โควิดไทยเข้าสู่วิกฤต ใกล้สภาพที่เคยเย้ยหยันฝรั่ง ปล่อยคนแก่ตายอยู่บ้าน แต่ตอนนี้เขาเปิดปาร์ตี้กันแล้วหลังฉีดวัคซีนปูพรม
รัฐบาลไทยเพิ่งสั่งวัคซีนทางลมปาก เพิ่มเป็น 100 ล้านโดส “กราบ” ไฟเซอร์จนได้ 5-10 ล้านโดส แต่ไม่รับปากได้เมื่อไหร่ เพราะคิวยาวรอบโลก จะแซงคิวเขาได้อย่างไร
35 ล้านโดสจึงยังเป็นแค่ “ลม” ที่ผายแก้หน้าหลังถูกด่าขรม ไม่มีรายละเอียดว่าได้จากไหน ได้เมื่อไหร่ แค่บอกจะซื้อให้ได้ก่อนสิ้นปี ซึ่งมีคำถามอีกว่าฉีดทันหรือ ทีแรก 65 ล้านโดสในสิ้นปี ฉีดเดือนละ 10 ล้านโดส ปุบปับจะเพิ่มเป็น 100 ล้านโดส
แต่แค่นี้ เจ้าสัวซีพีก็ออกมาชื่นชมประยุทธ์ อ้างว่าที่ผ่านมาทำได้ดี แต่เจอระลอกสามไม่คาดคิด
คนบริหารประเทศบริหารธุรกิจมีด้วยหรือ “ไม่คาดคิด” มีแต่ต้องเตรียมรับมือให้พร้อมที่สุด จากสถานการณ์ด้านดีที่สุดไปถึง worst case scenario ถามจริง ถ้าประยุทธ์เป็นผู้บริหารในเครือซีพี ธนินทร์จะไล่ออกไหม (เผลอ ๆ ไล่ออกไปนานแล้ว)
พูดแบบธนินทร์จึงสมควรถูกชาวบ้านด่า แต่ก็รู้ละว่าสมประโยชน์กับประยุทธ์มา 7 ปี แถมคงกลัวอำนาจหนุนหลัง พอเห็นประชาชนโกรธมาก กระแสไล่ตู่โหมฮือยิ่งกว่าครั้งก่อน เจ้าสัวก็ต้องปกป้อง
เช่นเดียวกับภาคธุรกิจที่เหลืออดจน 40 CEO จะตั้งเครือข่ายจัดซื้อจัดหาวัคซีนกันเอง เดี๋ยวก็คงถูกปรามให้เงียบเสียงลง กลับมาเป็นเด็กดี สนับสนุนรัฐบาล “รวมไทยสร้างชาติ”
แต่สำหรับประชาชน ยกเว้น IO และข้าทาส อารมณ์ตอนนี้คือโกรธมาก ยิ่งกว่าหมดความเชื่อถือ โดยลามไปถึงรัฐมนตรี ผู้บริหาร สธ. และหมอ ๆ ผู้เชี่ยวชาญที่ออกมาปกป้องรัฐบาล
“หมอไม่ทน” ล่าชื่อไล่อนุทินแล้ว แต่ก็ไม่ใช่แค่หนูตัวเดียว รัฐบาลจัดหาวัคซีนล่าช้า แทงม้าตัวเดียว เตรียมการตั้งแต่ ก.ค.2563 ได้แอสตราเซเนกา 26 ล้านโดสจากสยามไบโอฯ มิ.ย.2564 ทั้งผู้บริหาร สธ. แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็ช่วยกันปกป้องว่าตัดสินใจถูกแล้ว อ้างอุปสรรคโน่นนี่ในการจัดซื้อวัคซีนอื่นหรือเข้าร่วม COVAX จนเกิดรอบสองจึงหูตาแหก สั่งซิโนแวค 2 ล้านโดส แอสตราฯ 35 ล้านโดส แล้วรอบสามพอโดนกดดันก็สั่งปากเปล่าอีก 35 ล้านโดส
ผู้บริหาร สธ.นั่นแหละอวดเก่ง ประมาท หรือไม่มีกระดูก ไม่กล้าแสดงความเห็นอย่างมืออาชีพ การบริหารจัดการรอบสามก็เละเทะ เตียงไม่พอมีคนรอเตียงเป็นพันก็ยังยืนยันว่าพอ จนเห็นคนตายคาตา วัคซีนมาน้อย มาช้า แทนที่จะระดมฉีดให้บุคลากรการแพทย์ก่อน ก็ฉีดโปรโมชั่นไปเรื่อย พอเกิดวิกฤตจริง หมอพยาบาลติดโควิดไม่มีกำลังรับมือ
ประชาชนไม่เชื่อถือ “ภาคการแพทย์” อีกแล้วว่าเป็นมืออาชีพ ภายใต้ระบบราชการ อำนาจบริหารไร้ฝีมือ ผู้บริหาร สธ. คณบดีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ยังปกป้อง
มันเป็นปัญหาทั้งรัฐบาลไร้หัวคิดและระบบราชการไร้ประสิทธิภาพ แบบ “สายด่วน” ให้ข้าราชการรับโทรศัพท์ใช้มือจดยังกับยุคพระเจ้าเหา
แล้วตอนนี้ ระบบล้มเหลวก็จะต้องรับมือการระบาดเฉพาะหน้า การจัดหาและฉีดวัคซีนระยะยาว (ซึ่งปั่นป่วนแน่) เอาแค่เฉพาะหน้าจะทำอย่างไร ก็ใช้อำนาจบังคับตามเคยทั้งที่ประชาชนไม่ยอมรับไม่เชื่อถือ เช่นเคอร์ฟิวตอนกลางคืน ใครก็รู้ว่าเปล่าประโยชน์ แค่มีไว้ให้เจ้าหน้าที่อวดอำนาจบังคับ ล็อกดาวน์ รัฐก็ต้องจัดระบบดูแลเยียวยา
อำนาจทั้งระบบกำลังพยายามลากถูให้ประยุทธ์อยู่รอด ทั้งที่ออกมาแถลงครั้งใดก็โดนโห่ โดนด่าวัคซีนช้าจนต้องไปเจรจา ก็บอกว่าแก้ปัญหาให้แล้วไง สถานการณ์เฉพาะหน้าก็โทษชาวบ้านไม่กี่คนไม่รับผิดชอบสังคม ไม่กักตัว ไม่ใส่หน้ากาก คนไทยไม่มีวินัยต้องใช้รัฐประหารบังคับ
อย่าคิดว่าประชาชนไม่รู้ ใครหนุนหลังประยุทธ์อยู่ ดันทุรังไม่เปลี่ยนเดี๋ยวก็ลุกฮืออีก
ที่มา: ข่าวหุ้นธุรกิจ www.kaohoon.com/content/439608
“รัฐพุทธไทย” ดิ้นพล่าน อดีตพระบั่นคอตัวเองด้วยกิโยติน อ้างเป็นพุทธบูชา ชี้แจงกันใหญ่ว่าไม่มีในพระไตรปิฎก กลัวกระทบพระศาสนา ผู้ว่าฯ นายอำเภอ ตำรวจ ทหาร ก็ควานหา “คนผิด” เช่นผู้สนับสนุนผู้ไม่ห้ามปราม สร้างความเสื่อมเสียเมืองไทยเมืองพุทธ
ปัดโธ่ ชาวบ้านเขารู้ทั้งนั้นละว่านี่ไม่ใช่พุทธ แบบที่รับรู้ตั้งแต่ปู่ย่าตาย แต่พุทธแท้คืออะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน ในเมื่อคนไทยยังแห่ขอหวยจากผีในวัดอยู่ครึกโครม ผู้นำประเทศ ผู้นำรัฐประหาร ก็เชื่อโหรเชื่อหมอดู จนม็อบคนรุ่นใหม่เฮฮาใช้ “สายมู” สาปแช่ง
คำถามคือ มันเกิดความเชื่อแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร ความเชื่อผิดเพี้ยนมีมากมาย รอจนมีคนฆ่าตัวตายค่อยแตกตื่น แต่ฆ่าตัวตายสังคมยังเห็นง่าย เดี๋ยวถ้ามีคนอยากไปนิพพาน ยกบ้านที่ดินทรัพย์สินเป็นทาน ยกลูกยกเมียเป็นทาสคนอื่น แล้วไปจำศีลในป่า มหาเถรฯ จะอธิบายอย่างไร
กิโยตินเป็นคำถามโดมิโนไปถึง “หลวงปู่” ผู้ตั้งชื่อพุทธะ แต่งกายเหมือนสงฆ์แต่ใช้ผ้าดำ ตั้งสำนักปฏิบัติธรรม มีลูกศิษย์ทหารตำรวจมากมาย กระทั่งภาพว่อนเน็ต กองทัพเรือจึงอาย สั่งกำลังพลยุติกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง แต่สำนักพุทธก็ไม่ยักจัดการอะไร
ไม่ยักเหมือนสมณะดาวดิน ไปอดอาหารเรียกร้องความยุติธรรม ให้ประกันแกนนำม็อบราษฎร โดนจับตัวไป 2 รอบฐานแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ศาลให้ประกันแล้วก็ยังจับอีก
วันก่อน พระมหาสมพร ไปเยี่ยมสมณะดาวดิน ก็ถูกรายงานจนเจ้าอาวาสขับออกจากวัด แล้วพระวินยาธิการมายึดใบสุทธิ อาจซ้ำรอยพระ 2 รูปครั้งสลายหมู่บ้านทะลุฟ้า ที่ถูกจับสึกด้วยข้อหาไม่มีสังกัด ถือเป็นภิกษุเร่ร่อน
ก็รู้กันอยู่ พระมาม็อบถูกไล่จากวัด แล้วถูกจับสึกฐานไม่มีสังกัด ทั้งที่ไม่ได้ทำผิดพระธรรมวินัย โดนจับสึกแล้วจะแต่งกายคล้ายสงฆ์ก็ไม่ได้ เผยแผ่พระธรรมคำสอนก็ไม่ได้ เพราะผูกขาดไว้โดยมหาเถรสมาคมเท่านั้น
แต่ “หลวงปู่พุทธะเทพ” ทำได้แบบที่กองทัพเรือชี้แจง ทหารเรือเข้าร่วมทำบุญ “พิธีบวงสรวงรูปหล่อองค์จักรพรรดิพุทธะเทพสุริยะจักรวาล และพิธีอัญเชิญธงชาติไทยขึ้นสู่ยอดเสาสูง ณ ดินแดนปฏิบัติธรรมพุทธะธรรมชาติ ดงพญาเย็น พิธีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเพื่อสร้างความสามัคคีของประชาชนในพื้นที่ นอกจากข้าราชการทหารกลุ่มดังกล่าวแล้ว ยังมีพระสงฆ์และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมพิธีดังกล่าวด้วย”
ทำอย่างนี้ไม่ผิดนะ แต่ไปม็อบสามนิ้วผิด ได้ฟังญาติโยมบ่นเดือดร้อนแสนสาหัส โพสต์ “ประเทศไทยเรายังมีรัฐบาลอยู่ไหม” แบบเจ้าคุณประสาร มหาเถรสมาคมชี้ว่าผิด
พระห้ามยุ่งเกี่ยวการเมือง ในความหมายที่รู้กัน ห้ามต่อต้านอำนาจรัฐ ในทางตรงกันข้าม สำนักสงฆ์หรือลัทธิความเชื่อต่างๆ ถ้าอยู่ข้างอำนาจรัฐ ถ้ามีข้าราชการผู้ใหญ่นายพลทหารตำรวจสนับสนุน ก็แผ่บารมีไพศาล
ตัวอย่างชัดที่สุดคือธรรมกาย ช่วงต้นแผ่ขยายอย่างรวดเร็วเพราะอิงอำนาจชนชั้นนำ แต่พอโดนข้อหา “พวกทักษิณ” ก็กลายเป็นลัทธิอันตราย ลามไปถึงวัดปากน้ำวัดสระเกศ
พระเถระจำนวนหนึ่งก็โดนข้อหา “เงินทอนวัด“ ซึ่งไปอ่านคำพิพากษาแล้ว ไม่มีตรงไหนที่พระโกง ยักยอกเงินเข้ากระเป๋า เพียงเป็นคดีเจ้าหน้าที่สำนักพุทธนำเงินมาให้วัดใช้ผิดประเภท ไม่ตรงกับคำของบประมาณ ซึ่งวัดก็ใช้เพื่อการศาสนา แต่พระโดนข้อหาอ่วม ฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่ผิด 157 โดนไปถึง “ฟอกเงิน”
ตลอดประวัติศาสตร์ไทย พระยุ่งเกี่ยวกับการเมืองทั้งนั้น ตั้งแต่พระมหาเถรคันฉ่อง พระอาจารย์ธรรมโชติ เพราะชาวบ้านเดือดร้อน จะมาตีความบาลีพระไตรปิฎกอยู่ได้อย่างไร “ธรรม” ยังใช้เป็นเครื่องเตือนสติผู้มีอำนาจ เช่นสมเด็จโตจุดไต้เข้าวัง พระพุทธทาส พระปัญญา ก็โด่งดังจากการสอนธรรมผู้มีอำนาจ
แต่ยุคปัจจุบัน สงฆ์ถูกจัดระเบียบ กลไกรัฐเข้ามามีอำนาจควบคุม ห้ามพระยุ่งเกี่ยวกับความเดือดร้อนของประชาชน ความไม่เป็นธรรม ความอยุติธรรม ต้องเมินเฉยต่อความอำมหิต ไร้เมตตา ของอำนาจ มีหน้าที่แค่ฉันจังหันฉันเพลรับซองแล้วหลับตาท่องคาถาพาชาวบ้านไปนิพพาน?
หลายคนบอกว่า เมืองไทยเมืองพุทธ อันที่จริงก็ดัดจริต ฆ่ากลางเมือง 99 ศพ 6 ตุลาแขวนคอเก้าอี้ฟาด แต่หลัง 6 ตุลา “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป” ก็มีกลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม เคลื่อนไหวเพื่อสิทธิผู้ต้องขัง
แต่ครั้งนี้ศาสนาถูกห้าม เหลือแต่สลิ่มใจดำแช่งเพนกวิน รุ้ง ให้อดอาหารตาย แล้วบอกว่าตัวเองปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์
พุทธไทยถ้าแยกจากสังคมก็ไม่เหลืออะไร เหลือแต่ความเชื่อเกาะชายผ้าเหลืองไปสวรรค์ไปนิพพาน พิธีกรรมบนบานศาลกล่าว สะเดาะเคราะห์ ถวายสังฆทาน แล้วก็แข่งกันสร้างวัดรับนักท่องเที่ยว (ทัวร์ปฏิบัติธรรม)
ความเชื่อเหลวไหลแม้ตำหนิกันไม่ใช่พุทธแท้ ผู้มีอำนาจก็พอใจ สามารถใช้ครอบงำคนให้ยอมจำนน
แต่พอไม่อยู่กับเหตุผล มันก็บานเป็นความเชื่อประหลาดอย่างที่เห็น และจะไม่หยุดแค่นี้
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/newspaper-column/news_6357491
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar