วันที่ 06 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 13:46:07 น.
|
วันที่ 06 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 10:36 น. ข่าวสดออนไลน์ พลทหารเครียดกราดยิงกันเอง!! ดับเพิ่มเป็น 4 ศพ คาค่ายฯเดชานุชิต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 05.15 น. วันที่ 6 พ.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองจิก จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งจากหน่วยทหาร ฉก.ปัตตานี ว่ามีเหตุยิงกันภายในค่ายลูกเสือเดชานุชิต ต.บ่อทอง อ.หนองจิก ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบมีผู้เสียชีวิต 3 นาย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 นาย ถูกนำส่งโรงพยาบาลปัตตานี
ส่วนรายชื่อผู้เสียชีวิต 3 นาย ได้แก่ จ.ส.อ.สมัคร ปกพันธ์ อายุ 48 ปี สังกัด มทบ.22 , ส.ท.โชคนิพัทธ์ ดองจำปา อายุ 37 ปี สังกัด ทัพน้อย2 และ ส.ท.ทองมุก พิมอ่อน สังกัด ร.8 โดยสภาพศพถูกยิงด้วยอาวุธปืนสงคราม เจ้าหน้าที่จึงนำศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาลค่ายอิงคยุทธบริหารฯ ต.บ่อทอง อ.หนองจิกส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาลปัตตานีก่อนหน้าแล้ว
จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุทหารชุดดังกล่าวได้พักผ่อนภายในบริเวณค่ายลูกเสือฯ ที่ตั้งของหน่วย ฉก.ปัตตานี โดยตั้งวงเหล้าดื่มกันระหว่างพัก จนกระทั่งทหารยศนายสิบเกิดมีปากเสียงกับพลทหาร จนทะเลาะวิวาทกันรุนแรง
จากนั้นพลทหารดังกล่าวจึงกลับไปนำอาวุธปืนยาวจากที่ตั้ง นำมากราดยิงใส่เพื่อนทหารที่วงเหล้าเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ก่อนที่พลทหารดังกล่าวจะนำกระบอกปืนยิงกรอกปากตัวเองเพื่อฆ่าตัวตายหนีความผิด แต่ไม่ตาย เจ้าหน้าที่จึงนำส่งโรงพยาบาล
ส่วนประเด็นสาเหตุอยู่ระหว่างการสืบสวนและสอบสวนของเจ้าหน้าที่ ว่าจะเกี่ยวกับความเครียดจากการปฏิบัติงานในพื้นที่หรือไม่อย่างไร เนื่องจากทหารดังกล่าวเป็นกองกำลังทหารราบที่มาจากภาคอีสาน
ล่าสุดความคืบหน้าเหตุพลทหารเครียดใช้อาวุธปืนเอ็ม16 ยิงทหารกันเอง ภายในฐานหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี ซึ่งตั้งอยู่ที่ค่ายลูกเสือเดชานุชิต ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 3 นาย บาดเจ็บ 3 นาย เหตุเกิดเมื่อคืน ล่าสุดมีรายงานว่า มีเจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิตเพิ่มอีก 1 นาย ที่โรงพยาบาลปัตตานี คือ จ.ส.อ.เดชาทศ มาลัยรัตน์ นายสิบแผนที่ อยู่บ้านเลขที่ 183/996 หมู่บ้านสวัสดิการทหาร ต.สีกัน เขตดอนเมือง กทม. ถูกยิงที่ท้อง รวมมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 4 นาย
ส่วนผู้ก่อเหตุ คือ พลทหารทวีเวทย์ สังข์มณี ตำแหน่งพลปืนเล็ก ร.8 พัน 3 บ้านเลขที่ 52 ม.4 บ้านโปโล ต.ท่าตูม อ.เมือง จ.มหาสารคาม ซึ่งได้ใช้ปืนยิงตัวเอง ถูกใต้คางทะลุตาข้างซ้าย อาการสาหัส ยังน่าเป็นห่วง ส่วนผู้บาดเจ็บอีก 1 ราย คือ 1. ส.ท.กำพล กัณหาวาปี ตำแหน่ง เสมียนการข่าว ฉก.ปัตตานี ถูกยิงที่ท้อง ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย อาการปลอดภัย
รายชื่อทหารที่เสียชีวิตก่อนหน้านี้ ประกอบด้วย 1.จ.ส.อ.สุมิตร ปกพันธ์ อายุ 48 ปี สังกัด มทบ.22 ตำแหน่งเสมียนสำนักงานสัสดี อยู่บ้านเลขที่ 98 ม.8 ต.เหล่าเสือโก้ก อ.เหล่าเสือโก้ก จ.อุบลราชธานี ถูกยิงที่ท้อง 2.ส.ท.ทองมุก พิลาออน สังกัด ร.8 เสมียนกองร้อย อยู่บ้านเลขที่ 140 ม.8 บ้านโนนศิลา ต.วังแสง อ.ชนบท จ.ขอนแก่น ถูกยิงที่ศีรษะ 3.ส.อ.โชคนิพัทธ์ ดวงจำปา อายุ 33 ปี สังกัด ทัพน้อย 2 ตำแหน่งเสมือนพิมพ์ดีด อยู่บ้านเลขที่ 118 ม.1 ต.หินโคน อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ถูกยิงที่หน้าอกด้านขวา
ด้าน พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ผู้ก่อเหตุคือ พลทหารทวีเวทย์ มีความเครียดส่วนตัวจากการมาปฎิบัติงานในพื้นที่ ซึ่งน้องเพิ่งมาทำงานเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ก็ประมาณ 1 เดือน อาจะคิดถึงบ้านเห็นว่ามีแฟนแล้วแต่ยังไม่แต่งงาน ในช่วงเกิดเหตุกำลังนั่งทานข้าวกันอยู่ นั่งเงียบ อยู่ๆ ก็เดินออกไปเอาปืนมายิง คนที่นั่งอยู่ด้วยไม่ได้คาดคิดว่าจะเอาปืนมายิง ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
หลังเกิดเหตุทางแม่ทัพภาคที่ 4 ได้ไปเยี่ยมและสั่งการให้ทุกหน่วยมีการดูแลความเป็นอยู่ รวมทั้งมีการทดสอบภาวะความเครียดของเจ้าหน้าที่ในแต่ละหน่วยเพื่อประเมินความเครียด
ทั้งนี้จากสถิติเบื้องต้น พบกำลังพล เสียชีวิต จากเหตุยิงกันเอง นับตั้งแต่ปี 2554 ถึง วันนี้ ที่ 5 พ.ย. 2557 ทั้งหมด เจ้าหน้าที่ทหาร เสียชีวิต 16 ราย ได้รับบาดเจ็บ 6 ราย
หากนับย้อนหลัง การเกิดเหตุลักษณะนี้ พบ เมื่อ 14 กันยายน 2554 พลทหารรุสลาม มอและ อายุ 22 ปี สังกัดหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 เกิดอาการคลุ้มคลั่งขณะปฏิบัติหน้าที่เข้าเวรยามอยู่ในฐานปฏิบัติการที่บ้านจำปากอ หมู่ 1 ต.บาเระเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ประจำกายบุกยิงผู้บังคับบัญชายศพันจ่าเอกและจ่าเอกถึงในห้องทำงาน ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 4 นาย บาดเจ็บอีก 3 นาย จากนั้นเจ้าตัวก็ถูกยิงตอบโต้จนเสียชีวิตตามไปด้วย
วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม 2556 ทหารพราน สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 2207 (ร้อย.ทพ.2207) หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 22 ที่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี จนทำให้กำลังพลเสียชีวิต 2 นาย อส.ทพ.สราวุฒิ อำพันธ์ เครียดยิงเพื่อนทหารเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 2 นาย คือ สต.รณวิทย์ สิงห์สาย อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 83 ม.2 ต.ห้วยหลัว อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร ถูกยิงเข้าที่ศีรษะหน้าอกและแขน และ อส.ทพ.เกรียงศักดิ์ ธูปพุดซา อายุ 29 ปี เป็นชาว จ.สุรินทร์ ถูกยิงเข้าที่บริเวณศีรษะ ทั้ง 2 นายสังกัดกรมทหารพราน 22 กองร้อย 2207
วันที่ 9 พฤจิกายน 2556 เกิดเหตุทะเลาะวิวาทและยิงกันเสียชีวิตภายในฐานปฏิบัติการร้อย ร.15123 ฉก.นราธิวาส 30 ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายรือเสาะ-ศรีสาคร บ้านท่าเรือ ม.1 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ที่เกิดเหตุพบศพ พลทหารหะรุดดี หะมิสา อายุ 22 ปี พลทหารพีระพงษ์ หนุนชู อายุ 22 ปี มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 1 ราย พลทหารสายันต์ บินญ่า อายุ 23 ปี
วันอาทิตย์ที่ 23 มี.ค. 2557 พลทหารอธิวัฒน์ ท้าวพันวงค์ สังกัด หมวดทหารม้าที่ 2 กองร้อยทหารม้าที่ 4 ค่ายพระยาไชยบูรณ์ อ.เด่นชัย จ.แพร่ ซึ่งตั้งฐานอยู่ติดกับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เปาะเส้ง หมู่ 4 ต.เปาะเส้ง อ.เมือง จ.ยะลา ริมถนนสายสามแยกบ้านเนียง-บ้านละแอ ห่างจากตลาดบ้านเนียงประมาณ 1.5 กิโลเมตร เครียด ยิง ส.อ.วันชนะ ก้อนสิน อายุ 31 ปี เสียชีวิต
วันที่ 12 ต.ค. 2557 ภายในวัดสันติการาม ซึ่งเป็นที่ตั้งของ หมวดปืนเล็กที่ 1 ร้อย ร.1543 ฉก.ปัตตานี 23 ม.3 ต.ปะกาฮารัง อส.ทพ.พรศักดิ์ สีหล้า อายุ 23 ปี เครียดยิง ส.ท.สมคิด พันธุ์ไชยหอม อายุ 28 ปี และ อส.ทพ.พงษ์ศักดิ์ พวงโพธิ์ อายุ 23 ปี เสียชีวิต ส่วน อส.ทพ.พงศ์พัฒน์ แก้วมาศ อายุ 24 ปี ถูกยิงเฉี่ยวลำตัวอาการปลอดภัย
..................................................
"ทหารก็มีหัวใจ" เสียงกำลังพลใต้...เครียด-หวาดภัย-อันตรายรอบด้าน
เหตุการณ์กำลังพลที่ปฏิบัติงานสนามในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยิงกันเอง ซึ่งปรากฏเป็นข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 พ.ย.57 ที่หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี มีผู้เสียชีวิต 3-4 นาย และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่งนั้น แม้เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุก็มีแต่ความเศร้าสลด
เพราะทหารที่ไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ส่วนใหญ่ มีความตั้งใจลงไปเพื่อ "รักษาความสงบ" และ "สถาปนาสันติสุข" ให้กลับคืนสู่พื้นที่ โดยมากเป็นกำลังพลจากภูมิภาคอื่นของประเทศ การไปเสียชีวิตในแดนไกลจึงเป็นเรื่องน่าเศร้า
ยิ่งกว่านั้นการปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละวัน ทหารต้องรับผิดชอบภารกิจกว่า 2,600 ภารกิจ โดยเฉพาะการรักษาความปลอดภัย (รปภ.) บุคคลและสถานที่ เช่น ครู พระ วัด โรงเรียน โรงไฟฟ้า สถานที่ราชการ ฯลฯ ซึ่งการไปทำหน้าที่ รปภ.ในพื้นที่ชายแดนใต้ซึ่งไม่ปรากฏชัดว่าคนร้ายคือใคร หน้าตาเป็นอย่างไร และไม่มีสัญลักษณ์บอกฝ่าย ย่อมกลายเป็น "เป้านิ่ง" ถูกกระทำอยู่ข้างเดียวไปโดยปริยาย
ด้วยเหตุนี้ความเครียดจึงสูงมาก!
ประกอบกับกำลังพลระดับปฏิบัติส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ จึงกำลังมีความรัก มีแฟนหรือคู่รัก บางคนเพิ่งแต่งงาน หรือเพิ่งมีลูก เมื่อต้องจากบ้านไปปฏิบัติงานเสี่ยงภัย ย่อมเกิดความเครียด เหงา และคิดถึงบ้านเป็นธรรมดา
"ศูนย์ข่าวอิศรา" เคยทำรายงานสรุปสาเหตุของการที่กำลังพลชายแดนใต้ใช้ความรุนแรงเข้าใส่กันว่า มีอยู่ 3 ปัจจัยหลักๆ คือ 1.เครียดกับสถานการณ์ที่เสี่ยงตลอดเวลา 2.ห่างบ้าน คิดถึงครอบครัว ลูกเมีย แฟน คนรัก รวมทั้งพ่อแม่ เพราะบางคนพ่อแม่อยู่ในวัยชราหรือเจ็บป่วย 3.เรื่องการใช้สารเสพติด ดื่มของมึนเมา และอาวุธปืนสูญหาย
ปัญหาข้อที่ 3 นี้ แม้ผู้รับผิดชอบในกองทัพจะพยายามปิด แต่ก็มิอาจปฏิเสธความจริงได้ สาเหตุส่วนหนึ่งของการใช้สารเสพติด ซึ่งพบมากในหมู่ "พลทหาร" นอกจากมีการใช้มาก่อนถูกเกณฑ์มารับใช้ชาติแล้ว ยังมีการใช้เพราะความเครียดด้วย เช่นเดียวกับการดื่มสุรา ซึ่งแม้มีกฎเหล็กของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ห้ามเอาไว้ แต่ก็พบมีการฝ่าฝืนอยู่เนืองๆ
เจ้าหน้าที่ทหารนายหนึ่งซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ เผยความรู้สึกว่า การทำงานในพื้นที่มีความเครียดหลายด้าน ก็อยากให้สังคมเข้าใจ ทหารบางส่วนไม่ใช่คนพื้นที่ เมื่อมาอยู่ตรงนี้ ชาวบ้านที่ไม่ค่อยรู้จักจริงๆ มักมองอีกแบบ ทั้งๆ ที่ทหารก็เป็นชาวบ้านเหมือนกัน ถอดเครื่องแบบก็คือประชาชน
"ในมุมมองของชาวบ้านที่นี่ อย่างไรเสียเจ้าหน้าที่ต้องผิดก่อนเสมอ ไม่ว่าจะทำดีแค่ไหนก็ถือว่าเสมอตัว แต่ถ้าวันไหนเราพลาดก็ถูกชาวบ้านด่าว่า กลับมาในหน่วยก็ถูกนายสั่งงาน บางครั้งหาเหตุผลไม่ได้เลย พอกลับไปที่บ้านก็เจอภาระหนี้ทางบ้านอีก มองไปทางไหนก็เจอแต่ปัญหาที่กดดัน"
"ผมอยากพูดแทนพี่น้องทหาร อยากให้สังคมเข้าใจว่าทหารก็คือคนคนหนึ่งเหมือนคนอื่นๆ แค่เรามีหน้าที่รับผิดชอบที่แตกต่างกันเท่านั้น ทำให้ดูเหมือนว่าเราไม่เหมือนพวกท่าน ทั้งที่จริงๆ แล้วทหารก็มีหัวใจ มีชีวิต มีความรู้สึก เจ็บปวด และเจอปัญหาไม่ต่างกันคนอื่นๆ"
เป็นเสียงจากทหารชายแดนใต้ที่สะท้อนความรู้สึกและความกดดันจากการปฏิบัติหน้าที่เพื่อสันติสุข!
กฎเหล็ก ทบ.-กอ.รมน."ห้ามกำลังพลดื่มสุรา"
การปฏิบัติภาคสนามของกำลังพลของกองทัพในทุกๆ พื้นที่จะต้องมี "แนวปฏิบัติ" และข้อห้ามที่เป็นดั่ง "กฎเหล็ก" เพื่อควบคุมกำลังพลจำนวนมากจากหลากหลายที่มาให้อยู่ในระเบียบวินัย
เพราะความมีวินัย คือ คุณสมบัติเบื้้องต้นของทหาร และเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่จะนำไปสู่การมีชัยชนะในสงคราม
อย่างไรก็ดี แนวปฏิบัติดังกล่าวอาจแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมของแต่ละสมรภูมิซึ่งไม่เหมือนกัน
ที่สมรภูมิสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มี "กฎเหล็ก" และ "แนวปฏิบัติ" ที่ว่านี้เช่นกัน โดยกองทัพบก (ทบ.) ได้มี "บัญญัติ 10 ประการ" เป็นแนวทางการปฏิบัติภาคสนามของกำลังพล ดังนี้
1.ไม่ทำตัวเป็นนายประชาชน ปฏิบัติต่อเขาด้วยความสุภาพอ่อนโยน 2.ไม่เบียดเบียนประชาชน 3.ไม่ประพฤติผิดต่อลูกเมียผู้อื่น 4.ไม่ดื่มสุราในขณะปฏิบัติหน้าที่โดยเด็ดขาด 5.ไม่ลุแก่อำนาจ ละเมิดกฎหมาย ไม่กระทำการนอกเหนือหน้าที่
6.ไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคายดูถูกเหยียบหยามประชาชน 7.ไม่ละเลยการช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อประชาชน 8.ไม่ละเลยคุณธรรม 9.ไม่ละเมิดประเพณี ความเชื่อทางศาสนา และสิ่งที่ประชาชนเคารพนับถือ 10.ไม่เลือกปฏิบัติต่อเชื่อชาติและเผาพันธุ์ ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
นอกจากนั้นยังมี "ข้อห้ามเด็ดขาดของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า" จำนวน 9 ประการ ได้แก่ 1. ห้ามทำผิดวินัยและขัดคำสั่ง 2.ห้ามดื่มเหล้า ของมึนเมา เสพยาเสพติดโดยเด็ดขาด 3.ห้ามเอาทรัพย์สินของผู้อื่นมาเป็นของตน 4.ห้ามทำสิ่งของผู้อื่นเสียหาย 5.ห้ามทำร้ายผู้อื่นทั้งทางร่างกายและติดใจ 6.ห้ามดูถูก เหยียดหยามด่าว่าผู้อื่น 7.ห้ามลวนลามผู้หญิง แม้กระทั่งสายตาและวาจา 8.ห้ามเปิดเผยความลับ และแพร่ข่าวลือ 9.ไม่สร้างเขื่อนไขทุกชนิด
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : กำลังพลของทหารจากภูมิภาคอื่นที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ชายแดนใต้ท่ามกลางความเครียด ระแวงภัย และคิดถึงบ้าน
ขอบคุณ : ภาพจาก จรูญ ทองนวล ช่างภาพมือรางวัลจากศูนย์ภาพเนชั่น
|
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar