ใบตองแห้ง: 7 ปีเสื่อมสุดสู่นิวโลว์
ใบตองแห้ง
7 ปีรัฐประหาร 7 ปีระบอบประยุทธ์ มาถึงจุดเสื่อมสุด แต่ยังเสื่อมกว่านี้ได้อีก เพราะยังไม่ลงจากอำนาจง่ายๆ
ไม่ใช่แค่บริหารวิกฤตโควิดล้มเหลว แล้วโทษประชาชน แก้ต่างปกป้องตนเองจนหมดความเชื่อถือ ความตกต่ำยังลามไปทุกด้าน ทุกองคาพยพ ความยุติธรรม ความเป็นธรรม หรือศีลธรรมจรรยา แบบติดคุกขนยาต่างประเทศยังเป็นรัฐมนตรีได้ ฉ้อโกงนอกเวลาราชการไม่ผิดวินัยทหาร
ทีกับคนเรียกร้องความเป็นธรรม ยืนเฉยๆ “ยืนหยุดขัง” ก็ยังผิด ทีกับสื่อที่ปลุกความเกลียดชัง ให้เงินภาษีไปทำรายการวัฒนธรรม
สถานการณ์เฉพาะหน้า ตัวเลขโควิดรายวันยังไม่ลดลง ซ้ำเจอสายพันธุ์อินเดีย ดูท่าจะไม่สามารถคุมให้เหลือศูนย์ อาจทำได้แค่ปะทะประทัง แล้วหวังพึ่งวัคซีนฉีดปูพรม
แต่ประชาชนไม่เชื่อถือรัฐบาล จนไม่ไว้วางใจหมอ ศบค. ที่อธิบายแก้ต่าง จนไม่เชื่อมั่นวัคซีนจีนที่สั่งมาแก้ขัด มีข่าวคนฉีดแล้วแพ้ก็ไม่ทำให้เคลียร์เหมือนพยายามปกปิด เป็นแค่วัคซีน “กันตาย” ประสิทธิภาพต่ำสุด หมอยังบอกว่าวัคซีนที่ดีที่สุดคือวัคซีนที่มีให้ฉีด
พอคนไม่เชื่อหมอ ไม่เชื่อรัฐบาล ก็ไปขนดารามา PR “บิ๊กคลีนนิ่ง” อวยวัคซีนราวกับขายถั่งเช่าหรือคอลลาเจน “ชมเชื้อตาย” ทั้งที่วัคซีนหลักที่จะใช้คือแอสตร้าเซนเนก้า วัคซีนไวรัลเว็กเตอร์
รัฐบาลทำราวกับว่า ถ้าประชาชนแห่มาฉีดวัคซีนคือชัยชนะทางการเมือง ทั้งที่ไม่ใช่เลย คงมีแต่สลิ่มหัวกล่องกระดาษที่มองว่า ถ้าประชาชนยอมฉีดวัคซีนคือฝ่ายที่วิจารณ์เสียรังวัด
ข้อแรก ประชาชนต้องการฉีด แต่ไม่มีวัคซีนให้ (ไม่ได้เป็นดารานี่หว่า) ข้อสอง ประชาชนจำเป็นต้องยอมรับวัคซีนกันตาย แต่ก็มีสิทธิวิจารณ์ว่า เราควรจะได้วัคซีนที่ดีกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะรัฐบาลล่าช้าแทงม้าตัวเดียว
วัคซีนตัวไหนคุณภาพอย่างไร เดี๋ยวนี้ประชาชนต้องหาอ่านในเพจหมอหนุ่มรุ่นใหม่ เพราะเชื่ออาจารย์หมอ ศบค.ที่คาบนกหวีดมาไม่ได้
การจัดฉีดวัคซีนก็สับสน เดี๋ยวจะให้วอล์กอิน ประยุทธ์สั่งระงับ พอถูกด่ากลับไปลงทะเบียน “ออนไซต์” ต่างกันตรงไหน โฆษกพรรคภูมิใจไทยแย็บซ้ายฮุกขวาได้คะแนนไปเต็มๆ
โควิดไม่พ้นวิกฤต เศรษฐกิจยิ่งวิบัติ ใครยังเชื่อสภาพัฒน์คาดจีดีพีโต 2.5% ผ่านไปทางไหนก็เห็นแต่ร้านรวงปิด ติดป้ายขายเช่าเซ้ง SME คนค้าขายรายย่อยกำลังจะตายกันหมด เดี๋ยวก็จะกลายเป็น NPL กระทบธนาคาร เดี๋ยวคนตกงานเป็นโดมิโน
งบประมาณไม่พอกู้เพิ่ม 7 แสนล้าน เข้าใจได้ แต่จะเปิดสภาอยู่แล้วทำไมต้องออก พ.ร.ก. งุบงิบเข้า ครม. มีกระดาษแค่ 3-4 แผ่น เงินฟื้นฟูเศรษฐกิจ 2.7 แสนล้าน ด้วยอำนาจการเมืองด้วยความไร้ประสิทธิภาพรัฐราชการ เดี๋ยวก็กลายเป็นใช้เรี่ยราดละลายแม่น้ำ เหมือนที่ทำกันมา
คงมีแต่กองทัพ ซื้ออาวุธทันสมัยใช้งบมีประสิทธิภาพ จึงถูกตัดน้อยมาก งบบุคลากรก็เพิ่ม เดี๋ยวคงอธิบายว่าต้องใช้ทหารสู้โควิด โดยเบิกงบกลางคิดเบี้ยเลี้ยงชั่วโมงละ 60 บาท โรงพยาบาลสนาม 100 ล้านบาท แต่โรงพยาบาลสนามตามมหาวิทยาลัย ให้ไปขอบริจาค
ถามว่าสังคมไทยวันนี้ มีฉันทามติหรือยังว่ารัฐบาลประยุทธ์ไปไม่ไหวแล้ว ประชาชนทั่วไปไม่ว่าหาเช้ากินค่ำหรือข้าราชการนักธุรกิจ (ยกเว้นสลิ่ม) ก็จะกระซิบว่าไม่ไหวตั้งนานแล้ว แต่ไม่สามารถเปลี่ยนได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร ยุบสภาลาออก 250 ส.ว.ก็โหวตมาใหม่ จะม็อบไล่หรือเรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญ อำนาจก็ใหญ่โตเกินไป ไม่แยแสสนใจเสียงประชาชนซ้ำจะโดนไล่จับ
รัฐบาลประยุทธ์ถึงจุดเสื่อมสุด มองภายนอกเพราะไร้ฝีมือไร้ความสามารถ แต่ความไร้ฝีมือนี้เริ่มมาตั้งแต่จุดสตาร์ต เพราะรัฐประหาร 2557 เกิดขึ้นเพื่อปกป้องโครงสร้างดั้งเดิม จึงไม่ได้ต้องการผู้นำที่มีฝีมือมีวิสัยทัศน์ พัฒนาศักยภาพแข่งขันกับชาวโลก หากต้องการผู้นำที่ทำตัวเป็นลุง มากำไม้เรียวออกสอนสั่ง ท่องค่านิยม ปฏิรูปประเทศ” ถอยหลังไปในคลองจารีต
5 ปีรัฐประหารมุ่งฟื้นรัฐราชการเป็นใหญ่ อยู่ใต้ระเบียบพิธีกรรม เพิ่มอำนาจฝ่ายความมั่นคง เพื่อควบคุมประชาชน ให้ยึดมั่นอุดมการณ์แห่งรัฐ ชาติศาสน์กษัตริย์ ไม่ได้มุ่งสู่รัฐที่บริการประชาชน ระบบราชการจึงยิ่งเทอะทะอำนาจนิยม ขัดขวางความเจริญ
2 ปีเลือกตั้ง ผสมพันธุ์กับนักการเมืองที่กวาดต้อนมา ที่ยอมเสียสัตย์ ก็ยิ่งเป็นรัฐบาลที่ไร้ฝีมือ กักตำแหน่งสำคัญให้พวกตัวเอง แบ่งเก้าอี้ให้นักการเมืองเป็นเจว็ด (หรือทำมาหากิน) ในทางการเมืองก็ยิ่งเสื่อม ทั้งเจอฝ่ายค้านที่มีวิสัยทัศน์กว่า ทั้งยืมมืออำนาจยุบพรรคตัดสิทธิ และได้คนแบบธรรมนัส, เสกสกล, สิระ, ปารีณา ฯลฯ มาเป็นขุนพล
7 ปีระบอบประยุทธ์มาถึงจุดต่ำสุด แต่ยังทำนิวโลว์ได้อีกเพราะไม่ยอมลง ทั้งประยุทธ์ที่เป็นตัวบุคคลและที่เป็นระบอบ โดยระบอบ ก็ไม่สามารถประนีประนอมยอมคลายอำนาจได้ เพราะจะกระทบโครงสร้างที่รัฐประหารมุ่งปกป้อง โดยตัวบุคคล ประยุทธ์ก็สถาปนาตนเป็นศูนย์รวมอำนาจ เป็นศูนย์กลางแห่งการปกป้องพิทักษ์โดยสลิ่ม อย่างที่หาคนแทนได้ยาก
เพื่อปกป้องโครงสร้างดั้งเดิม ค่าตอบแทนคือ รัฐบาลห่วย ล้มเหลว ผนง. พาฉิบหายอย่างไร ก็เปลี่ยนไม่ได้
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/hot-topics/news_6413940
ใบตองแห้ง
โควิด-19 รายวันตัวเลขไม่ลดลง แม้หักผู้ติดเชื้อในเรือนจำ ยังขึ้น ๆลง ๆ ระดับสองพัน ต่างจากที่คาดการณ์ไว้ว่าถ้าควบคุมเต็มที่ ประชาชนช่วยกันระมัดระวัง น่าจะลดลงทุก 14-21 วัน
โควิด-19 ยังระบาดเป็นคลัสเตอร์ โรงงาน แคมป์คนงาน ตลาด ซึ่งมีแรงงานต่างด้าวแออัด แต่รัฐรู้แล้วทำไมไม่กำหนดมาตรการ เช่นเคลียร์พื้นที่ จัดระยะห่าง ดูแลสุขอนามัยทุกแคมป์ ทุกโรงงาน ไม่งั้นก็ตามรักษาไม่หวาดไม่ไหว
สิระ เจนจาคะ เอาแต่ด่าอิตัลไทย ละเลยแคมป์คนงาน แต่เจ้าหน้าที่รัฐทำอะไรบ้าง ตลาดสะพานใหม่ก็มีข่าว รพ.สนามไม่พอ เลยรับไปแค่คนไทย ทิ้งให้ต่างด้าวกักตัวเอง
ถ้ายังเป็นอย่างนี้ก็คุมไม่อยู่ แถมจะบานปลาย เพราะมาเกือบครบทั้งสายพันธุ์อังกฤษ สายพันธุ์อินเดีย แอฟริกาใต้ ความหวังอย่างเดียวคือฉีดวัคซีนปูพรม แต่วัคซีนหลัก แอสตราเซเนกายังไม่มา ตามสัญญาจะส่งมอบ 6.3 ล้านโดสให้เริ่มฉีด 7 มิถุนายน (ยังไม่รู้ส่งมอบทันไหม) รัฐบาลระดมสั่งซิโนแวคไว้ก่อน 9 ล้านโดส
ทั้งที่องค์การอนามัยโลกยังไม่รับรอง ดาราไทยฉีดซิโนแวคเข้ายุโรปไม่ได้นะ เรตติ้งในสายตาประชาชนก็ย่ำแย่ ไม่ติดอันดับดุสิตโพล แต่เอาเถอะ ถ้ามันมี ประชาชนยอมฉีดกันตาย
ความไม่เชื่อมั่นวัคซีน เกิดจากความไม่เชื่อถือรัฐบาล รัฐบาลก็มุ่งเอาชนะทางการเมือง จะให้ยอมรับวัคซีนจีนให้ได้ ถ้าประชาชนยอมฉีดก็ตีขลุมว่ารัฐบาลชนะ ทั้งที่ไม่ใช่เลย แค่ฉีดกันตาย แล้วก็ด่ารัฐบาลต่อไป
วิกฤตโควิดเปิดให้เห็นความสับสนของระบบราชการ ที่ตะกั่วป่ามีข่าวน่าชื่นชม หมอเดินฉีดให้คนมารับวัคซีน (เป็นวิธีการที่ดีมากควรใช้ทุกแห่ง) แต่ที่พัทยา ให้ชาวบ้านเข้าคิวตั้งแต่ตีสี่ แล้วข้าราชการมาจัดใหม่โวยวายจนต้องเข้าคิวใหม่บ่ายสาม
สาธารณสุขจะจัดวอล์คอิน ประยุทธ์สั่งระงับ แล้วจัดใหม่เป็น “ออนไซต์” ต่างกันแค่ไหนหว่า โฆษกพรรคภูมิใจไทยเลยด่าจนได้ใจคน เลขาอนุทินก็โวย ปล่อยแรงงานต่างด้าวเข้าจนสาธารณสุขรับมือไม่ไหว “ใครช่วยบอกผู้จัดการทีมหน่อย”
แล้วผู้จัดการทีมทำอะไร เสาร์อาทิตย์หยุดราชการ อยู่บ้านไม่ไปทำงาน แค่ให้โฆษกรัฐบาลออกมาแถลงข่าว “ประยุทธ์ห่วงใยประชาชน” หรือ “นายกฯ ปลื้ม ต่างชาติยกไทยที่ 1 ประเทศฟื้นตัว-รับมือระบาดโควิดดีที่สุด” รัฐบาลไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รัฐบาลประสบความสำเร็จในการปลดธงแดง ฯลฯ
จันทร์ถึงศุกร์ก็ไปนั่งหัวโต๊ะประชุม เคาะมาตรการตามราชการเสนอ โดยตัวเองก็ไม่เข้าใจ ชื่อวัคซีนยังเรียกผิด ๆ ถูก ๆ แต่ผูกขาดอำนาจไว้หมด
นี่สมมติประยุทธ์ยกอำนาจ ศบค.ให้ปลัดสาธารณสุขสั่งการ ตัวเองนอนอยู่บ้าน ยังน่าจะดีกว่านี้เยอะเลย แต่ระดับปฏิบัติการก็ไปยกอำนาจให้เลขา สมช. ซึ่งไม่รู้เรื่องโรคระบาด
ภาวะอย่างนี้ ประเทศต้องการนักบริหารสถานการณ์วิกฤต ตัดสินใจฉับไว มีความสามารถในการประสาน คิดเร็ว สมองเร็ว ทำเร็วและทำงานหนัก
“พี่โทนี่” จึงกลับมาข่มกระจุย แม้บางคนเทียบยิ่งลักษณ์สมัยน้ำท่วม แต่ยิ่งลักษณ์ก็ไม่มีอำนาจเท่าประยุทธ์วันนี้ และถ้ายิ่งลักษณ์นอนอยู่บ้านวันหยุด คงถูกไล่เปิงก่อนรัฐประหาร
ประเทศไทยในภาวะวิกฤต มีผู้นำก็เสมือนไม่มี หรือไม่มีเสียยังดีกว่า องคาพยพยังอาจเดินไปได้บ้าง ไม่มัวงมโข่งล่าช้า
ซ้ำร้ายยังมีปัญหาความชอบธรรม ไม่ยอมรับที่มาของอำนาจ โลกออนไลน์ขึ้นแฮชแท็ก #7ปีแล้วไอ้สัส
รัฐประหารอาจไม่ได้ผู้นำโง่เสมอไป รสช.ก็ตั้งนายกฯ อานันท์ (จนได้ความนิยมเกินหน้าทหาร) แต่รัฐประหารที่เน้นความมั่นคง ปกป้องโครงสร้างดั้งเดิม เลือกผู้นำที่ถนัดใช้อำนาจไว้ก่อน (ความสามารถอันดับหนึ่งคือฝึกทหารเกณฑ์)
ผลพวงรัฐประหารเห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังไม่ยอมถอยทั้งโครงสร้างและตัวประยุทธ์เอง
ที่มา: ข่าวหุ้นธุรกิจ www.kaohoon.com/content/448485
ใบตองแห้ง
กลุ่มประชาชน 3 ตน ที่เรียกร้องนายกฯ คนนอก ไปยื่นหนังสือให้ประยุทธ์ลาออก “แรมโบ้” เสกสกล ออกมาบอกว่ารัฐบาลกำลังทำงานหนัก ขอให้พวกเดียวกันสามัคคีไว้ ไม่งั้นจะเข้าทางพวก “ล้มเจ้า”
แค่ดูข่าวชาวบ้านก็หัวร่อก๊าก 7 ปียิ่งกว่าโกหก 7 ปีก่อน ชื่อสุภรณ์เป็นแดงฮาร์ดคอร์ 3 หน่อนั้นก็ปลุกม็อบ คปท. (กองหน้ากล้าตายแทน กปปส.) จนประยุทธ์รัฐประหาร วันนี้กลับข้างฝั่งหนึ่งมาไล่ให้ออก แรมโบ้ยังบอกพวกเดียวกัน
รัฐบาลประยุทธ์ที่จริงก็ซ้ำรอย 29 ปีพฤษภา 2535 รัฐประหารแล้วไปดูดนักการเมืองเป็นฐานสืบทอดอำนาจ อย่างหนากว่าด้วยซ้ำ เพราะสุจินดาไม่ได้ตั้ง 250 ส.ว.โหวตตัวเอง แต่ครั้งนี้กลับอยู่ได้สองปีจนพวกเดียวกันยังทนไม่ไหว
แน่ละ ฝ่ายประชาธิปไตยไม่เห็นด้วยกับนายกฯ คนนอก แต่มันเป็นสัญญาณบอกว่า คนในฝ่ายอนุรักษ์นิยมด้วยกันก็เหลืออดกับประยุทธ์ มองว่าจะพาพังกันหมด (โทษตู่อีกต่างหากว่าทำให้เกิดการก้าวล่วงสถาบัน)
ประชาชน 3 ตนมีน้ำยาอะไรไม่มีกระทั่งมวลชน ก่อนนี้ถือป้ายคนเดียวไปขวางม็อบราษฎร แต่ที่คนมองว่ามีน้ำหนักก็เพราะเชื่อว่ามีคอนเนคชั่น มีเครือข่ายอนุรักษ์นิยมอีกปีกหนุนหลัง เห็นจังหวะประยุทธ์จะพาพัง ออกมาเรียกหานายกฯ คนนอก โดยเสนอชื่อหลอก ๆ 5 คน ตั้งแต่ศุภชัย พานิชภักดิ์, 2 อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ, คู่ชิงหัวหน้าประชาธิปัตย์ (สอบตก) และแพทย์ชนบท ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่
ก็ไม่รู้ว่าพวกนี้บลัฟฟ์ หรือมีอำนาจหนุนหลังจริง ๆ แต่ถ้าดูตอน “ตู่ จตุพร” ตั้งม็อบ ก็มีพวกพันธมิตรออกมาร่วม แต่ไม่สำเร็จ มวลชนเสื้อเหลืองไม่มา มีแต่เสื้อแดงทั้งนั้น จึงพลิกกลับอีกครั้ง เรียกร้องนายกฯ คนนอก โดยแสดงตัวไม่ยุ่งกับพวก “ก้าวล่วง”
ฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่อยากเปลี่ยนประยุทธ์จึงมีจริง แต่ไม่รู้มีมากแค่ไหน มีน้ำยาสักเพียงไร เข้าถึงศูนย์กลางอำนาจหรือไม่
ในวงกว้างออกไป ก็ไม่ใช่แค่ม็อบราษฎรหรือกองเชียร์ฝ่ายค้าน แต่ชาวบ้านทั่วไป พ่อค้าแม่ค้า ภาคธุรกิจ รายเล็กรายใหญ่ ก็น่าจะเห็นพ้องกันว่ารัฐบาลนี้ไม่ไหวแล้ว เพียงแต่ช่วงนี้โควิดระบาดหนัก รอให้ผ่านไปก่อนค่อยไล่
ซึ่งอาจคิดผิดก็ได้นะ เพราะโควิดรอบสามไม่จบง่าย เจอคลัสเตอร์ใหญ่ ๆ แบบชุมชนแออัด แคมป์คนงาน รัฐบาลก็ยังคุมไม่อยู่ ซ้ำยังลามในคุก ซึ่งแม้ไม่สามารถเล็ดรอดออกมาข้างนอก แต่ก็ทำให้ประชาชนด่าเช็ด ว่าโกหกปกปิด ราชทัณฑ์รู้มาครึ่งเดือนกว่าไม่ยอมบอก ใช้วิธี Bubble and Seal ทำให้ติดทั้งคุกจนเกิดภูมิคุ้มกัน ทำราวกับนักโทษเป็นมนุษย์ทดลอง
สื่อต่างประเทศก็เอาไปตีข่าว ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่โตสำหรับรัฐบาลที่ยึดหน้าตาเป็นสำคัญ ทีมเลสเตอร์ได้แชมป์เอฟเอคัพ กระทรวงต่างประเทศก็ภาคภูมิใจราวกับได้ชูถ้วยเพราะผ้ายันต์
ดังนั้นที่บอกว่าอย่าเปลี่ยนม้ากลางศึก ถ้ายอดผู้ติดเชื้อยังลามไม่หยุด อาจคิดผิดถนัด
ความหวังทั้งหมดไปอยู่ที่วัคซีน แต่กว่าจะมีผลยับยั้งการระบาดคงอีก 2-3 เดือน มีผลให้เปิดประเทศ เปิดเศรษฐกิจอย่างเร็วก็ปลายปี ขณะที่วิกฤตอาจมาก่อน สภาพัฒน์เผยไตรมาสแรกติดลบ 2.6% (คือช่วงที่ยังไม่เกิดรอบสาม) แม้ยังประเมินทั้งปี 1.5-2.5% แต่อย่าดูแค่ตัวเลข ดูร้านรวงประกาศปิด ติดป้ายขาย เซ้ง รายย่อยหมดลมหายใจ ถ้าล้มกันหมดก็จะกลายเป็น NPL
สถานการณ์ทั้งหมดน่าจะชัดเจนแล้ว ถึงเวลาเปลี่ยนประยุทธ์ แต่จะเป็นช่วงไหนเมื่อไหร่ เครือข่ายอำนาจทั้งหลายที่หนุนอยู่จะเห็นพ้องหรือไม่ และจะเลือกวิธีใด ตามวิถีประชาธิปไตย แก้รัฐธรรมนูญ ยุบสภา ลาออก หรือนายกฯ คนนอก ซึ่งยิ่งไม่จบ
อันที่จริงก็มาด้วยกันไปด้วยกัน ไม่ใช่ประยุทธ์คนเดียวหรอก ต้องรับผิดชอบทั้งยวง
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar