ความจริงย่อมลอยขึ้นเหนือน้ำ เหนือฟ้าเสมอ
"ความจริงย่อมลอยขึ้นเหนือน้าเหนือฟ้าเสมอ" ตอน รัชกาลที่9 คนบาปในคราบนักบุญ ภาคต้นโดยชมรมคนเคยรักเจ้า แห่งประเทศไทยณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2011 เวลา 6:40 น.
รัชกาลที่ ๙คนบาปในคราบนักบุญแม้รัชกาลที่ ๙ ได้เป็นกษัตริย์แล้วแต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากจอมพล ป.พิบูลสงครามนายกรัฐมนตรีที่มีอานาจมากที่สุดในช่วงก่อนหน้าปี๒๕๐๐ ทั้งนี้เพราะจอมพล ป. รู้เช่นเห็นชาติพระองค์เป็นอย่างดีจึงมิได้มีความเคารพนับถือแม้แต่น้อย ยิ่งเป็นเผ่าศรียานนท์ด้วยแล้ว ถึงกับขู่ว่าจะเปิดโปง “กรณีสวรรคต” โดยการจ้างนายสง่า เนื่องนิยม นักไฮปาร์ก สมญา “ช้างงาแดง”ป่าวประกาศกึกก้องกลางสนามหลวงหน้าพระบรมมหาราชวังที่ประดิษฐานของพระเศวตฉัตรว่า จะเปิดเผยตัวผู้ฆ่ารัชกาลที่ ๘ เมื่อมีประชาชนมารอฟังนายสง่า เนื่องนิยมจำนวนมาก นายสง่าก็ปีนขึ้นไปยืนบนที่สูงกลางท้องสนามหลวง ในวันที่ ๒๔ มิ.ย. ๒๕๐๐ และร้องก้องว่า “ผู้ฆ่ารัชกาลที่ ๘ คือ.”...” แล้วเอาแว่นตาขึ้นมาสวมทำท่าประหลาด
เพื่อบอกใบ้ให้คนดูรู้ว่าฆาตกรคือ รัชกาลที่ ๙ โดยไม่พูดอะไรอีก แม้นายสง่าแสดงกิริยาเช่นนี้ต ารวจของเผ่าก็มิได้จับตัวนายสง่าไปลงโทษแต่อย่างใด (นายสง่าถูกจับตัวไปลงโทษภายหลังในสมัยสฤษดิ์ ธนะรัชต์)ส่วนจอมพลป. มีมาดที่สุขุมกว่านี้ ต่อหน้าประชาชนแล้ว จอมพล ป. จะย้ำว่าตนจงรักภักดีกษัตริย์ แต่ในที่ลับนั้นจอมพล ป. ได้เตรียมการที่เปิดโปง รื้อฟื้นการพิจารณาคดีสวรรคตขึ้นมาใหม่(๑) ซึ่งสิ่งนี้รัชกาลที่๙ ทนไม่ได้ จึงเปิดตัวออกมาเล่นการเมืองอย่างเปิดเผย ในวันที่ ๒๕ ม.ค. ๒๕๘๘ ทรงเริ่มปราศรัยในวันกองทัพบกว่าทหารไม่ควรเล่นการเมือง รัฐบาลจึงได้น าเอาบทความของ ดร.หยุด แสงอุทัย ออกอากาศทางวิทยุ แสดงความเห็นว่า “องค์พระมหากษัตริย์ไม่พึงตรัสสิ่งใดที่เป็นปัญหาหรือเรื่องราวเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเมืองหรือทางสังคมของประเทศโดยไม่มีรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ...”เพื่อเป็นการโต้ตอบพวกศักดินาเคียดแค้นบทความนี้มากพากันโจมตีเป็นการใหญ่รัชกาลที่ ๙ ฉวยโอกาสที่มีประชาชนไม่พอใจนโยบายเผด็จการของจอมพล ป. กันมากเป็นเครื่องมือรุกทางการเมือง โดยไม่ยอมลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งส.ส. ประเภท ๒ ตามที่รัฐบาลจอมพล ป. เสนอไป ในขณะเดียวกันก็พยายามท าให้ความสัมพันธ์ระหว่างสฤษดิ์ธนะรัชต์กับตนเองกระชับมากขึ้นและแล้วสฤษดิ์ก็ร่วมมือกับรัชกาลที่ ๙ ด้วยการพาเอาพรรคพวกลาออกจากการเป็น ส.ส.ประเภท ๒ เป็นจ านวนมาก และไม่ยอมสนับสนุนจอมพล ป. อีกต่อไป จนกระทั่งท าการรัฐประหารในปี ๒๕๐๐ สฤษดิ์ ยกย่องรัชกาลที่ ๙ ให้ได้รับเกียรติยศมากขึ้นและฟื้นฟูพระราชพิธีที่ล้าหลังเช่นแรกนาขวัญอันถูกยกเลิกไปในระยะหลังปี ๒๔๗๕ ในอดีตนั้นประเพณีนี้ล้าหลังถึงขั้นที่ว่า ถ้ากษัตริย์ยังไม่ได้ประกาศให้มีการแรกนาขวัญในแต่ละปีแล้ว ประชาชนจะท าไร่ท านาไม่ได้เป็นอันขาดทีเดียว(๒) มิฉะนั้นจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก ในฐานะที่บังอาจท าอะไรข้ามหน้าข้ามตากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ เองได้พยายามสนับสนุนการปกครองที่บีบคั้นเสรีภาพของประชาชน เขาได้กล่าวสุนทรพจน์สนับสนุนสฤษดิ์อยู่เนืองๆโดยไม่คานึงถึงความผิดชอบชั่วดีเลยว่าผู้ที่ตนสนับสนุนนั้นเป็นจอมเผด็จการที่คอรัปชั้นทรัพย์ของแผ่นดินไปนับพันล้านบาทส่วนราชินีก็เช่นเดียวกันคราวหนึ่งราชินีกับรัชกาลที่ ๙ได้รับการสนับสนุนจากสฤษดิ์ให้ไปเยือนออสเตรเลีย ในฐานะตัวแทนแห่งประเทศไทย ขณะที่ทรงประทับอยู่หน้าศาลาเทศบาลเมืองซิดนีย์นั้นมีประชาชนจานวนหนึ่งโปรยใบปลิวลงจากหน้าต่างตึกหน้าศาลาเทศบาลนั้น กระจายในหมู่ฝูงชน มีข้อความโจมตีสฤษดิ์ว่าเป็นฆาตกรประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ราชินีทนอ่านข้อความนี้ไม่ได้เลย เพราะโดยพื้นๆนั้นทรงโปรดอ่านแต่เรื่องภูตผีวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านโหราศาสตร์ของไคโรโหรจากอังกฤษ(๓) (ก่อนที่จะสวดมนต์ภาวนาก่อนนอนวันละ ๒ ชม.) (๔) จึงแต่งหนังสือโต้ตอบกับประชาชนที่เกลียดชังเผด็จการดังกล่าวว่า ตนเองได้รู้จากนักเรียนไทยในออสเตรเลียว่าผู้ที่ต่อต้านสฤษดิ์ที่
ซิดนี่ย์นั้นเป็น“...องค์การลับของพวกแดงที่มีทุนรอนมาก...” ทรงแสดงความเห็นว่า “ข้าพเจ้าอดที่จะนึกไม่ได้ว่าคงจะต้องเป็นองค์การใหญ่ที่มีเงินมากอย่างแน่นอนจึงมีทุนทรัพย์และหนทางที่จะสืบเรื่องเมืองไทยได้อย่างละเอียดลออ และยังลงทุนพิมพ์ใบปลิวมากมายไว้โปรยเล่นตอนเราได้รับเชิญมาเมืองนี้...”ทรงโต้แทนสฤษดิ์ว่า “...เหตุผลของเขาในการต าหนิรัฐบาลเรา ฟังไม่ค่อยขึ้น คนที่เขาเรียกว่าผู้บริสุทธิ์ในใบปลิวก็คือพวกที่โดนประหารชีวิตเพราะวางเพลิงกับพวกที่กระท าจารกรรมและอาชญากรรมต่างๆในเมืองเรานั่นเอง...”(๕) ตกลงราชินีก็เช่นเดียวกับผู้ที่นิยมลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จคนอื่นคือพอเห็นใครต่อต้านโจมตีการใช้อานาจเผด็จการป่าเถื่อนกดหัวประชาชนโดยไม่คานึงถึงศีลธรรมเข้าก็หาว่าผู้นั้นเป็นคอมมิวนิสต์เป็นแดงเป็นซ้ายและอะไรต่อมิอะไร ที่จะเสกสรรปั้นเรื่องขึ้นเป็นเหตุผลในการปิดปากประชาชนต่อไป โดยพอใจที่จะยกย่องรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นคนขี้โกงเช่นสฤษดิ์ว่าเป็น”รัฐบาลของเรา”มากกว่าที่จะเห็นอกเห็นใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ถูกคอรัปชั่นจนยากจนสูญเสียโชควาสนาและความหวังในชีวิตไปแทบจะหมดสิ้นขณะที่รัชกาลที่ ๙ และราชินีกาลังร่วมมือกับสฤษดิ์เพื่อรื้อฟื้นฐานะของสถาบันกษัตริย์ให้สูงขึ้นนั้นในกลุ่มศักดินาด้วยกันเองก็ไม่ละเว้นที่จะแก่งแย่งชิงความเป็นใหญ่ในแผ่นดินทุกขณะ ...... ตราบเท่าที่ต าแหน่งกษัตริย์ยังคงมีอยู่ในประเทศไทย จึงขอย้อนกล่าวถึงการแก่งแย่งราชสมบัติระหว่างพวกศักดินาจนกระทั่งฝ่ายมหิดลได้เป็นกษัตริย์ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้วนั้น เรื่องนี้ได้สร้างความเคียดแค้นให้ฝ่ายจักรพงษ์มากจึงมีการวางแผนอย่างลึกซึ้งโดยให้เครือญาติของตนเข้าไปมีส่วนร่วมในสถาบันกษัตริย์ เพื่อให้ราชสมบัติกลับมายังพวกตนบ้าง ถ้าเอาคนในตระกูลจักรพงษ์เข้าไปสัมพันธ์ทางสายโลหิตกับตระกูลมหิดลโดยตรงก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวดังนั้นจึงวางแผนเอาตระกูลที่ใกล้ชิดกับตนคือตระกูลกิติยากรเข้าไปสัมพันธ์กับพระองค์เจ้าภูมิพล (รัชกาลที่ ๙)รัชกาลที่ ๙ ทรงพระราชสมภพที่รัฐนิวยอร์คสหรัฐอเมริกาทรงได้รับการศึกษาที่สวิสเซอร์แลนด์ โดยเริ่มจากวิชาการแพทย์แล้วทรงเปลี่ยนเป็นรัฐศาสตร์ เมื่อพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของราชวงศ์จักรีการดาเนินชีวิตของพระองค์ในต่างประเทศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ทรงโปรดทั้งดนตรีงานสังคมและทรงโปรดการขับรถเร็วเป็นพิเศษ ด้วยพระองค์ทรงอยู่ในวัยหนุ่มและชอบสนุก จึงเปิดช่องให้ฝ่ายจักรพงษ์ใช้แผนลับดังกล่าวผ่านรัชกาลที่๙ ซึ่งจะดูแนบเนียนมากฝ่ายจักรพงษ์ได้ร่วมมือกับฝ่ายกิติยากรส่งมรว.สิริกิตกิติยากรธิดาของกรมหมื่นจันทบุรีซึ่งเป็นทูตไทยในอังกฤษขณะนั้นให้ไปช่วยรักษาพยาบาลรัชกาลที่๙ อย่างใกล้ชิดที่สวิสเซอร์แลนด์ภายหลังที่พระองค์ทรงเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
จนกระจกทิ่มเอาพระเนตรบอดสนิทไปข้างหนึ่ง จากเสน่ห์ของสาวแรกรุ่นและความใกล้ชิดทาให้รัชกาลที่๙ ทรงติดเนื้อต้องใจมรว.สิริกิตด้วยความประทับพระทัย พระองค์จึงมอบแหวนธรรมดาวงหนึ่งให้เพื่อเป็นการตอบแทนน ้าใจของมรว.สิริกิตฝ่ายจุลจักรพงษ์และกิติยากรเห็นเป็นนิมิตรหมายที่ดีจึงฉวยโอกาสประโคมข่าวออกมาว่า รัชกาลที่ ๙ ทรงหมั้นมรว.สิริกิตจนทาให้พระองค์ตกกระไดพลอยโจน ต้องทรงประกาศการหมั้นอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา และได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสในปี ๒๔๙๓ ขณะนั้นรัชกาลที่ ๙ ทรงมีพระชนมายุได้ ๒๒ พรรษา, มรว.สิริกิตมีอายุได้๑๗ ปีอย่างไรก็ตาม อีกไม่นานต่อมารัชกาลที่ ๙ กับพระชนนีก็ได้เริ่มเข้าพระทัยว่าการแต่งงานครั้งนี้คงจะต้องมีเบื้องหลัง ทรงไม่พอพระทัยมากที่ไปตกหลุมพราง จึงทรงผูกใจเจ็บและพยายามหาทางตอบโต้อีกฝ่ายหนึ่งครั้นแล้วพระวโรกาสก็มาถึงเช้าวันหนึ่งขณะที่กรมหมื่นจันทบุรีพระบิดาของราชินีก าลังวิ่งออกก าลังกายในกิจวัตรปกติ เพื่อเป็นการกระตุ้นเลือดลมให้เดินสะดวกยิ่งขึ้นหลังจากออกก าลังกายเสร็จ รัชกาลที่ ๙ ทรงยกสุราให้ดื่มแก้วหนึ่ง หลังจากที่กรมหมื่นจันทบุรีดื่มแล้วก็ได้เสียชีวิตลงในวันนั้นเองแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานอย่างเด่นชัดว่าการตายของกรมหมื่นจันทบุรีมีสาเหตุจากรัชกาลที่ ๙ ตาฝ่ายกิติยากรและญาติวงศ์ต่างไม่พอใจจึงเก็บความคับแค้นนี้ไว้ในส่วนลึกของหัวใจเบื้องหลังเหตุการณ์ที่แท้จริงเป็นเช่นไรรัชกาลที่๙ และพระชนนีจะทรงเล่าได้ดีที่สุด ความรักใคร่ปรองดองของทั้งสองพระองค์ เริ่มห่างเหินและทรงกินแหนงแคลงใจมากขึ้นเป็นล าดับ หลายๆครั้งที่แสดงออกถึงการพยายามจะชิงความเป็นใหญ่ดังจะได้กล่าวในโอกาสต่อไปแม้ว่ารัชกาลที่ ๙ และราชินีจะทรงบาดหมางใจกันจนเข้ากันไม่ได้แต่ในสภาพที่ต่างก็มีผลประโยชน์มหาศาลร่วมกันในสถาบันกษัตริย์ การขัดแย้งจึงเป็นเรื่องภายในแต่หลังฉากแล้วความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นภาพพจน์ที่สาคัญซึ่งจะด ารงความศรัทธาของปวงชนที่มีต่อสองพระองค์ ยิ่งในภาวการณ์ที่ถูกอิทธิพลทหารบีบเช่นรัฐบาลถนอมประภาสการกลมเกลียวเพียงหน้าฉากยังไม่เพียงพอทั้งสองพระองค์บ่อยครั้งที่ต้องปรึกษาความกันจนสว่าง มีความร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อแสดงบทขอความเห็นใจจากประชาชน ทั้งนี้ก็เพื่อต่อต้านกับพลังใดๆที่บังอาจมาท าลายสถาบันผลประโยชน์อันล้าหลังของตนในช่วงที่รัฐบาลถนอมประภาสเรืองอานาจอยู่นั้นประภาสไม่ลงรอยกับศักดินาใหญ่มาตลอด เป็นเพราะต่างก็ต้องการเป็นใหญ่เหนือผู้อื่นในแผ่นดิน อีกทั้งประภาสสามารถกาความลับเรื่องสังหารรัชกาลที่๘ อยู่ด้วย จึงเห็นได้ว่าการ
กระทำของกลุ่มถนอม ประภาสมีลักษณะแข่งขันและไม่ไว้หน้าศักดินาใหญ่มากขึ้นเป็นลาดับเช่นนางไสวจารุเสถียรชอบแต่งตัวแข่งขันกับราชินีสิริกิตตลอดเวลาไม่ว่าราชินีสิริกิตจะทรงแต่งกายอย่างฟุ่มเฟือยเพียงใดนางไสวจะต้องแต่งให้ได้เทียมนั้นนับเป็นการพยายามแข่งขันที่น่าสังเวชมากณรงค์เองถึงกับประกาศก้องในหมู่เพื่อนทหารขณะมึนสุราอย่างน้อย ๒ ครั้งว่า “กูนี่แหละ จะเป็นประธานาธิบดีคนแรกของเมืองไทย” ครั้งหนึ่งที่เพชรบุรี อีกครั้งหนึ่งที่เพชรบูรณ์ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของกษัตริย์ภูมิพลหรือราชินีสิริกิตจะมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งนายทหารและพลเรือนเข้าถวายพระพรเป็นประจาทุกปีแต่ในช่วงก่อนเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ จะพบว่าไม่มีชื่อของประภาส-ไสว ณรงค์ กิติขจรและภรรยาเข้าไปถวายพระพรเลยในช่วงนั้นฝ่ายศักดินาใหญ่พยายามปล่อยข่าวว่าประภาสส่งคนไปยิงฟ้าชายวชิราลงกรณ์ที่ออสเตรเลียเพื่อเป็นการปลูกความจงรักภักดีในสถาบันกษัตริย์และเป็นการทาลายประภาสไปในตัวซึ่งวิธีการอันแนบเนียนนี้เป็นวิธีการที่ทั้งสองพระองค์ทรงโปรดปรานมาก นิยมน ามากลั่นแกล้งและท าลายผู้ที่ล่วงรู้ความลับอันเลวร้ายและไม่ยอมอ่อนข้อให้พระองค์เป็นประจ า ขณะที่กลุ่มถนอม ประภาสมีอ านาจและมีก าลังทหารในมือพร้อมที่จะโค่นศักดินาใหญ่ได้ฝ่ายศักดินาใหญ่ก็มีประชาชนจานวนมากที่ให้การสนับสนุนด้วยความงมงายตามประเพณีนิยมในภาวะขณะนั้นฝ่ายศักดินาใหญ่แม้จะเสียเปรียบอยู่บ้างแต่ก็ไม่อาจสร้างก าลังใดๆได้เลย นอกจากต ารวจชายแดนจ านวนไม่มากที่ทรงให้ความสนิทสนมโดยส่วนพระองค์ของพระชนนีและกษัตริย์ภูมิพล ปัญหาฐานอ านาจของศักดินาคือกาลังติดอาวุธนี่เป็นสิ่งที่กลุ่มทหารที่กุมอานาจตระหนักและกีดกันสถาบันกษัตริย์หลัง ๒๔๗๕ มาตลอดและเป็นความเจ็บปวดของฝ่ายศักดินาที่จดจาได้แม่นยาจนเป็นบทเรียนสาคัญดังจะเห็นได้ในระยะหลัง๑๔ ตุลาที่ศักดินาใหญ่พยายามแทรกอิทธิพลของตนเข้าไปในหมู่ทหารและข้าราชการสาคัญๆรวมทั้งการเล่นเล่ห์เพทุบายเพื่อหาคนหัวอ่อนและงมงายในตนขึ้นมาคุมอ านาจต่างพระกรรณอันจะเป็นฐานอานาจที่แท้จริงในการค้าจุนสถาบันกษัตริย์ซึ่งนับวันจะเสื่อมด้วยความเหลวแหลกของคนในสถาบันเองอย่างไรก็ตาม ก าลังของทั้งสองฝ่ายก็ไม่อาจทาลายล้างกันได้ในทันทีเช่นกันปัญหาของทั้งสองฝ่ายคือ การคอยจ้องหาโอกาสเหมาะๆที่อีกฝ่ายเพลี่ยงพล ้า เพื่อท าลายอีกฝ่ายลงไปให้ได้ครั้นแล้วโอกาสก็มาถึง ในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ในช่วงนั้นอดีตผู้นานักศึกษาและอาจารย์กลุ่มหนึ่งทาการเรียกร้องรัฐธรรมนูญซึ่งรัฐบาลถนอมร่างมา๑๐ ปียังไม่เสร็จประภาสสั่งจับคนเหล่านี้โดยตั้งข้อหาฉกรรจ์ว่าเป็นกบฏและคอมมิวนิสต์ทาให้นักเรียนนักศึกษาประชาชนลุกขึ้นต่อสู้ทั่วประเทศนับล้านคนเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยคนทั้ง ๑๓ และให้รัฐธรรมนูญโดยเร็ว ในขณะที่สถานการณ์ตึงเครียดติดต่อกันหลายวันก าลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีแก่ถนอม ประภาสในตอนใกล้รุ่งของ
วันที่ ๑๔ ตุลาคมได้มีวิทยุลับจากพระราชวังสั่งให้มนต์ชัยพันธ์คงชื่นซึ่งเผชิญหน้าฝูงชนอยู่ที่สวนจิตรลดาให้ตะลุมบอนตีนักศึกษาเพื่อหวังก่อคลื่นต่อสู้ในหมู่ประชาชนที่มีต่อ ๓ ทรราชย์ขึ้นมาใหม่ มีการจลาจลกันทั่วไปในกรุงเทพฯ ผู้คนเสียชีวิตเกือบ๑๐๐ คนขณะเดียวกันตารวจชายแดนนอกเครื่องแบบก็ถูกศักดินาใหญ่ส่งตัวออกไปปลุกความเกลียดชังและรวมทั้งก่อวินาศกรรมเผาตึกหลายแห่ง พร้อมกับเปิดประตูวังต้อนรับนักศึกษาประชาชนเพื่อคุ้มภัยให้อันเป็นการฉวยโอกาสสร้างความนิยมในพระองค์ท่ามกลางความชิงชัง๓ ทรราชย์ในหมู่นักศึกษาประชาชนพระองค์โดดเด่นขึ้นมาเป็นเทพบุรุษในดวงใจของประชาชนแต่อีกมือหนึ่งก็ร่วมมือกับกฤษณ์สีวะราใช้อานาจทางทหารบีบให้๓ ทรราชย์บินออกนอกประเทศโดยหน้าฉากกษัตริย์ให้คามั่นสัญญาต่อหน้า๓ ทรราชย์ว่าจะไม่ยึดสมบัติอันมหาศาลของพวกเขา และจะให้กลับเข้าประเทศอย่างแน่นอนเมื่อเรื่องสงบลง แต่หลังเหตุการณ์ไม่นาน กษัตริย์กลับสนับสนุนให้ยึดสมบัติของพวกเขา และแสดงท่าทีเฉยเมยต่อการขอกลับประเทศในระยะ ๒ ปีแรกการแย่งผลประโยชน์กับการหักหลังเป็นของคู่กันกษัตริย์ซึ่งถือกันว่าเป็นผู้สูงส่งก็หาได้พ้นจากวิถีการแก่งแย่งด้วยการหักหลังผู้อื่นก็หาไม่ โอกาสใคร โอกาสมัน ผู้กาชัยชนะที่แท้จริงในวันมหาวิปโยคหาใช่ประชาชนเราท่านตามที่เข้าใจกันแท้ที่จริงคือ สถาบันพระมหากษัตริย์หรือกษัตริย์ภูมิพลจอมวางแผนหลัง ๑๔ ตุลาอานาจการปกครองจึงหวนกลับมาสู่อ้อมอกของกลุ่มศักดินาอีกครั้งหนึ่งหลังจากการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เมื่อ๒๔๗๕ และต้องอยู่เบื้องล่างกลุ่มทหารมาตลอดนายสัญญาธรรมศักดิ์องคมนตรีเป็นคนที่กษัตริย์ทรงไว้วางพระทัยมากที่สุดคนหนึ่ง ได้รับการแต่งตั้งจากพระองค์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีหลังเหตุการณ์นองเลือดสัญญาธรรมศักดิ์ใช้ความเกลียดชังต่อ๓ ทรราชย์ของปวงชน สร้างความนิยมให้สถาบันกษัตริย์ด้วยการเหยียบ ๓ ทรราชย์ให้จมดินซ้ายังโยกย้ายนายทหารตารวจที่เป็นเส้นสาย๓ ทรราชย์ออกจากตาแหน่งสาคัญๆทางราชการในช่วงนี้อิทธิพลศักดินาใหญ่ค่อยๆเข้าแทนที่อิทธิพลของกลุ่มทหารโดยสรรหาบุคคลที่จงรักภักดี ไม่ว่าจะจริงใจหรือด้วยความทะเยอทะยาน เข้ามามีบทบาททางราชการเมืองเช่นสมัครสุนทรเวช(ครั้งสมัยยังอยู่ประชาธิปัตย์) พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์(นายทหารภูธรขณะนั้น) พล.ต.อ.มนต์ชัยพันธ์คงชื่นอธิบดีกรมตารวจในช่วงนั้นพร้อมกับการปรับปรุงตารวจชายแดนฐานกาลังสาคัญของตนให้มีอาวุธทันสมัยขึ้นแต่ก็ไม่อาจเข้าครอบงาทหารตารวจทุกส่วนเพราะทหารต ารวจบางคนที่มีอ านาจอยู่แล้ว ไม่คิดที่จะไปเกาะขาหรือชายกระโปรงใครทั้งสิ้นเช่นพวกทหารยังเติร์กและนายตารวจที่เข้าร่วมกบฏใน๑ เมษา ๒๕๒๔ ซึ่งพวกเขาเชื่อมั่นในความสามารถของตนมากกว่าการเดินเส้นสายกษัตริย์เพราะต้องเอาใจและปฏิบัติตามความมักใหญ่ใฝ่สูงรวมทั้งความคิดพิเรนๆของศักดินาใหญ่่่
นอกจากกาลังทหารตารวจแล้วศักดินาใหญ่ยังพยายามหาฐานก าลังสนับสนุนจากชาวบ้านด้วยการตั้งกลุ่มลูกเสือชาวบ้านนวพลกระทิงแดงด้วยความบันเทิงความเชื่องมงายเพื่อดารงความภักดีของพวกเขาต่อไปด้วยการพระราชทานผ้าพันคอให้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิดให้สายสะพายเหรียญตรารวมทั้งสนับสนุนด้านเงินทอง นับวันก าลังของศักดินาใหญ่จะเข้มแข็งขึ้นแต่ความขัดแย้งภายในระหว่างกษัตริย์และราชินีไม่มีทีท่าจะลดลงเลยในช่วงที่คึกฤทธิ์ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานสภาสนามม้าซึ่งเป็นสภาชุดพระราชทาน แต่งตั้งโดยกษัตริย์ภูมิพล พระองค์ทรงมอบให้คึกฤทธิ์แก้กฎมณเฑียรบาลเสียใหม่โดยให้สตรีมีสิทธิ์ที่จะเป็นกษัตริย์ได้เช่นกันทั้งนี้เพื่อพระองค์จะได้หนุนฟ้าหญิงสิรินธรพระธิดาองค์โปรดของพระองค์ให้มีโอกาสเป็นกษัตริย์ได้และจะได้เป็นตัวแทนของราชวงศ์สายสามีขณะที่ราชินีสิริกิตติ์พยายามจะทรงดันลูกชายปัญญาอ่อนสุดที่รักขึ้นเป็นกษัตริย์ เพื่อตนจะได้เข้ากุมบังเหียนตามแผนที่ฝ่ายกิติยากรและจักรพงษ์ได้ร่วมวางไว้การพยายามสร้างชื่อเสียงและปลูกฝังความจงรักภักดีในหมู่นักศึกษาของศักดินาใหญ่กลับไม่เป็นไปตามที่กษัตริย์ภูมิพลคาดการณ์พระองค์ทรงเอาใจศูนย์นิสิตด้วยการทรงเสด็จไปพระราชทานเพลิงศพวีรชน พระราชทานโอวาทและให้การสนับสนุนนักศึกษาหลายๆประการแต่ด้วยความตื่นตัวของภาวะการเมืองในระยะนั้นนักศึกษาหาได้ติดกับสถาบันกษัตริย์ซึ่งสวยหรูแต่ภายนอกพวกเขากลับลุกขึ้นเพื่อต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมเพื่อสิทธิเสรีภาพเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คนโดยเฉพาะชาวนา กรรมกรอย่างขนานใหญ่และส่งผลกระทบกระเทือนผลประโยชน์กลุ่มศักดินาอย่างใหญ่หลวงสุดกาลังของทั้งสองพระองค์จะเหนี่ยวรั้งไว้ได้ศักดินาใหญ่จึงหันมาวางแผนเพื่อกาจัดคนรุ่นหนุ่มสาวมิให้เป็นเสี้ยนหนามพระองค์ต่อไปโดยก่อนหน้านี้ไม่นาน ครอบครัวกษัตริย์ได้ไปให้พระหมอดูท านายอนาคต พระองค์นั้นบอกว่าราชวงศ์จักรีถึงฆาตชะตาขาดเสียแล้วในรัชกาลนี้หากจะให้มีรัชกาลที่ ๑๐ ต่อไปแล้ว กษัตริย์ต้องท าการอย่างใดอย่างหนึ่งทางการเมือง ตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไปจากนั้นต้องฆ่าประชาชนสัก๓๐,๐๐๐ คนช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือ กันยายน-ตุลาคม โดยให้พวกทหารจัดการให้ นอกจากนั้นพระหมอดูยังได้เสนอให้แก้เคล็ดลางร้ายด้วยการให้พระองค์และฟ้าชายนอนลงในโลงศพและนาเลือดหญิงสาวพรหมจรรย์ของผู้ที่ไม่หวังดีต่อสถาบันกษัตริย์มาชาระพระบาททั้งสองข้าง ด้วยความงมงายอย่างยิ่งยวดและความหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมเพื่อคนยากไร้ในยุคนั้นกษัตริย์และราชินีกับราชนิกุลกลับคิดถึงความอยู่รอดของบัลลังก์เฉกเช่นบรรพบุรุษของตนในทุกยุคที่ผ่านมาเมื่อมีเหตุการณ์แหลมคมใดๆเกิดขึ้นในบ้านเมือง ก็ยินดีที่จะให้ความฉิบหายบังเกิดแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์และบ้านเมืองยิ่งกว่าการเสียผลประโยชน์ลาภยศความสุขและการเสียสละส่วนพระองค์ของสถาบันกษัตริย์เลยเหล่าราชนิกุลของราชวงศ์จักรีสายมหิดลได้ตัดสินพระทัยที่จะปฏิบัติตามคาทำนาย
หลังวันที่ ๑๒ สิงหาคมอันเป็นวันครบรอบวันเกิดของราชินีสิริกิตติ์ไม่นานตามแผนการลับขั้นที่ ๑ ให้จัดส่งประภาสให้บินกลับเมืองไทยเพื่อทดสอบการต่อต้านของปวงชนทั้งสองพระองค์ได้แสดงออกอย่างเด่นชัดในการคัดค้านการต่อต้านของนักศึกษาและประชาชนด้วยการอนุญาตให้ประภาสเข้าเฝ้ามอบช่อดอกไม้และออกค่าใช้จ่ายจานวน๕ แสนบาทเพื่อเป็นค่าเที่ยวบินพิเศษในการน าประภาสกลับไทเป ก่อนจากไปมีการอนุญาตให้ประภาสปรากฏตัวทางโทรทัศน์ เพื่อแสดงบทขอความเห็นใจจากประชาชนโดยอ้างว่าตนเอง ตาก าลังใกล้บอดต้องการมารักษาในเมืองไทยเดิมทีถนอมเคยขอสัญญาให้ตนเองกลับประเทศแต่ศักดินาใหญ่กับทหารบางคนเป็นตัวการอ้างความไม่พอใจของประชาชน โกหกถนอมว่ายังไม่ถึงเวลานั้นแต่เมื่อศักดินาใหญ่ต้องการสร้างสถานการณ์ปราบนักศึกษากลับแต่งคนไปเชื้อเชิญ๓ ทรราชย์และให้การต้อนรับอย่างดี โดยได้รับการคุ้มครองอย่างเข้มแข็งจากนายพลทหารบกคนหนึ่งชื่อยศเทพหัสดินทร์หลานประภาสนั่นเองในช่วงก่อนที่ประภาสจะเข้ามาเมืองไทยในวงการทหารมีการเปลี่ยนแปลงดุลยอ านาจอย่างมากเมื่อกฤษณ์สีวะราผู้บัญชาการทหารบกด่วนตายไปก่อนด้วยการถูกวางยาพิษขณะเข้าโรงพยาบาลมงกุฎด้วยโรคสามัญ แท้จริงกฤษณ์ต้องการใช้โรงพยาบาลเพื่อการประชุมนายทหารคนสนิทวางแผนเตรียมยึดอานาจมาสู่กลุ่มตน แต่ถูกยศ เทพหัสดินทร์ ลูกน้องที่ไว้ใจได้ของกฤษณ์หักหลัง เพราะกฤษณ์คัดค้านการพยายามกลับเข้ามาของ ๓ ทรราชย์ตั้งแต่หลัง ๑๔ ตุลา กฤษณ์เป็นผู้คุมก าลังทหารมากที่สุดในขณะนั้น ไม่เห็นด้วยกับแผนการขยายอ านาจของกษัตริย์ภูมิพลในกลุ่มทหารและพยายามขัดขวางพระองค์ นี่เป็นสาเหตุการตายที่สาคัญเมื่อมามองประวัติศาสตร์ในยุคหลังจากนี้ไม่กี่ปี ได้มีนายทหารหลายคนที่จะได้เป็นผู้บัญชาการทหารระดับสูงแต่ต้องเสียชีวิตในลักษณะที่คล้ายๆกันไม่ทราบสาเหตุเด่นชัดเช่นพล.อ.อ านาจ ด าริกาญจน์,พล.อ.อ.คารณลีละศิริซึ่งแต่ละคนล้วนแต่ขัดแย้งกับศักดินาใหญ่ทั้งสิ้นและก็มีข่าวลือว่าเป็นเพราะ“ค าบัญชาจากเบื้องบน” ทุกครั้งไปเรื่องทานองนี้เป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วในบรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่เช่นครั้งหนึ่งขณะที่มีการแข่งขันเลือกตั้งที่ร้อยเอ็ดพล.อ.เกรียงศักดิ์ชมะนันท์เป็นนายทหารที่มีจิตใจประชาธิปไตย หากได้รับเลือกตั้งจะเป็นก าลังสาคัญของฝ่ายประชาธิปไตยในการต้านทานอิทธิพลอันแสนจะล้าหลังของกษัตริย์ ในขณะรณรงค์เลือกตั้ง พล.อ.เกรียงศักดิ์เกิดเป็นไข้หวัดและต้องการไปพักผ่อนแต่ผู้ใกล้ชิดทุกคนต่างเตือนไม่ให้พล.อ.เกรียงศักดิ์เข้าโรงพยาบาลเพราะเกรงว่าจะเสียชีวิตอย่างกะทันหันเช่นนายพลคนที่ตายอย่างมีเลศนัยเพราะบังอาจไปบดบังรัศมีของสถาบันพระมหากษัตริย์กฤษณ์ก็เช่นกันการขึ้นเป็นรัฐมนตรีกลาโหมตามที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอ จะท าให้กฤษณ์สามารถผนึกก าลังได้เข้มแข็งยิ่งขึ้นและอ านาจอันควรตกแก่กษัตริย์จะยิ่งริบหรี่ลงทุกวัน แน่นอนกษัตริย์และราชินีย่อมทนในสิ่งนี้ไม่ได้ใครผู้บังอาจขวางทางพระองค์ ก็จะต้องมีอันเป็นไปตามพระบัญชา
แผนร้ายได้เริ่มขึ้นด้วยการปลุกปั่นลูกเสือชาวบ้านนวพลกระทิงแดงให้จงเกลียดจลชังนักศึกษาเป็นพิเศษใช้กลไกราชการขัดขวางประณามและใส่ร้ายหาว่านักศึกษาไม่หวังดีต่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์เป็นพวกคอมมิวนิสต์รวมทั้งใช้ศาสนามาสร้างความขลังให้พระเทศน์ตลอดจนการเข้าทรงใช้เครื่องรางต่างๆเช่นผ่านสานักปู่สวรรค์ซึ่งพวกเขาตั้งขึ้นเพื่อทาลายอีกฝ่ายโดยเฉพาะ,พระกิตติวุฒิโฑแห่งจิตภาวัน ฯลฯ รวมทั้งการแต่งเพลงปลุกใจ มอมเมาให้ชาวบ้านรังเกียจพวกนักศึกษาและศูนย์นิสิตอย่างยิ่งทั้งที่เด็กรุ่นหนุ่มรุ่นสาวเหล่านี้อยากเห็นสังคมที่มีความยุติธรรม และเปิดโอกาสให้ปัญหาความยากจน ความเน่าเฟะของประเทศได้รับการแก้ไขเท่านั้น ถ้าผู้มีอ านาจในประเทศเข้าใจ และเปิดโอกาสให้พวกเขามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสังคมบ้างอย่างค่อยเป็นค่อยไปความรุนแรงและนองเลือดจะต้องลดน้อยลงกว่าภาวะปัจจุบันอย่างแน่นอนและยังให้โอกาสสังคมเปลี่ยนแปลงอย่างสันติได้มากขึ้นด้วยแผนลับขั้นที่ ๒ ได้เริ่มขึ้นเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๑๙ มีการส่งพระถนอมเข้ามาเมืองไทยในรูปของสามเณร เพื่อมาบวชเป็นพระที่วัดบวรนิเวศอันเป็นวัดหลวงที่กษัตริย์เคยบวช สามเณรถนอมเข้ามาทั้งๆที่คณะรัฐมนตรีมีมติห้ามเข้ามา พระถนอมได้รับความคุ้มครองจากต ารวจรอบวัด รวมทั้งการอารักขาจากพล.ท.ยศ เทพหัสดินทร์แม่ทัพภาค ๑ ในช่วงนี้เองที่ฝ่ายสนับสนุนศักดินาใหญ่ได้เผยโฉมออกมาอย่างชัดเจนพระนวพลกิตติวุฒโฑพูดออกอากาศทางโทรทัศน์ว่า “การกลับเข้ามาและการบวชของพระถนอม ได้รับพระบรมราชานุญาตและพระราชด าริเห็นชอบจากพระเจ้าอยู่หัว ฉะนั้นพระถนอมจึงเป็นผู้บริสุทธิ์” นายสมัคร สุนทรเวชรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยในขณะนั้นได้ให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้ว่า“ผมได้รับพระราชกระแสรับสั่งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เป็นผู้ยุติเรื่องนี้”วันต่อมาสมัครก็เดินทางไปนราธิวาสเพื่อเข้าเฝ้ากษัตริย์และราชินีทั้งสองพระองค์ซึ่งทาทีว่าไม่รู้เรื่องมาตั้งแต่ต้นโดยได้หลบดูเหตุการณ์อยู่ภาคใต้ได้รีบเสด็จขึ้นกรุงเทพฯในวันที่ ๒๓ กันยายน และเข้าเยี่ยมพระถนอมทันทีที่ลงจากเครื่องบินที่ท่าอากาศยานดอนเมืองเช่นเดียวกับฟ้าชายวชิราลงกรณ์ซึ่งกลับจากออสเตรเลียก็ตรงเสด็จเข้าเยี่ยมพระถนอมทันทีในวันที่ ๓ ตุลาคม แทนที่จะเข้านมัสการพระแก้วมรกตตามปกติการแสดงท่าทีเช่นนี้เป็นการประกาศสนับสนุนพระถนอม และคัดค้านการต่อสู้ของนักศึกษาประชาชนที่ให้จับฆาตกรมาลงโทษอย่างตรงไปตรงมา
โอกาสอันเหมาะสมที่สุดได้เกิดขึ้นเมื่อนักศึกษากลุ่มหนึ่งได้จัดแสดงละครเลียนแบบการแขวนคอช่างไฟฟ้า๒ คนที่ออกติดโปสเตอร์ต่อต้านพระถนอม แต่พวกศักดินาได้ฉวยโอกาสตกแต่งฟิล์มที่ถ่ายรูปตัวละครนั้นเสียใหม่ให้เหมือนเจ้าฟ้าชายจากนั้นก็ใช้วิธีการที่พวกตนถนัดนักหนาโหมปลุกระดมความจงรักภักดีทั้งทางหน้าหนังสือพิมพ์และวิทยุอย่างขนานใหญ่โดยกล่าวหานักศึกษาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วยการแสดงละครแขวนคอฟ้าชาย เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจแก่ชาวบ้านที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุในต่างจังหวัดมากพวกเขาหลงเชื่อคาโฆษณาโดยเฉพาะลูกเสือชาวบ้านถึงกับถูกหลอกให้มาเที่ยวกรุงเทพฯแต่กลับตาลปัตรได้มาชุมนุมที่พระบรมรูปรัชกาลที่ ๕ เพื่อให้ดูเหมือนว่าชาวไทยโกรธแค้นแทนสถาบันกษัตริย์ขณะเดียวกันพวกศักดินาได้ร่วมกับทหารบางกลุ่มตระเตรียมพวกอันธพาล กระทิงแดง ต ารวจชายแดน รวมทั้งทหารพลร่มป่าหวายติดอาวุธร้ายแรงครบครับ ล้อมทางเข้าออกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทุกด้านวันแห่งการนองเลือดได้มาถึงเมื่อเช้าตรู่วันที่๖ ตุลาคม หนุ่มสาวผู้มีแต่สองมือเปล่าถูกระเบิดกระสุนซัดดังห่าฝนตายและบาดเจ็บอย่างอเนจอนาถบางคนถูกจับแขวนคอเผาทั้งเป็นอย่างสยดสยอง ผู้หญิงบางคนถูกข่มขืนแล้วฆ่าอย่างไร้ความปรานีบางคนถูกทรมานเอาไม้ตอกทั้งเป็นเอาไม้แทงเข้าช่องคลอดของเด็กสาวผู้ไร้เดียงสา และแล้วเลือดบริสุทธิ์จากหญิงสาวพรหมจรรย์ก็ได้ถูกน าไปล้างพระบาททั้งสองข้างของพระมหากษัตริย์ไทยผู้สูงส่งตามพิธีกรรมทางไสยศาสตร์อันพิสดารชีวิตผู้คนจานวนนับร้อยนับพันผู้ไร้ความผิดต้องตกเป็นเหยื่อของความโง่เขลาเบาปัญญาและความมัวเมาในอานาจของกษัตริย์และราชินีทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึงเหตุการณ์มหาวิปโยคในวันที่ ๖ ตุลาคม ยากยิ่งที่ชาวไทยจะไม่หวน
ระลึกถึงกษัตริย์ภูมิพลและราชินีสิริกิตติ์คนบาปในคราบนักบุญผู้บงการและอยู่เบื้องหลังการตายอันน่าขนพองสยองเกล้าของเหล่านักศึกษาผู้บริสุทธิ์ในตอนเย็นวันที่ ๖ ตุลาคม กลุ่มทหารก็ประกาศยึดอ านาจโดยมีพลเรือเอกสงัด ชลออยู่(รัฐมนตรีกลาโหมในขณะนั้น)เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ ก่อนหน้ามีการประกาศยึดอ านาจในเย็นวันนั้น มีการพบปะระหว่างกษัตริย์ภูมิพลและพล.อ.อรุณ ทวาทสินเพื่อไปทาบทามพลเรือเอกสงัดชะลออยู่ให้เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติเมื่อพลเรือเอกสงัดทราบว่ากษัตริย์ทรงสนับสนุนการปฏิวัติครั้งนี้อย่างยิ่งจึงได้ยอมรับ หลังจากนั้นได้มีการจัดตั้งรัฐบาลโดยนายธานินทร์กรัยวิเชียรผู้มีความคิดคับแคบและใช้อานาจเผด็จการในการบริหารประเทศตามอาเภอใจร่วมกับนายสมัครสุนทรเวชรัฐมนตรีมหาดไทยทั้งสองต่างก็เป็นผู้ใกล้ชิดและวางพระทัยของสถาบันกษัตริย์โดยเฉพาะราชินีสิริกิตติ์เห็นได้ชัดว่าการได้ดิบได้ดีของนายสมัครมาจากลักษณะมักใหญ่ใฝ่สูง ถีบตัวขึ้นมาจากการเกาะชายกระโปรงของฝ่ายหญิง พร้อมกับการถีบส่งเพื่อนร่วมงานและผู้มีบุญคุณทุกคนแม้แต่นายธรรมนูญเทียนเงินและพรรคประชาธิปัตย์ผู้โอบอุ้มทางการเมืองตั้งแต่สมัครยังไม่มีชื่อเสียงใดๆในช่วงหลัง๖ ตุลาไม่นานราชินีสิริกิตติ์ผู้กาบังเหียนรัฐบาลชุดใหม่ ได้มีบทบาทมากและพยายามสร้างฐานอานาจของตนให้มั่นคงยิ่งขึ้นในกลุ่มลูกเสือชาวบ้านโดยเฉพาะในเขตภูธรที่เป็นของกษัตริย์ภูมิพล และในวันที่ ๕ พฤศจิกายน๒๕๑๙ ราชินีและฟ้าชายได้พาประธานลูกเสือชาวบ้านจานวนหนึ่งไปสาบานตนกลางดึกในวัดพระแก้ว ว่าจะรับใช้และจงรักภักดีต่อราชินีเสมอไปการใช้เล่ห์กลสารพัดเพื่อหลอกล่อผูกมัดทางจิตใจชาวบ้านและข้าราชการระดับต่างๆอย่างเช่นตัวอย่างข้างต้นมักจะมีเป็นประจ า บางครั้งถึงกับจัดงานฉลองเลี้ยงอาหารในพระราชวังเป็นการส่วนพระองค์เองมีการแจกของที่ระลึกเหรียญตราเป็นกรณีพิเศษพวกทหารเสือราชินีและทหารที่ค่ายนวมินทรชลบุรีเป็นตัวอย่างของขุมกาลังที่ราชินีผู้มักใหญ่ใฝ่สูงได้พยายามสร้างขึ้นมาจากศรัทธาและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเหล่าทหารพวกเขายังหลงคิดว่าการเสียสละให้กับราชินีเป็นคุณอันใหญ่หลวงต่อประเทศชาติแท้จริงการเสียสละของเขาไม่เพียงแต่ไร้ค่า แต่ยังสร้างความฉิบหายกับประเทศโดยส่วนรวมโดยที่เขาไม่เข้าใจเลยสมเด็จพระราชินีสิริกิตติ์เติบโตมาจากพระราชวงศ์ชั้นปลายแถวเป็นเด็กหญิงหม่อมราชวงศ์ตัวเล็กๆที่เคยศึกษาในโรงเรียนสามัญเช่นเดียวกับลูกชาวบ้านทั่วไปที่โรงเรียนสายปัญญา ครั้นต่อมาได้เป็นราชินีด้วยอุบายอันแนบเนียนของพระบิดาและญาติวงศ์ที่ใกล้ชิดเช่นจักรพงษ์และสนิทวงศ์สมเด็จทรงมีลักษณะทะเยอทะยานใฝ่สูงเป็นพิเศษ ยิ่งมีอ านาจสูงก็ยิ่งหลงระเริง ทรงเป็นสตรีที่เจ้าเล่ห์เพทุบายมักเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สาคัญๆของบ้านเมือง บางครั้งถึงกับออกหน้าอย่างทระนงเช่นการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารหลังเหตุการณ์๑๔
ตุลา ๒๕๑๖ เกือบทุกครั้งแต่ที่โด่งดังคือการตั้งเปรมติณสูลานนท์จากผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้บัญชาการทหารบก พร้อมกับเตะโด่ง เสริม ณ นคร ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น ไปเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด การต่ออายุเปรมในตาแหน่งผู้บัญชาการทหารบกซึ่งเป็นตาแหน่งที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศโดยสมเด็จสั่งให้อาทิตย์เล่นเกมส์นี้ร่วมกับพระองค์แม้คณะรัฐมนตรีหลายท่านจะคัดค้านเพราะไม่ชอบด้วยตัวบทกฎหมาย แต่ในที่สุดคณะรัฐมนตรีต้องอนุมัติอย่างเฝื่อนๆด้วยจ ายอมต่อ “ข้อมูลใหม่”ซึ่งก็คือพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จอีกครั้งหนึ่งที่เด่นมากและมีผลต่อการเปลี่ยนดุลยอ านาจในหมู่ทหารอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือคือ กรณีหักหลังกลุ่มยังเติร์กในกบฏวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๔ สมเด็จเป็นผู้ดึงดันให้กษัตริย์ภูมิพลและเปรมทรยศต่อยังเติร์ก และพากันหนีไปตั้งกองบัญชาปราบกบฏที่โคราช ทั้งๆที่เปรมและกษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้เปิดไฟเขียวให้พวกยังเติร์กและสัณห์ปฏิวัติเองช่วงจังหวะอาทิตย์ได้โดดเด่นขึ้นมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงคุมทั้งแม่ทัพภาค ๑ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก, ผู้อ านวยการรักษาพระนคร ฐานอ านาจทางทหารจึงตกอยู่ในมือของสมเด็จโดยผ่านอาทิตย์ ก าลังเอก,ทหารเสือราชินีที่สมเด็จทรงโปรดปรานเป็นพิเศษบางครั้งการใช้อานาจของสมเด็จเป็นไปอย่างมัวเมาโดยไม่เคยคานึงถึงผลกระทบต่อประเทศชาติเลยเช่นกรณีกลุ่มยังเติร์กอยากขอเข้ารับราชการทหารใหม่ซึ่งน่าที่จะอนุญาตเพราะจะเป็นการสมานความแตกร้าวในกองทัพมิให้สลายเป็นเสี่ยงๆมากไปกว่านี้อีกทั้งจะยังเป็นการรักษาสมรรถภาพของกองทัพในการตั้งรับกองทัพเวียดนามที่ก าลังจ่อคอหอยประเทศไทยอยู่ขณะนี้ เพราะกลุ่มยังเติร์กเป็นนายทหารที่มีฝีมือ ผ่านการรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพลทหารมาอย่างโชกโชน ขณะที่ผู้บัญชาการระดับกรมและกองพันส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักร่วมรบกับลูกน้องในห้องแอร์พวกเขา๒๐ คนเศษจึงเป็นกาลังที่สาคัญของกองทัพไทยแต่สมเด็จไม่ได้มองเห็นคุณค่าของพวกเขาเลย สมเด็จห่วงอ านาจของตนในกองทัพบกมากกว่าห่วงสถานการณ์ทางชายแดน พระองค์จึงใช้สิทธิพิเศษในการวีโต้ทุกครั้งไม่ว่าใครจะมาเพียรพยายามขอร้องอย่างใด ค าตอบก็คือ “ไม่”บทบาททางการเมืองทั้งลับและเปิดเผยด้วยลูกไม้อันแพรวพราวของสมเด็จ เป็นที่ลือเลื่องกันไปทั่วในหมู่ข้าราชการทหารตารวจพลเรือนชั้นผู้ใหญ่วงการนักการเมืองและนักธุรกิจชั้นสูงต่างยกย่องสมเด็จในนามสมญาต่างๆและใช้กันอย่างกว้างขวางบ่อยครั้งที่หนังสือพิมพ์มีการเขียนค่อนแคะด้วยพระสมญานามอย่างครื้นเครงเช่น“พระนางอสรพิษ” “ซูสีไทเฮา” “ผู้บัญชาการผบ.ทบ.” “คาสั่งเบื้องบน” เป็นต้น จนรู้กันทั่ว เดี๋ยวนี้ข้าราชการคนใดอยากเป็นใหญ่เป็นโตในพริบตาก็ต้องผ่านเส้น“สมเด็จ” เพียงแค่กราบใต้เบื้องพระบาทงามๆ และปฏิบัติตามค าบัญชาของพระองค์จนมีผลงานให้ดูเสมือนหนึ่งจงรักภักดี และจะพยายามถวายชีวิตนี้ให้พระองค์เท่านั้นความยิ่งใหญ่นั้นก็จะมาได้อย่างง่ายดายจนถึงกับมีนายทหารพูดว่า “อยากเป็นผู้การ ก็ให้ไปกราบท่าน”นี่จึงเปิดช่องให้พวกมักใหญ่ใฝ่สูงแต่ด้อยฝีมือต้องเข้ามาซบอกเกาะขอบชายกระโปรงตามๆกันเช่นพล.อ. อาทิตย์ ก าลังเอก, นายสมัคร สุนทรเวช, นายพลต ารวจเจริญฤทธิ์ จ ารัสโรมรัน,นายพิศาล มูลศาสตร์สาทร, นางทมยันตี, อุทารสนิทวงศ์เป็นต้นนอกจากสมเด็จจะเป็นผู้มัวเมาในอานาจแล้วยังทรงใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อในเรื่องฉลองพระองค์(๖) และการรักษาพระสิริโฉมอันเหี่ยวย่นซึ่งร่วงโรยไปตามสังขารให้กลับเต่งตึงหวานซึ้งราวสาวแรกรุ่นพระองค์ทรงยินดีที่จะเสียพระราชทรัพย์ไม่ว่าสักเพียงใดเพื่อให้ประเทศไทยมีราชินีที่ยังสาวและสวยสง่าเป็นศรีแห่งแว่นแคว้นตลอดไป จนถึงกับมีข่าวเกรียวกราวว่าพระองค์ทรงเสด็จไปอเมริกาเพื่อยกเครื่องใหม่ในปี ๒๕๒๓(๗) แม้จะอ้างว่าไปเพื่อรักษาโรคภูมิแพ้ก็ตามทีแท้จริงพระองค์ก็มีพระชนมายุอีกเพียงปีเดียวก็ครบ ๕๐ พรรษา การมีพระวรกายตามพรรษาจริงก็มิได้ทาให้ประเทศชาติต้องเสื่อมเสียหรือพินาศลงไปเลยแม้แต่น้อย กลับจะทรงเป็นแบบอย่างที่ดีงามของประชาชนแต่การใช้จ่ายเงินภาษีของชาติในภาวะที่เศรษฐกิจฝืดเคืองประชาชนอดอยากไปทั่วอย่างฟุ้งเฟ้อไร้สติเช่นนี้รังแต่จะท าผู้คนนินทา ด่ากันไปทั่วทั้งแผ่นดินการวางพระองค์และพระท่วงท่าที่แสดงออกก็เป็นสิ่งที่ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันมากเช่นการประพาสอเมริกาปลายปี๒๕๒๔ พระองค์ทรงโอบกอดเต้นร ากับหนุ่มชาวนาอเมริกาอย่างสนิทแน่นและภาพนี้สื่อมวลชนทั่วโลกรวมทั้งภายในประเทศมีการนามาตีแผ่กันทั่วเป็นภาพที่น่าสลดสังเวชมากที่พระราชินีไทยไม่มีการไว้พระองค์ในฐานะสตรีผู้สูงศักดิ์ที่พึงมีสมบัติกุลสตรีไทยบ้างตามสมควร,อีกครั้งหนึ่งราวปี ๒๕๒๐ พระองค์ทรงนั่งป้อนพระขนมแก่ชายหนุ่มลูกเสือชาวบ้านคนหนึ่ง ด้วยท่วงท่าที่น่าชมเชย ดั่งหญิงสาวแรกแย้มป้อนขนมให้คู่รักของตน ภาพนี้ได้รับการตีพิมพ์ในข่าวสังคมหน้าในของหนังสือพิมพ์เป็นภาพที่บัดสีขนาดชาวบ้านนินทาอย่างรุนแรงจนไม่อาจจะเขียนเป็นตัวหนังสือ ปัจจุบันพระเกียรติคุณของสมเด็จในสายตาของปวงชนลดลงจนกลายเป็นเรื่องตลก เรื่องสนุกที่ชาวบ้านจะเล่าสูกันฟังหลังอาหารอย่างครึกครื้นเสียแล้วเนื่องจากสมเด็จไม่ได้ทรงศึกษาในมหาวิทยาลัยหรือการศึกษาขั้นสูงประกอบกับไม่ค่อยเข้าใจกฏเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ สมเด็จจึงเป็นผู้ที่เชื่อคนง่ายชอบการยกยอปอปั้นคาหวานหอมตลอดจนเชื่อผีสางโชคลางเป็นอย่างยิ่งหลายครั้งทีเดียวที่พระองค์เล่าให้นางสนองพระโอษฐ์ฟังว่า พระนเรศวรมาเข้าฝัน บางครั้งถึงกับปรากฏต่อหน้าพระพักตร์ และเมื่อพระองค์ทรงตื่นก็ปลุกกษัตริย์ภูมิพลขึ้นทอดพระเนตร ก็ยังคงทอดพระเนตรเห็นวิญญาณนั้นปรากฏอยู่ (ความเป็นจริงราชินีและกษัตริย์ทรงขัดเคืองจนมิได้บรรทมด้วยกันมานานแล้ว) และหลายครั้งที่ให้คุณหญิงแดง (คุณหญิงสวรี เทพาค า) เข้าทรง เพื่อพระองค์จะได้ติดต่อกับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต่างๆรวมทั้งการล่วงรู้เหตุการณ์สาคัญๆในอนาคตได้แม่นย า ดังนั้นสมเด็จจึงนับถือและสนิทสนมกับคุณหญิงแดงมาก ทั้งสองอยู่ด้วยกันดึกๆจน
สว่างเพื่อประกอบพิธีกรรมและปรึกษาความเมืองกัน คุณหญิงแดงจึงเป็นเป้าด่านแรกในการเข้าหาสมเด็จอาทิตย์กาลังเอกผู้ต้องการเป็นใหญ่ได้ใกล้ชิดกับสมเด็จเป็นพิเศษสุดในระยะหลังโดยผ่านคุณหญิงแดงนี่เอง การเข้าทรงและประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ ยิ่งทาให้พระองค์ทรงเชื่ออย่างฝังใจในเรื่องลางสังหรณ์คาทานายของโหรใหญ่การดูโชคชะตาราศีของพระเรื่องนี้สมเด็จเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ยืนยันเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเองเช่น“เรื่องโหราศาสตร์เชื่อเป็นบางคนเฉพาะที่คิดเลขเก่งจริงๆ พ่อฉันก็ชอบเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์ส่วนเรื่องวิญญาณก็เชื่อเราเชื่อเรื่องวิญญาณเพราะว่าตัวเองเคยประสบหลายหน”“เรื่องพระนเรศวรมาเข้าทรงสุบินนั้นเป็นความจริงแต่ฉันอาจแต่งเอาเองในส่วนลึกของหัวใจก็ได้” พระองค์ทรงคลั่งไคล้เรื่องท านองนี้ มีอยู่ครั้งหนึ่งถึงกับออกประกาศชักชวนให้ปฏิบัติตามจนเป็นข่าวเกรียวกราวในหน้าหนังสือพิมพ์เพราะพระองค์ทรงสุบินไปว่าคนที่เกิดปีมะจะมีอันเป็นไป มีอาเพศแก่ตน ให้ชวนกันไปท าบุญที่โบสถ์พราหมณ์ มีผู้คนมากมายตื่น แล้วบอกต่อๆกันจนโบสถ์พราหมณ์ที่เสาชิงช้าเกือบพัง,อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นภายในราชวัง คือ หลังเหตุการณ์ ๖ ตุลาไม่นานนักสมเด็จทรงรับสั่งให้มีการประกอบพิธีสะเดาะเคราะห์แก่ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ด้วยการปั้นหุ่นขนาดเท่าฟ้าชายและมีลักษณะเหมือนจริงทุกประการ และเอาหุ่นนั้นลงนอนในโลงศพ อันเป็นพิธีสะเดาะเคราะห์ต่ออายุให้ฟ้าชาย เรื่องนี้ความแตกเพราะ ฟ้าชายบังเกิดความเมามันจึงจ้างคน ๔ คนแบกโลงศพซึ่งมีหุ่นของพระองค์อยู่ข้างในห่อโลงศพอย่างสวยงามส่งไปให้น้าของโสมสวลีบ้านอยู่แถวคลองประปาสามเสนหม่อมน้าทรงแปลกพระทัย และเมื่อแกะกล่องออกมาเห็นในโลงศพมีศพฟ้าชายก็ตกพระทัย ร้องกรี๊ดดังลั่น จึงโทรเรียกต ารวจท้องที่มาจัดการกับชาย ๔ คนนั้น มีชาวบ้านละแวกนั้น แห่กันมามุงดูมืดฟ้ามัวดิน ขณะที่หม่อมน้ายังไม่หายตกพระทัย ก็พอดีมีเสียงโทรศัพท์จากฟ้าชายและโสมสวลีหัวเราะครึกครื้นมาตามสายทรงทูลหม่อมน้าว่า “ทรงตกพระทัยมากไหม” น้าของโสมสวลีจึงมาถึงบางอ้อ ด้วยความโกรธจัดจึงพูดไปว่า “อยากถวายผางพะย่ะค่ะ”(อยากเตะ) ทางต ารวจท้องที่หัวปั่นไม่รู้จะท าอย่างไร จึงต้องปล่อยชายผู้ต้องหาไป เรื่องนี้สามารถสอบถามได้จากชาวบ้านละแวกนั้นซึ่งต่างก็รู้สึกทึ่งในการไม่สมประกอบทางปัญญาของพวกราชนิกุลความใฝ่ฝันที่จะให้ราชบัลลังก์ตกอยู่กับตระกูลของตนและญาติวงศ์ที่ใกล้ชิดเป็นความฝันที่ใกล้จริงเมื่อพระองค์ทรงกะเกณฑ์ให้ฟ้าชายวชิราลงกรณ์แต่งงานกับโสมสวลี กิติยากรหลานแท้ๆของพระองค์ เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๒๐ วชิราลงกรณ์เป็นโอรสที่สนิทสนมและรักทูลกระหม่อมแม่มากกว่าพ่อ ทรงรักและเชื่อฟังแม่มากถึงกับเขียนกลอนสดุดีสมเด็จขณะที่ยังเรียนอยู่ที่ออสเตรเลียวชิราลงกรณ์นั้นเรียนไม่เก่ง เมื่อครั้งไปเรียนที่อังกฤษ ปรากฏว่าทรงสอบได้วิชาภาษาไทยเพียงวิชาเดียว ต้องย้ายโรงเรียนถึง ๓ ครั้ง ในที่สุดย้ายมาเรียนวิทยาลัยดันทรูนในออสเตรเลีย นักเรียนไทยในออสเตรเลียมักเล่าสู่กันฟังถึงเรื่องของฟ้าชายเสมอว่าที่วิทยาลัยนี้มีการศึกษาสองระดับด้วยกันผู้ที่มีเกรดดีจึงจะได้เรียนในระดับนาย
ร้อยส่วนผู้ทาเกรดไม่ได้จะได้เรียนแค่ระดับนายสิบเท่านั้นฟ้าชายของเราทาคะแนนไม่ได้จึงได้เรียนแค่นายสิบเท่านั้นเห็นได้จากภาพที่แพร่ในช่วงที่มีการรับปริญญาจะเห็นฟ้าชายแต่งชุดทหารยศแค่สิบโทเท่านั้นแต่มีการอ้างว่าที่วิทยาลัยนี้เขาก็แต่งกันอย่างนี้ทั้งนั้นมันน่าตลกสิ้นดีที่เมื่อฟ้าชายกลับถึงเมืองไทยสามเหล่าทัพจ าต้องกุลีกุจอถวายพระยศเป็นร้อยเอก,เรือเอกและเรืออากาศอย่างเสียไม่ได้ฟ้าชายชอบใส่ชุดทหารและติดอาวุธตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าทั้งๆที่พระองค์รับราชการฝ่ายข่าวของกองทัพ นอกจากพระองค์จะทรงพยายามแสดงออกถึงความสามารถสูงส่งอย่างเบาปัญญาแล้วบรรดาที่อยู่ใกล้ชิดก็จะช่วยกันโหมข่าวสร้างชื่อเสียงให้ฟ้าชายเพื่อจะได้มีพระเกียรติสมกับสยามมกุฎราชกุมารเช่นวันที่๑๓ กุมภาพันธ์สื่อมวลชนทุกประเภทพากันประโคมข่าวว่ารถเกราะพาหนะของฟ้าชายถูกผกค.ซุ่มโจมตีที่บริเวณเขาค้อ(เพชรบูรณ์) พระองค์ได้แสดงวีรกรรมอย่างอาจหาญสั่งสละรถตนเองได้หลบและเคลื่อนที่เข้าจุดที่มั่นทรงบัญชาให้หน่วยปืนใหญ่ที่บ้านทุ่งสมอ ระดมยิงไปที่ผกค. จนพวกนั้นล่าถอยกลับไปแต่สาหรับทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างทราบดีว่า เฮลิคอปเตอร์ของฟ้าชายถูกยิงตก และก็ไม่มีวีรกรรมใดๆปรากฏขึ้นเลย จะมีก็เพียงข่าวลือและเขาเล่าว่า แต่เมื่อได้พบเห็นฟ้าชายที่ทรงกระท าอะไรแผลงๆแบบไม่ค่อยเต็ม ความที่เคยสงสัยก็กลับกระจ่างอย่างไม่น่าเชื่อสาหรับโสมสวลีทรงเรียนหนังสือครั้งแรกที่โรงเรียนจิตรลดาการเรียนอยู่ในระดับต ่า จนต้องสอบประถม ๓ ตก ๑ ครั้งเมื่อย้ายมาเรียนที่โรงเรียนราชินีล่าง(ปากคลองตลาด) การเรียนก็ไม่ดีขึ้น ครูถึงกับเอ่ยปากหนักใจแทน เพราะโสมสวลีของเราสอบ ม.ศ. ๒ ตกซ้า๒ ปีติดต่อกันจึงลาออก สมเด็จทรงรับมาชุบเลี้ยงในราชวัง ฝึกท าของคาวหวานจนเก่งงานครัว ทั้งฟ้าชายและโสมสวลีต่างมีสายโลหิตที่ใกล้ชิดกันมากมีคนเกรงว่าหากแต่งงานกันเช่นนี้จะทาให้โอรสและธิดาที่ทรงประสูติมาจะมีโอกาสปัญญาอ่อนมาก เพราะเพียงแค่ล าพังสองพระองค์ก็ทรงมีลักษณะอับเฉาทางปัญญามากพออยู่แล้ว เรื่องนี้มีผู้ท้วงติงมาก แม้แต่กษัตริย์ภูมิพลเอง แต่เพราะเป็นความต้องการของฟ้าชายที่ถูกแม่ขอร้องให้แต่งงานเรื่องจึงต้องว่ากันไปตามเพลงผลมาปรากฏตอนท้ายมีผู้ที่เสียพระทัยมากที่สุดสองคนคือโสมสวลีและสมเด็จ เพราะฟ้าชายทรงหนีไปมีนางสนมมากมาย และไม่คิดจะใยดีโสมสวลีต่อไป เพราะโสมสวลีคือลูกสะใภ้ที่แม่ต้องการ ส่วนเมียสุดที่รักของฉันคือยุวธิดาการที่สมเด็จทรงเชิดฟ้าชายผู้อยู่ในโอวาทให้มีบทบาทที่จะรับตาแหน่งกษัตริย์ต่อไป ด้วยการกุมบังเหียนได้ทั้งหลานและลูกนับเป็นความสาเร็จทางการเมืองชิ้นสาคัญแต่สมเด็จก็ทรงพร่าเพ้อว่าพระองค์ทรงไม่รู้จักการเมืองและไม่ปรารถนาที่จะยุ่งเกี่ยวนอกจากการช่วยเหลือประชาชนผู้ยากไร้อย่างฉาบฉวยและหากสิ่งนี้
คือการเมืองพระองค์ก็อดไม่ได้ที่อุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือพวกเขาอย่างสุกเอาเผากินกันต่อไป พระองค์ถึงกับปรารภว่า “คนที่จนที่สุดบวกจนที่สุดคือชาวเขาและชาวไทยอิสลามจนอย่างชนิดที่เราไม่เคยเห็นอิสานก็ไม่เคยเห็นอย่างนั้นเสื้อผ้ากะรุ่งกะริ่งร่างกายซูบซีดขาดเลือดฉันให้แม่ทัพใต้ตอนนั้นคุณปิ่นธรรมศรีคุณเปรมเป็นผู้ช่วยหรือรองผบ.ทบ. ฉันไม่เข้าใจว่ารองหรือผู้ช่วยต่างกันอย่างไรคุณเปรมไปเฝ้าที่นั่น คุณเปรมก็บอก “ปิ่นทาไมไม่ช่วยราษฎรล่ะ” คุณปิ่นบอก “แหม ก็ไปก้าวก่าย” อันนี้ก็การเมืองอีกใช่ไหมฉันไม่ทราบจะทาอย่างไรการเมืองนี่เป็นอย่างไรฉันไม่ทราบจะทาอย่างไรเพราะราษฎรเอามาให้ช่วยขนาดจุฬาภรณ์และสิรินธรถึงกับเคยแย่งฎีกาชาวบ้านจากมือของตารวจพระราชวังโธ่คุณถ้าเผื่อปิดนี่ บ้านเมืองเราจะไปไม่ไหวนะ ราษฎรไม่รู้จะออกทางไหน เราก็มีหน้าที่เอามา แล้วเอาไปให้แก่รัฐบาลเท่านั้น” (๙)สมเด็จแม้จะรู้ว่าชาวบ้านอดอยากแร้นแค้นมาก แต่พระองค์ไม่เคยทรงทราบเลยว่า เลือดของประชาชนที่ขาดหายไปจนซูบซีดนั้นใครเป็นผู้สูบไปพระองค์ก็ไม่ต่างจากจอมเผด็จการทั้งหลายในโลกรวมทั้งพระนางซูสีไทเฮาซึ่งไม่เคยทราบต้นสายปลายเหตุความทุกข์ยากของแผ่นดิน พวกเขาได้แต่สงสาร เห็นใจและสงเคราะห์ช่วยเหลือไปตามความสบายใจของตนพระองค์หารู้ไม่ว่า ก็เพราะอานาจของสถาบันพระองค์ที่ครอบงาความก้าวหน้าของสังคมและคอยค้าจุนระบบคนกินคนอันเลวร้ายของสังคมขณะเดียวกันธุรกิจสมัยใหม่ของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็มีส่วนร่วมสูบเลือดชาวไทยให้หนักหน่วงยิ่งขึ้นอิทธิพลของสถาบันพระมหากษัตริย์ คือ ต้นตอความยากจนทุกข์เข็ญของประชาชนทั่วทั้งประเทศขณะที่สมเด็จทรงใช้กลเม็ดเด็ดพรายแย่งราชบัลลังก์จากกษัตริย์ผู้ฆ่าพี่ชายอย่างเลือดเย็นมาสู่ตระกูลของตนพร้อมกับซ่องสุมกาลังทหารเสือราชินี, ผลักดันอาทิตย์ ก าลังเอกขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหาร เพื่อหวังกุมอ านาจทั่วทั้งแผ่นดินมาสู่กามือของตนเช่นนี้แล้วพระองค์ยังจะกล้าเอ่ยปากว่าพระองค์ไม่รู้จักคาว่าการเมืองอีกหรือ เพราะทุกย่างก้าวของความมักใหญ่ใฝ่สูง ล้วนกระทบกระเทือนต่อชีวิตตัวดาๆของชาวไทยทั่วทั้งประเทศหากพระองค์มีเจตนาหวังดีต่อประชาชนอย่างแท้จริงก็จงมาช่วยกันล้มระบบอภิสิทธิ์ของซากเดนศักดินาใหญ่มาช่วยกันพัฒนาและปลุกความตื่นตัวของประชาชนให้สามารถคุ้มครองและช่วยเหลือตนเองในการต่อสู้เพื่อปากท้องในสังคมอย่างยุติธรรมต่อไปเปิดให้มีการกระจายอานาจการปกครองไปสู่ท้องถิ่นอย่างจริงจังทาการปฏิรูปที่ดินและสร้างการชลประทานอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศก่อตั้งระบบสหกรณ์ที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาใหม่ให้ก่อตั้งสหภาพแรงงานเพื่อต่อรองกับนายจ้างอย่างยุติธรรมตามกฎหมายแรงงาน ให้ช่วยกันสร้างเศรษฐกิจของชาติให้พ้นจากอิทธิพลของต่างชาติที่คอยสูบเลือดเราหากสมเด็จและกษัตริย์ภูมิพลทรงรักประชาชนและประเทศไทย และต้องการให้ประเทศไทยก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศทั้งหลาย ขอให้พระองค์สละราชสมบัติยกเลิกระบบกษัตริย์ซึ่งค้าจุนความคิดและระบบอันล้าหลังงมงายลงเสียเปลี่ยนการปกครองเป็นประเทศสาธารณรัฐมีประธานาธิบดี ควรเป็นประมุขของชาติที่อยู่ใต้กฎหมาย และไม่มีอ านาจบริหารประเทศใดๆทั้งสิ้นและหากพระองค
คิดว่าประชาชนยังคงรักและเห็นความดีงามของพระองค์ พระองค์ก็จะได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ประชาชนยกย่องนับถือ และหากองค์รัชทายาทเป็นผู้ที่ดีพอตาแหน่งประธานาธิบดีคงไม่แคล้วคลาดจากฟ้าชายยุคสมัยแห่งการสืบสันตติวงศ์เอาเพียงสายโลหิตของกษัตริย์เป็นเครื่องวัดความดีงามและสืบทอดตาแหน่งประมุขของชาติอย่างงมงายควรจะเลิกกันเสียทีประชาชนผู้ทุกข์ยากจานวนล้านๆไม่อาจทนหิวโหยผอมโซอีกต่อไปแล้วขอพระองค์จงเร่งตัดสินใจก่อนที่จะสายเกินกาลเมื่อวันนั้นมาถึงชาติตระกูลของพระองค์คงต้องสูญสิ้นขณะที่ประเทศและประชาชนจะช่วยกันสร้างชาติไทยให้รุ่งโรจน์สืบไป
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar