torsdag 30 juni 2011

ความลับของพวกคณะลิเกลวงโลก

ความลับของพวกคณะลิเกลวงโลก ตอนที่ ๑

แปลจากบนความของนายแอนดรู

ความแตกแยกของอำมาตย์โรงลิเก และการแก่งแย่งชิงตำแหน่งเจ้าคณะของคณะลิเกลวงโลก

-ภาพพจน์ของตระกูลปีศาจที่สมาชิกยังรักกันดี เป็นแค่ละคร แต่ตอนนี้ ครอบครัวนี้กำลังชิงอำนาจความเป็นใหญ่กัน แตกกันอย่างรุนแรงเป็น 3 ฝ่าย คือ 1. ฝ่ายเอดส์ ลุกชาย 2. ฝ่ายปลาวาฬ แม่ (วาฬ จะผลัก ปังปอนด์ ลุกของเสี่ย ขึ้น แล้วตั้งตัวเองเป็นผู้สำเร็จราชการโรงลิเก) 3. ทอม น้องสาวเสี่ยก็อยากเป็น แต่ว่าไม่กล้าประจันหน้ากับพี่และแม่ แต่ก็สะสมทหารเป็นพรรคพวกไว้พอสมควร แต่อำนาจกองทัพตอนนี้อยู่กับฝ่ายปลาวาฬ

-แต่ก่อนปลา วาฬ เคยสนับสนุนให้เอดส์ลูกชายได้ขึ้น แต่ว่าหลังจากปี 2007 เมื่อคลิปริมสระและอัลบั้มเด็ดของฮีรัด เมียเสี่ยหลุดออกมาสู่สาธารณะปลา วาฬก็โกรธเกลียดเอดส์ลูกชายมาก หาว่าเอดส์ลูกชาย เป็นคนทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเสื่อมเสีย และวางแผนจะกุมอำนาจเอง โดยเอา ปังปอนด์ มาขึ้นแทน เหล่าอำมาตย์และทหาร เห็นเอดส์ฉาวโฉ่ขนาดนั้นเพราะคลิปเด็ด จึงตีตัวออกห่างมาสนับสนุนถือหาง ฝ่ายปลาวาฬแทน เพราะคิดว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

-การที่เหล่าอำมาตย์และพวกบิ๊กๆ ในกองทัพ พากันหันหลังให้เอดส์ หลังจากเอดส์กับฮีรัดคลิปหลุด ทำให้เอดส์เคียดแค้นมาก แต่แล้วเหล่าอำมาตย์ก็เริ่มไม่แน่ใจว่าตัดสินใจถูกไหมที่เข้าฝั่งปลาวาฬ เพราะหลังจากปลาวาฬไปงานศพ โบปิงปอง ทำให้กระแสเกลียดวาฬตอนนี้รุนแรงมาก จนปลาวาฬ กลายเป็นสมาชิกตระกูลลิเกที่ชาวตอแหลแลนด์ เกลียดอันดับ 1 ไปแล้ว โดยเฉพาะในภาคเหนือ และอีสาน จากที่เอดส์เคยครองตำแหน่งนี้มาอย่างยาวนาน

-จากการที่กระแสเกลียดปลาวาฬ มาแรงมากตอนนี้ อำมาตย์และกองทัพต่างก็เป็นห่วงว่า แผนการเอา ปังปอนด์ ขึ้นเป็นหุ่นเชิด แล้วให้ปลาวาฬชักไย แบบซูสีไทเฮา ประชาชนอาจไม่ยอมรับ แต่สายเกินไปแล้วที่จะกลับไปเข้าพวกกับ เอดส์ เพราะเอดส์ เป็นคนมีนิสัยอาฆาตพยาบาท ไม่ยกโทษให้คน จะล้างแค้นทันทีเมื่อมีโอกาส และถ้าเอดส์มีอำนาจเมื่อไหร่ มีความเป็นไปได้สูงมาก ว่าเอดส์จะสั่งเก็บพวกอำมาตย์โรงลิเกและทหาร ฝ่ายวาฬทุกคน

-คนที่น่าสงสาร คือฮีรัด เพราะคุณเธอก็ซื่อสัตย์กับเอดส์ตลอดมา เอดส์ใช้ให้ถ่ายรูปแหกอะไรท่าไหนก็ทำทุกอย่าง แต่หลังจากคลิปหลุด เอดส์ก็ทอดทิ้งฮีรัด และไปซื้อวิลล่า อยู่ที่ Munich และใช้เวลาส่วนใหญ่ อยู่ที่นั่นกับ นุ้ย เมียใหม่ และ FF หมาตัวโปรด ฮีรัดกลายเป็นคนที่ถูกทอดทิ้ง และโดนเหยียดหยาม ถูกคนทั้งโลกเอารูปโป๊มาดูกันสนุก ศักดิ์ศรีความเป็นคนของฮีรัดถูกย่ำยีไม่เหลือดี เป็นเพราะความวิปริตของเอดส์คนเดียว

(หลังจากข้าพเจ้า อ่านบทความนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็รู้สึกเห็นใจฮีรัดเป็นอย่างมาก และข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าจะไม่ปล่อยรูปหรือคลิปอะไรของคุณเธออีกแล้ว คุณเธอเป็นแค่คนที่ถูกบังคับให้ทำอะไรที่น่าอาย เพราะความวิปริตของสามี และเมื่อเกิดเรื่องฉาวขึ้น สามีก็ไม่เคยปกป้องอะไร กลับทอดทิ้งให้เธอช้ำใจอยู่คนเดียว ฉนั้นข้าพเจ้าจะไม่โพสรูปโป๊เขาอีกแล้ว คนที่เลวที่สุด ต้องประนามและต่อต้าน คือ ปลาวาฬ ต่างหาก)

-ปลาวาฬ กับ เอดส์ ทะเลาะกันอย่างรุนแรง ในปี 2008 ที่โรงพยาบาล ศิริแร่ด จนขนาดที่ว่าหากเอดส์จะคุยกับปลาวาฬ พวกข้าทาสของปลาวาฬในห้องจะไม่กล้าอยู่ในห้องปลา วาฬด่าเอดส์ว่า ทำชื่อเสียงตระกูลย่อยยับ จากคลิปฉาวและอัลบั้มเด็ดสะเด่าของฮีรัด เอดส์ก็สวนกลับหาว่า วาฬน่ะแหละ ทำชื่อเสียงตระกูลย่อยยับ จากการไปงานศพ โบปิงปอง ทำให้ภาพพจน์ตอแหลว่าคณะลิเกลวงโลกอยู่เหนือการเมือง พังครืนไปในพริบตาโดยไม่สามารถสร้างใหม่ได้อีก

-ความแตกแยกชิงอำนาจของสมาชิกครอบครัว ทำความรำคาญและความทุกข์ให้นายลวงโลกตาบอด เป็นอย่างมาก และ เจ๊ก ก็เหิมเกริมมาก เพราะว่ามี ปลาวาฬ หนุนหลัง นายลวงโลกตาบอด เคยส่ง เมธ เฟอร์รารี่ และ ดีดกะท้อน ไปบอก ม๊อบของ เจ๊ก ตอนยึดทำเนียบ ว่าหากรักนายลวงโลก ได้โปรดกลับบ้าน แต่เจ๊ก กลับกล้าเอา 2 คนนี้ขึ้นไปด่าบนทีวี ทั้งๆ ที่พวกวงในทุกคนรู้ดีว่า 2 คนนี้ เวลาพูดอะไร คือคำพูดของนายลวงโลก ฉนั้นการที่เจ๊ก กล้าปฏิเสธ คำขอร้องของ เมธ เฟอร์รารี่ และ ดีดกะท้อน ก็เท่ากับว่า เจ๊ก จงใจแสดงให้พวกอำมาตย์ทั้งหลาย ได้เห็น ว่า อำมาตย์ กลุ่มของวาฬ ใหญ่ที่สุดในคณะลิเก แม้แต่อำมาตย์กลุ่มของนายลวงโลกก็สั่งไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเจ๊กกล้าทำแบบนี้ เพราะรู้ดีว่ามี วาฬคุ้มกะลาหัวอยู่

-แต่นายลวงโลกก็ไม่สามารถจะหยุดการแย่งชิงอำนาจของลูกเมียตัวเองได้ เพราะสุขภาพตัวเองย่ำแย่มากจาก โรคพาร์กินสัน มีแต่ทรงกับทรุด รอวันตายเท่านั้น อนึ่ง นายลวงโลกนั้น มีตราบาปในใจอยู่ เกี่ยวกับการตายของพี่ชายของนายลวงโลก... และลูกเมียตัวเอง ตลอดจนเหล่าอำมาตย์ และทหาร ที่อยู่ฝ่ายปลา วาฬ รู้ความลับดีว่าคืออะไร และหากตัวเองแสดงตัวว่าอยู่คนละฝ่ายกับ วาฬ เมื่อไหร่ ความลับที่ตัวเองพยายามปิดมาตลอดชีวิต อาจถูกพวก วาฬ เปิดเผยได้

(ความลับเรื่อง การตายของพี่ชาย นายลวงโลก
จากเอกสารลับจากสถานทูตอเมริกา เกี่ยวกับการตายของ พี่ชายนายลวงโลก นักการทูตตอนนั้น เชื่อว่าจริงๆ แล้ว นายลวงโลก นั้น เล่นปืนกับพี่ชาย แล้วทำอุบัติเหตุปืนลั่นใส่หัวพี่ชาย แต่ว่าพวกชาวลิเกลวงโลกที่กุมความลับไว้ คือตระกูล ยุค้น เห็นว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะเปิดเผย เพราะขณะนั้น สถาบันลิเกลวงโลกตกต่ำมาก หากเปิดเผยความลับนี้ไป ก็ใช่ว่าตัวเองจะชิงตำแหน่ง หัวหน้าคณะลิเก มาได้ แต่คณะลิเกจะถึงแก่กาลอวสานกันไปหมด สู้เก็บความลับเอาไว้ แล้วผูกมิตรกับนายลวงโลก และครอบครัว เพื่อใช้แสวงหาอำนาจเงินทองดีกว่า

ที่นายลวงโลกนั้น ไม่ยอมให้ความลับเรื่องการตายของพี่ชายตัวเอง ถูกเปิดเผย เพราะว่าตัวเองเคยถูกดูถูกอย่างรุนแรงมาแล้วกับเรื่องนี้ เพราะว่าหลังจากที่ตัวเองขึ้นเป็นหัวหน้าคณะลิเก รัฐบาลตอแหลแลนด์ก็ต้องการส่งนายลวงโลก ไปเรียนที่ Oxford และได้ติดต่อ Lord Mountbatten ซึ่งเป็นผู้แทนพระองค์ของกษัตริย์อังกฤษ ในพม่าขณะนั้น ว่าขอความช่วยเหลือให้นายลวงโลกเข้า Oxford และขอให้นายลวงโลก ได้เข้าเฝ้า King George VI ตอนถึงอังกฤษด้วย

Lord Mountbatten จึงส่งหลักฐานลับเรื่องพี่ชายนายลวงโลก ไปให้กษัตริย์อังกฤษ และบอกว่านายลวงโลกเป็นคนฆ่าพี่ชายตัวเอง King George VI จึงปฏิเสธไม่ให้นายลวงโลกเข้าเฝ้า โดยตอบรัฐบาลตอแหลแลนด์มาว่า วังบัคกิงแฮมของเรา ไม่ต้อนรับฆาตกร ส่วน Lord Mountbatten ก็ไม่ยอมช่วยให้นายลวงโลกเรียนที่ Oxford ได้ ซึ่งทำให้นายลวงโลกเสียหน้าและโกรธแค้นอย่างมาก และรัฐบาลตอแหลแลนด์ จึงต้องส่งนายลวงโลกไปเรียนที่ สวิส แทน)

ขณะนี้ พวกคณะลิเกลวงโลก กำลังแตกแยกกันเป็น 5 กลุ่มต่างๆ ที่แย่งชิงอำนาจ ตำแหน่งเจ้าคณะลิเกกันดังนี้

1. กลุ่มของนายลวงโลก ซึ่งหนักใจและเศร้าใจกับการพยายามยึดอำนาจของปลาวาฬ และการแก่งแย่งชิงตำแหน่งเจ้าคณะลิเก แต่ว่าทำอะไรไม่ได้มาก เพราะอำนาจของกลุ่มตัวเองกำลังจะหมดแล้ว เพราะว่านายลวงโลกอ่อนแอลง รอวันตายอยู่ทุกวัน นายลวงโลกทุกๆ วันนั้นไม่มีความสุขเลย และเป็นทุกข์อย่างมาก ที่เห็นลูกเมียตัวเอง มาแย่งชิงอำนาจกันตอนก่อนตัวเองตายแบบนี้
2. คือพวกของเอดส์ ซึ่งคนที่เอดส์ไว้ใจที่สุด คือ นาย นิพ้น ไม่พร้อมพันธุ์ ซึ่งเป็นเพื่อนแท้คนเดียวที่เอดส์มี รู้จักกันที่อังกฤษ เมื่อนายลวงโลกส่งเอดส์ไปเรียนที่ รร ประจำที่อังกฤษ และหากว่าเอดส์ ได้เป็นเจ้าคณะลิเกคนต่อไป เชื่อว่านายนิพ้น ไม่พร้อมพันธุ์ นี้แน่นอน ที่จะเป็นประธานองคมนตรีคณะลิเกคนต่อไป

3. คือพวกของทอม แต่ว่าทอมนั้น ถึงอยากจะเป็นหัวหน้าคณะลิเก และประชาชนก็อยากให้เธอเป็นเจ้าคณะลิเก แต่ว่าทอมนั้น ก็ไม่กล้าที่จะแสดงออกมาก เพราะกลัวว่าจะทำให้ตัวเองเกิดอันตรายถึงชีวิตจากพี่และแม่ ที่โหดร้ายไม่แพ้กัน ทอมจึงสะสมสมัครพรรคพวก โดยการไปสอนในโรงเรียนทหาร และเลือกลูกศิษย์ที่ตัวเองโปรดปราน มาเป็นทหารของตัวเอง เพื่อสะสมพรรคพวกเอาไว้ หากทั้งแม่และพี่สู้กันอ่อนแรงทั้งคู่ ทอมก็จะเข้าเสียบ

4. คือกลุ่มของปวาฬ ซึ่งตอนนี้มีอำนาจสูงสุด เพราะ ขันทีเฒ่ากาลี ก็เข้าพวกเรียบร้อยแล้ว เพราะ ขันทีเฒ่ากาลีนั้น เกลียดเอดส์มาก และ เหล่ ที่กุมอำนาจทหารสูงสุด ก็อยู่ฝ่าย วาฬ และกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ร้ายกาจที่สุด และแข็งแกร่งที่สุดในขณะนี้ มีทั้งสื่อเป็นพวก ทหารเป็นพวก แต่ว่ากลุ่มนี้ เอาชื่อนายลวงโลกมาหาความชอบธรรมให้ตัวเอง ทั้งๆ ที่กำลังทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความต้องการของนายลวงโลกทั้งสิ้น และหากนายลวงโลกตายไป กลุ่มนี้ก็จะไม่สามารถหาอะไรมาสร้างความชอบธรรมกับการกระทำของตัวเองได้อีก

5. คือพวกกองทัพ ที่คิดว่ากองทัพ ควรจะยึดอำนาจซะเอง เพราะว่าดูๆ ไปแล้ว ไม่ว่าวาฬ หรือ เอดส์ นั้น ก็ไม่มีวี่แวว ว่า จะกุมอำนาจไปตลอดได้ เพราะว่าทั้ง 2 ฝ่าย นั้น ประชาชนก็เกลียดไม่แพ้กัน พวกนี้จึงมีความคิดว่ากองทัพ ต่างหาก ที่น่าจะเป็นฝ่ายเปิดโปงความชั่วของพวกตระกูลปีศาจ แล้วกำจัดทิ้งซะ แล้วยึดอำนาจ เล่นบทพระเอกของคณะลิเกเสียเอง

6. (แต่ว่า พวกที่ชิงอำนาจทั้ง 4 กลุ่ม อาจจะไม่ชนะเลยซักกลุ่มก็ได้ เพราะว่ากลุ่มที่ 6 คือเหล่าประชาชนที่ตาสว่าง และเห็นความเน่าเฟะของโรงลิเก และต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง และกลุ่มคนเหล่านี้ จะเพิ่มขึ้นอย่างมากแน่นอน หากนายลวงโลกตาย แล้วกลุ่มอำมาตย์โรงลิเก เริ่มป้ายขี้กันเอง เอาความชั่วของอีกฝ่ายมาเปิดเผย ข้าพเจ้าเอง ก็กลุ่ม 6 ไม่เอาไอ้พวกบ้าแก่งแย่งอำนาจกันทั้งนั้น เอาประชาธิปไตย 100% เพื่อนๆ ก็ด้วยใช่ไหม?)


ความโรคจิต ของวาฬ กับ 3 จังหวัดภาคใต้ของตอแหลแลนด์

-คราวนี้ขอพูดเรื่องงามหน้าของ วาฬที่ 3 จังหวัดภาคใต้นะ วาฬนั้น เพ้อลิเกหลงโรงมากไป จนคิดว่าตัวเองคือสุริโยทัย วาฬนั้น ชอบละเมอเพ้อพกว่าตัวเองคือ สุริโยทัยกลับชาติมาเกิด และชอบบอกว่า ตัวเองจะต้องออกปราบกบฏเพื่อสามี หากว่าเกิดกบฏแข็งข้อ ซึ่งนายลวงโลกเองก็ไม่เคยขัดคอ ปล่อยให้ วาฬ เพ้อเจ้อพล่ามน้ำมูกน้ำลายไปตามเรื่อง จึงทำให้ วาฬ เหิมเกริมนึกว่าตัวเองเป็นสุริโยทัยจริงๆ และไปก่อเหตุที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ทำให้เหล่าชาวบ้านตอแหลแลนด์ เชื่อชาติมาเลย์มุสลิม โกรธแค้น วาฬ เป็นอย่างมาก

ฉนั้น เมื่อเกิดวิกฤติภาคใต้ขึ้น วาฬผู้ปัญญาอ่อน คิดว่านี่เป็นการเล่นลิเก จึงสวมบทบาทว่าตัวเอง คือ สตรีผู้ปราบกบฏ เพื่อนำความสงบสุขมาให้ประชาชน ส่วนพวกมาเลย์มุสลิม คือ กบฏที่ต้องปราบ วาฬจึงถือโอกาสพูดในปี 2004 ทันที ว่า เป็นห่วงชาวตอแหลแลนด์ 3 แสน คน ที่ 3 จังหวัดภาคใต้ พวกท่านควรจะหัดยิงปืนเพื่อปกป้องตัวเอง (ซึ่งเป็นการแบ่งแยกชัดเจน เพราะประชาชน 3 จังหวัด ภาคใต้ ที่เป็นมาเลย์ มี 1.5 ล้านคน ซึ่งทำให้พวกชาวมาเลย์มุสลิม เข้าใจว่า วาฬ ไม่ได้เห็นว่าพวกเขาเป็นคนตอแหลแลนด์)

-ในเดือน พย 2004 หลังจากวาฬได้พูดออกมาชัดแล้ว ว่าตัวเองไม่ได้เห็นพวกชาวมุสลิมมาเลย์ เป็นคนตอแหลแลนด์ วาฬก็ได้เริ่มปลุกระดม ให้ชาวบ้าน 3 จังหวัดภาคใต้ มาเป็นลูกเสือชาวบ้าน และมีโครงการสอนให้ชาวพุทธใน 3 จังหวัดภาคใต้ หัดยิงปืน มีการขายปืนให้หมู่บ้านชาวพุทธ ในราคาลด 60% และวาฬก็บอกว่า ถึงเราจะอายุขนาดนี้ ก็จะหัดยิงปืน เพื่อยิงทุกคนที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาลตอแหลแลนด์ ซึ่งการกระทำของวาฬนั้น นอกจากไม่สามารถจะสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นได้ กลับทำให้ความแตกแยกระหว่างชาวพุทธ กับชาวมาเลย์มุสลิม รุนแรงมากขึ้นอีกด้วย เพราะว่ามีการให้อาวุธกับชาวพุทธ และสอนยิงปืนให้ เพื่อให้คนพุทธเอาไปใช้ยิงคนมาเลย์มุสลิมเล่นได้ตามชอบใจ ทำให้ชาวมาเลย์มุสลิม ไม่พอใจ วาฬ อย่างมาก

-ในวันที่ 8 มิถุนายน 2009 มีชายชุดดำ เข้าไปกวาดกระสุนในมัสยิด Al Furqon ที่ภาคใต้ ชาวมุสลิม และอิหม่ามที่สวดกันอยู่ ตายกันหมดทันที และตำรวจก็ต้องช๊อค เมื่อสืบสวนได้ว่าพวกนี้ คือ กลุ่ม อ.ร.บ. ซึ่งเป็นกลุ่มทหารพรานที่มาจากโครงการในพระบรมราชินีโรงลิเกอุปถัมภ์! ตำรวจภาคใต้จึงต้องตัดสินใจว่า จะจับดี หรือไม่จับดี หากไม่จับ พวกชาวมุสลิมก็จะไม่พอใจ แต่หากจับ ก็จะทำให้วาฬโกรธมาก และพวกเขาอาจถูกไล่ออกจากงานได้

-สุดท้าย ตำรวจ เลือกที่จะไม่จับเหล่า พวก อ.ร.บ. ที่เข้าไปฆ่าอิหม่ามและชาวมุสลิมตายในมัสยิด Al Furqon เพราะการที่จะทำให้พวกมุสลิมไม่พอใจ ไม่น่ากลัวเท่าการไปจับพวกนี้ แล้วทำให้วาฬไม่พอใจ สุดท้าย ข่าวก็ออกข่าว ว่า โจรใต้มุสลิม ฆ่ากันเอง ซึ่งเป็นเรื่องโกหก (เหมือนที่มันตอแหลว่าเสื้อแดงฆ่ากันเอง ปีที่แล้ว ยังไงยังงั้น พวกอีวาฬนี่ตอแหลไม่เนียนเลยเนอะ )

-การที่พวก อ.ร.บ. ซึ่งเป็นคนของวาฬ ไปฆ่าพี่น้องชาวมุสลิม แล้วไม่มีความผิด ทำให้ชาวมาเลย์มุสลิมโกรธแค้นวาฬมาก และเชื่อว่าวาฬคือผู้สั่งฆ่า ในวันเกิดของวาฬ ในปี 2009 จึงมีคนไปติดโปสเตอร์ด่านังวาฬ ทั่วเมือง ปัตตาหนี้ ว่า วาฬคือผู้สั่งฆ่าชาวมุสลิม และยังเขียนอีกว่า วาฬคือโจรขโมยเพชรซาอุ ทางการไม่สามารถจับว่าใครทำได้ และออกข่าว ว่านี่คือฝีมือของ นาย Liam (อ่านว่า เหลี่ยม ผู้ตกเป็นแพะ ซวยไปอีก) [/b]

ขอย้ำว่านี่แค่บทสรุป ไม่ใช่การแปลคำต่อคำอย่างละเอียด แค่พูดเรื่องสำคัญๆ ค่ะ แต่ระหว่างที่รอให้มีการแปล สมาชิกก็อ่านอันนี้ไปก่อนเพื่อความบันเทิงนะคะ ชื่อคน ชื่อเมือง ชื่อสถานที่ เปลี่ยนชื่อบ้างแต่ก็พอเดาออกนะคะ ว่าเป็นใคร เพื่อสมาชิกจะได้แชร์ได้อย่างไม่ต้องกลัวติดคุก 

tisdag 28 juni 2011

นายอภิสิทธิ์ กับปัญหาไทย - กัมพูชา

อย่าปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ :ความจริง ที่นายอภิสิทธิ์ ไม่อาจบิดเบือน กรณีปัญหาไทย – กัมพูชา โดยคุณนพคล ปัทมะ
0
0
อย่าปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ :ความจริง ที่นายอภิสิทธิ์ ไม่อาจบิดเบือน กรณีปัญหาไทย – กัมพูชา

จากการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการนายกฯ ได้เขียนจดหมายฉบับที่ 8 ในเฟซบุ๊ค กรณีปัญหาไทย – กัมพูชา ซึ่งมีข้อความหลายตอนที่กล่าวหา พาดพิงถึงตัวผมเป็นการส่วนตัว ซึ่งการกล่าวหาที่เป็นเท็จดังกล่าวนั้น ถ้าปล่อยทิ้งไว้ก็จะทำให้พี่น้องที่อ่านความเท็จเข้าใจผิด ผมไม่นึกไม่ฝันเลยว่านายอภิสิทธิ์จะกล้าใช้ความเท็จใส่ร้ายป้ายสีผมขนาดนี้ ทั้งๆที่ผมไม่เคยทำร้ายท่าน ท่านจะหาเสียงของท่านก็ว่าไป เพราะผมเป็นผู้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ไม่สามารถใช้สิทธิ์เลือกตั้งหรือลงสมัครเลือกตั้งได้
ผมไม่อยากตอบโต้ท่าน แต่ผมขอใช้สิทธิ์ชี้แจงเพื่อปกป้องตนเอง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าเกียรติยศและชื่อเสียงของผมก็คือ ความจริง พี่น้องคนไทยมีสิทธิ์ที่จะรู้ความจริง ว่าในอดีตและปัจจุบันใครปกป้องดินแดน โดยผมขอชี้แจงในนามส่วนตัวผม ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ การชี้แจงของผมไม่เกี่ยวกับพรรคการเมืองใดๆทั้งสิ้น และไม่เกี่ยวกับตำแหน่งที่ปรึกษา พตท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผมขอชี้แจงเป็นลำดับดังนี้

1. ผมรู้ว่าเรื่องกรณีปัญหาปราสาทพระวิหารมีที่มา ที่ไป และซับซ้อน จึงขอสรุบให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้ครับ
1.1 ในปี 2505 ไทยแพ้คดีในศาลโลกในคดีที่หม่อมเสนีย์ ปราโมช ว่าความ รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์จึงจำใจ และจำยอมยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาตามคำตัดสินของศาลโลกเมื่อ 46 ปีที่แล้ว นายสมัครหรือนายนพดล ไม่ใช่คนยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา
1.2 ปี 2549 กัมพูชาไปยื่นคำขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยแผนที่ที่ยื่นนั้นมันรุกล้ำและผนวกเอาพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตาราง กม. ที่ไทยอ้างสิทธิเข้าไปด้วย กล่าวคือกัมพูชายื่นขอขึ้นทะเบียน ก) ตัวปราสาท และ ข) พื้นที่ทับซ้อน
1.3 ปี 2550 ในสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ไทยคัดค้านไม่ให้เขาเอา ข) พื้นที่ทับซ้อน ไปขึ้นทะเบียน จนคณะกรรมการมรดกโลกเลื่อนการพิจารณาการขึ้นทะเบียนปราสาทจากปี 2550 ไปเป็น ก.ค. 2551
1.4 เดือน ก.พ. 2551 รัฐบาล คมช. หมดวาระลง รัฐบาลสมัครเข้ามาจึงต้องรับช่วงแก้ปัญหา และรัฐบาลเสมือนถูกไฟลนก้น เพราะเหลือเวลาเพียง 5 เดิอนก่อนประชุมมรดกโลกในเดือน ก.ค. 2551 และต้องเร่งเจรจาให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนออกก่อนให้ได้ เพราะแผนที่ที่กัมพูชายื่นคาไว้ตั้งแต่ปี 2549 มันผนวกเอาพื้นที่ทับซ้อนเราไปขึ้นทะเบียนไว้

1.5 พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกม. นี้ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ ไทยก็อ้างเป็นเจ้าของ กัมพูชาก็อ้างว่าเป็นเจ้าของ
1.6 รัฐบาลสมัคร และนายนพดล จึงพยายามเจรจาให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และห้ามนำไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เพราะหากกัมพูชาขึ้นทะเบียนพื้นที่ทับซ้อนเป็นมรดกโลกสำเร็จ ไทยจะสุ่มเสี่ยงเสียอธิปไตยในพื้นที่ทับซ้อน
1.7. การดำเนินการที่รัฐบาลสมัครและนายนพดลทำไปนั้น ดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน หน่วยงานของรัฐและข้าราชการประจำทุกฝ่ายร่วมกันทำ และเห็นด้วย เช่นกระทรวงการต่างประเทศ กองทัพไทย สภาความมั่นคงแห่งชาติ กรมแผนที่ทหาร ครม พล.อ. อนุพงษ์ ผบทบ. พล.อ. วินัย ภัทยกุล เห็นด้วย
1.8 หากรัฐบาลสมัครและนายนพดลปัทมะไม่คัดค้านอย่างแข็งขันและเจรจาจนสำเร็จ กัมพูชาจะผนวกเอาพื้นที่ทับซ้อนไปขึ้นทะเบียนด้วย เราจะแย่กว่านี้ พวกผมเป็นผู้ปกป้องดินแดนไทย

1.9 คำแถลงการณ์ร่วมที่ครม.สมัครอนุมัติให้นายนพดล ไปเซ็นนั้นขณะนี้สิ้นผลไปแล้วตามหนังสือยืนยันของ รมต ต่างประเทศกัมพูชา และตอนที่กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเป็นมรดกโลกในเดือน กค. 2551 นั้น คณะกรรมการมรดกโลกก็ห้ามไม่ให้นำคำแถลงการณ์ร่วมเข้าประกอบการพิจารณาตามที่ไทยขอระง​ับผลตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครอง แสดงว่าไทยจะสนับสนุนการขึ้นทะเบียนตัวปราสาทหรือไม่ ก็ไม่ได้มีความสำคัญเลย กัมพูชาก็ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทได้อยู่ดี
110. คำแถลงการณ์ร่วมทำให้กัมพูชายอมรับเป็นครั้งแรกว่ามีพื้นที่ทับซ้อน ทั้งๆที่ปฏิเสธมาโดยตลอด และโชคดีที่ในการประชุมที่แคนาดาในปี 2551 กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร โดยไม่เอาพื้นที่ทับซ้อนขึ้นทะเบียนด้วย โชคดีที่เขาทำตามแนวทางของแถลงการณ์ร่วม แม้ว่ามันไม่ผูกพันเขาเพราะไทยระงับผลไว้ก็ตาม

2. ในเรื่องปราสาทพระวิหารนี้ พันธมิตรเคยกล่าวหานายอภิสิทธิ์ว่าขายชาติ ผมเป็นคนพูดเองว่า นายอภิสิทธิ์ไม่ได้เป็นคนขายชาติ ไม่มีนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศคนไหนจะทำอย่างนั้นแน่

3. นายอภิสิทธิ์กล่าวในจดหมายว่า “ นายนพดลไม่มีสิทธิ์ที่จะมาตำหนิรัฐบาลของผมเพราะเขาเป็นผู้สร้างความเสี่ยงให้ไทยต้อ​งอยู่ในภาวะอันตรายต่ออธิปไตยของชาติ ...." เนื่องจากเป็นผู้ไปลงนามสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่​เเพียงฝ่ายเดียวในปี 2551 สิ่งที่เขาควรทำคือการนั่งนิ่ง ๆ แล้วถามตัวเองว่าพวกเขาได้ทำอะไรลงไปกับประเทศชาติจนทำให้ผมต้องต่อสู้เพื่อรักษาสิท​ธิและอธิปไตยของไทยที่นายนพดลกับพวกเกือบจะยกใส่พานให้กัมพูชาไปแล้ว หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเสียก่อน” โถ โถ โถ คุณอภิสิทธิ์ คุณช่างไม่รู้จริงๆ หรือ แกล้งไม่รู้ คุณอภิสิทธิ์น่าจะมีวุฒิภาวะและละอายแก่ใจบ้างว่าสิ่งที่รัฐบาลสมัครได้ทำไปนั้นเพื่​อปกป้องดินแดนและพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ไม่ให้กัมพูชาเอาไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก และเจรจาสำเร็จจนกัมพูชายอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออกไป รัฐบาลสมัครและผมจึงเป็นผู้ปกป้องดินแดน ไม่ได้เป็นผู้ทำให้เสียดินแดนหรือสร้างปัญหาเอาไว้ คุณอภิสิทธิ์อุตส่าห์ไปประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำว่า “เขาเป็นผู้สร้างความเสี่ยงให้ไทยต้องอยู่ในภาวะอันตรายต่ออธิปไตยของชาติ” ซึ่งเป็นความเท็จ และเป็นการใส่ร้ายทั้งสิ้น รัฐบาลสมัครและผมไม่เคยยกอธิปไตยใส่พานให้กัมพูชา เพราะข้อเท็จจริงตามข้อ 1 ข้างต้น พวกผมเป็นคนปกป้องอธิปไตยในพื้นที่ทับซ้อน 4;6 ตาราง กม อย่างชัดเจน

4. ที่นายอภิสิทธิ์กล่าวหาว่า รัฐบาลสมัครและผม ไปสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวในปี2551 นั้น
โดยความเคารพ ผมขอกราบเรียนว่าคุณอภิสิทธิ์พูดความจริงครึ่งเดียวครับ ท่านพูดถูกที่ว่าผมได้ลงนามในคำแถลงการณ์ร่วม แต่ท่านพูดเท็จตรงที่ว่าคำแถลงการณ์ร่วมมีผลเป็นการสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมร​ดกโลกได้ จะเห็นได้ว่าการพิจารณาและในข้อมติของที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในปี 2551 มีการระบุอย่างชัดเจนถึงการไม่อ้างอิง ไม่พิจารณา ไม่คำนึงถึง และห้ามนำแถลงการณ์ร่วมฉบับวันที่ 18 มิถุนายน 2551 มาใช้ประกอบการพิจารณา ตามการตัดสินใจของรัฐบาลไทยที่จะระงับแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ดังนั้นจึงสรุปได้ชัดเจนจากเอกสารว่า คณะกรรมการมรดกโลกมีมติขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยพิจารณาจากคุณค่าสากลอันโดดเด่นของตัวปราสาทเอง ไม่เกี่ยวกับแถลงการณ์ร่วม หรือร่างแถลงการณ์ร่วม หรือการสนับสนุนของไทยทั้งสิ้น คนที่กล่าวหาว่ากัมพูชาสามารถขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้เพราะไทยไปเซ็​นแถลงการณ์ร่วมนั้น จึงไม่ถูกต้องและไม่เป็นความจริง โปรดดูข้อ 5 ของข้อมติคณะกรรมการมรดกโลกในการประชุมสมัยที่ 32 ที่ควิเบก แคนาดา ตามเอกสารภาคผนวกหมายเลข 7 ที่ว่า "....5. Recognizing that the Joint Communique signed on 18 June 2008 by the representatives of the Governments of Cambodia and Thailand, as well as by UNESCO, including its draft which was erroneously referred to as having been signed on 22 and 23 May 2008 in the document WHC-08/32.COM/INF.8B1.Add.2, must be disregarded, following the decision of the Government of Thailand to suspend the effect of the Joint Communique, pursuant to the Thai Administrative Court's interim injunction on this issue...." พี่น้องคนไทยสามารถเข้าไปในเวปไซท์ของคณะกรรมการมรดกโลกตรวจสอบเอกสารนี้ได้ครับ
คุณอภิสิทธิ์เรียนกฎหมายมา น่าจะเข้าใจถึงหลักกฎหมายพื้นฐานในข้อนี้ดีว่า เอกสารที่ห้ามใช้หรือเป็นโมฆะนั้น ย่อมไร้ผลทางกฎหมาย ดังนั้น คำแถลงการณ์ร่วมที่คณะรัฐมนตรีนายสมัครอนุมัติให้ผมไปเซ็น จึงไม่มีผลใดๆ ทางกฎหมายเลย เอกสารคำแถลงการณ์ร่วมจึงไร้ผลทางกฎหมายซึ่งแม้แต่ทางกัมพูชาเองก็ยอมรับว่ามันไม่มี​ผลทางกฎหมายใดๆ เลย เพราะฉะนั้น การกล่าวหาว่าผมไปเซ็นเอกสารและสร้างความเสียหาย จึงเป็นการกล่าวหาที่เป็นเท็จโดยสิ้นเชิง

5. คุณอภิสิทธิ์ กล่าวในหน้าที่ 2 ของจดหมายว่า “บอกตรง ๆ ว่า ผมรู้สึกละอายใจแทนคุณนพดล ที่จนถึงวันนี้ยังไม่ได้สำนึกเลยว่า ต้นตอปัญหาที่รัฐบาลคุณสร้างขึ้นกำลังส่งผลร้ายแรง คุกคามชีวิตพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย” ผมดีใจครับ ที่ท่านก็เป็นคนที่รู้สึกละอายใจได้เหมือนคนทั่วไป แต่แปลกใจว่าตอนมีคนตาย 91 คน และบาดเจ็บ เกือบสองพัน ไม่เห็นท่านรู้สึกเช่นนั้น ไม่เห็นท่านแสดงความรับผิดชอบอะไรเลย ท่านไม่รู้สึกอะไรเลยหรือครับ

คุณอภิสิทธิ์ไม่ต้องละอายใจแทนผมหรอกครับ เพราะรัฐบาลสมัครและผมเป็นผู้เจรจาปกป้องดินแดนพื้นที่ทับซ้อน และรัฐบาลสมัครและผมไม่ได้สร้างปัญหาไว้อย่างที่คุณอภิสิทธิ์กล่าวหา และไม่มีการเสียดินแดนหรือผลร้ายแรงใดๆ คุณอภิสิทธิ์เคยออกทีวีช่อง11 ดีเบทกับพันธมิตร ก็เคยพูดไว้นะครับว่า กัมพูชาขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท และไม่มีการเสียดินแดน ลองไปเปิดเทปดูจะช่วยเตือนความจำท่านได้ครับ

6 ในหน้าที่ 2 ของจดหมายคุณอภิสิทธิ์ ได้กล่าวหาด้วยความเท็จว่า “รัฐบาล สมัคร สุนทรเวช โดย นพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ในขณะนั้น ออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ลงวันที่ 18มิถุนายน 2551 มีเนื้อหาสนับสนุนให้กัมพูชา ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว และยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 หรือแผนที่ฝรั่งเศส ให้ใช้เป็นแผนการพัฒนาบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์รอบปราสาทพระวิหาร” ผมขอเรียนว่าข้อความนี้เป็นเท็จโดยสิ้นเชิงครับ ไม่มีความตอนใดของคำแถลงการณ์ร่วมที่มีการยอมรับแผนที่ 1:200,000 หรือแผนที่ฝรั่งเศสเลย เพราะทุกคนในกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีต่างประเทศรู้ว่าเราไม่ยอมรับแผนที่ระวางนี้ ที่เป็นสาเหตุให้ไทยแพ้คดี จะมีการเขียนถึงก็คือใน บันทึกความตกลง ปี 2543 ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ไปเซ็นกับกัมพูชาเท่านั้น

7 ในความตอนล่างของหน้าที่ 2 ของจดหมายคุณอภิสิทธิ์ฉบับที่ 8 มีการระบุว่า “.แต่ก็มิอาจยับยั้งการใช้แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นใบเบิกทางให้กัมพูชา ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารแต่เพียงฝ่ายเดียวได้ เพราะคณะกรรมการมรดกโลก ได้มีมติขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวในวันที่ 8 ก.ค. 2551 เช่นเดียวกัน.” คุณอภิสิทธิ์เขียนให้คนเข้าใจผิดว่า เป็นเพราะคำแถลงการณ์ร่วม จึงทำให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเป็นมรดกโลกได้ ซึ่งเป็นความเท็จอีกเช่นกันครับ เพราะเอกสารนี้ไร้ผลทางกฎหมาย และคณะกรรมการมรดกโลกตัดเอกสารนี้ ไม่ให้นำเข้าพิจารณาครับ ดังที่ผมกราบเรียนไว้ใน ข้อ 4 ข้างต้น และเอกสารที่ผมใช้อ้างอิงเป็นเอกสารมหาชนที่มีที่มาที่ไปตรวจสอบได้ จาก เวปไซท์ของคณะกรรมการมรดกโลกครับ การเขียนของคุณอภิสิทธิ์จึงเป็นการเขียนความเท็จที่คิดเอาเอง ไม่มีแหล่งอ้างอิง และเป็นการใส่ร้ายป้ายสีอย่างน่าละอาย


ความจริงยังมีอีกหลายประเด็นที่มีการบิดเบือนในจดหมายฉบับที่ 8 ในเฟซบุ๊ค กรณีปัญหาไทย – กัมพูชาซึ่งผมขอสงวนสิทธิ์ชี้แจงในภายหลัง แต่ในเบื้องต้นผมขอชี้แจงประเด็นสำคัญและข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จที่ต้องรีบชี้แจงเพื่​อขจัดความสับสน
อย่างที่ผมกราบเรียนไปแล้ว แม้ผมไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง แต่ผมก็อยากเห็นการรณรงค์หาเสียงกันอย่างสร้างสรรค์ ผมอยากเห็นนักการเมืองและนักการเมืองแต่ละพรรคนำนโยบายและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาให้ปร​ะเทศ ถ้านโยบายพรรคประชาธิปัตย์ดีกว่า ประชาชนก็จะสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ถ้านโยบายพรรคเพื่อไทยดีกว่า ประชาชนก็จะสนับสนุนพรรคเพื่อไทย ประชาชนคิดเป็นและเลือกเป็น แต่การที่นักการเมืองเอาความเท็จมาใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นโดยไม่ละอายและไร้ซึ่งวุฒิภาว​ะ ผมไม่เชื่อว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ท่านได้คะแนน เพราะเป็นการดูถูกสติปัญญาคนไทย คนไทยต้องการนักการเมืองที่พูดความจริงทั้งหมด ไม่ใช่พูดความจริงเพียงครึ่งเดียว หรือแย่ยิ่งกว่านั้นคือการเอาความเท็จมาพูด สิ่งที่คุณอภิสิทธิ์เขียนในเฟซบุ๊คเป็นความพยายามที่จะใส่ร้ายป้ายสีผม นายอภิสิทธิ์อาจจะพยายามทำลายเกียรติยศและศักดิ์ศรีของผม ซึ่งผมอดทนได้และผมอโหสิกรรมให้ คุณอภิสิทธิ์อาจจะพยายามเหยีบย่ำผมได้ แต่ผมจะไม่ยอมให้นายอภิสิทธิ์เหยียบย่ำทำลายความจริง และผมจะปกป้องความจริงจนสุดกำลัง

ในเรื่องนี้ ถ้าหากมองในเนื้อหาการเขียนจดหมายฉบับที่ 8 นั้น ถ้ามองเรื่องนี้ในทางที่ดี จะ
แสดงให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์อาจเป็นผู้นำที่ไม่ได้ศึกษาหาความรู้และดูความเป็นมาของก​รณีปราสาทเขาพระวิหารจากข้อเท็จจริงและเอกสารของราชการ ทั้งๆที่บริหารประเทศมาเกือบสามปี แต่ถ้ามองในทางที่แย่ แสดงว่าคุณอภิสิทธิ์ ไร้วุฒิภาวะและความเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ทำทุกอย่างเพื่อหวังผลทางการเมือง ใช้แม้กระทั่งความเท็จกล่าวหาผู้อื่น อย่างไร้จริยธรรมของผู้นำ
ผมขอกราบขอบพระคุณพี่น้องที่มีจิตใจเป็นธรรมและรักความจริง ที่ได้อ่านจดหมายฉบับนี้ และผมสัญญาครับว่าผมจะต่อสู้กับความเท็จและการใส่ร้ายป้ายสีอย่างไม่ย่อท้อ และขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ The truth will set you free.
ด้วยจิตคารวะ
นพดล ปัทมะ

måndag 27 juni 2011

อภิสิทธิ์ หุ่นอีกตัวหนึ่งของจอมเผด็จการอำมหิตที่กำลังถูกลอยแพ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ทิ้งอภิสิทธิ์
โดย กาหลิบ
    
ในที่สุดคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็รู้ตัวแล้วว่า การถูกทอดทิ้งให้ตายทางการเมืองแต่เพียงลำพังนั้นรู้สึกอย่างไร ที่ผ่านมาคุณอภิสิทธิ์ฯ อาจเผลอนึกไปว่าตัวเองมีความพิเศษกว่าลูกน้องของระบอบเก่าที่แย่งกันจงรักภักดีอยู่ และจะได้รับความกรุณาอันล้นพ้นให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกอย่างน้อยก็สมัยหนึ่ง หรืออย่างเลวก็ช่วยหาบันไดก้าวลงจากหลังเสือโดยไม่ถูกเสือกัดตายให้ วันนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าไม่มีใครเขาเตรียมแผนเช่นนั้นรอเอาไว้ให้ แถมยังหลอกล่อให้ผูกตัวเองเข้ากับการฆาตกรรมประชาชนเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๒ และ พ.ศ.๒๕๕๓ อย่างชนิดปฏิเสธไม่ออก ด้วยการแนะนำให้ไปเหยียบธรณีเปื้อนเลือด ณ ราชประสงค์ ซึ่งได้กลายเป็นการย้ำรอยบาปของตัวเองให้แน่นขึ้นอีก
    
อุตส่าห์เรียนวิชาปกครองบ้านเมืองแบบอังกฤษที่เรียกว่า Modern Greats มา น่าแปลกใจที่คุณอภิสิทธิ์ฯ ไม่สามารถโยงประสบการณ์แบบเจ้าบ้านผ่านเมืองเข้ากับสถานการณ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านของไทยเราได้ 
    
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไม่ใช่คนโง่ นายแพทย์อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะผู้เป็นพ่อของคุณอภิสิทธิ์ฯ ซึ่งเป็นผู้วางแผนชีวิตลูกชายให้เป็น “เจ้าคนนายคน” มาตั้งแต่ต้นก็เป็นคนฉลาดล้ำลึก แต่สุดท้าย “ผู้ดี” ที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นขุนนางเหล่านี้ก็ต้องพบสัจธรรมที่ตนเองอาจรู้แต่ไม่อยากยอมรับมาชั่วชีวิต
    
สัจธรรมนั้นคือ ในระบอบเผด็จการศักดินาอำมาตยาธิปไตยนั้น เขาถือว่ามีเจ้านายอยู่คนเดียวที่ศูนย์กลาง โดยเฉพาะในเมืองไทยขณะนี้ยิ่งเป็นเช่นนั้นมาก คนอื่นๆ ต่อให้จบอีตันหรือเป็นคณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลและอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลมาแล้วก็ถือเป็นลูกน้อง หากแววดีกว่าคนอื่นๆ หน่อย ก็จะได้ตำแหน่งและได้รับบทบาทที่สูงกว่าในองค์กรคนรับใช้ใต้ถุนบ้าน เมื่อถึงเวลาเขาก็จะดีดให้พ้นจากตำแหน่งและบทบาทนั้นๆ ไปได้ทันที เวลาที่ว่านั้นก็คือ เมื่อผู้รับตำแหน่งและบทบาท นั้นๆ ถูกใช้งานชื่อเสียงเน่า หรือมีคนอื่นๆ ที่เหนือกว่าเสนอตัวเข้ามาสนองอารมณ์ผู้เป็นนาย 
    
เวลานั้นมาถึงตัวคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแล้ว
    
ไม่น่าแปลกใจที่คุณอภิสิทธิ์ฯ ออก “หาเสียง” อย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ยอมตัวทำหมดทุกอย่างโดยไม่คิดว่าเหมาะสมหรือไม่กับตำแหน่งรักษานายกรัฐมนตรีที่ยังค้ำตัวอยู่ ร้ายแรงที่สุดคือรับคำชี้แนะให้ไปยืนคร่อมรอยเลือดของประชาชนผู้เป็นไพร่ในบริเวณแยกราชประสงค์ และแสดงจุดยืนที่ดูเหมือนจะสุภาพ ยินยอม แต่ฟังสาระอันแท้จริงแล้วคือการประกาศชัยชนะเหนือชีวิตและเลือดเนื้อของคน ความหวังในใจคุณอภิสิทธิ์ฯ จะเป็นอย่างไรไม่รู้ได้ แต่น่าเชื่อว่าเขาคงคิดจะ “ตะโกนบอก” เช่นกันว่า เขาทำทุกอย่างตามคำสั่งจนเกิดความเดือดร้อนอันใหญ่หลวงขึ้นแล้ว และเรียกร้องเจ้านายโปรดช่วยด้วย
    
คุณอภิสิทธิ์ฯ ไม่รู้หรือว่า เขา “ส่ง” คุณไปยืนแสดงความอหังการที่แยกราชประสงค์นั้น ก็เพื่อย้ำภาพฆาตกรผู้สั่งฆ่าประชาชนตัวจริงให้มันตราตรึงอยู่กับตัวคุณ เขาทำเช่นนั้นเพื่อแยกตัวเขาออกจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬที่ร้ายแรงกว่าเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕ และส่งคุณไปตายแทนในทางการเมือง คุณอ่านไม่ออกเชียวหรือ?
    
สิ่งที่ถ่ายทอดมาทั้งหลายนี้ ไม่ใช่ยุทธวิธีใหม่หรือเป็นความปราดเปรื่องทางการเมืองของ “เขา” แต่อย่างใดเลย “เขา” ทำอย่างนี้มารอบแล้วรอบเล่าและกับคนที่มาก่อนคุณอภิสิทธิ์ฯ เป็นจำนวนมาก
    
เขาคุ้นชินกับการเอาคนที่เขา “เลือก” มาชูและทำลายทิ้ง เหมือนคว้าอ้อยควั่นเข้าปากเพื่อให้ได้น้ำอ้อยอันหอมหวาน เสร็จแล้วก็คายชานทิ้งอย่างไร้ค่า
    
คุณอภิสิทธิ์ฯ ก็ได้ “อ่าน” ประวัติศาสตร์มนุษย์ที่อังกฤษมาแล้ว ไม่เคยได้ยินชื่อของ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ บุญชนะ อัตถากร พูนเพิ่ม ไกรฤกษ์ เกษม จาติกวณิช กฤษณ์ สีวะรา ธานินทร์ กรัยวิเชียร สมัคร สุนทรเวช ฯลฯ เหล่านี้บ้างเลยหรือ
    
คุณไม่ใช่อ้อยควั่นชิ้นแรกในปากของคนๆ นี้ แต่คุณยังเผลอคิดว่าตัวเองคือชิ้นที่หอมหวานที่สุด จน “เขา” คงจะไม่คายทิ้งเหมือนชานอ้อยอื่นๆ ที่แล้วมา คุณจึงต้องประสบชะตากรรมอย่างที่เป็นอยู่นี้
    
อ้อยอีกชิ้นหนึ่งที่เรียงตัวเข้ามาคอยให้ “เขา” หยิบเข้าปากและเชื่อว่าตัวเองหอมหวานยิ่งไปกว่าคุณอภิสิทธิ์ฯ ก็ยังเกิดขึ้นอีก ชื่อของอ้อยควั่นชิ้นนี้คือ กรณ์ จาติกวณิช ซึ่งอาจกลายเป็นเวรกรรมเรียงลำดับกันไป
    
ลำดับความมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะรู้สึกห่วงใยอะไรกับคุณอภิสิทธิ์ฯ และคุณกรณ์ฯ ซึ่งเป็นพวกล้มบนฟูกได้ตลอดชีวิต ไม่ลำบากเดือดร้อนเหมือนชนชั้นที่ต่ำกว่าคุณ คือชนชั้นประชาชนแน่ แต่อยากใช้ตัวอย่างนี้ชี้ถึงความเป็นจริงของประเทศไทยที่ชอบแสร้งหลอกทั่วโลกเขาว่าเราเป็นประชาธิปไตยที่พิเศษสุด 
    
แต่ที่สุดแล้วเผด็จการก็คือเผด็จการ
    
และคนที่อยู่ในฐานะต่ำสุดของระบอบเผด็จการ ก็คือขี้ข้าเผด็จการที่นึกว่าตนเองวิเศษกว่าคู่แข่งคนอื่นๆ นั่นแล.
---------------------------------------------------------------------

fredag 24 juni 2011

คดียึดทรัพย์ร.7


"จำเลยได้โอนทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของจำเลยดั่งคำฟ้องของโจทก์" [ความตอนหนึ่งของข้อเท็จจริงในคำพิพากษา](ภาพหายาก:อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ รับเสด็จรัชกาลที่ 7 ที่เยอรมัน เมื่อ 6 กรกฎาคม 2477)

ที่มา นิติราษฎร์ และศิลปวัฒนธรรม

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ กรณียึดทรัพย์ทั้งหมดของสมเด็จพระปกเกล้าฯ[ภาคแรก]

ที่มา เวบไซต์นิติราษฎร์

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีดำที่ ๑๙๗/๒๔๘๒ คดีแดงที่ ๒๗๘/๒๔๘๒ ความแพ่งระหว่าง กระทรวงการคลัง โจทก์ สมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่๑ และ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ที่๒ จำเลย

ในคำพิพากษานี้ แยกเป็น ๓ ส่วน (โดยสังเขป)

ข้อ๑.ศาลวินิจฉัยว่า ตามพฤติการณ์ที่จำเลยโอนเงินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ไปยังต่างประเทศ โดยมิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจาก จำเลยไม่มีสิทธิในทรัพย์สินส่วนนั้น ในกรณีดังกล่าวเป็นเหตุฉุกเฉินโจทก์ยื่นคำฟ้องโดยมีเหตุสมควร ศาลสามารถยึดหรืออายัดทรัพย์ของจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

ข้อ๒.โจทก์นำ หลวงสารสินทะเบียนสิษฐ์ นายวานิต นาวิกบุตร์ และนายเฉลียว ปทุมรส เข้าเบิกความ ศาลพิเคราะห์ว่า จำเลย โอนขายอสังหาริมทรัพย์โดยสมรู้กับคู่สัญญา เพื่อจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยให้พ้นอำนาจศาล ซึ่งอาจบังคับเอาแก่จำเลยและเพื่อฉ้อโกงโจทก์ การกระทำของจำเลยไม่เป็นไปโดยสุจริตและเป็นเสียหายแก่โจทก์

ข้อ๓.ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยให้อายัดหรือยึดทรัพย์จำเลยทั้งหมดรวมทั้งทรัพย์สินของบุคคลภายนอกซึ่งถึงกำหนดชำระแก่จำเลยไปพลางก่อน และเงินวางศาลเพื่อประกันสำหรับค่าสินไหมทดแทน ให้จำเลยเป็นฝ่ายเสีย

อย่างไรก็ดี คดียังไม่ยุติเพียงเท่านี้ โปรดติดตามคำพิพากษาในคดีนี้ที่เกี่ยวเนื่องต่อไป ใน ภาคปิดคดี.

ดาวน์โหลดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีแดงที่ ๒๗๘/๒๔๘๒

ที่มา : สำนักงานโฆษณาการ , "ข่าวโฆษณาการ" เรื่อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เรื่องความแพ่งในระหว่างกระทรวงการคลัง โจทก์ สมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่๑ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ที่๒ จำเลย . (ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๖ : ๒๙ สิงหาคม ๒๔๘๒), หน้า ๓ - ๗.

******


เรื่องเกี่ยวเนื่อง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ

๒๔ มิถุนายน วันชาติไทย

เพลงวันชาติ

24 มิถุนา ยนมหาศรีสวัสดิ์
ปฐมฤกษ์ของรัฐ ธรรมนูญของไทย
เริ่มระบอบอารยะประชาธิปไตย
ทั่วราษฎรไทย ได้สิทธิเสรี
สำราญ สำเริง รื่นเริง เต็มที่
เพราะชาติเรามีเอกราชสมบูรณ์
ไทยจะคงเป็นไทย ด้วยร่วมใจเทิดไทย ชโย

ชาติประเทศเหมือนชีวา ราษฎร์ประชาเหมือนร่างกาย
ถ้าแม้ว่าชีวิตมลายร่างกายก็เป็นปฏิกูล
พวกเราต้องร่วมรักพิทักษ์ไทยไพบูลย์
อีกรัฐธรรมนูญคู่ประเทศไทย
เสียกายเสียชนม์ยอมทนเสียได้
เสียชาติประเทศไทยอย่ายอมให้เสียเลย
ไทยจะคงเป็นไทย ด้วยร่วมใจเทิดไทย ชโย

ผู้แต่ง : ครูมนตรี ตราโมท

รำลึก ๗๙ ปี ประชาธิปไตยชึ่งเป็นภารกิจของคนไทยที่ต้องสืบทอดเจตนารมณ์ของคณะราษฎรต่อไป

๗๙ ปี ภารกิจคณะราษฎร
ภารกิจท่านยังมิสำเร็จ
รัฐเผด็จอำนาจนำครอบงำใหม่
๑๕ ปี ท่านอยู่แล้วจากไป
ทรราชขึ้นมาใหญ่ในแผ่นดิน
๖ ประการ สิทธิ เสรีภาพ
ถูกกำราบหมอบกราบเข้าแทนสิ้น
เอกราช การศึกษา การอยู่กิน
หวนถวิลสู่ผืนดินพอเพียง
ความปลอดภัยนั้นคือไร้ขื่อแป
รัฐรังแกปกปิดไร้สิทธิ์เสียง
เสรีภาพซึมซาบทุกสำเนียง
เดินหน้าเรียงสู่ตะราง-พูดความจริง
๒๔ มิถุนาฯ ๒๔๗๕
ราษฎรประกาศกล้าต่อหน้าสิงห์
เมื่ออำนาจประชาชนถูกปล้นชิง
แม้น The King ก็ต้องล้มราชบัลลังก์
เขาโค่นล้มเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เพื่อพี่น้องผองชนในหนหลัง
หลุดออกจากระบอบอันน่าชัง
ด้วยพลังมวลชนคนธรรมดา
มาบัดนี้ ๗๙ ปีประชาธิปไตย
หมุนกลับไปเริ่มใหม่ไร้เดียงสา
เกิดซากเดนความคิดปฏิกิริยา
เทวดาองค์ใดใช้เงื่อนปม
ภารกิจของท่านจึงยังมิสำเร็จ
เวียนมาเจ็ดสิบเก้าปีที่ขื่นขม
เราก้าวเดินทีละย่างอย่างเศร้าตรม
แต่ยังถมทางท่านต่อเพื่อรอวัน!.
Homo erectus/กลุ่มกวีตีนแดง
ขอคารวะต่อคณะราษฎร ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕

torsdag 23 juni 2011

จดหมายเปิดผนึก จากใจ จตุพร ถึงนายอภิสิทธิ์

จดหมายเปิดผนึก จากใจ จตุพร ถึงนายอภิสิทธิ์
0
0
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้เขียนจดหมายเปิดผนึก ถึง นายอภิสิทธิ์ ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ใจความว่า
ผมนายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้ถูกคุมขังจากการกล่าวหาของเจ้าหน้าที่รัฐในความผิดฐานก่อการร้าย ได้มีโอกาสรับทราบบันทึกของนายอภิสิทธิ์เรื่อง “จากใจนายอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” รวม 5 ตอน ที่เผยแพร่ในเฟซบุ๊ก ตลอดจนคำสัมภาษณ์ คำปราศรัยหาเสียงของนายอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยกล่าวถึงเรื่องการสลายการชุมนุมของประชาชน “แนวร่วมประธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” ทั้งบริเวณสี่แยกคอกวัวและสี่แยกราชประสงค์ และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 91 ศพ บาดเจ็บ 2,000 กว่าคน และในวันที่ 23 มิถุนายน นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์จะไปปราศรัยที่ราชประสงค์ พฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ในช่วงระยะเวลานี้
นายอภิสิทธิ์คงลืมฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี และความเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนการยุบสภา เพราะความเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ในเวลานี้ นายอภิสิทธิ์คงคิดแต่เพียงอย่างเดียวว่าทำอย่างไร “พรรคประชาธิปัตย์จะชนะการเลือกตั้ง” เท่านั้น
แต่หากนายอภิสิทธิ์ ไม่ลืมฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ คงไม่พูดในลักษณะยัดเยียดข้อหาเผาบ้านเผาเมือง หรือข้อหาก่อการร้ายให้กับใคร หรือพรรคการเมืองใด เพราะในฐานะนายกรัฐมนตรีหรือรักษาการนายกรัฐมนตรีในเวลานี้ ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารไม่ควรชี้นำกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาล อีกทั้งรัฐธรรมนูญก็คุ้มครองว่า “ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่า บุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้” นายอภิสิทธิ์ คิดเช่นนี้ นายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีคงไม่เผยแพร่เฟซบุ๊กกล่าวหาใคร และนายอภิสิทธิ์ต้องบอกกับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ให้มาเปิดปราศรัยใหญ่ที่แยกราชประสงค์​

แต่เพราะเหตุที่นายอภิสิทธิ์ มุ่งชนะการเลือกตั้งในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่สนใจ ไม่นำพาต่อตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี และไม่สนใจต่อคำพูดของตนเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 ที่กล่าวหานายกรัฐมนตรีในอดีตท่านหนึ่งว่า “ผมไม่นึกไม่ฝันว่า เรามีรัฐ ที่ได้ทำร้ายประชาชนถึงขั้นเสียชีวิต บาดเจ็บสาหัส แล้วยังมีรัฐ ที่พยายามยัดเยียดความผิดกลับไปให้ประชาชนอีก เป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้ครับ บัดนี้ เขาสูญเสียไปแล้ว นายกฯ ไปยัดเยียดข้อหาใส่เขาอีก พฤติกรรมอย่างนี้ไม่มีทางนำพามาซึ่งความสมานฉันท์ ความปรองดอง”

ถามว่า การที่นายอภิสิทธิ์ไปยืนพูดปราศรัย ที่สี่แยกราชประสงค์ ในวันที่ 23 มิถุนายน นายอภิสิทธิ์ คงมิใช่คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เพราะหากนายอภิสิทธิ์ สำนึกว่าตนเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยแล้ว นายอภิสิทธิ์ก็จะต้องสำนึกถึงคำพูดของตนที่เคยกล่าวหา อดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่น โดยเฉพาะคำพูดของตนที่ว่า “บัดนี้เขาสูญเสียไปแล้ว นายกฯ ไปยัดเยียดข้อหาใส่เขาอีก” และอยากจะถามว่า การที่นายอภิสิทธิ์ไปยืนปราศรัยยัดเยียดข้อหาให้กับผู้สูญเสีย แล้วนายอภิสิทธิ์โชคดีได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ถามว่านายอภิสิทธิ์จะนำพาความสมานฉันท์ ความปรองดองให้เกิดกับสังคมตามที่ตนเคยพูดไว้อย่างไร เมื่อนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ตัดสินใจที่จะเลือกปราศรัยที่สี่แยกราชประสงค์ ผมก็มีคำถามถึงนายอภิสิทธิ์ ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี (ซึ่งนายอภิสิทธิ์คงลืมไปแล้วในเวลานี้) มิใช่ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ดังนี้

1. “ใครฆ่าประชาชน”

(1) ชายชุดดำที่นายอภิสิทธิ์ กล่าวอ้างตลอดระยะเวลา 1 ปีเศษ นับแต่เกิดเหตุ เป็นใคร ทำไมถึงจับกุมไม่ได้ และในเวลาที่อ้างชายชุดดำเป็นผู้ก่อการร้าย มีทหารจำนวนมาก แต่ทำไมสามารถจับกุมชายชุดดำ ผู้ก่อการร้ายไม่ได้แม้แต่คนเดียว

(2) การฆาตกรรมหมู่ที่วัดปทุมวนารามจำนวน 6 ศพ “เขตอภัยทานของวัด” ทำไมทั้งคุณ และนายสุเทพ ได้ตอบอภิปรายในสภาอันทรงเกียรติไม่ยอมรับว่า ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 หลังจากเวลา 18.30 น. แล้วไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารอยู่บนรางรถไฟบีทีเอสอย่างแน่นอนและเด็ดขาด ข้างล่างก็ถอน ข้างบนก็ถอน ไปตั้งหลักอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม และยืนยันว่าการปะทะอยู่ที่มุมซ้าย ไม่ใช่ที่หน้าประตูวัด” รายละเอียดปรากฏตามบันทึกรายงานการประชุมสภาหน้า 251 – 253 และนายสุเทพ ยังอ้างตอบอภิปรายว่า “สงสัยว่ายิงกันเอง” รายละเอียดปากฏตามรายงานการประชุมสภา หน้า 257 ส่วนตัวคุณเองยังอ้างอีกว่า เป็นการยิงจากแนวราบไม่ใช่เป็นการยิงจากที่สูง คำพูดของคุณในฐานะนายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่ตอบญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจในรัฐสภาอันทรงเกียรติแตกต่า​งกับคำพูดหรือคำให้การของทหารกองพันรบพิเศษที่ 1 กรมรบพิเศษที่ 3 ลพบุรี ได้แก่ 1. จ.ส.อ.สมยศ ร่มจำปา 2. ส.อ.เดชากร มาขุนทศ 3. ส.อ.ภัทรนนท์ มีแสง 4. ส.อ.สุนทร จันทร์งาม 5. ส.อ.ชัยวิชิต สิทธิวงษา 6. ส.อ.เกรียงศักดิ์ สีบุ 7. ส.อ.วิฑูรย์ อินทำ แม้จะเป็นนายทหารชั้นประทวนก็ยังกล้ารับว่าในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 พวกตนปฏิบัติหน้าที่บริเวณวัดปทุมวนารามขึ้นปฏิบัติการบนรางรถไฟฟ้าตั้งแต่สถานีสนาม​กีฬา ไปยังสถานีสยาม โดยมี พ.ต.นิมิตร วีระพงศ์ เป็นหัวหน้าภารกิจป้องกันหน่วยทหาร ร.31 พัน 2 รอ. ที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณวัดปทุมวนาราม จึงถามว่าคำพูดของพวกคุณ กับนายสุเทพที่ปฏิเสธว่า ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารบนรางรถไฟฟ้านั้น จะให้เลือกเชื่อพวกคุณ หรือทหารดังกล่าวที่ให้การไว้ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ

(3) หลักฐานสำคัญที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รวบรวมมาได้แก่
3.1 การที่กองพันรบพิเศษที่ 1 กรมรบพิเศษที่ 3 ลพบุรี มาปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของ ศอฉ. ที่นายอภิสิทธิ์ตั้งขึ้น โดยมีนายสุเทพฯ เป็นผอ. ศอฉ. ร่วมกับพลเอกอนุพงษ์ฯ และพลเอกประยุทธ์ฯ คือ คำสั่งศูนย์ปฏิบัติการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ที่ 44/2553 เรื่องให้กำลังพลปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งของ ศอฉ. ตั้งแต่ 8 เมษายน 2553 จนจบภารกิจ “หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ” เป็นหน่วยทหารที่ขึ้นตรงต่อกองทัพบก อย่างนี้แล้ว พลเอกอนุพงษ์ฯ และพลเอกประยุทธ์ฯ คงจะหนีความรับผิดชอบไม่พ้น ส่วนนายอภิสิทธิ์ฯ และนายสุเทพฯ ในฐานะผู้กำกับควบคุม ดูแล
ศอฉ. ไม่ต้องพูดถึง หนีความรับผิดชอบไม่ได้อยู่แล้ว หลักฐานที่ว่า ปรากฏตามคำสั่งศูนย์ปฏิบัติการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษที่44/2553 คุณจะยังปฏิเสธว่าคุณมิได้สั่งการให้ทหาร มาใช้กำลังอีกหรือไม่
3.2 หลักฐานสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ฆาตกรได้นำมาฆาตกรรมหมู่ประชาชนจำนวน 6 ศพที่วัดปทุมฯ คือ กระสุนหัวเขียว ในร่างผู้ต่ายหลายศพมีเศษหัวกระสุนเขียวฝังอยู่ในร่าง ซึ่งพ.ต.นิมิตร ฯได้ให้การไว้ต่อกรมสอบสนคดีพอเศษ ว่า กระสุนปืนของชุดปฏิบัติการที่ใช้เป็นขนาด5.56มม. โดยเป็นชนิดM855 โดยจะแตกต่างจากกกระสุนปืนอย่างอื่นคือ ที่บริเวณหัวกระสุนจะเป็นสีเขียว สามารถมองเห็นได้ชัด และเบิกจ่ายให้กับชุดปฏิบัติการของพ.ต.นิมิตร ฯด้วย โดยเบิกกระสุนปืนดังกล่าวมาจากต้นสังกัดที่ลพบุรีนอกจากนี้ในรายงานการชันสูตรพลิกศพ​ผลการตรวจวิถีกระสุนจำนวน3ศพ บ่งชัดว่า เป็นการยิงจากด้านบนลงด้านล่าง ไม่เป็นไปตามที่คุณพูดว่าเป็นการยิงในแนวราบ เช่นนี้คุณจะยังปฏิเสธว่าการตายของประชาชนที่วัดปทุมวนาราม มิใช่การตายจากทหารที่มาปฏิบัติหน้าที่อีกต่อไปหรือไม่
3.3 เหตุใดการตายทั้ง 91 ศพ ไม่ผ่านกระบวนการในการทำสำนวนชันสูตรพลิกศพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ว่า “ผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใดและถึงเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ถ้าตายโดยคนทำร้าย ให้กล่าวว่าใครเป็นเป็นผู้กระทำร้ายเท่าที่จะทราบได้” แม้แต่การตายของพันเอกร่วมเกล้าฯ ก็ไม่มีการชันสูตรพลิกศพ นับแต่มีเหตุตาย เป็นเวลาปีเศษแล้ว กรมสอบสวนคดีพิเศษและสำนักงานตำรวจแห่งชาติภายใต้การกำกับ ควบคุม ดูแล ของคุณและนายสุเทพฯ ก็โยนกันมาไม่สามารถส่งเรื่องให้ศาลทำการไต่สวนตามกฏหมาย ถามว่า ทำไมจึงไม่ให้ศาลไต่สวน พวกคุณกลัวอะไร ถ้าให้ผมตอบคุณคงกลัวว่า หากศาลไต่สวนแล้วเห็นว่าการตายเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐพวกคุณต้องรับผิดชอบ​ใช่หรือไม่ ทุกวันนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษและสำนักงานตำรวจแห่งชาติคงไม่กล้าทำอะไรกับพวกคุณหรอก ในทางกลับกัน เมื่อพวกคุณไม่ให้มีการชันสูตรพลิกศพและไต่สวนตามกฏหมาย ถามว่าแล้วหากคุณมีสิทธิอะไรมายัดเยียดข้อกล่าวหาว่าใครเป็นคนฆ่าใคร หลักฐานหามีไม่คนที่เสียชีวิตก็ไม่มีอาวุธอยู่ในมือ พวกคุณก็ยังยัดเยียดข้อหาให้เขาอีก มันอยู่ในหลักนิติธรรมหรือไม่
2. กรณีการวางเพลิง
การวางเพลิง โดยเผาเซ็นทรัลเวิร์ลหรือตามจุดต่างๆของประเทศไทย ขณะนนี้เรื่องอยู่ในกระบวนการของศาลยุติธรรมที่จะพิจารณาพิพากษาคดีแต่ทำไมคุณและนาย​สุเทพฯ จึงมาพูดใส่ร้ายผู้ชุมนุมเป็นผู้เผา ทั้งๆที่คุณและนายสุเทพฯทราบบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเป็นอย่างดีว่าก่อนมีคำพิพากษาคดีอั​นถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิดจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำคว​ามผิดมิได้ การที่พวกคุณในฐานะเป็นผู้กุมอำนาจฝ่ายกล่าวว่าหาว่าผู้ชุมนุมและพวกผมเป็นผู้ก่อให้​เกิดการวางเพลิงทั้งๆที่ยังไม่มีการพิพากษาคดี พวกคุณจึงกล่าวหาเองและสรุปเองทั้งสิ้น จึงมีคำถามดังนี้

2.1 คุณในฐานะนายกรัฐมนตรีหัวหน้าฝ่ายบริหารก้าวล่วงตุลาการ หรือไม่ เพราะคดีเรื่องวางเพลิง คุณในฐานะหัวหน้ารัฐบาลใช้กลไกลกล่าวหาผู้ชุมนุมและพวกผมทำไม คุณไม่ปล่อยให้ศาลพิจารณาหรือพิพากษาคดีให้ถึงที่สุดเสียก่อน หากเป็นเช่นนี้ถามว่าคุณก้าวล่วงและละเมิดต่อการพิจารณาโดยการชี้นำกระบวนการยุติธรร​มใช่หรือไม่
2.2 การเผาเซ็นทรัลเวิลด์มีชายฉกรรจ์แต่งกายคล้านทหาร มีอาวุธครบมือ โดยมีระเบิดข่มขู่ใส่เจ้าหน้าที่ จนได้รับบาดเจ็บหลายคน เพื่อไล่ให้ออกจากศูนย์การค้า คนเหล่านั้นเป็นใครกล้าจับ คุณต้องตอบคำถามนี้

2.3 คุณต้องตอบคำถามของพันตำรวจโทชุมพล บุญประยูร เลขาธิการ สมาคมอาสาบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทยที่กล่าวว่า “ตลอดเวลา 2 เดือนเต็มเราได้ประสานไมตรีกับผู้ชุมมุนมาเป็นอย่างดี โดย เฉพาะพวกการ์ดแทบจะรู้จักกันทุกคน แต่ในวันเกิดเหตุเผาเซ็นทรัลเวิลด์ขอบอกว่าไม่เห็นหน้าคนเหล่านั้นเลย มีแต่พวกที่เรียกตัวเองว่า กองกำลังไม่ทราบฝ่าย กลุ่มนี้แหละที่เขาบอกว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เป็นผู้ก่อการร้ายที่แม้แต่ตำรวจและทหารไม่กล้าแตะ ถามว่าทำไมคุณและนายสุเทพฯ ไม่สืบสวนจับกุมคนพวกนี้ คนกลุ่มนี้เข้าออกในที่เกิดเหตุโดยไม่มีใครกล้าทำอะไรพวกเขา เจ้าหน้าที่มีข้อมูลทุกอย่าง แต่ทำไมถึงจับคนร้ายไม่ได้”
2.4 เวลา 16.30 น. มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถืออาวุธครบมือได้เข้าไปในเซ็นทรัลเวิลด์แต่ต้องถอยร่นเนื่องจ​ากมีผู้บุกรุกที่แต่งกายคล้ายทหารมีทั้งอาวุธและลูกระเบิด เจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมความปลอดภัยของเซ็นทรัลเวิลด์รายงานให้ผู้บริการทราบ แต่ทำไมกองกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเข้ามารักษาความสงบในศูนย์การค้าต้องถอนตัวออกไ​ปจากศูนย์การค้า และถามว่าทำไมทหารที่สีแยกราชประสงค์ที่มีอยู่จำนวนมากในเวลานั้นไม่เข้ามารักษาความ​ปลอดภัยในศูนย์การค้า

2.5 ทำไมเจ้าหน้าที่รัฐ หรือ คุณ หรือ นายสุเทพฯ ที่มีหน้าที่ต้องสืบสวนสอบสวนหาความจริงจึงไม่ตรวจสอบหรือเรียกดูกล้องซีซีทีวี (CCTV) จากห้างเกสรพลาซ่า,จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และโรงพยาบาลตำรวจ มาตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุเพราะกล้องทุกตัวสามารถมองเห็นเซ็นทรัลเวิลด์ และถนนโดยรอบเซ็นทรัลเวิลด์ได้ ทำไมไม่ตรวจสอบหรือกลัวว่าตรวจสอบแล้วจะกล่าวหาผู้ชุมนุมไม่ได้ การตรวจสอบสอบนี้รวมถึงคำถามไปยังห้างเซ็นทรัลเวิลด์ด้วยว่ากล้อง ซีซีทีวี (CCTV) ที่บันทึกเหตุการณ์ในอาคารของ เซ็นทรัลเวิลด์ เอาไปเก็บไว้ทำไม และเหตุใดจึงไม่รักษาสิทธิของตนกลัวอะไรจะเกิดขึ้น เพราะกล้องซีซีทีวี (CCTV) จากฝั่งเกสรพลาซ่า สามารถจับภาพตอนอาคารทางเชื่อมของ เซ็นทรัลเวิลด์ ยุบถล่มอย่างต่อเนื่องและมีภาพนาทีอาคารถล่มเท่านั้นที่ปรากฏสู่สาธารณะ ถามว่าภาพก่อนหน้านั้นตั้งแต่เช้า สาย บ่าย และเย็นของวันนั้นเกิดอะไรขึ้น จึงไม่อาจปรากฏสู้สาธารณะชน ทำไมความจริงในบางขณะเวลาจึงหายไปหรือมีอะไรอยู่ในภาพเคลื่อนไหวเหล่านั้นที่สามารถบ​่งบอกชี้วัดได้ว่า ใครเป็นผู้เผาเซ็นทรัลเวิลด์ พวกคุณ และ นายสุเทพฯจึงไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐสอบสวน
2.6 จริงหรือที่คนเสื้อแดงถูกฆ่าตายเพราะไปเผาบ้านเผาเมือง คำถามที่คุณต้องตอบคือ ทำไมคุณไม่สอบสวนว่าใครไล่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมา ใครไม่ให้นักดับเพลิงเข้าไปดับไฟเพราะถ้าเป็นคนเสื้อแดงเผาจริงคงต้องถูกปราบปราม และหากจับไม่ได้ก็คงเป็นศพเกลื่อนในศูนย์การค้าแล้ว แต่นี่ไม่สามารถจับผู้วางเพลิงที่แท้จริงได้ส่วนที่ถูกดำเนินคดีอยู่ที่ศาลหาความจริ​งแล้วน่าจะเป็นแพะ ผมจึงถามคุณและนายสุเทพฯว่าจริงหรือไม่ที่มีการกล่าวว่า “ประเทศไทยของเราอย่าให้ใครมาเผา(แล้วห้ามเข้าไปดับ) อีก”

ผมหวังว่าแม้ในช่วงเวลานี้เป็นความยากลำบากในชีวิตของผมที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐภายใต้ก​ารกำกับดูแลของพวกคุณมากล่าวหาผม แต่ผมก็พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแม้ผมจะต้องถูกจองจำ ชีวิตผม ครอบครัวของผม ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงของผมต้องมีความลำบากในชีวิตไปพร้อมกับผม แต่ผมหวังว่าในที่สุดแล้วความจริงและความยุติธรรมในสังคม ก็หวังว่าจะเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งผมจะรอวันนั้นด้วยความอดทน แต่ระหว่างที่รอพวก คุณควรจะได้ตอบคำถามที่ผมถามคุณด้วย

นายจตุพร พรหมพันธุ์

23 มิถุนายน 2554

onsdag 22 juni 2011

The Red Shirt Villagers in Thailand

Nirmal Ghosh
Thailand Correspondent
Among 'red shirt' villagers in Thailand
June 16, 2011 Thursday, 01:17 PM
Nirmal Ghosh on evolution in the 'red shirt' movement
________________________________________
The revelation last week that hundreds of villages in the red shirt-dominated north eastern Isan region had placed signboards at their entrances proclaiming themselves "Red Villages for Democracy" has rung some alarm bells in Bangkok.

[Image: image.php?id=DDD7_4E017F2F&jpg]


The village, Ban Pulu, was the first to have its signboard nailed at its entrance road. -- PHOTO: NIRMAL GHOSH

So I decided to go and check them out.

Accompanied by Inter Press Service correspondent Marwaan Macan-Markar, I spent two days in Isan last Sunday and Monday, travelling extensively and conducting interviews in Udon Thani and Khon Kaen.

The red shirts began developing a few months after the September 2006 coup d’etat that ousted Thaksin Shinawatra, and have since grown into a wide, deep and well-organised movement only temporarily disrupted by the army’s crackdown last summer. The movement supports the opposition Puea Thai party, currently leading the ruling Democrat Party according to almost all opinion polls.

We witnessed an inauguration ceremony for 10 villages, all declaring themselves "Red Villages for Democracy." We found that the "Red Villages" tactic is a symbolic one. The villages are not exclusion zones, and there is no attempt to set up a parallel administration.

[Image: image.php?id=A930_4E017F2F&jpg]


The signboards were taken on a procession through the village. -- PHOTO: NIRMAL GHOSH

But it seems to be a trend, a new avenue of expression.

The red shirt movement seems to be adapting and evolving under pressure. The "Red Villages" is one example of creativity; in another, coffee shops (in Udon Thani) now offer more options for locals to gather and talk politics especially as many community radio stations are out of action and those that are still broadcasting, have really toned down political content.
All subjects are discussed at these gatherings, we were told.

At the coffee shop we visited, the group included a teacher, a primary school director, and several farmers - both men and women. We asked two women about the Democrat Party’s farmer income guarantee scheme. One said she had not registered; the other said she had received 2,000 baht. We asked whether that would influence her vote. Both in unison said "No".

One man there said he had received 2,000 baht last year – and used it to go to Bangkok to join the red shirt protests.

It is also clear that there is active debate and even disagreement on strategy and tactics, between different red shirt groups and leaders, and the formal leaders of the United Front for Democracy against Dictatorship (UDD).


[Image: image.php?id=93D0_4E017F2F&jpg]


A village representative receives her signboard on stage. -- PHOTO: NIRMAL GHOSH
Evolving

The UDD itself is not monolithic; the red shirt movement is an even looser entity than the UDD, and evolving in its own way, in different directions, though largely with the same objective.

This evolution in effect is producing a multi-pronged effort – the UDD’s democracy schools which are back in action; the "democracy villages" and coffee gatherings; and an effort to train volunteers to monitor polling stations.

There are some radicals who are waiting and watching the election and its aftermath.
Of course there are also red shirt leaders now on the Puea Thai’s party list for the July 3 election. It will be interesting to watch the evolution of the movement.

While former prime minister Thaksin remains the rallying point, several red shirts we spoke to, who made speeches at two different locations in Udon Thani province, did not exhort their audiences to vote for the Puea Thai party.

Of course they were speaking to the converted anyway. But they harped on the democracy theme, telling the audiences they could vote for anyone they liked, that their vote was their weapon.

One speaker, on a hot afternoon told about 500-odd gathered in Udon Thani, said: "If political parties give you money, take it – but vote for whoever you want. The only chance for change is now."

"This is an arena for you. You are free to vote for whoever you like. But I want you to think about what we are going to do if our vote is ignored again, if our votes are wasted. Think about it."

But at the coffee shop gathering we observed, there was also a sign on the wall (next to a poster which included a picture of Thaksin riding a white horse) saying: "Selling your vote makes you a slave."

[Image: image.php?id=3921_4E017F2F&jpg]

Monks chanted blessings for the Red Village for Democracy inauguration ceremony last Sunday in Udon Thani. -- PHOTO: NIRMAL GHOSH

There are also active discussions at a very basic level, on strategy on various post election scenarios.

Some red shirts said they would not return to mass protests in Bangkok because the last time around they had done that, many had been killed and they came away with nothing.

They could find other ways, in the countryside itself, they said. One said they could "shut down" the country if they "shut down" Isan.

There is clearly no let-up in the frustration and resentment against the "amaat" - the aristocratic establishment.

Much depends on the outcome of the election - and its aftermath. Machinations will be closely watched across the country in an election that has the potential to be either a land mine, or a watershed.

måndag 20 juni 2011

ขออวยพรเนื่องในโอกาศครบรอบวันเกิดของสุภาพสตรี เบอร์ ๑ ว่าทีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย

ยี่สิบเอ็ด มิถุนา มาถึงแล้ว หัวใจแป้ว หลงรักคุณ รู้บ้างไหม
คุณยิ่งลักษณ์ ขอรับ มาไวไว ใครต่อใคร จะกล่าว อวยพรคุณ
ด้วยวันนี้ เป็นวัน คล้ายวันเกิด ฟ้าจะเปิด ดวงคุณ เปร่งรัศมี
ก็เพราะด้วย วันนี้ เป็นวันดี มีฤกษ์ดี สถิย์อยู่ ถึงสี่กาล

เริ่มจากเช้า แปดโมง สมโณฤกษ์ จงไปเถอะ ตั้งจิต ให้จงมั่น
ก็ฤกษ์นี้ ส่งผล คุณอนันต์ ขอคุณมั่น ตั้งไว้ ซึ่งความดี
ฤกษ์ที่สอง เก้าโมง ทลิทโทฤกษ์ เป็นดวงฤกษ์ ครบถ้วน สมบูรณ์พร้อม
แต่ฤกษ์นี้ เหน็ดเหนื่อน ซึ่งคุณยอม ด้วยคุณพร้อม ก้าวขึ้น เป็นผู้นำ

ฤกษ์ที่สาม มหัทธโน ฤกษ์ใหญ่มาก ทรงอำนาจ รุ่งเรือง รัศมี
จะจับต้อง สิ่งใด ล้วนได้ดี ด้วยฤกษ์ ผู้คน ต่างหมายปอง
ฤกษ์ที่สี่ ภูมิปา โลฤกษ์ ไม่ต้องเลิก สิ่งใด ที่มุ่งหวัง
เพราะด้วยฤกษ์ ปิดท้าย เหลือเชื่อจัง เหมือนฟ้าสั่ง ส่งมา เฉพาะคุณ

หากถอดความ ยามฤกษ์ ทั้งสี่ฤกษ์ ฟ้าได้เปิด ชะตาคุณ สมบูรณ์พร้อม
โดยเริ่มจาก ฝึกจิต เจ็บต้องยอม คุณจะพร้อม เดินผ่าน ทุกสิ่งไป
ต่อจากนี้ การงาน ว่าที่ไหน คุณทำได้ ล้วนเสร็จ สมบูรณ์พร้อม
ต่อจากนั้น ผลลัพธ์ สมใจปอง ตอบสนอง ทุกสิ่ง ที่คุณทำ

และตอนจบ ตามฤกษ์ สุดเหลือเชื่อ จะด้วยเมื่อ การณ์ใด ไร้ขวากหนาม
ด้วยเพราะฤกษ์ รับประกัน ไว้ทุกยาม ไม่ต้องถาม ผ่านได้ อย่างมั่นคง
แล้วแบบนี้ ผมคง อยู่เฉยเฉย ไม่ต้องอวย ชัยโย ให้หนวกหู
เพราะคุณมี คุณพระ คอยอุ้มชู ให้มันรู้ ไปเลย จะแพ้มาร

แต่ก็อีก ขอนิดนึ่ง ในวันเกิด ใครมาเปิด อ่านดู จะสงสัย
อีตาบ้า กอไก่ ทำได้ไง รู้แก่ใจ วันเกิด ของคุณปู
ขออวยพร จากบุญ ที่ผมสร้าง นำมาร่าง บทกลอน ไม่เฉไฉ
ขอคุณปู สุขขี สดชื่นใจ ใครต่อใคร ส่งเสียง รักกกกกกกกกกกกกคุณปูๆๆๆๆๆๆๆ[Image: v6140.gif]

fredag 17 juni 2011

จุดอ่อนและความขัดแย้งของทหาร ในกองทัพไทย

เรื่อง สองวงศ์
โดย กาหลิบ
เวลางวดใกล้เข้ามา สมาชิกของสองวงศ์แห่งกองทัพไทยก็ขยับกระสับกระส่ายไปตามๆ กัน ใครฉลาดก็วางแผนล่วงหน้า ใครโง่ก็ขยายขี้เท่อออกมาในช่วงนี้ ทั้งหมดนี้เป็นอาการของความไม่มั่นใจว่าบ้านเมืองจะผันแปรไปอย่างไรเมื่อท้องฟ้าเปลี่ยนสี
คำว่าสองวงศ์นั้น ก็มาจากเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ดูเหมือนจะเรียกกันว่าวงศ์เทวัญและทหารเสือฯ
ความขัดแย้งกับกัมพูชาที่แสดงออกอย่างเปิดเผย ความขัดแย้งลึกๆ กับเมียนมาร์และลาว ภาพการปรากฏตัวต่อสื่อมวลชนแบบไม่ติดเบรก เหล่านี้เป็นตัวอย่างของความหวั่นไหวที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักในกองทัพไทย โดยเฉพาะในกองทัพบก เพราะคนที่หนักแน่นมั่นคงเขาจะไม่ออกอาการมือสั่นงันงก
เรื่องนี้น่าวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้น?
กองทัพไทยจะเก่งกล้าสามารถเพียงใด เราไม่อาจดูย้อนไปที่บรรพบุรุษผู้รักษาชาติบ้านเมืองแต่กาลก่อนเท่านั้นได้ เราต้องตัดตอนประวัติศาสตร์ร่วมสมัยจนถึงในปัจจุบันมาพิจารณาด้วย เมื่อทำเช่นนั้นแล้วจะพบข้อเท็จจริงว่า กองทัพไทยมิได้ทำการรบพุ่งตามความรู้ความสามารถมานานนับสิบปีแล้ว ครั้งล่าสุดเมื่อเกิดเหตุปะทะกับเพื่อนบ้านทั้งกับลาวและเมียนมาร์ ก็สิ้นสุดยุติลงด้วยการแทรกแซงช่วยเหลือทางการเมืองในระดับสูง
เรื่องที่ได้รับชัยชนะทางทหารมาภาคภูมิใจกันนั้น แทบจะจำกันไม่ได้แล้วว่า ครั้งล่าสุดคือเมื่อใด จะสอนหนังสือปลุกใจเด็กต้องย้อนกลับไปถึงสมัยอยุธยาหรือต้นรัตนโกสินทร์โน่น
พูดกันตรงๆ คือทหารไทยไม่ได้ทำหน้าที่รบเพื่อชาติมานานหลายสิบปีแล้ว อย่างมากก็เป็นการลาดตระเวนในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงและเข้าร่วมซ้อมรบกับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรฝ่ายขวาของตน
กองทัพไทยจึงใช้เวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานี้กับเรื่องของการเมือง ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ ผู้นำกองทัพบกส่วนมากเข้ามาร่วม เล่นการเมืองกับเขาทั้งที่เขาไม่ได้เชิญ แต่ปากแข็งอยู่เสมอว่ากองทัพไม่ได้ข้องเกี่ยวกับการเมืองและมีเอาไว้เพื่อปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซึ่งเป็นแนวคิดการเมืองที่พูดเหมือนเจาะปากกันมาพูดตั้งแต่ช่วงต่อต้านคอมมิวนิสต์และในช่วงหลังเข้าร่วมฆาตกรรมประชาชนเมื่อ ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๙ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และพื้นที่ใกล้เคียง
ผู้บัญชาการทหารบกยุคต่างๆ เข้ามาชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีบ้าง ก่อรัฐประหารบ้าง ก่อกบฏบ้าง อย่างต่ำก็ส่งตัวเองและพรรคพวกเข้าไปนั่งในวุฒิสภาในบางยุค หรือให้สัมภาษณ์โชว์ว่าตนเองมีอำนาจชี้นำการเมืองในระดับชาติได้ ในขณะที่เสวยสุขกับผลประโยชน์โภชย์ผลต่างๆ เช่น ส่วนแบ่งในงบประมาณหลวงและงบประมาณลับ เป็นต้น
ผลจากปรากฏการณ์นี้ ทำให้เกิดเส้นแบ่งทหารของกองทัพบกออกเป็นสองขั้ว ขั้วหนึ่งเป็นทหารแท้ๆ รับราชการด้วยความจงรักภักดีต่อประเทศชาติและประชาชน อีกขั้วหนึ่งเป็นนักฉวยโอกาสอย่างนักการเมืองระดับต่ำและเกาะขาคนนั้นคนนี้ขึ้นมาสู่ตำแหน่งสูงโดยไม่มีความสามารถ บางคนถูกถ่มถุยอยู่เบื้องหลังด้วยซ้ำไปเพราะคนในกองทัพส่วนใหญ่เขาไม่เคารพนับถือ
เขากระซิบกันต่อๆ มาว่า กลุ่มทหารเสือฯ ได้แสดงพฤติกรรมที่ไม่ต่างอะไรเลยจาก พรรคทหารเสือฯในกองทัพที่มีเกียรติ เพราะเล่นการเมืองอย่างหนัก ตามงานเลี้ยงระดับสูงและในวงสนทนายามค่ำคืนของผู้ที่มีวิสัยนอนกลางวันและตื่นกลางคืน เพื่อเชียร์ตัวเองและพวกกันเป็นบ้าเป็นหลัง มีโอกาสก็ดึงขึ้นสู่ตำแหน่งตามกันไป เพื่อคอยระวังหลังให้แก่กัน พร้อมกันนั้นก็ใช้เท้าถีบทหารอีกสายหนึ่งที่ไม่ชำนาญการเชลียร์และการประจบสอพลอให้เขาหมดสิ้นอนาคต ไม่ต่างอะไรจากนักการเมืองสายพันธุ์เก่าที่เอาระบบเล่นพรรคเล่นพวกมาบูชาจนเหนือกว่าทุกสิ่ง
ทหารแท้ๆ ในกองทัพเขาซึ้งใจดีว่า ผู้บัญชาการทหารบกแต่ละนาย หรือแม้แต่นายพลระดับสูงที่มีอำนาจในกองทัพช่วงหลังๆ นั้น มีเกียรติยศไม่เท่ากัน เบื้องหลังการเข้าสู่ตำแหน่งของหลายคนน่านำมาเผยแพร่นินทาและเย้ยหยัน เพียงแต่เขาพูดดังๆ ไม่ได้เพราะวินัยและเกรงอำนาจในมือคนชั่วเท่านั้น
ปัญหาคือทั้งสองวงศ์กำลังนั่งเกวียนเล่มเดียวกันมาจนถึงปากเหว
ถ้าปล่อยควายตัวเดิมลากไปไกลกว่านี้ก็คงร่างแหลกกันทั้งสองวงศ์ แต่ถ้าขัดขืนโวยวายตรงๆ ควายก็คงจะขวิดเอา
เขาจึงสร้างเกวียนเล่มใหม่เขาไว้เงียบๆ เผื่อว่าใกล้พ้นปากเหวเมื่อไหร่ จะได้ผ่องถ่ายส่วนดีๆ ของกองทัพมาไว้ในพาหนะใหม่ได้ทันการณ์ เพื่อป้องกันประเทศชาติบ้านเมืองตามอุดมการณ์เดิม
มีใครรายงานท่านผู้บัญชาการฯ ให้ได้ทราบและสำเหนียกหรือยังก็ไม่รู้.
---------------------------------------------------------------------------

onsdag 15 juni 2011

เธอคือสุภาพสตรี เบอร์ ๑ ที่ประชาชนชาวไทยทั้งชาติมอบความหวังไว้กับเธอ

Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า










ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางด้วยเครื่องบินไปพบพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ในภาพนี้พบพี่น้องชาวนราธิวาส
โดยพี่น้องสตรีมุสลิมที่คลุมฮิญาบแดงมาต้อนรับได้คลุมฮิญาบแดงให้
และได้รับการจุมพิต+สวมกอดจากเด็กชาวมุสลิมอย่างชื่นใจ เมื่อ 14 มิ.ย.

måndag 13 juni 2011

คำสั่งลับให้ฆ่า คุณ จตุพร

คำสั่งจากเบื้องบนให้ฆ่า คุณ จตุพร  พรหมพันธ์  ในคุก
มีข่าวจากภายในรายงานมาว่า พวกเจ้ากำลังวางแผนฆ่า คุณ จตุพร พรหมพันธ์ที่กำลังถูกขังอยู่ในเรือนจำ  โดยให้พวกนักโทษภายในคุกแกล้งทำเป็นทะเลาะกันแล้วรุมซ้อมและทำร้าย คุณ จตุพรให้ตาย เพื่อให้หายสาปสูญไปจากโลกตามคำสั่งของพวกเจ้า  แล้วโยนความผิดให้กรมราชทัณฑ์เป็นแพะรับบาป โดยตนเองทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่รับผิดชอบ 
 (  กูไม่รู้กูป่วย  ) เหมือนกับเหตุการณ์อื่นๆที่พวกเจ้าได้เคยทำมาแล้วอย่างเช่นกรณีย์การฆ่านายสมัคร สุนทรเวช
 ถ้าแผนการณ์ฆ่าคุณ จตุพร เป็นจริงก็แสดงถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่พวกเจ้าได้กระทำต่อพวกนักต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม หลังจากการสังหารหมู่ ๙๑ ศพ ที่ราชประสงค์และที่ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนกว่า ๒๐๐๐ คน  ซึ่งประชาชนเหล่านี้ก็เป็นคนไทย ที่ทำการผลิตและเสียภาษีเลี้ยงดูกษัตริย์และราชวงค์นื้
มาแล้วจนหลายชั่วโคตร
คุณ จตุพร ได้เสียสละโดยลุกขึ้นต่อสู้เพื่อชาติ ประชาธิปไตย  เพื่อสิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรมให้แก่สังคมและมวลมนุษยชาติ  เราจะต้องช่วยกันปกป้องคุ้มครองชีวิตของเขาให้รอดพ้นจากอำนาจเถื่อนของพวกเจ้านั้นให้ได้
ขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนเวีย จึงเรียกร้องมายังพี่น้องชาวไทยที่รักชาติและรักประชาธิปไตยทั้งหลายทั้งในเมืองไทยและในต่างประเทศทั่วโลกจงลุกขึ้นมาร่วมกันต่อต้านแผนการณ์อันโหดเหี้ยมของพวกเจ้า  โดยการเปิดโปงถึงการกระทำที่ชั่วช้าเลวทรามของพวกเจ้าให้ประชาชนชาวไทยและชาวโลกได้รับรู้  
มนุษยชาติไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติหรือเผ่าพันธ์ใด ย่อมมีสิทธิที่จะต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค ความเป็นธรรม  และประชาธิปไตยในสังคมด้วยกันทั้งนั้น  และสิทธิในการต่อสู้เรียกร้องต่างๆเหล่านี้ย่อมจะต้องได้รับการช่วยเหลือและการคุ้มครองจากองค์กรสิทธิมนุษยชนสากล  องค์กรสภากาชาดสากลรวมไปถึงองค์การสหประชาชาติและประชาคมโลกที่มีประชาธิปไตยทั้งหลาย  เราจะต้องเรียกร้องไปยังองค์กรต่างๆเหล่านี้เพื่อช่วยเหลือคุณจตุพร และคนอื่นๆที่ถูกกล่าวหาด้วยคดีหมิ่นเช่นเดียวกันกับคุณจตุพร  เช่น คุณ สุรชัย แช่ด่าน คุณ ดา ตอปิโด คุณ สมยศ  พฤกษาเกษมสุขและอีกหลายคนที่ถูกคุกคากลั่นแกล้งโดยระบอบเผด็จการของกษัตริย์ในเวลานี้

fredag 10 juni 2011

Under the Phumipol Government, Thailand become one of the worst internet countries on Earth

The worst internet countries on Earth

The Freedom On The Net 2011: A Global Assessment of internet and Digital Media is a study that highlights threats to internet freedom such as cyber attacks, politically-motivated censorship, and government control over internet infrastructure, but also highlights countries that are pro-internet freedom. For the report’s methodology and more detail check out Freedom House’s full analysis.

Here follows an overview of countries that pose the biggest threat to internet freedom:

Burma

In a country with a population of 48-million, a paltry 40 000 or so users have some form of internet access, most of whom daringly surf the web beneath the watchful eye of a government that infamously sentenced Burmese comedian Zarganar to 35 years in prison in 2008, after posting articles critiquing the country’s regime.

Cuba

When Raul Castro took over from his brother Fidel in 2008, the ban on laptops and mobile phones were finally lifted, but what should have been a renaissance turned into disappointment as Cuba today still remains one of the world’s most repressive environments. Public internet access is vigorously monitored and Cubans pay between $6 and $12 per hour to surf beyond government approved silos.

China

Possibly the most well-known champion of internet censorship in the world, China actively maintains its aptly named “Great Firewall Of China”, blocking access to International news sites, and filtering out results from keywords the government deems sensitive such as “Tiananmen Square”. Bloggers are often jailed for absurd reasons such as “inciting subversion of state power” or backing democracy.

Tunisia

Life online in Tunisia is a soap opera. At the height of the government’s clampdown on free speech online in 2010, an unemployed fruit vendor, Mohamed Bouazizi, set himself on fire to protest joblessness. This triggered a country-wide uproar, and calls for political change and greater employment opportunities were voiced through social media channels such as Twitter, YouTube and Facebook. The government responded by promptly increasing their efforts to crack down on online activists, hack into their social networking and blogging accounts, conduct extensive online surveillance, and disable activists’ online profiles and blogs.

In an address to the nation on January 13th of this year, now exiled President Zine el-Abidine Ben Ali – who happens to maintain ownership of the largest ISP in the country – promised to free access to the internet. Access to some popular blocked sites such as YouTube and Daily Motion was restored, but the next day as protests continued President Zine el-Abidine Ben Ali fled the country and left the fate of the country’s internet access in the hands of a transitional government. The Tunisian internet Agency – who happens to be government owned and profits by renting out bandwidth to service providers – pledged in vague terms to filter only sites that are against decency, contain violent elements, or incite hate.

Vietnam

In 2009, the New York–based Committee to Protect Journalists (CPJ) listed Vietnam among the 10 most repressive countries for bloggers. Bloggers are forbidden from posting under other identities and blogs may contain only personal information and not “press articles, literary works, or other publications banned by the press law;” On top of that ISPs are required to submit biannual reports on the identities and potentially illegal activities of the bloggers they host.

In late 2009, throughout 2010 and the time leading up to the Communist Party Congress in 2011, a series of regime-lead cyber attacks targeted a wide range of websites that were critical of the government.

Saudi Arabia

On December 10 2007, blogger Fouad al-Farhan was imprisoned for four months for posting an article on his blog, discussing the “advantages” and “disadvantages” of being a Muslim. Saudi Arabia is one of the world’s most fierce enemies to freedom of expression online and besides detention and intimidation practices, enforces strict filtering practices and excessive monitoring of internet users to prevent undesirable content. Saudi Arabia was also one of the first Middle Eastern countries to threaten outlawing BlackBerry services for their inherent secure communication.

Ethiopia

Ethiopia has one of the lowest internet and mobile phone penetrations in Africa. At 0.5% of a population of an estimated 85 million, expansion is hindered by poor infrastructure and a government monopoly on telecoms. Amid allegations that China — a key investor and contractor in Ethiopia’s telecoms industry — provided Ethiopia with filtering technology, Ethiopia continues to be part of a minority of African countries that have online filtering systems and laws to restrict freedom of expression. Utilising the internet in campaigns during elections, opposition parties, and independent media have faced strong repression in 2005 and 2010.

Belarus

Nary an independent regulator in sight, the Belarus government maintains a monopoly on the country’s telecoms, performs regulatory actions itself and owns Beltelecom, which charges local ISPs three times more for bandwidth than neighbouring Baltic countries. Enterprising internet users have resorted to forming neighbourhood LANs for sharing connections.

The Belarus government has implemented filtering of popular social media channels at times through the State Center for Information Security. The Center is supervised by the president and was initially a unit of the special security service (KGB).

Bahrain

Bahrain has been in the business of repressing online freedom of expression since 1997 when Dr Mohammed Saeed Al-Sahlawi, a dentist and human rights activist, was first arrested for sending information to an opposition group outside the country. In 2002 the Ministry of Information blocked its first batch of websites containing content that was critical of the government under the press law, and today, over 1 000 websites are blocked in Bahrain. In the period leading to the October 2010 elections the government intensified its crackdown by arresting two bloggers and shutting down several websites and online forums critical of the state authorities.

BlackBerry users in Bahrain face compounded repression as restrictions ban the use of BlackBerry services to disseminate news.

Thailand

The government has gone to great lengths to control the free flow of information and online commentary in Thailand. Over the past two years, thousands of websites have been blocked and several people prosecuted for disseminating information or views online, particularly in the wake of criticisms against the Thai monarchy. In spite of the repression, Thai citizens have shown resolve by becoming by and large politically conscious, favoring greater protections for freedom of expression and being eager to exchange information and views about how Thailand is governed.

Dishonourable mentions

Some countries not mentioned or ranked in the report deserve however to be mentioned. Both Syria and Egypt have recently disconnected its citizens from the outside world during protests and detained online activists.

North Korea restricts online content to only locally controlled news sites to spread pro government propaganda, while Turkmenistan restricts access to only internal and foreign ministry sites and sites of international companies that have a local presence in the country.

torsdag 9 juni 2011

ลมหายใจสุดท้ายของ นาง ปลาวาฬ ยายปากแดง หญิงงามเมือง

" ลมหายใจสุดท้ายของยายปากแดง...... "
1
0
ขุนเขาบอก :

ลมหายใจสุดท้าย ของยายปากแดง..............

คุณนายปากแดง เริ่มแสยงสยอง
เมื่อความปรองดอง เริ่มมองเห็นแสง
เรื่องชั่วที่สั่ง กำลังจะแดง
ฐานไม่แข็งแรง กำแพงใกล้พัง

ที่นั่งเคยเย็น เปลี่ยนเป็นร้อนเร่า
คนที่นั่งเฝ้า เริ่มเล่าความหลัง
หากไม่ฆ่าใคร บ้านใหญ่คงไม่พัง
เป็นไม้ใกล้ฝั่ง เป็นดั่งนางมาร

ตะเข็บเห็บเหา ที่เราเฝ้าเลี้ยง
มันเริ่มส่งเสียง ให้เลี้ยงอาหาร
เห็บหมัดแต่ละตัว ล้วนชั่วหนังยาน
รับใช้บริการ นางมารปากแดง

อิจฉาตาร้อน จนนอนไม่หลับ
คนที่ลาลับ กลับมากล้าแข็ง
ส่งนางพญา อาชาสีแดง
มาเป็นคู่แข่ง ลดแรงศรัทธา

โอ้ฟ้าเอ๋ยฟ้า ส่งข้ามาเกิด
ข้าเคยสวยเพริด เจิดจรัสฟ้า
มิเคยมีใคร ในนครา
เทียบเทียมตัวข้า มหาราณี

มีนางงามเมือง เบื้องทิศอุดร
ทรวดทรงอรชร ขจรรัศมี
สง่าอ่าองค์ ทรงบารมี
ท้าทายฤทธี มีคนศรัทธา

สรวมอาภรณ์แดง ร้อนแรงแน่งน้อย
นิ้วนางแช่มช้อย หนึ่งน้อยเสน่หา
ยามนางเยื้องย่าง ดั่งนางพญา
สี่ทิศฤทธา ยากหาใครกราย

ร้อนรุ่มกลุ้มใจ ดั่งไฟสุมขอน
บทบาทนางละคร ถึงตอนสุดท้าย
ตัวนางอิจฉา ถึงคราต้องตาย
ลมหายใจสุดท้าย ต้องตายทุกคน

สะบัดกวัดแกว่ง ออกแรงอีกครั้ง
หวังกลับมานั่ง บัลลังก์อีกหน
แต่ภัสดา ใกล้ลับลาอีกคน
ศรัทธาปี้ป่น คนไม่ภัคดี

เรื่องราวที่เห็น มันเป็นเช่นนั้น
แต่นี้รอวัน ที่มันเป็นผี
ประชาผาสุก กันทุกชีวี
ประเทศสุกศรี หนึ่งนารีปกครอง...............ละครจบแล้ว พี่แม้วคงได้กลับบ้าน...


onsdag 8 juni 2011

เมืองไทยคือเมืองที่ปกครองโดยระบอบโจร ประชาชนชาวไทยจงลุกขึ้นมาโค่นล้มมันลง โดยเลือกเบอร์ ๑


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง โจรเจรจา
โดย กาหลิบ

เพียงแสดงท่าทีว่าพรรคเพื่อไทยอาจจะเปิด เจรจากับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกว่า จะร่วมมือกันอย่างไรหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ก็ทำให้ผู้สนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยขยับตัวด้วยความอึดอัดขัดใจกันทั่วประเทศและทั่วโลก
แม้ว่ามวลชนสายเลือดไทยจะไม่เคยถูกปลูกฝังให้อาฆาตมาดร้ายใครชนิดให้อภัยกันมิได้ แต่เขาก็รู้เจ็บรู้จำ และพร้อมเดินลุยไฟต่อไปจนกว่าบ้านเมืองนี้จะเป็นธรรมและยุติธรรม ความรู้สึกเช่นนี้มิได้ชี้ว่าคนไทยมีปัญหา แต่กลับแสดงหลักฐานของอุดมการณ์ใหม่ว่าจิตใจได้หลุดพ้นจากความเป็นทาสทางสังคม
ความดักดานเดิมๆ ที่ยอมให้เขาหลอกให้โง่ จน เจ็บ เริ่มหลุดออกไปจากระบบความคิดที่ล้าหลังและเดินสู่แนวคิดก้าวหน้าอย่างมั่นคง
ความคิดพึ่งตนเองและยอมรับในความเสมอภาคของมนุษย์เริ่มงอกงามขึ้น
แน่นอนว่า ทาสที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสมานานหรือทาสในเรือนเบี้ย ก็ยังมีตัวตนอยู่อีกมากในสังคมไทย ทาสเหล่านี้ยังหลงละเมออยู่ว่า มูลนายของตัวคือความมั่นคงของชีวิต ใครมาชวนให้ลุกขึ้นประกาศความเป็นไทและความเป็นมนุษย์จากมูลนายก็จะไม่เห็นด้วยและแสดงอาการขัดขืนไม่ยอมลุกขึ้นมาเป็นคนที่สมบูรณ์ เหตุก็เพราะกลัวเสียผลประโยชน์จากเศษอาหารที่มูลนายโยนลงมาให้เหมือนที่สุนัขได้รับนั่นเอง
ทาสเหล่านี้กระทำตัวเป็นปฏิกิริยาต่อขบวนประชาธิปไตยที่ต้องการปลดปล่อยทาส ถ้าไม่ออกมาสกัดขัดขวางเองโดยตรงก็จะไปยุให้ฝ่ายศัตรูออกมาขจัดกวาดล้างให้การปฏิวัติแต่ละครั้งจึงต้องกำจัดคนเหล่านี้ไปไม่น้อยกว่าฝ่ายที่ตั้งตัวเป็นศัตรูโดยตรง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายและเจ็บปวดนัก
ความตาย การบาดเจ็บทุพพลภาพ และบาดแผลทางใจของคนไทยเป็นล้านๆ เกิดจากกำลังจากกองทัพบกและเครือข่าย โดยคำสั่งโดยตรงจาก พลเอกประยุทธ์ฯ และในความรับผิดชอบอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างน้อยสามครั้งในห้วงเวลา ๒ ปี ตั้งแต่สามเหลี่ยมดินแดงเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๒ จนถึง ๑๐ เมษายนและ ๑๙ พฤษภาคมแห่ง พ.ศ.๒๕๕๓ นี่เป็นข้อเท็จจริงอันมิอาจปฏิเสธได้
วันนี้มูลนายเขาสั่งลงมาให้ ปรองดองกัน โดยอ้างว่าหากฝ่ายประชาชนยังคงมุ่งมั่นกับการหาตัวฆาตกรผู้กระทำความผิด ผู้นำขบวนประชาธิปไตยยังหนุนให้มวลชนแสดงความต้องการอันแท้จริงตามอุดมการณ์ประชาธิปไตยต่อไป บ้านเมืองก็จะไม่มีทางออก
คนที่มีสมองและสภาพจิตใจอย่างทาสก็อาจจะพยักหน้ารับว่าจริง เราต้องปรองดองกัน
แต่คนที่ต้องการเลิกทาสในตนจะเกิดคำถามกับตัวเองทันทีว่า เหตุใดเราต้องปรองดองกับผู้ที่มีเจตนาทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างเป็นระบบมาตั้งแต่ต้น และการปรองดองที่จะทำให้ร่วมเตียงเคียงหมอนกับอาชญากรได้ต่อไปนั้น เป็นสิ่งที่เราควรปรารถนากระนั้นหรือ?
เป็นไปได้ไหมว่า บ้านเมืองถึงทางตันเพราะความชั่วร้ายของระบอบที่ดำรงอยู่ มันกลายเป็นขยะก้อนใหญ่ที่อุดทางออกของบ้านเมืองเอาไว้จนหมดสิ้น ความชั่วร้ายจึงเอ่อท้นขึ้นมาจนมองเห็นและได้กลิ่นเหม็นเน่ากันไปทั่ว
หน้าที่ของขบวนประชาธิปไตยคือทะลวงท่อหรือดูดขยะนั้นไปทิ้งเสียที่อื่น ไม่ใช่ขมีขมันเข้าช่วยเขาเหมือนช่างซ่อมท่อที่ต้องการเอาใจเจ้าของบ้าน
แนวคิดที่แตกต่างกันในเรื่องนี้ก่อให้เกิดผลปฏิบัติที่แตกต่างกันมาก
อยากเลือกตั้งก็เลือกไปให้ดีไม่มีปัญหา โดยหวังให้กระบวนการเลือกตั้งนั้นเองพิสูจน์ความเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการของบ้านเมืองจนเป็นที่ประจักษ์ ก็ยังนับว่ามีประโยชน์ แต่ท่าทีระหว่างนั้นต้องเป็นผู้ดีประชาธิปไตยทุกกระเบียดนิ้ว
อย่าลดตัวเป็นจิ้งหรีดให้เขาปั่นหัว
อย่าลดราคาในนโยบายเพื่อประชาธิปไตยทุกชนิด
และอย่าสังสรรค์วิสาสะกับโจรเป็นอันขาด
ข้อสรุปง่ายๆ คือ จงเป็นผู้นำไทย เลิกนิสัยผู้นำทาส.
------------------------------------------------------------------------------

lördag 4 juni 2011

The July 3 Election in Thailand is Extraordinary

จรัล ดิษฐาภิชัย:ประชาคมโลกพึงตระหนักว่า การเลือกตั้ง ๓ กรกฎาคม ในประเทศไทย มิใช่ธรรมดา



July 3rd Election in Thailand is Extraordinary

On this coming July 3, 2011, there will be a general election in Thailand which apparently looks ordinary as any elections in democratic countries. But for those who follow the political situation in Thailand for many years would see that this is extraordinary election. It is unique in two respects.

Firstly, it is the election after the government of Mr. Abhisit Vejjajiva of Democrat, bloody crackdown the United Front for Democracy against Dictatorship (UDD) or the Red Shirt movement who staged a protest against the illegitimate government. They called for a new election, returning power to the people; which resulted in the deaths of 92 people, nearly 2,000 injured, and 400 around the country arrested. This election is a competition between the Democrat party, whose hands dripping in blood, and Pheu Thai party, an alliance of the Red Shirt movement.

Secondly, in this election--- a new phenomenon has occurred that never happened before in Thai politics. That is--- Pheu Thai Party decided to send a woman, Ms. Yingluck Shinawatra, to be the first on its party list, which is well understood that this position is Prime Minister’s position. In addition, in the past couple of weeks of campaigning, all polls showed Ms. Yingluk’s popularity increases every day. The Pheu Thai party and Ms. Yingluck have expanded their lead over the Democrat and Mr. Abhisit. If this holds, Thailand is likely to have a woman prime minister. This general election will create a new history for Thailand which appropriate for 21st century when women became leading politicians as happened in Germany, Philippine, Chile, Argentina, Brazil and so on.

However, the key expectation or question of Thais and concerned foreigners is--- how much will this July 3 general election help decrease the political conflicts which intensify in the past 5 years. The crisis stems from the conflict between the royalist-aristocracy, which use yellow color as symbol, and the democratic force which use red color as symbol; the conflict covers all spheres of Thai society--- political, social, and economics.

Lastly, I urge the international community to increase their interest in Thailand elections, to help and support free and fair elections, and to lend their support in demanding the ruling elite to respect the will of the people by accepting the election results, allowing the party that received the most votes to set up the government. Thus, the general election will make Thailand more democratic and will be beneficial to international economy as a whole.

Jaran Ditapichai
Former National Human Rights Commissioner, Thailand