิดแบบนี้
..............
* ไหนๆพูดเรื่อง สนง.ทรัพย์สินฯ ในซีนาริโอสมมุติของ The Economist ผมเลยขอถือโอกาสบอกข่าวหนึ่งให้ฟัง เมื่อสัปดาห์ก่อน มีการพูดในหมู่นักข่าวที่ทำข่าวสภาว่า กษัตริย์ใหม่ได้ส่ง พรบ.ว่าด้วยทรัพย์สินฯฉบับใหม่ เข้าไปพิจารณาลับใน สนช. ผมเช็ควาระการประชุม สนช.วันนั้นแล้ว ไม่มีวาระที่ว่าอยู่ แต่แวดวงนักข่าว เขาบอกมาเช่นนั้นจริงๆ
เรื่องกษัตริย์ส่งกฎหมายเข้าไปเป็นวาระพิเศษ แล้ว สนช.พิจารณาผ่านโดยการประชุมลับ เป็นไปได้ (เหมือนคราว พรบ.ราชการในพระองค์) เพียงแต่ว่าครั้งนี้ จะจริงหรือไม่ ยังไม่สามารถยืนยันได้ ถ้าจริง อีกไม่นาน ก็คงมีการประกาศออกมาทางราชกิจจาฯ (ล่าสุด ผมเพิ่งเช็ค ยังไม่มี)
..............
* ไหนๆพูดเรื่อง สนง.ทรัพย์สินฯ ในซีนาริโอสมมุติของ The Economist ผมเลยขอถือโอกาสบอกข่าวหนึ่งให้ฟัง เมื่อสัปดาห์ก่อน มีการพูดในหมู่นักข่าวที่ทำข่าวสภาว่า กษัตริย์ใหม่ได้ส่ง พรบ.ว่าด้วยทรัพย์สินฯฉบับใหม่ เข้าไปพิจารณาลับใน สนช. ผมเช็ควาระการประชุม สนช.วันนั้นแล้ว ไม่มีวาระที่ว่าอยู่ แต่แวดวงนักข่าว เขาบอกมาเช่นนั้นจริงๆ
เรื่องกษัตริย์ส่งกฎหมายเข้าไปเป็นวาระพิเศษ แล้ว สนช.พิจารณาผ่านโดยการประชุมลับ เป็นไปได้ (เหมือนคราว พรบ.ราชการในพระองค์) เพียงแต่ว่าครั้งนี้ จะจริงหรือไม่ ยังไม่สามารถยืนยันได้ ถ้าจริง อีกไม่นาน ก็คงมีการประกาศออกมาทางราชกิจจาฯ (ล่าสุด ผมเพิ่งเช็ค ยังไม่มี)
ถ้ามีการเปลี่ยน
พรบ.ทรัพย์สินกษัตริย์ ก็นับว่าสำคัญและน่าสนใจมาก
พรบ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2491
ที่ใช้กันทุกวันนี้น่าจะเป็นกฎหมายเก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์หลัง 2475
ที่ไม่เคยมีการแตะต้องหรือแก้ไขเลย (กฎหมายอย่าง อัยการศึก
แม้จะออกตั้งแต่ก่อน 2475 แต่มีการแก้ไข)
ก็คอยติดตามกันดูว่า เรื่องนี้จะเป็นเพียงเรื่องลือ หรือจะกลายมาเป็นจริง โดยส่วนตัว ผมยัง 50-50 เพราะนึกไม่ออกว่า กษัตริย์ใหม่ยังจะมีอะไรที่ต้องการให้แก้ พรบ.ทรัพย์สินฯอีก เพราะเท่าที่เป็นอยู่ กฎหมายดังกล่าวก็ให้อำนาจในการควบคุมทรัพย์สินฯ ในมือกษัตริย์อย่างเต็มที่อยู่แล้ว
ก็คอยติดตามกันดูว่า เรื่องนี้จะเป็นเพียงเรื่องลือ หรือจะกลายมาเป็นจริง โดยส่วนตัว ผมยัง 50-50 เพราะนึกไม่ออกว่า กษัตริย์ใหม่ยังจะมีอะไรที่ต้องการให้แก้ พรบ.ทรัพย์สินฯอีก เพราะเท่าที่เป็นอยู่ กฎหมายดังกล่าวก็ให้อำนาจในการควบคุมทรัพย์สินฯ ในมือกษัตริย์อย่างเต็มที่อยู่แล้ว
.......................................................................
ปรัชญาในการต่อสู้กับระบอบกษัตริย์เผด็จการ
โดย แสงตะวัน
12 ก.ค. 18
การต่อสู้กับระบอบกษัตริย์เผด็จการอันเหี้ยมโหดและป่าเถื่อนภายใต้กษัตริย์ทรราชย์คนปัจจุบันที่ใช้อำนาจทุกอย่างครอบงำสังคมไทยในเวลานี้
ก่อนอึ่นเราต้องเริ่มจากแนวความคิดหรือทำความเข้าใจในด้านปรัชญาเสียก่อนว่าความหมายของปรัชญานั้นคืออะไร...
ปรัชญาความหมายง่ายๆคือ โลกทัศน์ โลกทัศน์คือทัศนะของการมองโลก ว่าโลกนี้คืออะไร โลกนี้ก็คือวัตถุที่ดำรงคงอยู่ตามธรรมชาติ มีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การให้คำจำกัด
ความสั้นๆของโลกเช่นนี้เป็นการมองโลกแบบวัตถุนิยมที่เป็นจริงคือโลกนี้เกิดขึ้นมาเองและดำรงคงอยู่ตามธรรมชาติไม่มีใครสร้างขึ้น โลกนี้เป็นสสารหรือวัตถุที่จับต้องสัมผัสได้
แต่ยังมีแนวความคิดอีกแนวหนึ่งที่เชื่อว่าโลกนี้พระเจ้าเป็นผู้สร้างขึ้นมา ซึ่งแนวคิดแบบนี้มีความเชื่อว่า มีพระเจ้าอยู่บนสรวงสวรรค์ดลบันดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของพระเจ้าแม้แต่มนุษย์ที่เกิดมาตลอดจนสัตว์สาวาสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้ากำหนดทั้งนั้น แนวความคิดแบบนี้คือแนวความคิดแบบจิตนิยม เป็นแนวคิดแบบเพ้อฝันไม่มีกฏเกณท์ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ผิดหลักของธรรมชาติ
ปรัชญาหรือทัศนะในการมองโลกก็มีสองแนวคิดนี้เองที่กำลังต่อสู้กันอยู่ในโลกของสังคมนุษย์ชาติในเวลานี้ คือแนวความคิดแบบวัตถุนิยมและแนวความคิดแบบจิตนิยม
สมัยก่อนมนุษย์เรายังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฏเกณฑ์ต่างๆของธรรมชาติ ไม่สามารถอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจักรภพนี้ได้ จึงเชื่อเอาอย่างงมงายว่าธรรมชาติและสรรพสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมีสิ่งบันดาลมาจากเบื้องบนเพื่อให้เป็นไปเช่นนั้น ซึ่งอำนาจจากเบื้องบนนั้นเชื่อกันว่าเป็นอำนาจของพระเจ้า หรืออำนาจของพวกเทวาอารักษ์ พวกเจ้าโคตรเจ้าตระกูลทั้งหลาย ผู้ที่เป็นหัวหน้าสังคมที่ถูกเลือกขึ้นในยุคของสังคมบุพกาลเพื่อให้เป็นตัวแทนในการทำพิธีทางไสยศาสตร์นั้น ต่อมาก็ได้ตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ ปกครองอยู่ตามดินแดนหรือในแค้วนต่างๆ บุคคล เหล่านี้ได้ตั้งตนเองขี้นเป็นตัวแทนของพระเจ้า อ้างว่าพระเจ้าส่งตนลงมาจุติในโลกมนุษย์ หรือเป็นตัวแทนมาจากเบื้องบน ที่สวรรค์ส่งลงมาเพื่อโปรดมนุษย์ และอ้างว่าได้รับอำนาจมาจากสรวงสวรรค์ให้มาปกครองมนุษย์ เช่นจีนในสมัยโบราณมีความเชื่อกันว่าจักรพรรดิ์เป็นโอรสของพระเจ้าส่งลงมาจากสวรรค์ ประเทศญี่ปุ่นสมัยเก่าก็เชื่อกันว่าจักรพรรดิ์เป็นโอรสของพระอาทิตย์มาเกิดเป็นต้น
ความเชื่อเช่นนี้คือต้นเหตุของแนวความคิดที่ทำให้กษัตริย์หรือจักรพรรดิ์ในประเทศต่างๆคิดเอาเองว่า สรรพสิ่งทั้งหลายทุกอย่างในโลกนี้เช่น ที่ดิน คนและสัตว์เป็นสมบัติของตนทั้งหมด
ในประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยายังปรากฏในกฏหมาย “ ตราสามดวง“ว่า “ ที่ดินทั้งหลายในแคว้นศรีอยุธยาเป็นของพระเจ้าอยู่หัวโดยพระบรมเดชานุภาพ “ ระบอบศักดินา จึงเกิดขึ้น อำนาจการปกครองทุกอย่างอยู่ในมือของผู้เป็นหัวหน้าของสังคมแต่ผู้เดียว
ปรัชญาความหมายง่ายๆคือ โลกทัศน์ โลกทัศน์คือทัศนะของการมองโลก ว่าโลกนี้คืออะไร โลกนี้ก็คือวัตถุที่ดำรงคงอยู่ตามธรรมชาติ มีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การให้คำจำกัด
ความสั้นๆของโลกเช่นนี้เป็นการมองโลกแบบวัตถุนิยมที่เป็นจริงคือโลกนี้เกิดขึ้นมาเองและดำรงคงอยู่ตามธรรมชาติไม่มีใครสร้างขึ้น โลกนี้เป็นสสารหรือวัตถุที่จับต้องสัมผัสได้
แต่ยังมีแนวความคิดอีกแนวหนึ่งที่เชื่อว่าโลกนี้พระเจ้าเป็นผู้สร้างขึ้นมา ซึ่งแนวคิดแบบนี้มีความเชื่อว่า มีพระเจ้าอยู่บนสรวงสวรรค์ดลบันดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของพระเจ้าแม้แต่มนุษย์ที่เกิดมาตลอดจนสัตว์สาวาสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้ากำหนดทั้งนั้น แนวความคิดแบบนี้คือแนวความคิดแบบจิตนิยม เป็นแนวคิดแบบเพ้อฝันไม่มีกฏเกณท์ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ผิดหลักของธรรมชาติ
ปรัชญาหรือทัศนะในการมองโลกก็มีสองแนวคิดนี้เองที่กำลังต่อสู้กันอยู่ในโลกของสังคมนุษย์ชาติในเวลานี้ คือแนวความคิดแบบวัตถุนิยมและแนวความคิดแบบจิตนิยม
สมัยก่อนมนุษย์เรายังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฏเกณฑ์ต่างๆของธรรมชาติ ไม่สามารถอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจักรภพนี้ได้ จึงเชื่อเอาอย่างงมงายว่าธรรมชาติและสรรพสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมีสิ่งบันดาลมาจากเบื้องบนเพื่อให้เป็นไปเช่นนั้น ซึ่งอำนาจจากเบื้องบนนั้นเชื่อกันว่าเป็นอำนาจของพระเจ้า หรืออำนาจของพวกเทวาอารักษ์ พวกเจ้าโคตรเจ้าตระกูลทั้งหลาย ผู้ที่เป็นหัวหน้าสังคมที่ถูกเลือกขึ้นในยุคของสังคมบุพกาลเพื่อให้เป็นตัวแทนในการทำพิธีทางไสยศาสตร์นั้น ต่อมาก็ได้ตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ ปกครองอยู่ตามดินแดนหรือในแค้วนต่างๆ บุคคล เหล่านี้ได้ตั้งตนเองขี้นเป็นตัวแทนของพระเจ้า อ้างว่าพระเจ้าส่งตนลงมาจุติในโลกมนุษย์ หรือเป็นตัวแทนมาจากเบื้องบน ที่สวรรค์ส่งลงมาเพื่อโปรดมนุษย์ และอ้างว่าได้รับอำนาจมาจากสรวงสวรรค์ให้มาปกครองมนุษย์ เช่นจีนในสมัยโบราณมีความเชื่อกันว่าจักรพรรดิ์เป็นโอรสของพระเจ้าส่งลงมาจากสวรรค์ ประเทศญี่ปุ่นสมัยเก่าก็เชื่อกันว่าจักรพรรดิ์เป็นโอรสของพระอาทิตย์มาเกิดเป็นต้น
ความเชื่อเช่นนี้คือต้นเหตุของแนวความคิดที่ทำให้กษัตริย์หรือจักรพรรดิ์ในประเทศต่างๆคิดเอาเองว่า สรรพสิ่งทั้งหลายทุกอย่างในโลกนี้เช่น ที่ดิน คนและสัตว์เป็นสมบัติของตนทั้งหมด
ในประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยายังปรากฏในกฏหมาย “ ตราสามดวง“ว่า “ ที่ดินทั้งหลายในแคว้นศรีอยุธยาเป็นของพระเจ้าอยู่หัวโดยพระบรมเดชานุภาพ “ ระบอบศักดินา จึงเกิดขึ้น อำนาจการปกครองทุกอย่างอยู่ในมือของผู้เป็นหัวหน้าของสังคมแต่ผู้เดียว
กษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์
สามารถใช้อำนาจได้โดยไม่จำกัดขอบเขต
อำนาจเผด็จการโดยสมบูรณ์ของกษัตริย์ก็เกิดขึ้น ต่อมากษัตริย์
หรือจักรพรรดิ์ ยังได้ตราเป็นกฏหมายขึ้นอีกว่า
เมื่อตัวเองตายลงก็ให้ลูกหรือญาติที่สนิทของตนรับช่วงเป็นผู้สืบทอดวงศ์ตระกูลปกครองประเทศสืบต่อไป
เป็นการสืบทอดราชสันติวงค์ต่อไปอีกเป็นทอดๆ
ดังที่เห็นกันอยู่ในสังคมไทยในเวลานี้
สำหรับในต่างประเทศที่เจริญแล้วระบอบกษัตริย์ได้ถูกโค่นล้มลงไปหมดแล้ว เช่น จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส เยอรมันนี เวียตนาม ลาว พม่า หรือ เมียนม่า ฟีลแลนด์ ฯลฯ เป็นต้น ส่วนประเทศที่มีประชาธิปไตยที่ยังมีระบอบกษัตริย์เหลืออยู่กษัตริย์เหล่านั้้นก็อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชนและปวงชนเป็นผู้ใชัอำนาจนั้นปกครองประเทศ เช่น เบลเยี่ยม อังกฤษ สวีเด็น นอรเวย์ เด็นมารค์
สำหรับในต่างประเทศที่เจริญแล้วระบอบกษัตริย์ได้ถูกโค่นล้มลงไปหมดแล้ว เช่น จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส เยอรมันนี เวียตนาม ลาว พม่า หรือ เมียนม่า ฟีลแลนด์ ฯลฯ เป็นต้น ส่วนประเทศที่มีประชาธิปไตยที่ยังมีระบอบกษัตริย์เหลืออยู่กษัตริย์เหล่านั้้นก็อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชนและปวงชนเป็นผู้ใชัอำนาจนั้นปกครองประเทศ เช่น เบลเยี่ยม อังกฤษ สวีเด็น นอรเวย์ เด็นมารค์
สำหรับประเทศไทยกษัตริย์อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ
อำนาจทุกอย่างรวมศูนย์อยู่ที่กษัตริย์วชิราลงกรณ์แต่ผู้เดียว
ดังนั้นวชิราลงกรณ์คือกษัตริย์เผด็จการ
ไม่มีคุณงามความดีอะไรที่จะเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศ
ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน
เพื่อความอยู่รอดเขาจึงดิ้นรนทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสร้างภาพให้ตัวเอง ด้วยการมอมเมาโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ โดยอาศัยสื่อสารมวลชนและเครือข่ายต่างๆของรัฐที่เขามีอำนาจครอบงำอยู่ในเมืองไทยโหมโฆษณาสร้างภาพด้านเดียวเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นจากความเลวทรามของตัวเองให้ประชาชนสนใจไปทางอื่นเช่นการสร้างภาพเด็ก 13 คนติดในถ้ำหลวง เป็นการก่อกระแสอย่างใหญ่โตที่เกินกว่าเหตุกระจายข่าวไปทั่วโลก พวกเจ้าพยายามสร้างภาพให้กับตนเองว่าเขาคือพระเจ้าที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ธรรมดา เป็นบุคคลพิเศษที่จะใช้อำนาจทำอะไรกับใครก็ได้แม้แต่กับลูกเมียตัวเอง
ซึ่งวิธีการหรือแนวความคิดแบบนี้ เป็นหลักวิธีคิดแบบจิตนิยมที่มีมาจากสังคมของระบบทาส โดยเอาจิตของตนไปกำหนดเอากับวัตถุหรือสิ่งของอื่นตามใจชอบโดยไม่คำนึงถึงหลักความเป็นจริง เพราะความเป็นจริงนั้นคือ มนุษย์ในโลกนี้เกิดมาเหมือนกันหมดต่างกันเพียงแต่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชายแต่เนื้อหาหรือธาตุแท้ของมันก็คือมนุษย์ธรรมดา เป็นวัตถุหรือสสารที่เคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงได้ มนุษย์เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติไม่ใช่พระเจ้าเป็นผู้สร้างมา สิ่งแวดล้อมและสภาพการเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งกำหนดความคิดของมนุษย์ ไม่ใช่เทวดาหรือเทวาอาลักษ์ที่ใหนอย่างที่พวกเจ้าเขาคิดหรือสร้างภาพให้คนเชื่อ แนวความคิดของพวกเจ้าคือแนวความคิดแบบจิตนิยม โดยสร้างภาพสมมุติตนเองเป็นเทวดาให้คนเคารพกราบไหว้บูชา ทำตัวเป็นตัวแทนของพระเจ้า เพื่อตัวเองจะได้ปกครองคนอื่นได้
ดังนั้นกษัตริย์และครอบครัวของเขาจึงไม่ใช่พวกเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไร การใช้ศรรพนามเรียกบุคคลเหล่านั้นว่า "พระเทพฯ ฟ้าหญิง ฟ้าชาย" เป็นเพียงการสร้างภาพให้แก่พวกเขาเองเป็นการสมมุติให้ดูว่าพวกเขาเป็นคนพิเศษเท่านั้น ถ้าเราไม่เอาจิตไปกำหนดโดยคิดไปเอง หรือเชื่ออย่างงมงายว่าพวกคนเหล่านั้นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกเขาเหล่านั้นก็เป็นเพียงคนปกติธรรมดาและไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างอยู่ที่จิตของเรา ธาตุแท้ของมนุษย์ก็คือวัตถุหรือสสารที่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้ มีการเกิด การพัฒนา และดับสูญไปตามกฏของธรรมชาติเท่านั้น
เราอย่าเอาจิตไปกำหนดวัตถุโดยคิดไปเองตามการโฆษณาชวนเชื่อของพวกเขา เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าโลกนี้คือวัตถุเราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ เช่นถ้าเราต้องการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเราก็ต้องศึกษาหรือค้นขว้าหาข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับแม่น้ำเสียก่อนจึงลงมือสร้างไม่ใช่เอาจิตไปกำหนดหรือคิดไปเองให้เกิดสะพานขึ้นมา ถ้าเราต้องการเปลี่ยนสังคมเราก็ต้องศึกษาให้เข้าใจสังคมนั้นเสียก่อนว่าเป็นสังคมอะไร เช่นสังคมไทยเป็นสังคมกษัตริย์เผด็จการ ถ้าเราต้องการเปลี่ยนให้เป็นสังคมประชาธิปไตยก็ต้องโค่นล้มระบอบกษัตริย์เผด็จการนั้นลงแล้วสร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาแทนซึ่งนี้คือหลักความจริงตามธรรมชาติที่มนุษย์เรามีสิทธิ์จะกระทำได้ซึ่งในหลายประเทศได้ทำสำเร็จมาแล้ว
ดังนั้นทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเราต้องปลดปล่อยตัวเราเองก่อนโดยเริ่มจากแนวความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์มองโลกจากหลักของความเป็นจริงตามหลักของธรรมชาติ มีสติเริ่มต้นจากจิตของเราว่าเราจะสู้หรือไม่สู้ถ้าเราตัดสินใจจะสู้ก็ต้องศึกษาค้นหาวิธีการต่อสู้ และต้องรู้ว่าสู้กับใคร ใครคือศัตรูใครคือมิตร อย่าลืมว่าประชาชนที่ถูกกดขี่เป็นพลังส่วนมากของสังคมถ้าเราตัดสินใจได้และพร้อมใจกันลุกขึ้นสู้โดยการปฏิเสธไม่ยอมรับระบอบกษัตริย์เผด็จการเท่านั้นพวกมันก็อยู่ไม่ได้.
เพื่อความอยู่รอดเขาจึงดิ้นรนทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสร้างภาพให้ตัวเอง ด้วยการมอมเมาโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ โดยอาศัยสื่อสารมวลชนและเครือข่ายต่างๆของรัฐที่เขามีอำนาจครอบงำอยู่ในเมืองไทยโหมโฆษณาสร้างภาพด้านเดียวเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นจากความเลวทรามของตัวเองให้ประชาชนสนใจไปทางอื่นเช่นการสร้างภาพเด็ก 13 คนติดในถ้ำหลวง เป็นการก่อกระแสอย่างใหญ่โตที่เกินกว่าเหตุกระจายข่าวไปทั่วโลก พวกเจ้าพยายามสร้างภาพให้กับตนเองว่าเขาคือพระเจ้าที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ธรรมดา เป็นบุคคลพิเศษที่จะใช้อำนาจทำอะไรกับใครก็ได้แม้แต่กับลูกเมียตัวเอง
ซึ่งวิธีการหรือแนวความคิดแบบนี้ เป็นหลักวิธีคิดแบบจิตนิยมที่มีมาจากสังคมของระบบทาส โดยเอาจิตของตนไปกำหนดเอากับวัตถุหรือสิ่งของอื่นตามใจชอบโดยไม่คำนึงถึงหลักความเป็นจริง เพราะความเป็นจริงนั้นคือ มนุษย์ในโลกนี้เกิดมาเหมือนกันหมดต่างกันเพียงแต่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชายแต่เนื้อหาหรือธาตุแท้ของมันก็คือมนุษย์ธรรมดา เป็นวัตถุหรือสสารที่เคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงได้ มนุษย์เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติไม่ใช่พระเจ้าเป็นผู้สร้างมา สิ่งแวดล้อมและสภาพการเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งกำหนดความคิดของมนุษย์ ไม่ใช่เทวดาหรือเทวาอาลักษ์ที่ใหนอย่างที่พวกเจ้าเขาคิดหรือสร้างภาพให้คนเชื่อ แนวความคิดของพวกเจ้าคือแนวความคิดแบบจิตนิยม โดยสร้างภาพสมมุติตนเองเป็นเทวดาให้คนเคารพกราบไหว้บูชา ทำตัวเป็นตัวแทนของพระเจ้า เพื่อตัวเองจะได้ปกครองคนอื่นได้
ดังนั้นกษัตริย์และครอบครัวของเขาจึงไม่ใช่พวกเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไร การใช้ศรรพนามเรียกบุคคลเหล่านั้นว่า "พระเทพฯ ฟ้าหญิง ฟ้าชาย" เป็นเพียงการสร้างภาพให้แก่พวกเขาเองเป็นการสมมุติให้ดูว่าพวกเขาเป็นคนพิเศษเท่านั้น ถ้าเราไม่เอาจิตไปกำหนดโดยคิดไปเอง หรือเชื่ออย่างงมงายว่าพวกคนเหล่านั้นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกเขาเหล่านั้นก็เป็นเพียงคนปกติธรรมดาและไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างอยู่ที่จิตของเรา ธาตุแท้ของมนุษย์ก็คือวัตถุหรือสสารที่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้ มีการเกิด การพัฒนา และดับสูญไปตามกฏของธรรมชาติเท่านั้น
เราอย่าเอาจิตไปกำหนดวัตถุโดยคิดไปเองตามการโฆษณาชวนเชื่อของพวกเขา เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าโลกนี้คือวัตถุเราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ เช่นถ้าเราต้องการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเราก็ต้องศึกษาหรือค้นขว้าหาข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับแม่น้ำเสียก่อนจึงลงมือสร้างไม่ใช่เอาจิตไปกำหนดหรือคิดไปเองให้เกิดสะพานขึ้นมา ถ้าเราต้องการเปลี่ยนสังคมเราก็ต้องศึกษาให้เข้าใจสังคมนั้นเสียก่อนว่าเป็นสังคมอะไร เช่นสังคมไทยเป็นสังคมกษัตริย์เผด็จการ ถ้าเราต้องการเปลี่ยนให้เป็นสังคมประชาธิปไตยก็ต้องโค่นล้มระบอบกษัตริย์เผด็จการนั้นลงแล้วสร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาแทนซึ่งนี้คือหลักความจริงตามธรรมชาติที่มนุษย์เรามีสิทธิ์จะกระทำได้ซึ่งในหลายประเทศได้ทำสำเร็จมาแล้ว
ดังนั้นทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเราต้องปลดปล่อยตัวเราเองก่อนโดยเริ่มจากแนวความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์มองโลกจากหลักของความเป็นจริงตามหลักของธรรมชาติ มีสติเริ่มต้นจากจิตของเราว่าเราจะสู้หรือไม่สู้ถ้าเราตัดสินใจจะสู้ก็ต้องศึกษาค้นหาวิธีการต่อสู้ และต้องรู้ว่าสู้กับใคร ใครคือศัตรูใครคือมิตร อย่าลืมว่าประชาชนที่ถูกกดขี่เป็นพลังส่วนมากของสังคมถ้าเราตัดสินใจได้และพร้อมใจกันลุกขึ้นสู้โดยการปฏิเสธไม่ยอมรับระบอบกษัตริย์เผด็จการเท่านั้นพวกมันก็อยู่ไม่ได้.
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar