พรรคเพื่อไทยและผู้สนับสนุน พยายามอ้างว่า “ทุกพรรคมาจากเลือกตั้ง” ผสมพันธุ์กันได้หมด การเมืองเป็นเรื่องของการต่อรอง เป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย
ฟังเหมือนใช่นะ ในยุโรป พรรคอันดับ 2-3-4 จับมือตั้งรัฐบาลโดยไม่เอาพรรคอันดับหนึ่งก็ได้ ถ้านโยบายไปกันได้ แต่มันคงไม่ใช่พรรคเสรีนิยมผสมพรรคนาซีใหม่
บางคนยังอ้างว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องคนดีคนไม่ดี แต่เป็นเรื่องเสียงข้างมากข้างน้อย เป็นเรื่องการหาคนมีความสามารถเข้าไปทำงานให้เรา
ฟังแง่หนึ่งก็เหมือนถูก รัฐประหารใช้ข้ออ้างนักการเมืองเลว ต้องให้คนดีปกครองบ้านเมือง ทำลายล้างประชาธิปไตยจนประเทศวิบัติมา 17 ปี
แต่พอบอกว่า อย่าลุ่มหลงการเมืองสุจริต นักการเมืองพูดเก่ง สวย หล่อ พุ่งเป้าไปที่ก้าวไกล ซึ่งทุกฝ่ายยอมรับว่าชนะเลือกตั้งใสสะอาด ไม่ได้ใช้เงินซื้อเสียง
ก็ต้องถามว่า งั้นเราต้องเลือกเสี่ยเลือกเฮีย บ้านใหญ่อุปถัมภ์ จ่ายแจกเข้าไปต่อรองนำผลประโยชน์ลงพื้นที่ แบบนี้ตลอดไปหรือ จึงเรียกว่าประชาธิปไตยรีลๆ บ้านๆ เป็นมนุษย์ปุถุชนดี ไม่เทวดาดัดจริต
ใช่เลยว่า 17 ปีที่ผ่านมา เราต่อสู้กับทัศนะ “คนดีย์” หนุนรัฐประหาร ทัศนะคนชั้นกลางในเมืองที่มองคนชนบท “จน เครียด กินเหล้า โง่ ถูกซื้อ” เราพยายามอธิบายว่า มันไม่ใช่รับเงินใครแล้วเลือกคนนั้น แต่คนจนคนชนบทจำเป็นต้องพึ่งพิงระบบอุปถัมภ์ พึ่งเครือข่ายเป็นชั้นๆ ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในการทำมาหากินหรือขอความช่วยเหลือต่อสู้ต่อรองกับรัฐราชการ ตำรวจ อำเภอ
ในทางตรงข้าม รัฐประหารต่างหากที่ตรวจสอบไม่ได้ ไม่รู้ทุจริตคอร์รัปชั่นไหม แต่มีเงินตั้งพรรคกวาดต้อนนักการเมืองเหล่านี้ไปรับใช้
การเมืองระบบอุปถัมภ์เกิดขึ้นในข้อจำกัดของสังคมไทย แก้ได้ด้วยการกระจายอำนาจ และด้วยการเมืองนโยบาย แบบพรรคไทยรักไทย
แต่พรรคไทยรักไทยก็ตั้งขึ้นในข้อจำกัดเมื่อ 22 ปีก่อน ทักษิณเคยเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม สืบทอดจากมหาจำลอง หาเสียงด้วยฝาเข่ง สุดท้ายแพ้เลือกตั้งจนเห็นว่าเดินแนวทางนี้ไม่ได้ จึงผสมทั้งนักการเมืองเก่าใหม่ เอาชนะใต้ร่มนโยบาย ได้อำนาจเปลี่ยนประเทศ
เราต้องปกป้องการเมืองระบบอุปถัมภ์ ในแง่ที่ไม่ให้ใช้เป็นข้ออ้างรัฐประหาร แต่ก็ไม่ใช่ย่ำอยู่อย่างนี้ตลอดไป แบบอยากชนะเลือกตั้งก็ไปเจรจากลุ่มบ้านใหญ่เข้าพรรค แลกกับโควตารัฐมนตรี
คนชั้นกลางในเมืองที่เกลียดโกงเกลียดซื้อเสียง เกลียดนักการเมืองบ้านใหญ่ งานบวชงานศพไม่รู้จักกันไม่ต้องมา เขาไม่ได้ผิดนะ แต่ผิดที่เชื่อว่ารัฐประหารปราบโกงได้
ชัยชนะของพรรคก้าวไกล ซึ่งได้มาอย่างขาวสะอาด เกิดจากความอัดอั้นคับแค้น 9 ปีใต้รัฐประหารสืบทอดอำนาจ คนเลือกอยากเห็นการปฏิรูประบบ อยากได้การเมืองใหม่ อยากเปลี่ยนประเทศไปด้วยกัน จึงพร้อมใจเลือกโดยไม่ต้องใช้เงิน แม้บางเขตประชาชนเลือก ส.ส.บ้านใหญ่ไว้พึ่งพิง ก็ยังส้มพรืดในคะแนนปาร์ตี้ลิสต์
การเมืองดีของก้าวไกล ไม่ใช่การเมืองดีย์แบบเจ้าหลักการ ดีแต่พูด เอาดีใส่ตัว ไม่ใช่ “คนดีย์” แบบล่องลอยมา แต่เป็นคนธรรมดาที่ไม่ห่างจากประชาชน คนเลือกก้าวไกลจึงมีทุกชนชั้นไม่ใช่แค่คนชั้นกลาง
ในแง่หนึ่งก็พูดถูกว่าประชาชนไม่ได้เลือกคนดีไม่ดี เขาเลือกนโยบายและความกล้าหาญของพรรคก้าวไกล แต่ก็ประทับใจผู้สมัครคนหนุ่มสาวที่มุ่งมั่น
คนจำนวนหนึ่งกลับหวาดกลัวว่าก้าวไกลจะไปทำลาย “ประชาธิปไตยแบบบ้านๆ กลัวเป็นข้ออ้างรัฐประหารในอนาคต ทั้งที่เห็นอยู่ว่า รัฐประหารสืบทอดอำนาจก็ใช้นักการเมืองอุปถัมภ์นี่แหละเป็นฐานค้ำ
รัฐประหารอ้างศีลธรรมทำลายประชาธิปไตย แต่ประชาธิปไตยไม่ต้องสนใจศีลธรรมเลยหรือไง
ศีลธรรมประชาธิปไตยเบื้องต้น ยังไม่ต้องพูดเรื่องคนดีก็ได้ ต่อให้เป็นพรรคดีๆ ชั่วๆ ก็ต้องทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ไม่ต้องสะอาดบริสุทธิ์ก็ได้ แต่พูดแล้วต้องทำ ไม่ใช่กลับขาวเป็นดำ
คำมั่นสัญญานั้นไม่ใช่แค่ตอนหาเสียง ว่าจะไม่จับมือใคร แต่รวมถึงการประกาศตนเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” ต่อสู้เผด็จการมา 17 ปี มีประชาชนร่วมต่อสู้ ล้มตาย บาดเจ็บ ติดคุก จำนวนมาก โดยเชื่อว่าพรรคจะยืนหยัดมั่นคงในอุดมการณ์
ตรงนี้ต่างหากที่ “ผิดศีลธรรมประชาธิปไตย” โดยไม่เกี่ยวกับคนดีไม่ดี และการที่ประชาชนประณาม ก็ไม่ได้ใช้มาตรฐานคนดีย์แบบรัฐประหาร
พรรคเพื่อไทยอ้างจำเป็นจำใจตระบัดสัตย์ แทนที่จะก้มหน้าขออภัย ไม่รู้ทำไมผู้สนับสนุนปากเก่งเหลือเกิน “ยับแล้วยังสอนคนอื่น” พยายามบิดเบนความหมายประชาธิปไตยจนวิบัติเข้าตัวเอง
ประชาธิปไตยที่เป็นจริงต้องไม่ใช่แบบก้าวไกล ชนะเลือกตั้งโดยไม่ซื้อเสียงคือดัดจริต พรรคที่ทุ่ม 70-80 ล้านต่อเขต เขาก็มาจากประชาชนเหมือนกัน?
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar