รัฐประยุทธ์ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วยการกวาดจับ WeVo ขายกุ้ง 16 คนไปคุมขังโดยไม่ให้ประกัน พร้อมคนขายปฏิทินเป็ดโดน 112 อีกราย
ช่างเป็นการกระทำที่ไม่อาย ฉวยโอกาสโควิดประกาศห้ามชุมนุม ใช้อำนาจตำรวจโดยเหตุผล ทั้งที่โควิดรอบใหม่เกิดเพราะรัฐราชการปล่อยปละแรงงานผิดกฎหมาย ตำรวจมองไม่เห็นบ่อน ที่อยู่ในกูเกิ้ลแม็ป
เริ่มต้นปี 2564 อย่างนี้ ส่งสัญญาณปราบม็อบใช่ไหม ใช้อำนาจโดยไม่แยแสสนใจว่าฝ่ายรัฐกำลังเสื่อมลง คงคิดว่าสามารถปลุกพลังจารีตออกมาตอบโต้ มีขุนพลอย่างหมอตุลย์ ดร.อานนท์ ปลาวาฬ ปลุกพลัง IO สื่อสลิ่ม ให้ร้ายป้ายสี แล้วจะยกระดับจับแกนนำยัดคุกไม่ให้ประกัน คิดว่าม็อบจะไม่กล้าชุมนุมเพราะกลัวอำนาจกลัวโควิด
คิดง่ายไปมั้ง สถานการณ์จากปี 63 ถึงปี 64 คือม็อบยกระดับสูงสุด ในการแสดงพลัง ในการท้าทาย “ติดเพดาน” เพียงแต่ประชาชนไม่มีอำนาจปืนอำนาจกฎหมาย ที่จะเปลี่ยนแปลงได้ จึงอยู่ในขั้นวัดใจว่าใครจะมีความอดทนกว่ากัน ฝ่ายอำนาจอดทนพอไหมที่จะตรึงสถานการณ์ ให้อยู่ในระดับที่ตัวเองยังประคองอำนาจได้ หรือจะทำให้เลวร้ายลง ซึ่งเป็นความเสี่ยงทุกฝ่าย แต่ประชาชนไม่มีอะไรจะเสีย
คิดได้อย่างไรว่าจะปราบคนรุ่นใหม่ แล้วหมุนโลกถอยหลัง? ปิดโลกออนไลน์ปิดกั้นความรับรู้ทั้งมวล ทำลายค่านิยมเรื่องสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค บังคับให้ท่องประวัติศาสตร์แห่งความกตัญญูรู้คุณ ปิดกั้นความจริง ให้ยอมรับว่าประเทศไม่ใช่ของประชาชน ให้นั่งพับเพียบเชื่อฟังครูโดยไม่ต้องมีเหตุผล อยู่ในระเบียบเสื้อผ้าหน้าผม แล้วจะเป็นคนดี มีความคิดของตัวเองไม่ได้ ไม่ใช่คนดีย์
นี่มันโลกยุคไหนกัน มีแต่พวกมินเนี่ยนหยิบมือเท่านั้น ที่เชื่อว่าคุณงามความดี ศีลธรรมของประเทศ ผูกไว้กับรูปเคารพ ความเชื่อถือศรัทธา ไม่งั้นโลกแตกสลาย คนรุ่นใหม่ที่กำลังทยอยเติบโตมา ล้วนเชื่อในเหตุผล เคารพคนด้วยคุณค่า ไม่ใช่อ้างอำนาจประเพณีบังคับข่มขู่ ถ้าจะรักครูก็ด้วยความใส่ใจเข้าใจ เกิดเป็นลูกยังไงก็เคารพรักพ่อแม่ แต่พ่อแม่ก็ต้องเคารพสิทธิที่เขาจะเลือกวิถีชีวิตตัวเอง รับผิดชอบตัวเองได้
สำมะหาอะไรกับใครไม่รู้ ที่ได้อำนาจโดยไม่ชอบธรรม ไม่เคยรับผิดชอบอะไรสักอย่าง ไม่เคยตักน้ำใส่กะโหลก เก่งแต่สั่งสอนให้ชาวบ้านทบทวนตัวเอง
พลังคนรุ่นใหม่จึงไม่ใช่ใช้อำนาจปราบได้ แม้จับแกนนำได้ คนรุ่นใหม่เติบใหญ่ขึ้นทุกวัน พวกมินเนี่ยนต่างหากตายลงทุกวัน
แล้วนี่ก็ไม่ใช่ยุคทองของอำนาจจารีต เหมือนทศวรรษ 2520 ที่หลัง 6 ตุลา ปราบนักศึกษา ปราบความคิดใหม่ แล้วสามารถปรับตัวได้ กลับสู่ประชาธิปไตยครึ่งใบ สถาปนาอำนาจนำ ครอบงำความคิดคนรุ่นถัดมาให้เป็น “สลิ่ม”
นี่มันยุคศีลธรรมสาธารณะเสื่อม อำนาจพังทุกมิติ รวมถึงกระบวนการยุติธรรม คนรุ่นใหม่กล้าวิจารณ์ทุกอำนาจ รัฐราชการก็เละเทะ ฉ้อฉล ประสิทธิภาพต่ำ เก่งแต่ใช้อำนาจ อย่างการจัดการปัญหาโควิด แรงงานต่างด้าว บ่อน ทำให้ภาพลักษณ์ตำรวจติดฝ่าเท้า
ถ้าโควิดติดวันละพันวันละหมื่น ก็อย่ามาโทษชาวบ้านเดินทางท่องเที่ยว รัฐบาลนั่นแหละลักปิดลักเปิด กำหนดมาตรการก้ำกึ่ง ใจหนึ่งก็กลัวโควิด ใจหนึ่งก็กลัวเศรษฐกิจพัง สุดท้ายเละทั้งสองอย่าง ที่คุยว่าประยุทธ์จัดการโควิดเก่งที่สุดในโลก พังพาบพริบตา
โควิดรอบนี้ ไม่มีทางที่จะทำให้ประยุทธ์เป็นพระเอก มีแต่จะยิ่งถูกด่า นะจ๊ะๆ
เศรษฐกิจปี 64 เห็นๆ ว่าจะย่อยยับต่อ แม้รัฐบาลทุ่มเงินกู้ บัตรคนจน คนละครึ่ง แต่คนชั้นกลาง ผู้ประกอบการรายย่อย จะยิ่งถดถอยภายใต้ยุค Disrupt แบบเหลื่อมล้ำ มีแต่หุ้นขึ้นเพราะ “ระยองไม่พบบ่อน ตลาดหุ้นไม่พบปั่น” ซึ่งก็ไม่รู้ฟองสบู่จะแตกเมื่อไหร่ ความไม่พอใจทางเศรษฐกิจจะเป็นอีกแรงกดดัน สังเกตให้ดี NGO ที่เคยต่อต้าน “ทุนสามานย์” กับม็อบคนรุ่นใหม่ เริ่มไปสู่ทิศทางเดียวกัน ต้านทุนผูกขาดที่ผูกกับอำนาจเผด็จการ
นี่คือทิศทางที่ระบอบอำนาจเสื่อมลงทุกด้าน หรือพวกเขาคิดว่าถ้าปล่อยนานไปจะยิ่งเสื่อมจนไม่สามารถจัดการคนรุ่นใหม่ หรือเริ่มหมดความอดทนที่จะต่อสู้เรียกคะแนนนิยม แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ความคิดสยบม็อบคนรุ่นใหม่โดยไม่ปรับตัวเอง มีแต่จะเร่งให้สถานการณ์เลวร้ายไปทางใดก็ได้
ม็อบคนรุ่นใหม่ไม่ได้ขึ้นกับแกนนำ จับคนเป็นร้อยๆ ก็ยังไปปะทุทางอื่น ทั้งการต่อสู้ทางวัฒนธรรม การศึกษา ค่านิยม ความเชื่อ วิพากษ์วิจารณ์ได้ทุกแนวรบ
การกวาดจับแกนนำ ไม่ได้ทำให้ข้อเรียกร้องปฏิรูปถูกลบไป การต่อสู้จะปะทุขึ้นในรูปแบบใหม่ๆ หรือม็อบครั้งใหม่ที่คาดไม่ถึง มองไม่ออก
ปีที่แล้วใครคาดคิดบ้าง ปีใหม่นี้ก็อาจเกิดอะไรไม่คิดไม่ฝันเช่นกัน
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/hot-topics/news_5651469
หลังจากปล่อยให้เที่ยวต่างจังหวัด 4 วัน หรืออันที่จริง สถานประกอบการจำนวนมากปิดตั้งแต่วันที่ 25-26 ธ.ค. ปล่อยคนเดินทางทั่วประเทศมาเกินสัปดาห์ศบค.ก็ประกาศให้ 28 จังหวัดเป็นพื้นที่สีแดง 11 จังหวัดเป็นพื้นที่สีส้ม หรือพื้นที่กันชน ที่เหลือเป็นพื้นที่เฝ้าระวัง เพิ่มความเข้มข้นในการปิดสถานประกอบการ จำกัดการเดินทาง แถมจะห้ามนั่งร้านอาหาร
เพียงแต่มาตรการบังคับยังไม่ชัดเจน โยนกันไปโยนกันมา เป็นกึ่งๆ ล็อกดาวน์ที่ ศบค.ไม่ให้เรียกว่าล็อกดาวน์ กลัวจะเป็นภาระจ่ายค่าเยียวยา ทีแรกจะผลักให้จังหวัดออกคำสั่ง (ถึงขั้นสั่งเคอร์ฟิวได้ด้วย) แต่จังหวัดก็ไม่อยากถูกด่า เช่น กทม.บอกว่าถ้าจะห้ามนั่งร้านอาหารก็ต้องกำหนดร่วมกันทั้งปริมณฑล ในเบื้องต้น แค่เพิ่มมาตรการเช่นให้ตั้งโต๊ะห่างกัน
ใครจะอยากรับเผือกร้อนให้ชาวบ้านผู้ประกอบการด่า เพราะประการแรก ประชาชนเข็ดแล้วกับมาตรการระเบิดภูเขาเผากระท่อม ฉิบหายเท่าไหร่ช่างมัน มุ่งล้างผลาญไวรัสเป็นศูนย์ แบบล็อกดาวน์ครั้งที่ผ่านมา ประการที่สอง ประชาชนเริ่มรู้ว่าโควิดป้องกันได้ อยู่กับมันได้ และโควิดครั้งนี้ กรมควบคุมโรคก็บอกเองว่า แพร่เร็วแต่รุนแรงน้อยกว่า เพิ่งมีตัวเลขนอนไอซียูแค่ 11 คน
ประการที่สาม สำคัญที่สุด ความฉิบหายครั้งนี้เกิดจากความฉ้อฉลไร้ประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่รัฐ ยังจะผลักภาระให้ประชาชน
สมาคมภัตตาคาร ซึ่งคัดค้านมาตรการห้ามนั่งกินอาหารในร้าน จะสร้างความเสียหายแสนล้านก็โวยว่าการระบาดรอบสองไม่ได้มีมูลเหตุต้นตอมาจากร้านอาหาร “แท้จริงการระบาดรอบ 2 มาจากกลุ่มธุรกิจที่ผิดกฎหมายทั้งหมด” แล้วจะมาผลักภาระได้อย่างไร
จริงไหมล่ะ ประชาชนไม่เคยการ์ดตกโควิดไม่ได้ระบาดจากม็อบโควิดไม่ได้ระบาดจากคอนเสิร์ตโควิดไม่ได้ระบาดจากการใช้ชีวิตประจำวัน โควิดระบาดจากขบวนการส่งผู้หญิงไทยไปค้าบริการในเมียนมาร์ โควิดระบาดจากเครือข่ายค้ามนุษย์ ลักลอบค้าแรงงานต่างชาติ หรือรีดไถ ปล่อยปละให้แรงงานต่างชาติตกค้างกลายเป็นผิดกฎหมาย
เลวร้ายที่สุด คือโควิดระบาดจากบ่อนในภาคตะวันออก ซึ่งกระจายไปมากกว่าตลาดกุ้งมหาชัยเสียอีก
แต่ตำรวจบอกว่าไม่มีบ่อน ทั้งที่เห็นในกูเกิลแมพ สำนักงานสาธารณสุขก็ระบุสถานที่ ว่าใครไป “ลักลอบเล่นการพนัน” ตรงนั้นตรงนี้ให้รีบรายงานตัว ชาวบ้านรู้กันทั่ว ตำรวจไม่รู้ การย้ายแค่ผู้การจังหวัด ระยอง ชลบุรี ก็ไม่ช่วยอะไร บ่อนมีมาก่อนผู้การย้ายไป ในกรุงเทพฯ ก็เห็นชัดๆ ตำรวจระดับสารวัตรถูกยิงตาย รัฐบาลยังทำเป็นไม่รู้ไม่รับผิดชอบ
พอโดนชาวบ้านด่า แทนที่จะยอมรับ ประยุทธ์กลับโทษคนวิจารณ์ว่าหวังผลการเมือง ตำหนิข้าราชการที่โพสต์แฉบ่อนว่าจะมีความผิดฐานรู้แล้วไม่แจ้งต้นสังกัด
โควิดรอบแรก อันที่จริงก็ซูเปอร์สเปรดจากเวทีมวยทหาร มีอภิสิทธิ์ (เจ้ากรมสวัสดิการโดนย้ายแต่สุดท้ายก็กลับที่เดิม ตำแหน่งที่มีอำนาจจัดสรรผลประโยชน์) แต่ครั้งนั้นประชาชนยังคิดว่า ทำอย่างไรก็คงสกัดไม่อยู่ มันคงระบาดอยู่ดี
แต่ครั้งนี้เห็นตำตา โควิดรอบใหม่ระบาดจากความบกพร่องฉ้อฉล ยังจะบอกให้ประชาชนรับผิดชอบตัวเอง รับผิดชอบสังคม อดทน เสียสละ หยุดเชื้อเพื่อชาติ รวมใจไทยต้านภัยโควิด ฯลฯ ผู้ประกอบการต้องรับภาระ ร้านนวดฟิตเนสกวดวิชา ฯลฯ ถูกสั่งปิด ฝ่าฝืนไม่เชื่อฟังคำสั่งโดนปรับหนึ่งแสนจำคุกหนึ่งปี โดยยังไม่มีมาตรการชดเชย
ทำอย่างนี้จะไม่ให้ประชาชนโกรธได้อย่างไร ประชาชนที่เชื่อมั่นให้ประยุทธ์นำประเทศฝ่าโควิด คงยังเหลือแต่ประชาชนในซูเปอร์โพลเท่านั้น
แม้ตอนนี้ยังแสดงออกไม่ได้ แต่เอาไว้คอยดูหลังโควิดจาง พลังแห่งความโกรธความไม่พอใจความเสียหายที่เกิดจากประชาชนไม่ได้ก่อ จะปะทุออกมาอย่างไร
ที่มา: ข่าวหุ้นธุรกิจ https://www.kaohoon.com/content/412812
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar