onsdag 31 augusti 2011

จดหมายจากเรือนจำไทย ถึง ประธานาธิบดี โอบามา

(ฉบับแปล โดย ไทยอีนิวส์)

กราบเรียน ท่านประธานาธิบดีโอบาม่า

ผมเขียนจดหมายนี้ถึงท่าน เป็นเรื่องความเป็นความตายของผมในคุกที่กรุงเทพ,ประเทศไทย ทางการไทยจับกุมผมด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และกฎหมายความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ รัฐบาลไทยใช้กฎหมายนี้กับนักกิจกรรม ปัญญาชน นักข่าว นักเขียน และนักการเมือง โดยคุมขังคนเหล่านี้ในเรือนจำนานนับทศวรรษในหลายกรณีแล้ว

ผมไม่สามารถต่อสู้คดีนี้ในกระบวนการยุติธรรมไทยได้แต่เพียงลำพัง เพราะว่า มันเป็นกระบวนการที่ฉ้อฉล อคติ และละเมิดสิทธิมนุษยชน ซ้ำร้ายยังเต็มไปด้วยการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรม เป็นต้นว่า ในกรณีของผม มีการจองจำโดยไม่ให้ประกันตัว ผมจึงรู้สึกว่าน่าสลดใจที่เสรีภาพในการแสดงออกของเราชาวอเมริกัน ได้ถูกละเมิด ย่ำยี และลดทอนคุณค่าลงโดยประเทศโลกที่สามอย่างไทย

ผมอยากเรียกร้องให้อเมริกันชนทั้งมวลลุกขึ้นเถิดเพื่อสนับสนุนการปกป้องต่อ เกียรติภูมิของรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาที่บัญญัติให้เสรีภาพในการแสดงออก เป็นข้อบทที่สำคัญยิ่ง ทว่ารัฐบาลไทยไม่ยอมรับ รัฐบาลอเมริกันควรต้องพิทักษ์ปกป้องและประณามที่ไทยใช้กฎหมายอันมิชอบนี้ เป็นเครื่องมือปกป้องสถาบันกษัตริย์ให้พ้นไปจากการวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอเมริกันเช่นผมที่โดนกระทำอยู่ในเวลานี้ และเพรียกหาอิสรภาพ ประเทศไทยต้องปล่อยผมจากคุกตั้งแต่บัดนี้

ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรท่านประธานาธิบดี และอเมริกา

ด้วยความเคารพยิ่ง

โจ กอร์ด้อน

( นี่เป็นเหตุผลที่ต้องยกเลิกมาตรา   112 )

Letter from Thai prision to President Obama !

Dear President Obama :


I am writing to you as a matter of life and dead from jail in Bangkok, Thailand. The Thai authority charges me with lese “ majeste” and computer crime laws. The Thai government uses these laws to target activists , scholars, journalists, authors and politicians and sentence them to decade in prison on multiple charges.


I cannot fight my case against the Thai justice system alone. Because, the system is corrupted , bias, and violated human rights. Therefor, there is no fair treatment. For example, my case, by detaining me and not allowing bail. Beside, I feel sad to see our freedom of expression has been insulted, punished, and degraded by the third world country like Thailand.
I would like to ask all americans to stand up, support, and defence our “proud” U.S.constitutions freedom of expression that the Thai government does not respect. American government should protest and condemn Thailand for using this abusive laws as a tool to protect the royal institution from criticism, especially, my case in American soil. And, demands Thailand to release me from jail immediately.


God bless you , God bless America.
Sincerely,
Joe Gordon
Bangkok Jail, Thailand
_____________________________________________________

fredag 26 augusti 2011

บทความที่น่าสนใจสำหรับนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ควรอ่านและศึกษา

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความขัดแย้งในสังคมไทย
                                                            โดย  เด่นพงษ์   รักประชา
ประชาธิปไตย
คำว่า ประชาธิปไตย เป็นศัพท์ใหม่เพิ่งมีผู้ตั้งศัพท์นี้มาเมื่อประมาณ ๖๐ ปีมานี้เอง  จากรากศัพท์เดิมของคำว่า ประชาธิปไตย แปลมาจากคำในภาษากรีก  “  DEMOKRATIA  “ ซึ่งมาจากมูลศัพท์  “DEMOS”แปลว่า ปวงชน  ผสมกับคำว่า .” KRATOS “  แปล ว่าอำนาจ และ  “ KRATIEN “ แปลว่า การปกครอง  ดังนั้นคำว่า “ DEMOKRATIA “  จึงหมายถึง อำนาจสูงสุดของปวงชน  การปกครองโดยมติของปวงชน
คำว่า ประชาธิปไตย จึงหมายถึงรูปแบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่  เพราะอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชน  ซึ่งมีสิทธิ์กับหน้าที่ตามธรรมชาติของมนุษยชน
ถึงแม้จะมีผู้ตั้งศัพท์คำว่าประชาธิปไตยขึ้นมาเมื่อ ๖๐ ปีที่แล้วก็ตาม แต่รูปแบบการปกครองประชาธิปไตยมีมาพร้อมกับการเกิดสังคมของมนุษย์ชาติที่มนุษย์รู้จักอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นกลุ่มในสังคม  ในยุคสมัยของสังคมบุพกาลทุกคนต้องล่าเนื้อหาอาหารกินเองจะอาศัยแรงงานคนอื่นหาให้กินไม่ได้  ซึ่งหมายความว่าในยุคของสังคมบุพกาลมนุษ์ไม่มีการเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบกัน
ในระยะต่อมามนุษย์ได้รู้จักการเลือกตั้งเจ้าโคตรเจ้าตระกูลขึ้นมาเป็นหัวหน้ากลุ่มหรือหัวหน้าของสังคม  เพื่อทำพิธีทางไสยศาสตร์  จึงเกิดมีการรวมกลุ่มเกิดชุมชนขึ้น ต่อมา มีการแย่งชิงเขตแดนที่ทำมาหากิน  จึงมีการรบราฆ่าฟันกันในแต่ละกลุ่ม  หัวหน้ากลุ่มไหนแข็งแรงก็สามารถขยายอาณาเขตของตนให้กว้างขวางออกไป  และจับเอาฝ่ายตรงกันข้ามมาเป็นเชลย  ซึ่งเชลยนี้ครั้งแรกก็ฆ่าทิ้งหรือใช้กินเป็นอาหาร  แต่ต่อมาเชลยที่ถูกจับได้ถูกบังคับให้เป็นทาสเพื่อใช้แรงงานให้แก่เจ้าโคตรเจ้าตระกูลที่เป็นหัวหน้าของสังคม  ระบบทาสซึ่งเป็นระบบที่โหดร้ายที่สุดของมนุษย์ชาติจึงเกิดขึ้น
เมื่อระบบทาสได้เริ่มขึ้นในสังคมของมนุษย์   รูปแบบการปกครองประชาธิปไตยที่มีมาแต่เดิมนั้นก็หมดไป  พวกนายทาสได้กลายมาเป็นหัวหน้าของสังคม  และได้ใช้วิธีปกครองแบบบังคับอย่างโหดร้ายทารุณที่สุดกับพวกทาส  ทาสจึงเปรียบเสมือนสัตว์ที่พูดได้  นายทาสจะซื้อขายหรือเข่นฆ่าและบังคับใช้แรงงานได้ตามใจชอบเหมือนกับสัตว์
ในกฏหมายเก่าของไทยก็ได้บัญญัติไว้ว่า  ทาสเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่งจำพวกเดียวกับสัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายเรียกว่า “ วิญญาณทรัพย์ “ ระบบทาสจึงเป็นระบบเผด็จการที่ทารุณโหดร้ายและเลวทรามที่สุดของมนุษย์ ที่ดำรงคงอยู่มาเป็นเวลาหลายร้อยปี  ความเจริญรุ่งเรืองในยุคต่างๆของมนุษย์ ได้ถูกสร้างขึ้นอย่างมากมายก็โดยน้ำพักน้ำแรงของพวกทาส  เช่นสถานที่โบราณ วัตถุก่อสร้างต่างๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยโรมัน  สมัยกรีก  และโบสถ์  วัดวาอารามสมัยเก่าของไทยก็ได้ถูกสร้างขึ้นโดยน้ำพักน้ำแรงของพวกทาสทั้งนั้น  ระบบทาสได้ดำรงคงอยุ่ในสังคมไทยมาจนถึงรัชสมัยรัชกาลที่ ๕
เมื่อวิวัฒนาการของสังคมได้เจริญก้าวหน้าขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง  ระบบทาสได้กลายมาเป็นสิ่งที่ขัดขวางความเจริญทางการผลิตทำให้เกิดความขัดแย้งกันภายในของสังคมระบบทาสขึ้น  พวกลูกทาสได้ลุกขึ้นต่อสู้ อาทิ การต่อสู้ของสปาตาคุสในระบบทาสโรมัน เมื่อ ๗๔ ปีก่อนพระเยซูเกิด เป็นต้น  ต่อมาพวกเจ้าทาสจึงได้ผ่อนผันให้ทาสบางส่วนทำการเพาะปลูกในที่ดินของเจ้าทาสและนำผลผลิตที่ได้ส่งเป็นเครื่องบรรณาการให้แก่พวกนายทาสหรือที่เรียกว่า  “ส่งส่วย “
สมัยก่อนมนุษย์เรายังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฏเกณฑ์ต่างๆของธรรมชาติ ไม่สามารถอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจักรภพนี้ได้   จึงเชื่อเอาอย่างงมงายว่าธรรมชาติและสรรพสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ล้วนมีสิ่งบรรดาลมาจากเบื้องบนเพื่อให้เป็นไปเช่นนั้น  ซึ่งอำนาจจากเบื้องบนนั้นเชื่อกันว่าเป็นอำนาจของพระเจ้า  หรืออำนาจของพวกเทวาอารักษ์  พวกเจ้าโคตรเจ้าตระกูลทั้งหลาย  ผู้ที่เป็นหัวหน้าสังคมที่ถูกเลือกขึ้นในยุคของสังคมบุพกาลเพื่อให้เป็นตัวแทนในการทำพิธีทางไสยศาสตร์นั้น ต่อมาก็ได้ตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์  หรือจักรพรรดิ์ ปกครองอยู่ตามดินแดนหรือในแค้วนต่างๆ  บุคคลเหล่านี้ได้ตั้งตนเองขี้นเป็นตัวแทนของพระเจ้า  อ้างว่าพระเจ้าส่งตนลงมาจุติในโลกมนุษย์ หรือเป็นตัวแทนมาจากเบื้องบน คือสวรรค์เพื่อลงมาโปรดมนุษย์  โดยได้รับอำนาจมาจากสรวงสวรรค์  เพื่อให้มาปกครองมนุษย์  เช่นในสมัยโบราณของจีนเชื่อกันว่ากษัตริย์หรือ จักรพรรดิ์เป็นโอรสมาจากสวรรค์  ในประเทศญี่ปุ่นสมัยเก่าก็เชื่อกันว่าจักรพรรดิเป็นโอรสของพระอาทิตย์มาเกิด เป็นต้น
นี้คือต้นเหตุหรือแนวความคิดที่กษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ของประเทศต่างๆ คิดไปเองว่า  ที่ดินและสรรพสิ่งทั้งหลายรวมทั้งคนและสัตว์ทั้งหมดภายใต้สวรรค์เป็นสมบัติของตน
ในประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยายังปรากฏในกฏหมาย  “ ตราสามดวง “ ว่า  “  ที่ดินทั้งหลายในแคว้นศรีอยุธยาเป็นของพระเจ้าอยู่หัวโดยพระบรมเดชานุภาพ “  ระบอบศักดินาจึงเกิดขึ้น  อำนาจการปกครองทุกอย่างอยู่ในมือของผู้เป็นหัวหน้าของสังคมแต่ผู้เดียว  กษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ ก็สามารถใช้อำนาจได้โดยไม่จำกัดขอบเขต  อำนาจเผด็จการโดยสมบูรณ์ของกษัตริย์ก็เกิดขึ้น   ต่อมากษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ ยังได้ตราเป็นกฏหมายขึ้นอีกว่า เมื่อตัวเองตายลงก็ให้ลูกหรือญาติที่สนิทของตนรับช่วงเป็นผู้สืบทอดวงค์ตระกูลปกครองประเทศสืบต่อไป เป็นการสืบทอดราชสันติวงค์ต่อไปอีกเป็นทอดๆ
รูปแบบการปกครองนี้คือรูปแบบการปกครองเผด็จการศักดินา มิได้แตกต่างไปจากการปกครองในระบอบทาสมากนัก  จะต่างกันก็เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากระบอบทาสมาเป็น ระบบ  “ส่วย “
ในระบอบสังคมศักดินาพวกทาสนอกจากจะผลิตเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัวแล้วยังต้องผลิตให้แก่พวกเจ้าศักดินาอีกด้วยตามระบบ  “ ส่วย “  ซึ่งปัจจัยและเครื่องมือสำหรับทำมาหากินอยู่ในมือของพวกเจ้าศักดินา  เช่นที่ดินและเครื่องมือในการผลิตต่างๆ  การปกครองแบบนี้ในเมืองไทยเรียกว่า  การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์  เป็นรูปแบบการปกครองที่กษัตริย์มีอำนาจสูงสุดแต่ผู้เดียว
สังคมศักดินาในยุโรบได้ถูกโค่นล้มลงไปในปลายของศตวรรตที่ ๑๘  ระบอบทุนนิยมได้เข้ามาแทนที่  การวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ชาติจากสังคมหนึ่งเข้าสู่อีกสังคมหนึ่งเป็นกฏเกณฑ์ตามธรรมชาติของสังคมที่จะต้องเป็นไปเช่นนั้น  มาร์กช์ได้ค้นพบในวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ถึงสาเหตุการเปลี่ยนของสังคม  จากสังคมหนึ่งไปสู่อีกสังคมหนึ่งโดยเกิดจากการขัดแย้งภายในของสังคมนั้นเอง   ระหว่างความสัมพันธ์การผลิต คือมีผู้ถือปัจจัยการผลิตและกำลังการผลิตอีกด้านหนึ่ง  เมื่อความสัมพันธ์การผลิตในสังคมใดสอดคล้องกันสังคมนั้นก็เจริญพัฒนา  ถ้าสังคมใดที่ผู้ถือปัจจัยการผลิตขัดขวางกำลังการผลิต ความขัดแย้งภายในสังคมนั้นก็จะเกิดขึ้น เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้นถึงขั้นรุณแรงที่สุดก็สามารถเปลี่ยนไปสู่สังคมอีกรูปแบบหนึ่งที่สูงกว่า  เช่นการเปลี่ยนแปลงจากสังคมระบอบทาสไปสู่สังคมระบอบศักดินา และการเปลี่ยนแปลงสังคมศักดินาเข้าสู่ระบอบทุนนิยม  จากทุนนิยมเข้าสู่สังคมนิยม  จากระบอบสังคมนิยมเข้าสู่ระบอบสังคมคอมมิวนิสต์  นี่คือวิวัฒนาการของสังคมของมนุษย์ชาติที่มาร์กช์ได้ค้นพบและพิสูจน์ให้เห็นในวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ซึ่งถือว่าเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ทางประวัติศาสตร์อย่างหนึ่งของมาร์กช์
ดังนั้นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของมนุษย์จึงเป็นหน้าที่อันชอบธรรมตามธรรมชาติของมนุษยชนพึงกระทำ  อำนาจสูงสุดของปวงชนย่อมหมายถึงอำนาจของผู้ที่เป็นกำลังการผลิตซึ่งเป็นพลังส่วนมากของสังคม  การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยก็คือการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์การผลิต  โดยเปลี่ยนปัจจัยการผลิตจากบุคคลกลุ่มน้อยในสังคมให้มาอยู่ในมือของผู้ที่เป็นกำลังการผลิตที่เป็นพลังส่วนมากของสังคม  เมื่อเป็นเช่นนี้ระบอบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์จึงจะเกิดขึ้น
เนื่องจากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเป็นสิทธิและหน้าที่อันชอบธรรมตามธรรมชาติของมนุษย์ที่มนุษย์พึงกระทำ  มนุษย์ชาติทั่วโลกจึงได้ลุกขึ้นต่อสู้  เพื่อสิทธิและเสรีภาพของตนอยู่เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้  ในยุโรป  อเมริกา อาฟริกา อาเชีย  ลาตินอเมรืกา  และตะวันออกกลางเป็นต้น  ซึ่งการต่อสู้ได้ดำเนินไปในรูปแบบที่แตกต่างกัน  ในประเทศยุโรปตะวันตก  ในประเทศแถบสแกนดิเนเวียประชาชนของประเทศเหล่านั้นได้ต่อสู้มาเป็นขั้นๆและยาวนาน  เริ่มจากการจัดตั้งพรรคการเมืองต่างๆขึ้นโดยไม่มีการจำกัดความคิดทางด้านอุดมการณ์  ไปจนถึงการเรียกร้องสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งเท่าเทียมกันของหญิงชาย  สิทธิในการจัดตั้งสหพันธ์กรรมกรแรงงานในอาชีพต่างๆ  เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้แก่สมาชิกผู้ใช้แรงงานในด้านต่างๆที่เป็นธรรม  และระบบสวัสดิการต่างๆ  ประชาชนสามารถเลือกตัวแทนของตนเองได้โดยวิถีทางประชาธิปไตย  และสามารถตั้งรัฐบาลที่เป็นตัวแทนรักษาผลประโยชน์ให้แก่มวลชนที่เป็นเสียงส่วนมากของสังคม
แต่ในประเทศที่ชนชั้นปกครองไม่ยอมให้ประชาชนมีประชาธิปไตยตามธรรมชาติโดยสันติวิธี  ประชาชนในประเทศเหล่านั้นย่อมทำการต่อสู้โดยวิธีรุนแรง ซึ่งก็เป็นหน้าที่และสิทธิอันชอบธรรมโดยธรรมชาติของมนุษย์ในสังคมนั้น อาทิ การปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสในปี คศ. ๑๗๘๙  และการปฏิวัติใหญ่ในรัสเซียเมื่อปี คศ. ๑๙๑๗ เป็นต้น
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของไทย
ถึงปี พศ. ๒๔๗๕  ระบอบศักดินาซึ่งเป็นระบอบเก่าแก่และล้าหลังกำลังเสื่อมสลายได้กลายมาเป็นสิ่งที่ขัดขวางกำลังการผลิต  ทำให้เศรษฐกิจของชาติไม่เจริญก้าวหน้า  ราษฎรที่เป็นผู้ผลิตส่วนมากของสังคม ได้รับความเดือดร้อน จึงได้มีการเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแบบศักดินาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ดีกว่า  ได้เกิดการขัดแย้งกันขึ้นภายในสังคม  ข้าราชการและปัญญาชนที่มีหัวก้าวหน้าภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชไม่พอใจกับความเป็นอยู่ของสังคมที่หล้าหลังและความไม่ยุติธรรมในระบอบเผด็จการกษัตริย์ และ ขณะเดียวกันระบอบศักดินาในประเทศยุโรปตะวันตก ได้ถูกโค่นล้มลงมีการวิวัฒนาการอย่างก้าวกระโดดทางด้านอุตสาหกรรม  มีการค้นพบเครื่องมือการผลิตใหม่ๆ  เช่นเครื่องจักรกลและเครื่องจักรไอน้ำแบบใหม่ในปลายศตวรรษที่ ๑๘ ทำให้ประเทศเหล่านั้นกลายมาเป็นประเทศทุนนิยมได้ขยายขอบเขตอิธิพลทางเศรษฐกิจข้ามทวีปเข้าสู่ประเทศด้อยพัฒนาหรือประเทศในโลกที่สามเพื่อล่าอาณานิคมเมืองขึ้น เพื่อเป็นแหล่งขูดรีดแรงงาน แสวงหาวัตถุดิบตลอดจนใช้เป็นแหล่งสำหรับระบายสินค้า  ประเทศฝรั่งเศสได้เข้ายึดครองในอินโดจีน ฮอลันดาเข้ายึดครองอินโดนิเชีย  อังกฤษเข้ายึดครองอินเดีย พม่า มลายู  ปอร์ตุเกสเข้ายึดครองประเทศในอาฟริกาเป็นต้น
ในประเทศไทยพวกชาติตะวันตกได้บังคับให้ชนชั้นปกครองศักดินาไทยทำสัญญาไม่เสมอภาคต่างๆกับประเทศอังกฤษ  ประเทศฝรั่งเศส ทำให้ไทยต้องเสียเอกราชทางการเมือง ทางศาล และทางด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งต้องเสียดินแดนเป็นจำนวนมากให้แก่ประเทศเหล่านั้น
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี พศ. ๒๔๗๐ ปัญญาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยที่เป็นตัวแทนกองหน้าของราษฎรไทยได้ร่วมกันจัดตั้ง คณะราษฎร  ขึ้นในประเทศฝรั่งเศส มี ดร. ปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า  เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์เผด็จการ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่กษัตริย์อยู่ภายใต้กฏหมาย  หรือการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบราชาธิปไตยที่กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ  โดยอำนาจการปกครองสูงสุดเป็นของปวงชน และปวงชนเป็นผู้ใช้อำนาจนั้นผ่านทางนิติบัญญัติหรือรัฐสภา ทางการบริหาร หรือรัฐบาล และทางตุลาการ  มีหลักนโยบายทางการเมืองดังต่อไปนี้
๑.       รักษาความเป็นเอกราชทั้งหลายเช่นเอกราชทางการเมือง  ทางศาล ทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
๒.     รักษาความปลอดภัยในประเทศให้การประทุษร้ายต่อกันลดลงให้มาก
๓.     บำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฏรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำจะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดหยาก
๔.     ให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน
๕.     ให้ราษฎรมีเสรีภาพที่ไม่ขัดต่อหลักสี่ประการดังกล่าวแล้ว
๖.     ให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
หลังจาก คณะราษฎร ได้ก่อตั้งขึ้นในปี พศ ๒๔๗๐ อีกห้าปีต่อมาคือในปี พศ. ๒๔๗๕  ก็ได้ทำการยึดอำนาจเปลี่ยนการปกครองทำให้ระบอบเผด็จการกษัตริย์ต้องสิ้นสุดลง    และนำเอาระบอบการปกครองประชาธิปไตยมาใช้ในเมืองไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียอาคเนย์.  โดยปวงชนชาวไทยมีสิทธิและเสรีภาพในการเลือกตัวแทนของตนเป็นรัฐบาล  ออกกฎหมายและรัฐธรรมนูญเพื่อปกครองตนเอง
ตามรัฐธรรมนูญฉบับ ๙ พฤษภาคม พศ. ๒๔๘๙  ได้ให้สิทธิประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ที่สุดแก่ปวงชนชาวไทย  ตามข้อความในมาตรา ๑๓  ให้มีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาหรือลัทธินิยมใดๆ  มาตรา ๑๔ ให้เสรีภาพบริบูรณ์ในร่างกาย  เคหสถาน  ทรัพย์สิน  การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา  การศึกษาอบรม  การชุมนุมสาธารณะ  การตั้งสมาคม การตั้งพรรคการเมือง  การอาชีพ
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พศ. ๒๔๗๕  เป็นการโค่นล้มระบอบศักดินาลงพร้อมกันนั้นก็ได้ลบล้างความสัมพันธ์การผลิต  โดยเปลียนปัจจัยการผลิตในการทำมาหากิน เดิมอยู่ในมือของพวกศักดินาให้มาอยู่ในมือของชาวนาและกสิกรที่เป็นกำลังการผลิตส่วนใหญ่ของสังคมในเวลานั้นโดยการออกพระราชบัญญัติต่างๆ  เช่น พรบ.ห้ามยึดทรัพย์กสิกร  พรบ.ประมวลรัชฎากรยกเลิกรัชชูปการและอากรค่านาในปี พศ. ๒๔๘๑ ซึ่งประกาศใช้ในเดือนเมษายน พศ. ๒๔๘๒  การออกกฏหมายจำกัดขนาดการยึดครองที่ดินได้ไม่เกินคนละ ๕๐ ไร่ในปี ๒๔๗๙
การเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พศ. ๒๔๗๕ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงจากสังคมศักดินาที่หล้าหลังเข้าสู่สังคมใหม่ที่สูงกว่า คือสังคมระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจรัฐอยู่ในมือของปวงชนที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ของสังคมจึงดีกว่าระบอบเผด็จการกษัตริย์ที่เป็นระบอบเก่าหล้าหลัง  เป็นการปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชนตามวิถีทางของประชาธิปไตยที่สมบูรณ์  พร้อมกันนั้นรัฐก็ได้วางโครงการเศรษฐกิจใหม่  เช่นการจัดตั้งธนาคารชาติ  โอนกิจการต่างๆมาเป็นของรัฐ  ปรับปรุงการศึกษาให้คนไทยทุกคนได้รับการศึกษา  จัดตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้การศึกษาแก่ปัญญาชนทุกคนทุกชนชั้น
การเปลียนจากสังคมหนึ่งเข้าสู่อีกสังคมหนึ่งที่สูงกว่าเป็นสิ่งที่ยากมากโดยเฉพาะในระยะผ่านการยึดอำนาจแม้จะเป็นเรื่องยากก็ไม่ยากเท่ากับการรักษาไว้  และยิ่งเป็นเรื่องยากลำบากมากที่จะสร้างสังคมของมนุษย์ชาติขึ้นใหม่จากสังคมเก่าที่หล้าหลัง  ดังนั้นในระยะผ่านซึ่งเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ระบบให้การศึกษาอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับประชาธิปไตยเพื่อให้ประชาชนในสังคมยอมรับและมีจิตสำนึกเพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยพัฒนาก้าวหน้าต่อไป
เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่การเปลี่ยนการปกครอง พศ. ๒๔๗๕ ที่นำโดยกลุ่มบุคคลของคณะราษฎรยังไม่ทันที่จะเปลี่ยนระบบสังคมไทยให้ไปสู่เป้าหมายตามนโยบายของคณะราษฎร  ก็ได้ถูกพวกซากเดนศักดินาที่เป็นพลังเก่าและหล้าหลังทำการขัดขวางการเปลี่ยนแปลงมาตลอดและ สนับสนุนให้พวกทหารฝ่ายขวายึดอำนาจกลับคืนในวันที่ ๘ พฤษภาคม พศ.๒๔๙๐
จนกระทั่งบัดนี้มีรัฐบาลที่ปกครองประเทศมาแล้วหลายยุคหลายสมัยแต่ประชาชนชาวไทยก็หาได้มีประชาธิปไตยไม่ เป็นเวลากว่า ๖๐ ปีแห่งความขัดแย้งในทางสังคมไทยระหว่างพลังเก่าซากเดนศักดินาหล้าหลัง ที่เคยสูญเสียอำนาจไปเมื่อ ๖๐ ปีก่อนได้ฟื้นฟูอำนาจกลับคืนมาอีก ผูกขาดอำนาจทางการเมือง การเศรษฐกิจ  วัฒนธรรม ร่วมกับพวกนายทุนต่างชาติครอบครองปัจจัยการผลิตของสังคมไทยไว้ในมือ  กับอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นกำลังการผลิตส่วนมากของสังคมได้แก่ ชาวไร่  ชาวนา กรรมกร พ่อค้าแม่ค้าผู้ผลิตรายย่อยต่างๆ รวมทั้งข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ชั้นผู้น้อย กำลังได้รับการกดขี่ขูดรีดแรงงานอย่างหนักจากกลุ่มพวกนายทุนผูกขาด
ความขัดแย้งของสังคมไทย
ปัญหาเรื่องความขัดแย้งนี้ผู้เขียนจะขอวิจัยตามหลักของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์โดยแยกความขัดแย้งออกเป็นสองประเด็น  ประเด็นแรกคือผู้กุมปัจจัยการผลิตและประเด็นที่สองได้แก่กำลังการผลิต
หลังจากการรัฐประหาร ๘ พฤษภาคม ๒๔๙๐เป็นต้นมาความขัดแย้งในสังคมไทยได้ดำรงคงอยู่มาจนถึงเวลาปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ของคณะราษฎร ถึงแม้ว่าจะยึดอำนาจรัฐได้แต่สถาบันอื่นๆที่เป็นโครงสร้างส่วนบนของสังคมเก่ายังเหลืออยู่โดยมิได้เปลี่ยนแปลง  เช่น สถาบันทหาร  ตำรวจ ศาล ศาสนา โดยเฉพาะสถาบันกษัตริย์ ที่เป็นพลังเก่าของสังคมยังมีทัศนะหลงเหลือมาจากสังคมเก่าในระบบทาส  บุคคลที่เป็นตัวแทนของพลังเก่าจากสถาบันเหล่านี้เคยสูญเสียอำนาจ เมื่อมีโอกาสก็สนับสนุนให้พวกทหารฝ่ายขวายึดอำนาจกลับคืนมา  เพื่อให้คุ้มครองสถาบันและรักษาผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มของพวกตน  จึงเป็นสาเหตุให้พวกชนชั้นศักดินาเก่าฟื้นฟูอำนาจกลับคืนมาอีก และกลายมาเป็นนายทุนผูกขาดร่วมกับพวกนายทุนต่างชาติผูกขาดอำนาจทาง การเมือง การเศรษฐกิจ  สังคม และ วัฒนธรรมไทย อยู่จนถึงปัจจุบัน
สมัยที่พวกชนชั้นศักดินาเรืองอำนาจ  พวกเจ้าศักดินาได้ปล่อยให้พวกพ่อค้าที่เป็นคนต่างชาติเชื้อสายจีนเข้ามาทำการค้าขาย เป็นนายหน้าผูกขาดการขนส่งสินค้าต่างๆ โดยส่งให้พวกศักดินาส่วนหนึ่งและส่งไปขายยังต่างประเทศ ในระยะหลังๆพวกพ่อค้าต่างชาติเหล่านี้ได้กลายมาเป็นนายทุนผูกขาดเศรษฐกิจของชาติ  เป็นเจ้าของธุรกิจการค้า การธนาคารและการอุตสาหกรรมในสาขาต่างๆของสังคม  ต่อมากลุ่มนายทุนผูกขาดเหล่านี้ก็ได้เข้าไปมีส่วนบริหารกิจการของรัฐและได้อาศัยอำนาจรัฐคุ้มครองผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มของพวกตน
จากงานวิจัยของ เกริกเกียรติ  พิพัฒน์เสรีธรรม ในหัวข้อเกี่ยวกับ  “การวิเคราะห์ลักษณะการเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทย “ เมื่อปี ๒๕๒๕  หน้า ๓๒๕- ๓๔๖  แสดงให้เห็นถึงกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดกลางที่ครอบครองเศรษฐกิจของชาติมีประมาณ ๑๐๐ กลุ่มซึ่งมียอดทรัพย์สินรวมกันประมาณ ห้าแสนล้านบาท  กลุ่มธุรกิจที่มีทรัพย์สินมากอันดับหนึ่งคือตั้งแต่หนึ่งหมื่นล้านขึ้นไปมีประมาณ ๗ กลุ่มในจำนวนนั้นเป็นของพวกนายทุนต่างชาติเชื้อสายจีนมาอันดับหนึ่ง รองลงมาได้แก่กลุ่มศักดินานายทุน
การที่จะพิจารณาว่าสังคมหนึ่งสังคมใดเป็นสังคมอะไรนั้น  จะต้องดูที่ความสัมพันธ์การผลิตหรือรูปแบบการผลิตของสังคมนั้นว่าปัจจัยการผลิตของสังคมนั้นอยุ่ในมือของชนชั้นไหน  ถ้าปัจจัยการผลิตอยู่ในมือของชนชั้นนายทุนที่เป็นชนกลุ่มน้อยของสังคม  สังคมนั้นก็เรียกว่าสังคมทุนนิยม  จากหลักทฤษฎีดังกล่าวตามข้อมูลของเกริกเกียรติจะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีกลุ่มนายทุนผูกขาดประมาณ ๑๐๐ กลุ่มที่กุมปัจจัยการผลิตของสังคม  เป็นเจ้าของธนาคาร  เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมและธุรกิจการค้า  ซึ่งพวกนายทุนเหล่านี้สามารถกำหนดความเป็นอยู่ของคนในสังคม
กลุ่มนายทุนผูกขาดเหล่านี้นอกจากจะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตแล้วยังมีกรรมสิทธิ์ในการจัดสรรและแบ่งปันแรงงาน เช่น  การบริหารจัดการ  การกำหนดค่าจ้างแรงงาน เป็นต้น อีกอย่างคือกรรมสิทธิ์ในการแบ่งปันผลกำไรจากผลิตผลสินค้าต่างๆที่กรรมกร ชาวไร่ ชาวนา ผู้ใช้แรงงานเป็นผู้ผลิต
สำหรับกรรมกรผู้ใช้แรงงานทั้งหลายที่เป็นผู้ผลิตให้แก่พวกนายทุนต่างๆเหล่านั้น ฝ่ายกรรมกรเองจะได้รับเพียงแต่ค่าจ้างในการขายแรงงานที่พอประทังชีวิตไปวันๆเท่านั้น  ในระบอบทุนนิยมนายทุนจะจ้างค่าแรงงานต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อจะเอาผลกำไรจากมูลค่าส่วนเกินจากแรงงานของกรรมกรให้มากที่สุด  ดังนั้นผลกำไรที่นายทุนทั้งหลายแบ่งปันกันแต่ละปี คือผลกำไรที่สะสมมาจากมูลค่าแรงงานของกรรมกรที่ผลิตเป็นส่วนเกินให้แก่พวกนายทุนแต่ละปี เพราะลำพังเงินเดือนหรือรายได้ของกรรมกรแต่ละเดือนทีได้รับมาจะใช้เวลาผลิตเพียงหนึ่งหรือสองอาทิตย์ก็จะคุ้มและเหลือเฟือ  ส่วนที่เหลือจึงเป็นการผลิตให้แก่นายทุน ดังนั้นความร่ำรวยต่างๆของนายทุนผูกขาดเหล่านั้นคือความร่ำรวยที่สะสมมาจากการขูดรีดมูลค่าส่วนเกินของกรรมกร
ฉนั้นระบอบทุนนิยมจึงเป็นระบอบที่กดขี่ขูดรีดของพวกชนชั้นนายทุนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่บนแรงงานของชนส่วนมากของสังคม  นายทุนไม่ได้ทำการผลิตให้แก่สังคม แต่จะคอยสูบกินเลือดจากแรงงานของสังคม  ชนกลุ่มนี้จึงเป็นเสมือนกับพวกกาฝากของสังคม
ตามหลักทฤษฎีของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ถือว่ารูปแบบการผลิตคือพื้นฐานชั้นล่างของสังคม  ในเมืองไทยรูปแบบการผลิตเป็นรูปแบบทุนนิยมผูกขาด  ฉนั้นพื้นฐานชั้นล่างของสังคมคือทุนนิยมผูกขาด  เมื่อพื้นฐานชั้นล่างเป็นทุนนิยมผูกขาดโครงสร้างส่วนบนของสังคมก็ต้องสร้างขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับพื้นฐานชั้นล่างตามหลักปรัชญาที่ว่า “ รูปแบบจะต้องให้เหมาะสมกับเนื้อหา “
โครงสร้างส่วนบนของสังคมได้แก่  รัฐ  กฏหมาย ศาสนา ทหาร ตำรวจ  การ เมือง อุดมการณ์  ศิลปและวัฒนธรรม เป็นต้น  ย่อมสร้างขึ้นให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่เป็นพื้นฐานชั้นล่างของสังคมเพื่อปกป้องพื้นฐานชั้นล่างที่เป็นระบบเศรษฐกิจของพวกนายทุน  ดังนั้นรัฐบาลชุดต่างๆที่ขึ้นมาบริหารประเทศที่เป็นตัวแทนของรัฐก็คือรัฐบาลของพวกนายทุนผูกขาด เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้แก่พวกนายทุน
อำนาจรัฐก็คือเครื่องมือของพวกนายทุนเพื่อใช้ในการกดขี่  ข่มเหงรังแกชนชั้นผู้ใช้แรงงาน และประชาชนทั่วไป ไม่ว่ารัฐบาลเหล่านั้นจะมาในรูปแบบของทหารหรือรูปแบบของพลเรือนก็คือรัฐบาลที่รักษาผลประโยชน์ให้แก่พวกนายทุน  ในระบอบทุนนิยมทุกอย่างคือสินค้า  พวกนายทุนจะขายได้ทุกอย่างตั้งแต่คุณธรรม อุดมการณ์ ไปจนกระทั่งถึงชาติและประชาชน  การผลิตสินค้าในระบอบทุนนิยมก็เพื่อหากำไร  เมื่อต้องการกำไรมากก็ต้องขูดรีดแรงงานมาก  ยิ่งขุดรีดมากผู้ขายแรงงานก็เดือดร้อนมาก  เมื่อประชาชนเดือดร้อนก็ต้องดิ้นรนหาทางลุกขึ้นต่อสู้เพราะ ที่ไหนมีการกดขี่ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้  เมื่อมีการกดขี่ขูดรีดมากขึ้นการต่อสู้ก็จะทวีความรุนแรงมากขึ้นความขัดแย้งภายในสังคมก็จะรุนแรงมากขึ้น
ความขัดแย้งนี้จึงเป็นความขัดแย้งหลัก ของชนชั้นสองฝ่ายในสังคม  คือความขัดแย้งระหว่างนายทุนผูกขาด  กับชนชั้นผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นความขัดแย้งของสองสิ่งที่อยุ่ตรงข้ามกัน  ตราบใดที่ระบอบทุนนิยมผูกขาดยังดำรงคงอยู่  ตราบนั้นความขัดแย้งนี้ก็จะดำเนินต่อไป 
ผู้ที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนี้ได้ ไม่ใช่พวกรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของพวกนายทุนผูกขาด  แต่เป็นภาระกิจและหน้าที่โดยตรงของชนชั้นผู้ใช้แรงงานทั้งหลายในสังคม เป็นหน้าที่และสิทธิอันชอบธรรมตามธรรมชาติของมนุษย์  เมื่อใดที่พลังของผู้ใช้แรงงานและพลังของ ปัญญาชน นักศึกษา ข้าราชการ  ทหาร ตำรวจ ที่มีหัวก้าวหน้า และผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทั้งหลายซึ่งเป็นพลังส่วนใหญ่ของสังคมรวมกันได้  ก็จะกลายเป็นพลังทางวัตถุที่แข็งแกร่ง  เมื่อนั้นก็จะสามารถโค่นล้มระบอบเผด็จการเก่าทุนนิยมผูกขาดที่หล้าหลังลงได้  แล้วมวลชนที่เป็นพลังส่วนใหญ่ของสังคมก็จะสามารถมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์  มีสิทธิเสรีภาพ มีความเสมอภาค ความยุติธรรมในสังคมก็จะเกิดขึ้น ประชาชนจะสามารถเลือกรัฐบาลของตนเองขึ้นมาปกครองประเทศ ตามระบอบประชาธิปไตย สังคมใหม่ที่สูงกว่าก็จะเกิดขึ้นคือสังคมระบอบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ของปวงชน.
หมายเหตุ :- บทความนี้ผู้เขียนได้เขียนขึ้นเมื่อประมาณ ๓๐ ปีมาแล้ว ซึ่งผู้เขียนคิดว่าบทความนี้ก็ยังเหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน  เพื่อให้ท่านผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายได้อ่านเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบในการต่อสู้จากอดีดจนถึงปัจจุบัน.


ประเทศอาฟริกาใต้ออกแถลงการณ์กล่าวประนาม  NATO ที่ใช้อำนาจเกินขอบเขตในการทิ้งระเบิดทำลายประเทศ ลิเบีย และเสนอให้ฟ้องเอาผิดกับ NATO ต่อศาลระหว่างประเทศ เนื่องจากการกระทำของ NATO เป็นการระเมิดต่ออำนาจที่ สหประชาชาติได้กำหนดไว้
ข่าวทางวิทยุของสวีเด็น
๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๔

ปัญหาอุทกภัยนํ้าท่วมกลายมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกษัตริย์ภูมิพลใช้กดดันรัฐบาลยิ่งลักษณ์

ปัญหาอุทกภัยน้ำท่วม
ปัญหาน้ำท่วมเป็นปัญหาใหญ่ในบ้านเมืองเรา แต่ละปีจะมีอุทกภัยน้ำท่วมเกิดขึ้นทำให้ประชาชนล้มตาย  บ้านเมืองเสียหายไม่มีที่ทำมาหากิน เขื่อนต่างๆที่สร้างขึ้นสำหรับเก็บน้ำและระบายน้ำก็สร้างขึ้นตามโครงการหลวงหรือในหลวงเป็นผู้กำหนดตามโครงการของพระองค์จะผิดหรือถูกอย่างไรไม่มีใครสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ ส่วนเงินที่สร้างโครงการเหล่านั้นก็มาจากเงินภาษีของราษฎร เมื่อสร้างเขื่อนต่างๆนั้นเสร็จ ก็ตั้งชื่อเขื่อนไปตามชื่อของตัวเองและลูกเมีย  เช่น เขื่อน “ภูมิพล “ เขื่อน “ สิริกิต” เขื่อน  “ อุบลรัตน์ “  ฯลฯ เป็นต้น คล้ายๆกับว่าเขื่อนต่างๆเหล่านั้นเป็นของกษัตริย์  ที่จริงแล้วเรื่องโครงการเหล่านี้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่บริหารประเทศไม่ใช่หน้าที่ของกษัตริย์
เมื่อกษัตริย์สามารถควบคุมโครงการต่างๆในการสร้างเขื่อนไปทั่วประเทศก็มีอำนาจที่จะบรรดาลหรือสั่งให้เจ้าหน้าที่บริหารเขื่อนเหล่านั้นทำตามความประสงค์ของตนในการปิดหรือเปิดเพื่อระบายน้ำ  จะเห็นได้ว่ามีบางปีที่ฝนตกไม่มากแต่กลับมีน้ำท่วมนั้นก็เป็นเพราะกษัตริย์ภูมิพล ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เปิดเขื่อนระบายน้ำจะด้วยเหตุผลอันใดก็แล้วแต่ ผลปรากฏว่ามีประชาชนล้มตายจากภัยน้ำท่วมและบ้านเมืองเสียหายทางภาคเหนือ ภาคอิสาน ไปจนถึงภาคใต้ทั่วประเทศ เป็นอันว่ากษัตริย์สามารถบรรดาลได้ว่าจะให้น้ำท่วมหรือไม่ท่วมทางภาคไหนของประเทศ โดยจะสามารถสั่งให้เจ้าหน้าที่ ที่ดูแลเขื่อนเปิดและปิดเขื่อนได้ตามอำเภอใจ
ปัญหาภัยน้ำท่วมจึงกลายมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างหนึ่งของภูมิพลที่นำมาใช้เพื่อเป็นการกดดันแก่รัฐบาลที่ตนเองไม่ได้แต่งตั้งขึ้น เช่นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ประชาชนเลือกขึ้นมาโดยเสียงข้างมาก 
จะเห็นได้จากการที่ภูมิพลได้ให้ลูกสาวคนเล็ก นาง “ ถั่วปากอ้า “ ออกมาพูดว่า  “ ปีนี้พ่อฉันว่าน้ำจะท่วมแต่ปีหน้าน้ำจะไม่ท่วม”  การให้ลูกสาวออกมาพูดเช่นนี้เป็นการสื่อสารอะไรถึงปวงชนชาวไทย  มันเป็นการสื่อสารว่า ปีนี้พ่อฉันจะสั่งให้เจ้าหน้าที่เขาเปิดเขื่อนระบายน้ำทั้งหมดในทั่วประเทศเพื่อระบายน้ำ ส่วนน้ำจะท่วม ประชาชนจะเดือดร้อนล้มตาย  บ้านเมืองจะเสียหายอย่างไรปล่อยให้เป็นเรื่องของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นผู้แก้ไข  ข้าไม่เกี่ยวเพราะข้าอยู่เหนือการเมืองอยู่แล้ว  ถ้าประชาชนชาวไทยไม่ยอมอยู่ใต้ตีนของข้าแล้วน้ำจะท่วมตายสักเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร  เพราะกษัตริย์และราชินีเคยพูดเสมอว่า  “ ประชาชนจะตายเป็นหมื่นเป็นแสนก็ยอม ขอให้ราชบัลลังก์ปลอดภัยก็ใช้ได้ “
กษัตริย์ภูมิพลจึงให้ นาง “ ถั่วปากอ้า “ ลูกสาวคนเล็กออกมากล่าวเป็นการเตือนให้ประชาชนไทยทราบ  ซึ่งความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของเธอที่จะออกมาพูดเช่นนั้น  เพราะประชาชนได้เลือกรัฐบาลของเขาขึ้นมาเพื่อบริหารประเทศอยู่แล้วจึงมีหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมไม่ใช่หน้าที่ของนาง “ ถั่วปากอ้า “
ถ้ากษัตริย์ ภูมิพลเป็นตัวปัญหาที่ทำให้เกิดอุทกภัยน้ำท่วมขึ้นทั่วประเทศ ทำให้มีผู้คนล้มตายบ้านเมืองเสียหายมาทุกๆปีเช่นนี้  เมื่อไหร่ที่ไม่มีกษัตริย์ภูมิพลอยู่ในโลกนี้อีกแล้ว เมื่อนั้นปัญหาต่างๆเหล่านี้ก็คงจะหมดไปจากประเทศไทย  ปวงชนชาวไทยคงจะอยู่เย็นเป็นสุขไม่มีอุทกภัยน้ำท่วมมาเบียดเบียนอีกต่อไป.

โดย ดารา

torsdag 25 augusti 2011

นี่เป็นคำพูดที่เลวที่สุดของอดีตนายกสองสมัย นาย ชวน หลีกภัย ทีเคยถูกแต่งตั้งโดยกษัตริย์ ภูมิพล ให้เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศซึ่งเป็นยุคที่พาประเทศลงเหวทำให้ประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า

แถลงนโยบายครั้งนี้ ผมแม่มโคตรสมเพช นายชวน หลีกภัย เลย



ใครบอกว่าไอ้ผมกำบัง ๆ ...แม่มเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านของเมือง
ใครบอกว่า แม่มเป็นนักการเมืองคุณภาพ ?
ใครบอกว่า แม่เป็นเทพเจ้าของจังหวัดตรัง (เทพเจ้าของควาย)
ผมขออนุญาต สมเพช บุคคลคนนี้ ที่แท้แม่มก็แก่กะโหลกกะลา เต็มไปด้วยจริตแห่งโมหะ เคียดแค้นชิงชัง และอิจฉาริษยา เป็นที่สุด
เริ่มต้นอภิปรายนโยบาย ก็กล่าวหาทักษิณ หน้าตาเฉย ผู้ชมเองก็ งง ว่า เอ...ตอนนี้เขาอภิปรายนโยบายของรัฐบาลไหน
ทุกสิ่งทุกอย่างในภาคใต้ เกิดจากทักษิณ ทั้ง ๆที่ตอนนายชวนเป็นนายก เอา สส.ในพื้นที่ เป็น รมช.มหาดไทย ก็โดนเผาโรงเรียนพร้อมกัน เป็น 10 โรงเรียน
กล่าวหาอย่างเมามัน และอารมร์เคียดแค้นโดยไม่สำเหนียกว่า ทั้ง ๆ ที่เป็นเขตอำนาจของพรรคนี้มาอย่างยาวนาน 60 -70 ปี เป็นรัฐบาลมาไม่รู้กี่สมัย แต่ไม่เคยทำอะไรให้ดีขึ้นมีแต่เลวลง ๆ แต่นักการเมืองของกลุ่มสะตอ มีแต่รวยอู้ฟู้ขึ้น...
นายชวน หลีกภัย เป็น โมเดลการสร้างภาพ ของนักการเมืองในยุคแรก ๆ นายชวนดูมัธยัธส์ ดูกระมิดกระเมี้ยน ดูน่าสงสาร เพราะต้องขับรถจี๊บ ...ราคา 8 หมื่นบาทกลับตรัง โดยมีข้อแม้ว่าต้องขับต่อห้นานักข่าวนะ ถ้าไม่มีนักข่าว อาจเป็นเบ๊นซ์ (ฮา)
แต่เผอิญ ปีนี้ คนไทยเริ่มเอียนกับละคร ช่อง 7 และช่อง 3 หรือประเภทจักร ๆ วงศ์ ๆ เต็มแก่ มุขเรียกน้ำตา ยากจน เลยไม่เวริค
นายชวนเลยเปลี่ยนกลยุทธ มาด่า และสาปแช่งประชาชน ที่ไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์แทน
นายชวน เก็บความรู้สึกความเกลียดชังประชาชนไว้ไม่อยู่ ถึงกับหลุดปากออกไปว่า ชาวบ้านในภาคเหนือและอีสาน คิดไม่ดี จึงโดนสิ่งศักดิ์สิทธิลงโทษ (น้ำท่วม)
แต่ลับหลังไปไม่กี่เดือน หลายจังหวัดในภาคใต้กลับน้ำท่วมหนักกว่า (โคตรฮา)
นายชวน เงียบเหมือนโดนเท้าของติ๋มบินไทย ยัดปาก
ไม่ยักกะขึ้นเวทีบอกว่า ภาคใต้น้ำท่วมสาหัสเพราะอะไร (ฮากว่า)
โธ่...ต่ำไปนี้ กรุณาอย่าได้สะเอะมาบอกกับผม ว่า "ชวน ลูกชวนบ้าน "นะ
ผมจะถุย น้ำลายรดหน้าแม่มซะที ยืนยันมา ณ กระทู้นี้เลย
ย้อนกลับมาที่ การแถลงนโยบาย ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
นายชวน ไม่ได้พูดห่าเหวอะไรเกี่ยวกับ สาระสำคัญของนโยบาย
แต่ผมดูเหมือนนายชวน จะได้ระบาย ความริษยา กับหัวใจต่ำช้า ออกมาชนิด สร้างภาพกลบไว้ไม่ทัน
กล่าวหาทักษิณได้แบบไม่ละอายปาก
จนนัฐวุฒิ ย้อนกลับไปเบาะ ๆ ว่า ของทักษิณ เขายังสารภาพผิด แต่ของพรรคประชาธิปัตย์ หนะด้านจนสุดจะทน
นายชวนถึงได้ตั้งสติ สร้างภาพว่า ...ถ้าผิดก็ลงโทษไป
นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีลูกชาวบ้านคนแรก ที่สั่งตำรวจตีชาวนาตายห่า หน้าสภา
นายชวน หลีกภัย ผู้ทีทำให้ทุกคนรวยเท่ากันไม่ได้ แต่ทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฏหมายเดียวกัน ยกเว้นนายระลึก หลีกภัย ที่หนีคดี จนคดีหมดอายุความ
นายชวน หลีกภัย ผู้ที่บอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ โกปี๋แก้วเดียวก็ไม่เคยเลี้ยงใคร แต่ลูกพรรค โดนตัดสินจำคุกและตัดสิทธฺทางการเมือง 10 ปี เป็นคนแรกของประวัติศาสตร์พรรคการเมืองไทย
ขออนุญาตนะครับ ผู้หลักผู้ใหญ่ ของพรรคการเมืองไทย
ขออนุญาต ถุยส์
ใครนับถือก็นับถือไป "กูไม่นับถือเมิง"
--------------------------------------------------------------------------------

söndag 21 augusti 2011

สาส์นจากอาจารย์สุรชัย แช่ด่าน

รูปภาพ

2 ยุทธศาสตร์ 3 แนวทาง

โดย Redsiamtv Thailand


เวลานี้เมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลคนเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวอย่างไร จะต้องสู้อย่างไร เพราะพรรคเพื่อไทยต้องรับศึก 2 ด้านคือ

1. กลุ่มอำนาจเก่าต้องการโค่นล้มเพื่อไทย

2.การแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศท่ามกลางการแข่งขันในยุคทุนโลกาภิวัฒน์ จึงต้องเอาชนะให้ได้ทั้งสองด้าน

แดงสยาม จึงขอเสนอทฤษฎีสองยุทธศาสตร์ เพื่อเอาชนะกลุ่มอำนาจเก่า คือ ยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหว 3 ขั้น ดังนี้

ขั้นที่ 1 เคลื่อนไหวเอาคนเสื้อแดงออกจากคุกให้หมด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อมวลชน ที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย

ขั้นที่ 2 เคลื่อนไหวให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมและเยียวยาแก่ทุกฝ่ายให้เร็วที่สุดถึงทุก ฝ่ายมาเป็นมิตร และโดดเดี่ยว สุเทพและอภิสิทธิ์ นำ ท่านทักษิณและพวกที่ลี้ภัยกลับประเทศ ปลดเปลื้องคดีต่าง ๆ ออกจากพวกเรา ซึ่งเป็นการตัดเงื่อนไข ตุลาการภิวัฒน์จะเล่นงานพวกเราสะดวก เพื่อจะได้เคลื่อนไหวสู้ต่อไป

ขั้นที่ 3 เคลื่อนไหวให้แก้รัฐธรรมนูญและยกเครื่องขบวนกายุติธรรม ปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ เพื่อลิดรอน เครื่องมือของกลุ่มอำนาจเก่า

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น นำไปสู่ยุทธศาสตร์การต่อสู้ คือ สะสมกำลังรอคอย เพื่อรอโอกาสลุกขึ้นสู้เมื่อมีความพร้อม ด้วยการใช้สองแนวสามแนวรบ ชู พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และสนับสนุนพรรคเพื่อไทยอย่างเด็ดเดี่ยว กรณีที่มีพวกทรยศอยู่ในพรรคควร ยึดหลักถ่ายเทของเสียออกจากตุ่ม ไม่ใช่ทุบตุ่มทั้งใบ

เวลา นี้พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงอ่านเกมออก จึงเดินเกมถูก ต้องยื่นระยะยาวให้ได้ เวลายิ่งนานไปอำนาจเก่ายิ่งพ่ายแพ้ เวลานี้พวกอำนาจเก่ายังหาทางรุกกลับไม่เจอ จะใช้ทหารยึดอำนาจก็ไม่ได้ จะใช้ตุลาการภิวัฒน์ก็ยังทำไม่ได้ จะอาศัยมวลชนเสื้อเหลือก็หมดสภาพ จะใช้พรรคประชาธิปัตย์เอาชนะการเลือกตั้งก็เพิ่งแพ้อย่างหมดรูป

ฝ่าย อำนาจเก่าจึงต้องพยายามตอกลิ่มสร้างเงื่อนไขรอให้คนเสื้อแดงแตกกับพรรคเพื่อ ไทย เช่น กรณีไม่มีคนเสื้อแดงเป็นรัฐมนตรี หรือไม่อนุญาตให้ประกันตัวออกจากคุก แต่พวกเรารู้ทันหมดแล้ว ไม่ยอมหลงเข้าทางอย่างเด็ดขาด

คนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยต้องจำให้ มั่นว่า การได้เป็นรัฐบาลไม่ใช่ชัยชนะถึงที่สุด การทำให้ระบอกเก่าหมดอิทธิฤทธิ์เท่นั้นจึงเป็นชัยชนะถึงที่สุด พวกเขาต้องพ่ายแพ้ต่อกฎวิวัฒนาการทาสังคมอย่างแน่นอน

สุรชัย แซ่ด่าน
ประธานกลุ่มแดงสยาม
นนทบุรี






 


 







fredag 19 augusti 2011

ขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนเวียสนับสนุนให้มีการจัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงทั่วประเทศ

ขอสนันสนุนการก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง
การก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง  เป็นความคิดริเริ่มที่ดีเหมาะสมกับสภาพการณ์ความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในปัจจุบัน  เป็นความต้องการที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติของมนุษย์ในสังคมตามหลักของปรัชญาที่ว่า สรรพสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาก้าวหน้าต่อไป
การก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงก็เป็นไปตามกฏเกนฑ์ธรรมชาตินี้  คือมีการเริ่มต้นและพัฒนาจากต่ำไปหาสูง  จากความเป็นไปได้สู่ความเป็นจริง  การก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงเป็นสิทธิเสรีภาพของคนในสังคมทุกระดับโดยไม่ผิดต่อกฏหมาย  เหมือนกับการจัดตั้งสมาคมหรือตั้งพรรคการเมือง ย่อมเป็นสิทธิที่ควรมีควรได้ของมนุษย์ในสังคมทุกชนชั้น
การที่คนเสื้อแดงก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงขึ้นมาเป็นการสร้างระบอบประชาธิปไตยขั้นพื้นฐานของสังคมในระดับรากหญ้า จะเป็นองค์กรที่ช่วยให้ความรู้อบรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันในหมู่สมาชิกเกี่ยวกับประชาธิปไตยได้รับรู้ถึง สภาพความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันของสังคมไทย เรียนรู้ถึงสภาพการอยู่ร่วมกันด้วยหลักการของประชามติ หรือประชาธรรม ที่มีการเคารพในสิทธิ  เสรีภาพและความเสมอภาคที่เท่าเทียมกัน
การก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงจะสามารถพัฒนาและขยายไปเป็นองค์กรปกครองระดับท้องถิ่นในระดับตำบล  อำเภอ ไปจนถึงระดับจังหวัดทั่วประเทศ
แนวความคิดหมู่บ้านเสื้อแดงเป็นความคิดริเริ่มที่ทำให้เกิดมีระบอบประชาธิปไตยอย่างเป็นรูปธรรมขึ้นในสังคม  สามารถปฏิบัติได้ทั้งในด้านการเมือง การปกครอง  การบริหารจัดการท้องถิ่น หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด หรือร่วมมือกับองค์กรของรัฐ  โดยฝ่ายเสื้อแดงหรือฝ่ายที่มีแนวคิดเพื่อประชาธิปไตยทุกกลุ่มทุกองค์กรจะสามารถเลือกตัวแทนของตนเข้าไปมีส่วนบริหารได้ ในทุกภาคส่วนของสังคม
วิวัฒนาการของประชาธิปไตยต้องเริ่มจากสังคมรากหญ้าค่อยๆพัฒนาให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จากต่ำไปสูง  เพราะประชาชนในระดับรากหญ้าหรือระดับพื้นฐานของสังคมย่อมรู้จักความต้องการของตนเองว่าต้องการอะไร  ความต้องการเรื่องปากท้อง  มีที่ทำมาหากิน  มีที่อยู่อาศัย ความต้องการทางสังคม โดยให้มีความเท่าเทียมกัน มีความยุติธรรม มีการปกครองภายใต้กฏหมายเดียวกัน  ความต้องการทางด้านสาธารณสุขต้องได้รับการรักษาพยาบาลที่เท่าเทียมกัน และระบบสื่อสารอย่างเสรี  สร้างความสามัคคี  ดูแลความทุกข์สุขซึ่งกันและกัน เหมือนฉันพี่น้องตามหลักของประชาธิปไตยหรือประชามติ
การก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงจะสามารถดูแล และให้การช่วยเหลือซึ่งกันและกันในชุมชนรากหญ้าได้อย่างทั่วถึง เพราะประชาชนในหมู่บ้านท้องถิ่นแต่ละคนแต่ละครอบครัวย่อมรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี สามารถดูแลและรักษาความปลอดภัยได้อย่างทั่วถึง  มีการสอดส่องไม่ให้คนข้างนอกเข้ามาก่อกวนทำลายหรือทำร้ายคนในหมู่บ้านเสื้อแดงได้  ป้องกันโจรผู้ร้ายป้องกันยาเสพติดที่เป็นภัยต่อสังคมและลูกหลานของหมู่บ้าน  ดูแลเรื่องการศึกษาในโรงเรียนไปจนกระทั่งตรวจสอบการคดโกงคอรัปชั่นในหมู่ข้าราชการปกครองในระดับท้องถิ่น ตลอดจนถึงพวกแกนนำที่เป็นนักฉวยโอกาสที่ทำนาบนหลังคน พวกที่รับใช้เจ้าที่ทำการขัดขวางวิวัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย
การก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงยังเป็นพื้นฐานสำหรับให้การศึกษายกระดับความรู้ความเข้าใจและมีการตื่นตัวทางด้านการเมือง การเศรษฐกิจ สังคมและการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของหมู่สมาชิกฝ่ายประชาธิปไตยให้พัฒนาก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆในทุกระดับทั่วประเทศ
เราจึงขอสนับสนุนและเรียกร้องให้มีการขยายจัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงขึ้นในทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัดทั่วประเทศ
ขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนเวีย
Thai  Democratic Movement  In Scandinavia

onsdag 17 augusti 2011

พวกนักฉวยโอกาสที่หากินกับขบวนการเสื้อแดงที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างนายขวัญชัยนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เขาจะเปลี่ยนสีแปรธาตุได้ตลอดเวลาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เราจะต้องมีสติระวังตัวกับบุคคลประเภทนี้ ต้องเอามาเปิดเผยให้มวลชนรู้ถึงธาตุแท้ของการเป็นนักฉวยโอกาสของเขา เพราะเป็นอันตรายกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างยิ่ง

อย่าคิดจะรวบอีสานมาเป็นของคุณคนเดียว!

คุณขวัญชัยโตมาจากไหน!

อย่าริเป็นอำมาตย์กับคนเสื้อแดง!

อย่าคิดเอามวลชนไปต่อรองผลประโยชน์กับนายใหญ่!

สุดท้ายสิ่งที่คุณทำก็คือผลประโยชน์!

ปากบอกว่าเงินไม่มี รถถูกยึด แต่สวมสร้อยสวมแหวนเต็มตัว!

ใครที่คิดต่างจากคุณ คุณก็กล่าวหาว่าเขาเป็นแดงปลอม!

ใครที่ไม่ยอมเข้าร่วมกับชมรมคนรักอุดร คุณก็กล่าวหาโจมตีเขา!

อุดรไม่ได้สวยหรู เหมือนภาพที่เห็น!

ผมไม่ได้ศรัทธา อ.ธิดา หรือ หมอเหวง เพราะพวกเขาพยายามทำตัวเป็นอำมาตย์ในกลุ่มคนเสื้อแดงเหมือน คุณขวัญชัย คนเสื้อแดงออกมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ออกมาด้วยความศรัทธาในระบอบ ไม่ได้ออกมาเพราะพวกคุณ อย่าริเป็นอำมาตย์กับคนเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นแกนนำจากที่ไหน ยิ่งใหญ่อย่างไร สุดท้ายก็หนีไม่พ้นความตาย สิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกันเท่านั้นที่คนเสื้อแดงใฝ่ฝันหา คนเสื้อแดงไม่ใช่คนโง่ คนเสื้อแดงมีทุกชนชั้น อย่าเหมารวมว่าเป็นคนโง่ แต่โอกาสคนเสื้อแดงไม่เท่ากัน คุณธรรมไม่เหมือนกัน การสร้างภาพเสแสร้งไม่เหมือนกัน ความอยากไม่เท่ากัน ลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่เหมือนกัน

ฝากแกนนำที่คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่กลับไปทบทวน ไม่ได้เกลียดเป็นการส่วนตัว ไม่ได้รักใครเป็นการส่วนตัว แต่เห็นพฤติกรรมพวกท่านแล้วผมสมเพช กิเลสมนุษย์ ผมเองก็ต่อสู้มาไม่ต่างจากพวกท่านทั้งหลาย ดัวนั้นจงกลับไปนอนเอามือก่ายหน้าผาก ทบทวนดูบทบาทตัวเอง ทำไปเพื่ออะไร สุดท้ายสิ้นสุดตรงไหน ใครคือผู้ได้รับผลประโยชน์ ตัวท่านเองหรือประชาชนคนทั้งชาติ

ประชาชนเท่านั้นที่เป็นใหญ่ในแผ่นดิน

måndag 15 augusti 2011

บทความที่น่าสนใจสำหรับประชาชนควรจะได้อ่านและศึกษา

รองนายกรัฐมนตรี โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง รองนายกรัฐมนตรี
โดย กาหลิบ

เห็นนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีส่วนหนึ่งที่ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ แล้วทำให้รู้ว่าคณะรัฐมนตรีชุดนี้ไม่ลืมพระราชพิธีและพิธีกรรมอันเกี่ยวเนื่องกับสถาบันกษัตริย์แน่ จึงไม่จำเป็นต้องเตือนกัน ปัญหาคือจะลืมฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำสายเดียวกันคือมวลชนไทยหรือไม่เท่านั้น
มวลชน พลเมือง ปวงชนชาวไทย ฯลฯ เป็นเจ้าของประเทศไทยก็จริง แต่จำนวนเกือบเจ็ดสิบล้านและไม่ได้เห็นหน้ากันทุกคนทุกวันก็ทำให้รัฐบาลเผลอลืมไปได้เหมือนกัน ผิดกับผู้มีอำนาจในโครงสร้างเดิมที่ถูกบังคับให้ได้เห็นหน้าและมีความสัมพันธ์กันในกิจกรรมต่างๆ ตลอดปีนั้น รัฐบาลลืมไม่ลงแน่
วันนี้จึงขอทำหน้าที่พลเมืองอย่างหนึ่ง คือเตือนรัฐบาลไว้เสียแต่ต้นว่าเราคาดหวังอะไรจากแต่ละท่านในคณะรัฐมนตรี วันหลังจะได้ไม่ตอกกลับให้เจ็บใจว่า ทำไมไม่พูดเสียแต่แรก?
เอาแค่รองนายกรัฐมนตรีเสียก่อนก็ยังได้
ตำแหน่งที่เรียกว่า รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นั้น รู้สึกจะกระจายหน่วยงานควบคุมดูแลกันอยู่ คุณยงยุทธ วิชัยดิษฐ์คงดูแลฝ่ายปกครองทั้งของรัฐและหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นตามสายงานของกระทรวงมหาดไทย พลตำรวจเอกโกวิทย์ วัฒนะ และ ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ใครจะได้ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ยังไม่รู้ แต่ภาพที่ยังเบลอกว่านั้นคือ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน. ที่เปิดโอกาสให้กองทัพมีอำนาจเหนือรัฐ (บาล) ได้ทุกเมื่อ ส่วนหน่วยงานเฉพาะกิจอย่าง ศอฉ. นั้นใครจะดูแลหรือใครจะสั่งปิดกิจการก็ยังไม่ชัดเจนเช่นกัน ยังไม่ต้องพูดถึงหน่วยงานข่าวกรองอย่างสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ หรือหน่วยที่มีลักษณะข้ามกระทรวงอย่างกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ซึ่งโดยทฤษฎีอยู่กับตำรวจแต่ในทางปฏิบัติอยู่กับผู้ที่มีอำนาจที่สูงส่งกว่านั้นมาก
ยังไม่ได้พูดถึงกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศที่เป็นผู้ดูแลความมั่นคงของรัฐซึ่งจะปล่อยให้ลอยเท้งเต้งไปตามใจของ มือที่มองไม่เห็นไม่ได้เป็นอันขาด
ไม่ต้องดูไกลนัก เอาแค่รัฐบาลประชาธิปัตย์ที่ผ่านมาก็พอ หน่วยงานทั้งหลายที่พูดมานี้ ล้วนอยู่ภายใต้คนๆ เดียวคือคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงที่มีอำนาจชนิดเบ็ดเสร็จที่สุดคนหนึ่งของประวัติศาสตร์ระยะใกล้
คุณสุเทพฯ ใช้อำนาจได้มากขนาดไหน พวกเราที่ต้องต่อสู้กับอำนาจรัฐจนล้มตายกันเป็นร้อยๆ ได้รับรู้มาแล้วด้วยประสบการณ์ตรงไม่ใช่หรือ
หากเราห่วงหน้าตารองนายกรัฐมนตรีจนเกินไป ถึงขนาดต้องเจียดหน่วยงานแบ่งกันคนละนิดคนละหน่อยเพราะกลัวน้อยใจบ้างอะไรบ้าง ฝ่ายประชาธิปไตยอาจเสียการควบคุมในสายงานด้านความมั่นคงไปได้ ยิ่งเขาเล่นเกมยื้ออำนาจไม่ยอมให้รัฐบาลของประชาชนได้มีอำนาจอยู่แล้ว ก็ยิ่งจะเป็นผลร้ายมากขึ้นหากเรามาแตกแยกกันเอง
รวมความแล้ว นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายจะต้องดูแลงานนี้ชนิดรวมศูนย์ ไม่เป็นเบี้ยหัวแหลกหัวแตก จับตามองพฤติกรรมความเคลื่อนไหวอย่างสมบูรณ์ และยึดเอาความเข้าใจและประสบการณ์เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ (การรัฐประหาร) ๑๓ เมษายน ๒๕๕๒ (พฤติกรรมปราบปรามประชาชนแบบพฤษภาทมิฬ) ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ (การปะทะกับประชาชน) และในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ (การล้อมปราบประชาชน) เป็นที่ตั้ง
ส่วนจะบริหารในระดับโครงสร้างและปฏิบัติการ รวมถึงการวางกำลังกันอย่างไร คงไม่ต้องนำมาพูดในที่นี้
รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเป็นประเด็นร้าวลึกๆ มาตั้งแต่ต้น ซึ่งไม่ใช่ร้าวกันในยุคเพื่อไทยเท่านั้น เรื่องนี้เป็นความร้าวเชิงโครงสร้างและอำนาจในการควบคุมเศรษฐกิจโดยตรง
กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหัวแถวของกระทรวงเศรษฐกิจที่ไม่เคยอยู่ภายใต้อำนาจของรองนายกรัฐมนตรีคนใดโดยเบ็ดเสร็จมาก่อน แม้ในยุคที่ทหารเป็นใหญ่ในบ้านเมือง
แนวคิดโดยประเพณีคือ งานนโยบายเศรษฐกิจควรมีลักษณะถ่วงดุลและคานกัน ไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งมีอิทธิพลมากจนเกินไป
แม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังถูกกำหนดให้เป็นหน่วยงาน ในกำกับของกระทรวงการคลัง ก็ยังถูกหุ้มด้วย อำนาจพิเศษนอกรัฐธรรมนูญตามแนวคิดว่านักการเมืองไว้ใจไม่ได้ สุดท้ายดูเหมือนจะกลายเป็นหน่วยงานประเภท untouchable ที่อยู่นอกวงโคจรของรัฐบาลไป
ประเด็นคือจะบริหารงานเศรษฐกิจที่ว่าด้วย ๑) การเงิน ๒) การคลัง ๓) การตลาด (ของชาติ) ให้เป็นเนื้อเดียวกัน แต่เปิดโอกาสให้แต่ละยูนิตพลิกพลิ้วตามกลไกตลาดและตามสภาพเศรษฐกิจโลกได้อย่างไร
งานนี้แบ่งกันดูแลก็ไม่มีปัญหา แต่นายกรัฐมนตรีและ ที่ปรึกษาพิเศษนายกรัฐมนตรีจะต้องเข้าควบคุมกลไกการบริหารด้วยตัวเอง แทนที่จะมอบรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจในรูปแบบ ซาร์
การล้มละลายของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะเป็นปัจจัยสำคัญสูงสุดของการกำหนดนโยบายต่อโลก
สุดท้ายคือรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายสังคม ซึ่งอาจรวมถึงสื่อภาครัฐด้วย
โจทย์ใหญ่มีเพียงหนึ่งเดียวคือ จะส่งเสริมการพัฒนาทางสังคมของคนไทยไปสู่ระบอบอะไร หากเตรียมขี้ข้ารุ่นใหม่ก็ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมาก เพียงรักษาความน้ำเน่าอย่างเดิมก็พอเพียง
แต่ถ้าเป้าหมายปลายทางคือ ความเป็นพลเมืองของระบอบประชาธิปไตย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สำนักงานพัฒนาองค์ความรู้ฯ และอื่นๆ จะมีงานช้างรอให้ทำ
นายกรัฐมนตรีจะดูแลเอง หรือมอบหมายรองนายกรัฐมนตรีเป็นโต้โผใหญ่สักหนึ่งคน ก็ได้ทั้งนั้น.
------------------------------------------------------------------------------

การแทรกแซงทางการเมืองของกษัตริย์ภูมิพลนั้นมีมาโดยตลอด แต่พวกองคมนตรีที่เป็นลิ้วล้อมักจะปกปิดและบิดเบือนสร้างภาพหลอกลวงประชาชนชาวไทยมาตลอดเวลา จะเห็นได้จากโทรเลขของ วิกิลีกค์ ที "ดวงจำปา" นำมาเปิดเผย

แปลโดย: ดวงจำปา

ต่อเนื่องจากซีรี่ย์ของ PPT ในการแสดงความเห็นเกี่ยวกับเคเบิ้ลของวิกิลีกค์, เอกอัครราชฑูต ราล์ฟ “สกิ๊พ” บอยซ์ ได้รายงานในเคเบิ้ลฉบับหนึ่งของ การสนทนาระหว่างตัวเขากับเจ้าหน้าที่ในสำนักพระราชวัง – ราชเลขาธิการในพระองค์ นายอาสา สารสิน และผู้ช่วยของเขา คือ นายเตช บุนนาค - ในความคิดเห็นที่เกี่ยวกับการแทรกแซงทางการเมือง ในเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2549 (เคเบิ้ลลงวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2549), มันคือสิ่งที่เราคิดว่า เป็นการเปิดเผยให้เห็นถึงการเข้าไปยุ่งโดยทางฝ่ายวัง, การเคลื่อนไหวของฝ่ายองค์มนตรีและ การกระทำอย่างไม่เหมาะไม่ควรอีกหลายระดับ.

สิ่งที่เหมาะสมเป็นอย่างดีต่อการเริ่มต้นของเคเบิ้ลฉบับนี้ ก็คือ การสรุปขั้นต้นของเอกอัครราชฑูตบอยซ์และความคิดเห็นในตอนท้ายของเขา:

ในการสรุปของเอกอัครราชฑูตบอยซ์นั้น, เขาได้บันทึกไว้ว่า “ทางฝ่ายวังได้พยายามที่จะลบล้างความเกรี้ยวกราด ซึ่งเกิดจากการออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ เมื่อคืนวันอาทิตย์ ซึ่งเกี่ยวกับ การแทรกแซงขององค์พระมหากษัตริย์ ตามมาด้วยความรุนแรงซึ่งเป็นผลมาจากการประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ในปี พ.ศ. 2535.”

ในความคิดเห็นของเขานั้น, เขาได้กล่าวว่า: “ย่อหน้าที่ 7 ส่วน ซี.... เราได้มีความงุนงงเป็นอันมากต่อความง่ายดายซึ่งเกี่ยวเนื่องกัน ที่บุคคลสองคน ซึ่งใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ กำลังสนุกสนานบันเทิงใจกับความคิดที่ว่า จะให้ทางฝ่ายวังนั้น นำเอามาตรา 7 มาใช้ในการแทรกแซง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางวังเอง ได้สงวนท่าทีอย่างที่สุดต่อการที่จะนำเรื่องนี้มาพูดคุยกันแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เรากลับมาด้วยความฝังใจที่ว่า, ถ้าการเลือกตั้ง (ต้นปี พ.ศ. 2549 - ผู้แปล) ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจาก ไม่สามารถหาจำนวนผู้สมัคร ได้พอถึงเกณฑ์ 20 เปอร์เซ็นต์ตามที่กฎหมายได้กำหนดเอาไว้ (ตามข้ออ้างอิง บี) หรือจากเหตุผลอื่นๆ ใดๆ ก็ตาม, ดังนั้น เรื่องนี้ก็เป็นที่ยอมรับได้ ที่จะเปิดทางให้องค์พระมหากษัตริย์นั้น ได้ทรงใช้อำนาจทางรัฐธรรมนูญในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์... การแทรกแซงโดยฝ่ายวังนั้น อาจจะเกิดขึ้นได้, แต่มันยังไม่ถึงเวลาในตอนนี้....”

ความคิดเห็นอื่นๆ :

ในการเบี่ยงเบนข้อเท็จจริง: “นายอาสาได้ยอมรับว่า การออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ เมื่อคืนวันอาทิตย์ ในภาพยนต์สารคดีที่โดดเด่นของการที่องค์พระมหากษัตริย์ได้ทรงเข้ามาแทรกแซงทางการเมือง หลังจาก การแสดงการเรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อปี พ.ศ. 2535 ได้กระตุ้นให้เกิดทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดกัน (อ้างอิง ฉบับ A). นายอาสาได้อ้างว่า ตัวองค์พระมหากษัตริย์เอง ทรงมีพระประสงค์ให้นำเอาภาพยนต์เรื่องนั้นมาออกอากาศ เพื่อเน้นให้เห็นถึงความต้องการความสงบและการปรองดอง..” ดังนั้น องค์พระมหากษัตริย์ก็ได้ทรงเสนอแนะความคิดนี้ขึ้นมาและทรงมีความประสงค์ให้เกิดขึ้นด้วย “นายอาสา... ก็ต้องกุลีกุจอ เพื่อที่จะต้องสร้างแถลงการณ์ว่า เพื่อจะให้ทางฝ่ายวังนั้น ให้ไปอยู่นอกสายตาจากเรื่องทั้งหมดนี้ อย่างแรกที่เขาได้กระทำก็คือ, พวกเขาได้ออกแถลงการณ์ โดยกล่าวว่า ทางฝ่ายวังนั้นไม่ได้มีส่วนรู้เห็นแต่ประการใดกับการออกอากาศเมื่อคืนวันอาทิตย์ ” เขาได้โกหกกับสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป ในความพยายามที่จะปิดบังซ่อนเร้นการกระทำของเขา เมื่อรู้ตัวว่า ความกำลังจะแตกอย่างเห็นได้ชัด (ประชาชนจับได้), ดังนั้น นายอาสาก็ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่สองตามมา ในเวลาติดๆ กัน. แถลงการณ์ฉบับนั้นได้ระบุว่า ภาพยนต์นั้น เป็น “ข่าวทางสาธารณะ” และสถานีโทรทัศน์สามารถออกอากาสได้ตามความประสงค์ของสถานีเอง โดยมีเงื่อนไขว่า ทางสถานีนั้นจะต้องเป็นผู้กระทำหน้าที่นี้อย่างดีที่สุด ดังนั้น นายอาสาก็ยังพยายามที่จะคลี่คลายฝ่ายวังออกมาจากมรสุมทางการเมือง” เขาได้โกหกถึงสองครั้ง

ในเรื่องการขอร้องให้มีการแทรกแซงเกิดขึ้น: “นายอาสาได้พรรณาว่า ทั้งสองฝ่ายนั้น ‘ไม่ยอมประนีประนอมกัน’ ทั้งสองฝ่ายต้องการดึงองค์พระมหากษัตริย์ลงมาสู่เวทีทางการเมือง นายอาสากล่าวว่า องค์พระมหากษัตริย์ยังไม่ทรงพร้อมที่จะกระทำการ ในตอนนี้... นายอาสากล่าวว่า ถ้านายกรัฐมนตรี (ทักษิณ) และคณะรัฐมนตรีของเขา ไม่สามารถที่จะปฎิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินได้, ฉะนั้น ก็อาจจะมีอ้างใช้เหตุผล ในการที่จะให้พระมหากษัตริย์ทรงเข้ามา ‘แทรกแซง’ ภายใต้รัฐธรรมนูญ มาตรา 7 เพื่อแก้ไขยุติข้อขัดแย้งทั้งหมดนี้

ในเรื่องระหว่างพระมหากษัตริย์และนายกทักษิณ: “ความสัมพันธ์ระหว่างองค์พระมหากษัตริย์กับนายกทักษิณนั้น มีความเป็นไปอย่าง ‘ปรกติดี’ นายกรัฐมนตรีสามารถเข้าเฝ้าฯ องค์พระมหากษัตริย์ได้ทุกเวลา เมื่อเขาต้องการที่จะพบกับพระองค์. อย่างไรก็ตาม เมื่อล่าสุดนี้, องค์พระมหากษัตริย์ ทรงเพียงแต่เป็น ‘ผู้รับฟังเท่านั้น’ พระองค์ไม่ได้ทรงตรัสอะไร เนื่องจากว่า ‘พระองค์ทรงเกรงว่า นายกทักษิณจะ กล่าวอ้างถึงพระองค์” เขายังเพิ่มต่อไปว่า “โดยทั่วไปแล้ว นายกทักษิณ เป็นบุคคลที่ไม่เคารพนบนอบผู้ใดเลย ที่ไม่เห็นด้วยกับตัวเขา”

ในเรื่องของคณะองคมนตรี: นายเตช บุนนาค “ได้ชี้ให้เห็นว่า ทางฝ่ายสื่อมวลชนได้รายงานการประชุมของคณะองคมนตรีเมื่อวานนี้ ‘องคมนตรีคนหนึ่ง’ ได้แอบเอาข่าวไปปล่อยว่า คณะองคมนตรีได้ปรึกษาหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งนำไปถึงการคาดคะเนให้เกิดน้ำหนักมากขึ้นว่า ทางฝ่ายวังนั้น กำลังพิจารณาถึงการแทรกแซงอยู่ นายเตชได้เน้นว่า เรื่องนี้ เป็นเพียงการประชุมอย่างธรรมดาตามกำหนดการที่มีอยู่ และไม่ได้มีความหมายว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในการวางตัวของทางฝ่ายวัง” เมื่อเอกอัครราชฑูตบอยซ์ ได้ถามว่า “ทางประชาชนทั่วไปจะมีทัศนคติแท้จริงเป็นอย่างไร ถ้ามีการการแทรกแซงโดยองค์พระมหากษัตริย์ได้เกิดขึ้น" นายเตชเห็นพ้องว่า ถึงแม้ว่า ความนิยมชมชอบของนายกทักษิณจะอยู่ในถิ่นชนบท ถ้าองค์พระมหากษัตริย์ ทรงมีความเห็นว่า ถึงคราวแล้ว ที่ควรถอดถอนเขา (นายกทักษิณ) ออกจากตำแหน่ง เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ประชาชนสามารถยอมรับกันได้”

เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดว่า, การแทรกแซงขององค์พระมหากษัตริย์ในการขัดแย้งทางการเมืองในสมัยหนึ่งนั้น เป็นทางเลือกซึ่งสามารถมานำเข้ามาวางอยู่บนโต๊ะเจรจาและพิจารณากันอย่างจริงจัง และก็เป็นที่เห็นกันอยู่แล้วว่า, มันได้ถูกนำมาใช้ในเดือนถัดมาจริงๆ





ความเห็นของผู้แปล :

เคเบิ้ลฉบับนี้ ได้แสดงให้ถึงบทบาทของผู้ที่ทำงานอยู่กับฝ่ายวัง เป็นตัวตั้งตัวตีในการดึงเอาสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเล่นกับการเมือง

ตามปรกติแล้ว การเขียนทางการฑูตนั้น จะไม่ใช้คำว่า "โกหก" ถ้าตัวผู้เขียนไม่มั่นใจจริงๆ แต่เอกอัครราชฑูตบอยซ์ได้ระบุไว้เลยว่า นายอาสาร สารสิน ได้ "โกหก" กับประชาชนชาวไทย ถึงสองหนด้วยกัน ขนาดตัวฑูตเองยังรับรู้ในเรื่องนี้ เขาก็คงทราบว่า บุคคลคนนี้ มีเล่ห์กลอีกขนาดไหน ต่อการสืบหาข้อมูลของเขา

ดิฉันไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เมื่อปี พ.ศ. 2535 และ ปี พ.ศ. 2549 ที่กล่าวว่า มีการนำเทปของปี พ.ศ. 2535 มาออกอากาศทางโทรทัศน์ เมื่อตอนต้นปี พ.ศ. 2549 ท่านผู้อ่านหลายท่านอาจจะจำกันได้ว่า อะไรเกิดขึ้นในคืนวันนั้นนะคะ

ดิฉันคิดว่า บุคคลทั้งสองนี้ (นายอาสา สารสิน และ นายเตช บุนนาค) อาจจะถึงกับเป็นผู้เสนอความคิดเห็นต่างๆ ให้นำวิธีการ "ล้มกระดาน" เข้ามาใช้ต่อการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

พูดถึงนายเตช บุนนาคนั้น ดิฉันแปลกใจเป็นอย่างยิ่งที่ คุณสมัคร สุนทรเวช ได้นำเอาบุคคลคนนี้ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่า เขามีประวัติเบื้องหลังมาอย่างไร

อำนาจเถื่อนๆ เหล่านี้ เป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศชาติ ไม่ว่าเราจะเลือกบุคคลที่ดีขนาดไหน เข้ามาบริหารประเทศ ถ้าเป็นบุคคลที่เขาไม่ชื่นชอบ ก็มีการเริ่ม "วางหมาก" เพื่อจะกำจัดบุคคลเหล่านั้นออกไป

บุคคลเหล่านี้ กระทำตัวไม่ผิดกับกลุ่มอำมาตย์ เมื่อสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งนำมาสู่การปฎิวัติของประเทศฝรั่งเศส หลังจากนั้นไม่นานนัก บุคคลชั้นสูงของประเทศฝรั่งเศสหลายคนได้ถูก กิโยติน บั่นคอ รวมทั้ง พระนางมารี แอนโตเนท ซึ่งถือว่าเป็นการสิ้นสุดยุคสมัยการปกครองระบบราชาธิปไตยของประเทศนั้น

_________________

fredag 12 augusti 2011

จดหมายถึงเพื่อนร่วมอุดมการณ์

จดหมายถึงเพื่อนร่วมอุดมการณ์ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

เมื่อท่านได้อ่านจดหมายนี้แล้ว บางที อาจทำให้ท่านเข้าใจสถานการณ์ของการต่อสู้ในปัจจุบันและพอจะทำใจยอมรับกับความเป็นจริงเกี่ยวกับการที่ไม่มีตัวแทนของคนเสื้อแดงเข้าไปเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ๑ ของพรรคเพื่อไทย  เกี่ยวกับปัญหานี้ เรามีความเห็นว่าการต่อสู้ยังอยู่อีกยาวนาน    เวลานี้ถึงแม้จะได้ชัยชนะมาก็เป็นเพียงขั้นเริ่มต้นเท่านั้น  อย่าลืมว่าเรายังอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการของกษัตริย์ภูมิพล  เราต้องมีผู้นำที่เข้มแข็งและยึดมั่นในอุดมการณ์  มีการจัดตั้งให้รัดกุมในทุกภาคส่วนของประชาชนนอกรัฐสภา  ผู้นำคนเสื้อแดงมีความสามารถในการเคลื่อนไหวมวลชน  และมีประสบการด้านนี้  ถ้าให้เขาไปเป็นรัฐมนตรีรับผิดชอบด้านบริหารแล้วก็จะเป็นเป้าให้ฝ่ายศัตรูและฝ่ายที่เป็นกลางอื่นๆโจมตีได้ง่าย แล้วเราจะเสียมวลชนและเสียการเมือง    ฉนั้นในปัญหาเฉพาะหน้าและเร่งด่วน  เราจะต้องจัดตั้งมวลชนในทุกด้าน  จัดตั้งสื่อเสรีของฝ่ายประชาธิปไตย  จัดตั้งกองกำลังรักษาหมู่บ้านพวกเสื้อแดง  ขยายการจัดตั้งกลุ่มเสื้อแดงประชาธิปไตยให้เข้มแข็งมีวินัยในการต่อสู้ทั้งทางด้านทฤษฎีและปฏิบัติขนานกันไปกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย  ไม่ให้พวกศัตรูเข้ามาแทรกแชงแย่งการนำมวลชนสร้างความแตกแยกและปั่นป่วนภายในขบวนการของฝ่ายประชาธิปไตย  ยกระดับความรู้ในหมู่แกนนำและมวลชนให้สูงขึ้น เราจะต้องทำหน้าที่นี้เพื่อนำมวลชนให้ก้าวไปข้างหน้า   เป้าหมายของการต่อสู้ของพวกเราคือเพื่อโค่นล้มระบอบเผด็จการกษัตริย์ลงให้ได้  เพื่อเปลี่ยนระบอบเผด็จการราชาธิปไตย  ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์   ล้มล้างพวกสมุนทรราชผีห่าชาตานที่รับใช้พวกเจ้า ที่ทำนาบนหลังคน อาศัยเจ้าบังหน้าทำมาหากิน กดขี่ขูดรีด เอารัดเอาเปรียบข่มเหงรังแกประชาชน โดยเฉพาะมาตรา ๑๑๒ และขัดขวางการวิวัฒนาการระบอบประชาธิปไตยของปวงชนชาวไทยในเวลานี้ให้สิ้นซากลง     เมื่อได้รัฐบาลของประชาชนมาแล้วไม่ต้องไปนั่งหมอบคลานกราบไหว้ขอความกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมจากรูปภาพของจอมเผด็จการกษัตรืย์ภูมิพลอีก ประเพนีโปรดเกล้าต่างๆของพวกเผด็จการต้องยกเลิกไปให้หมด  รัฐบาลของประชาชนจะได้ยืนอย่างสง่าผ่าเผย  อย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เคียงบ่าเคียงใหล่อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ต้องไปก้มหัวให้กับใครเหมือนในประเทศที่เขาเจริญแล้วในโลกนี้    ฉนั้นพวกเราจะต้องอดทนเดินหน้าต่อไปไม่ใช่ว่าจะพอใจอยู่กับตำแหน่งรัฐมนตรีที่เขาสมมุติให้

ดว้ยจิตคารวะ
จากเพื่อนร่วมอุดมการณ์

----- Original Message -----

" ราชินีสะเทือนใจไฟใต้ทำร้ายพระ " นี่คือการพูดโกหกอย่างเลวร้ายที่สุดของราชินีสิริกิต ! ใครเป็นคนสั่งให้รัฐบาลทรราชอภิสิทธิ์สังหารหมู่ประชาชน จำนวน ๙๓ ศพ และบาทเจ็บอีก ๒๐๐๐ กว่าคนในวันที่ ๑๐ เมษาและ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ในจำนวนนั้นมีทั้งเด็ก ผู้หญิง และคนแก่ไปจนถึงพระสงฆ์องค์เจ้า แต่ราชินีสิริกิตเคยแสดงความเป็นห่วงหรือเปล่า อีกเรื่อง คือยาเสพติด ราชินีสิริกิตย่อมรู้ดีว่าผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่สุดในเมืองไทยคือใคร ถ้าอยากรู้ทำไมไม่ถามลูกชายของตัวเองดู แล้วใครที่ไปถูกจับอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสเพราะค้ายาเสพติดแล้วท่านทำเป็นไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ผลิตและผู้ค้า !!กระนั้นหรือ ?

"เชื่อแน่ว่ารัฐบาลต่อไปจะสานต่อโครงการนี้ แต่ถ้ารัฐบาลทำงานฝ่ายเดียว คงไม่สำเร็จ คนไทยต้องผนึกกำลังช่วยกัน เริ่มจากคนในคอรบครัว ต่อจากนั้นเป็นเรื่องสังคม ควรต่อต้านและประณามผู้ผลิต ผู้ค้า และแจ้งให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ ทำไมปล่อยให้ลูกหลานติดยา ไม่รักษา คงต้องให้เวลา ให้กำลังใจ ในการฟื้นฟู เเพื่อเป็นกำลังของสังคมและครอบครัวต่อไป"

นอกจากนั้น ยังไม่สบายใจในเหตุการณ์ภาคใต้ ที่ทราบมาว่า มีผู้ก่อความไม่สงบลอบทำร้ายพระสงฆ์ที่ออกบิณฑบาต บางรูปมรณภาพ บางรูปทุพพลภาพ การบิณฑบาตถือเป็นการปฏิบัติกิจตามหลักของสงฆ์ ในอดีตทีผ่านมาไม่เคยมีประวัติทำร้ายพระสงฆ์ เพราะการทำบุญ ใส่บาตร ทำด้วยความสมัครใจ

ข้าพเจ้าตกใจ เสียใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้ามองย้อนกลับในอดีต สมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จพระราชดำเนินในพื้นที่ภาคใต้ ชาวไทยมุสลิมมาจุดเทียนเพื่อรอส่งเสด็จ เพราะหวั่นว่าจะเกิดอันตราย เพื่อเข้าไปในพื้นที่อันตราย ข้าพเจ้าซาบซึ้งในความมีน้ำใจชาวไทยมุสลิมอย่างไม่รู้ลืม เมื่อรู้ว่ามีการลอบทำร้ายพระสงฆ์ ชาวไทย ชาวไทยมุสลิม ข้าราชการ โดยเฉพาะข้าราชการครูอาสาที่เข้าไปในพื้นที่เสี่ยงภัย ข้าพเจ้าได้มอบเงินจัดตั้งศูนย์ครูใต้ที่ จ.ปัตตานี มีห้องสมุด มีห้องประชุม ห้องสันทนาการ สำหรับครูได้พักผ่อน แลกเปลี่ยน มีโรงเรียนสำหรับลูกหลานครู

"ข้าพเจ้าไม่อยากเชื่อว่าเป็นฝีมือของชาวไทยมุสลิมที่ทำร้ายพระสงฆ์และไม่คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา ถือเป็นการกีดกันไม่ให้มีการใส่บาตร เป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการประกอบกิจทางศาสนา รู้สึกสะเทือน ใจ ไม่อยากให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราอีกต่อไป ขอความร่วมมือได้ช่วยกันพาสันติสุขและความสงบกลับคืนมาสู่ภาคใต้โดยเร็ว"
--------------------------------------------------------------------

นักวิชาการเสนอให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์รีบเอาคนเสื้อแดงออกจากคุก

นักวิชาการจี้ยิ่งลักษณ์รีบรับข้อเสนอคอป.พร้อมชี้แนวทางเร่งเอาคนออกจากคุก

ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการเขียนในเฟซบุ๊คของเขา ว่า จากการที่ คอป. แถลงว่า รัฐบาลควรเร่งให้สิทธิในการประกันตัวแก่ผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ถูกขังคุก และชี้ว่าข้อหาก่อการร้ายนั้นรุนแรงเกินกว่าเหตุและจับแบบเหวี่ยงแหนั้น ก็ยิ่งทำให้มีน้ำหนักว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะในนามคุณยิ่งลักษณ์เอง หรือในนาม รมต.ยุติธรรม (คุณประชา พรหมนอก) ควรต้องทำหนังสือถึง ตำรวจ, อัยการ, ศาล โดยเร็วที่สุดทันที

โดยควรทำ "หนังสือเวียน" ถึงองค์กรด้าน "กระบวนการยุติธรรม" ทั้ง 3 ระดับ (ตำรวจ, อัยการ, ศาล) ว่า รัฐบาลใหม่ มีนโยบาย ทีต้องการเห็นการ "ปรองดอง" ดังนั้น จึงมีความเห็นว่า คดีต่างๆที่มีลักษณะเกี่ยวข​้องกับความขัดแย้งในระยะ 5 ปีทีผ่านมา (รวมทั้งคดี 112) สมควรที่จะให้มีการประกันตัวผู้ต้องหาได้

การทำเช่นนี้ ไมใช่เรื่องการ "แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม"​ แต่อย่างใด เป็นเรื่องที่ทำได้ ตามหลักสากล เพราะรัฐบาลเอง เป็นตัวแทนของ "อำนาจอธิปไตย" หนึ่งเหมือนกัน และได้รับ "สิทธิธรรม" (mandate) มาโดยตรงจากประชาชน โดยเฉพาะในกรณีเรื่อง "ปรองดอง" นี้ เป็นนโยบายสำคัญหนึ่งในการหาเสียงด้วย

นี่ไมใช่ การ "สั่ง" องค์กรใน "กระบวนการยุติธรรม" ทีต้องมีความเป็นอิสระในการ​ปฏิบัติด้านกฎหมาย แต่เป็นการแสดงเจตนารมณ์ และนโยบายของรัฐบาล ซึ่งได้รับเจตนารมณ์มาจากประชาชนโดยตรง (การปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะในแง่ของการตีความ การปฏิบัติต่อผู้ต้องหาต่าง​ๆ เป็นเรื่องของ "สังคม" ของประชาชนด้วย ไมใช่เรื่องในแง่ "ตัวบท" กฎหมายเท่านั้น)

แน่นอน ในทีสุดแล้ว องค์กรใน "กระบวนยุติธรรม" มีสิทธิในการตัดสินใจได้ในเรื่องนี้ แต่รัฐบาลเอง ก็มีสิทธิโดยชอบธรรม และเป็นสิ่งที่ควรทำ ในกรณีแบบนี้เช่นกัน

ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ และควรทำอย่างยิ่ง โดยไม่ต้องอ้างว่า"ต้องรอให้รัฐบาลทำงานเรื่องอื่นๆก่อน"

"ข้อเสนอเรื่องประกันของผมนี่ เบามากๆ เทียบกับเรื่องที่คอป.ชี้ไปในทำนองว่า ปชป. "กดดัน" ตำรวจ-อัยการในกรณีนี้ ผมยืนยันแบบ"หัวชนฝา" อีกทีครับว่า เสื้อแดง ต้องช่วยกันเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ หาทางรีบทำอะไรให้คนเสื้อแดงที่อยู่ในคุกกว่า 100 คนตอนนี้ ได้รับสิทธิในการประกันตัวในการสู้คดี"

เขากล่าวเพิ่มเติมว่า สิทธิในการประกันเป็นสิทธิ ที่ พธม.ที่โดนคดียึดสนามบินได้รับ (ไม่ต้องพูดถึงคดีอื่นที่พวกนี้​โดน - 112 ด้วย) ไมมีเหตุผลอะไรที่ รัฐบาลจะต้อง "รอ" ไม่แก้ไขเรื่องนี้

ทางด้านทนายอานนท์ นำภา เชียนในเฟซบุ๊คของเขาว่า ปัญหาต่อมาของผู้ต้องหาเสื้อแดง​คือการหาหลักทรัพย์เพื่อยื่นประกัน​ในขั้นตอนที่อัยกา่รจะยื่นฟ้องต​่อศาล ข้อเสนอเฉพาะหน้าของผมคือ "การชลอฟ้อง" หรือเลื่อนการยื่นฟ้องผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนหรือชั้นอ​ัยการออกไป อย่างที่เชียงใหม่ มีคดีที่อัยการนัดฟ้องในสับดาหน​้าอีก ๑ คดี ซึ่งต้องใช้หลักทรัพย์ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ตอนนี้ยังไม่มีเลย....


torsdag 11 augusti 2011

เรียนพี่น้องชาวไทยทั้งหลายนี่คือโอวาทของกษัตริย์ไทยเนื่องในโอกาศที่ให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้าพบ มืใครฟังรู้เรื่องบ้าง ?

การ ฟังรู้เรื่องหรือไม่นั้นเป็นเรื่องน่าคิด น่าติดตามน่าพิจารณา หากเราเอาเรื่องนี้มาพิจารณาให้ดี ให้รอบคอบจะทำให้เรารู้จักคิดพิจารณา ที่ต้องบอกว่าให้รอบคอบ ให้พิจารณานั้น เพราะการพิจารณาต้องรอบคอบ ถูกต้องและแม่นยำ เมื่อแม่นยำแล้วจะทำให้รอบคอบ ถูกต้อง ความถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญหากไม่ถูกต้องจะทำให้เรานั้นทำไม่ถูกต้อง ทำผิด ที่กล่าวว่าทำผิดนี้ก็หมายถึงหลายๆเรื่องที่มันไม่ถูกต้อง ประเทศไทยต้องเดินไปอย่างถูกต้องไม่ผิดพลาดเรื่องนี้ต้องเอามาพิจารณาให้ รอบคอบ เพื่อที่จะให้รู้ว่าคำพูดเรานั้นรู้เรื่องหรือไม่ การที่จะบอกว่ารู้เรื่องหรือไม่นั้นผู้ฟังต้องตั้งใจฟังให้ดีหากฟังไม่ดี ฟังไม่เป็นก็จะทำให้ไม่รู้เรื่องเมื่อไม่รู้เรื่องก็จะหาว่าเราพูดไม่รู้ เรื่อง ดังนั้นเมื่อเราพูดรู้เรื่องพวกท่านทั้งหลายจงฟังให้รู้เรื่องหากไม่รู้ เรื่องแล้วจะไม่เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจก็จะทำให้ทำงานไม่รู้เรื่องทำให้เกิดความผิดพลาด จึงขอให้ท่านฟังให้รู้เรื่องเพื่อที่จะทำให้ประเทศชาติพัฒนาต่อไป อย่างรวดเร็ว อย่างพอเพียง

เขาขอให้ท่านทั้งหลายจงพยายามฟังให้เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา ให้มีกำลังใจทำให้ประเทศชาติสงบสุขต่อไป

onsdag 10 augusti 2011

จดหมายของชาวรากหญ้า เล่าถึงชีวิตที่อยู่ในคุกและ ที่ออกมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม สิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย

จดหมายจากคุกที่คนเสื้อแดงต้องอ่าน



นักโทษเสื้อแดงรายหนึ่งได้เขียนจดหมายจากคุกถึงทนายอานนท์ นำภา เมื่อวันที่ 26 กรกาคม 2554 เล่าสภาพที่นักโทษการเมือง"คนรากหญ้าต้องเจอ"หลังจากที่ทนายอานนท์นำคนเสื้อแดงจัดกิจกรรม"ของขวัญเสื้อแดงแด่นักโทษเสื้อแดง"เพื่อให้กำลังใจนักโทษการเมืองในคุก เนื้อความสะท้อนสภาพที่เป็นจริงถึงสาเหตุการติดคุก และสภาพที่ต้องเผชิญ และการไร้การแลเหลียว แม้พวกเขาได้เอาตัวอุทิศเข้าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยก็ตาม ดังรายละเอียดต่อปนี้

เรียน คุณอานนท์และทุกท่านที่ไม่ได้เอ่ยนาม

กระผม พศิน แสนจิตต์ แดน 4 เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ผู้ต้องหาคดีพรบ.อาวุธปืนและรับของโจร, ข้อหาเสื้อแดง, ก่อการร้ายเหมือนพี่น้องทั้งหลายที่มีอุดมการณ์เหมือนพี่น้องเรา

พอมีโอกาสได้รู้จักคุณหนุ่ม (ธันย์ฐวุฒิ) และครอบครัวบ้าน112 และชาวรากหญ้า(รากหญ้าจริงๆ หลายคนหลายชีวิต ช่วยกันกับคุณหนุ่มเก็บรายละเอียดของทุกคนทีละเล็กละน้อย ซึ่งกว่าจะได้ยากมากเพราะอยู่ในคุกคนละแดน ส่งจดหมายของรายละเอียด ความเป็นมา สารทุกข์สุขดิบ อันใหนพอแบ่งกันได้ในข้อกฎหมาย ของกินของใช้ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เพราะแต่ละคนมาคนละทิศละทาง

บางคนคิดนี่หรือคือเหยื่อของสงครามการเมือง

การถูกขังในกรงนาน มนุษย์เป็นสัตว์แม้จะประเสริฐกว่าสัตว์เดรัจฉานแต่มันคือสัตว์โลก แต่ด้วยโดนขังโดยที่ตัวเองไม่ผิด จากการต่อสู้พวกเขาจุดจบต้องเป็นแบบนี้หรือ!!

คืนวันฟังไฮปาร์คมีเสียงเพลงขับกล่อม ยกตีนตบขึ้นลงตามแกนนำบอกซ้ายไปซ้าย บอกขวาไปขวา เฮไปใหนไปกัน ขอกำลังเสริมตรงนั้นทีตรงโน้นที

“จับมือกันไว้พี่น้อง ตั้งกำแพงไว้ มันไม่กล้าทำอะไรหรอก”
“มหาสารคามมาอีกหนึ่งรถบัสไปรับหน่อยเร็ว”

ทุกคำพูดมันวนเวียนไปมาตลอดเวลา แม๊เฮกันไป พอถูกสลายจริงๆไม่รู้ใครเป็นใครจนถูกจับ ความรู้สึกต่อต้านโดยจิตสำนึก ความเครียด ความหดหู่เพิ่มขึ้นไปตามวันเวลาสะสมไปทุกๆวัน

ต้องการใครก็ได้ให้ความหวังว่ายังมีใครสักคนห่วงเราอยู่ ก็เพิ่งได้รับน้ำใจจากพวกคุณๆพี่ๆทั้งหลายมาให้กำลังใจ ข้าวของเครื่องใช้จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน การได้ออกมาเยี่ยมพร้อมหน้าพร้อมตา แม้ไม่รู้จักกัน แต่ความรู้สึกอบอุ่นการมีพวกพ้อง ยังไงเราก็มีกันและไม่ทิ้งกัน เดินออกมาจากแดนขังแต่ละแดน เดินไปคุยกันไป

“ใครเข้ามาเยี่ยมพวกเรา” “แล้วเราจะพูดอะไรกับพวกพี่ๆเขาดีหล่ะ”
“เขาจะรังเกียจเราไหมเรามีคดีลักทรัพย์” “แต่เราเป็นเสื้อแดงนะแดงจริงๆ”

หลากหลายคำพูดตื่นเต้น ดีใจคุยกันไป เหมือนมีพลังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาหลากหลายของรากหญ้าแท้ๆบางคนมีอาชีพเป็นยาม พอออกเวรยามก็มานั่งฟังปราศรัย บางคนทำงานโรงงานออกกะก็รวมกลุ่มกันมา บางคนโดยเฉพาะ”ยัยเปิ้ล”(อาทิตย์ เบ้าสุวรรณ) แดน4ที่บ้านเป็นคนทรงเจ้าอุตส่าห์มากะเขา เขาเคยเข้าไปช่วยคนไฟไหม้ชั้น2เซนทรัลเวิลด์กลับถูกจับข้อหาเผาห้าง(ท่าจะบ้า)

กรณีของสุรชัย(ปลา) ชาตรี และนฤมล(จ๋า) วิ่งเข้าออกเวทีรู้จักกันดีกับแกนนำ มันเป็นตลกร้ายทางการเมืองหาเสียงทางทีวี วันสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง(3ก.ค.54) เอาชีวิตเอาตัวเป็นๆมาติดคุก โดนตำรวจซ้อม โดนทหารเอาไปขังในค่ายทหารไอ้ค่ายที่เรีกยว่าราบ11(ศอฉ.) เอาไปขังข้างถังน้ำมัน เอาถัง200ลิตรมาตั้ง ผูกตากะจะเผาทั้งเป็นๆให้รับสารภาพ จนสูญสิ้นอิสรภาพมาทุกวันนี้ มันป็นนิยายการเมือง

แต่คนถูกกระทำมันไม่ใช่ ยื่นประกันครั้งแล้วครั้งเล่า ขายสวนขายไร่ขายนามาเป็นบ้าเป็นหลังทั้งบ้านทั้งหมู่บ้าน ศาลก็ค้านครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนกัน ทั้งที่คดีเหมือนกันได้ !!

ผมเองอาวุโสกว่าน้องๆทั้งหลายคอยปลอบคอยโยนเท่าที่ทำได้
“เอาน่าเค้าไม่ทิ้งพวกเราหรอก” “มาด้วยการเมืองไปด้วยการเมือง”
พยายามพูดให้ท่ออาไว้ เช่นคดีของสุรชัย(ปลา) โทษสูงถึงตลอดชีวิตก็พยายามเปรียบให้ฟัง กบฏบวรฯยังไม่ประหารเลย มีหลายชีวิตเขาได้โอกาส จะเอาเขียนมาเล่าสู่กันฟังอีก

พอยามบ่ายกลับมาจากห้องเยี่ยมก็ถามกันแกได้อะไรบ้าง ชั้นได้โน่นเราได้นี่ตามประสา บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง ผมเองแอบนั่งทำตาแดงๆคนเดียว…..ขอบคุณ ขอบคุญจริงๆสำหรับบุญอันยิ่งใหญ่นี้ จิตใจไม่ท้อสู้ต่อไป คุยกับคุณหนุ่มตื้นตันใจจนพูดกันไม่ออก ได้แต่มองหน้ากันไปมา มาม่าหนึ่งลังบางคนต้มกินกับข้าวเปล่าไปได้หลายอาทิตย์

พยายามสื่อสารกับพวกพี่ๆแกนนำทั้งผอ.นิสิต คุณจตุพร อ.สุรชัย คุณสมยศ ทุกวันที่เสวนากันพี่ๆก็บอกตามระบบ เลือกนายกฯ รัฐบาล เจ้ากระทรวง กรมสิทธิฯ

แต่สภาพการเป็นอยู่มันต่างกัน รากหญ้าก็เป็นรากหญ้า

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีเหตุการณ์ดีดีแบบนี้ จากท่านๆพี่ๆทั้งหลายที่ทำให้พวกเรารู้ว่ายังมีคนห่วงเราว่าเราไม่ได้เดินหลงทางคนเดียว ยังมีคนนำพา ประคับประคองเดินไปสู่จุดหมายปลายทางของเราต่อไปด้วยใจมั่น

กราบขอบพระคุณทุกท่านด้วยใจ

พศิน

måndag 8 augusti 2011

การได้รัฐบาลยิ่งลักษณ์มา คุ้มค่ากับคนตาย เจ็บ พิการ ติดคุก หรือไม่? - คำตอบคือ " ไม่ " !! เราเห็นด้วยกับอาจารย์ สมศักดิ์ แต่พรรคเพื่อไทยก็ต้องเล่นบทบาททางรัฐสภาตามกรอบของพวกเผด็จการ ส่วนนอกสภาประชาชนก็ต้องเดินหน้าต่อสู้ต่อไปเพื่อโค่นล้มระบอบเผด็จการราชาธิปไตยลงให้ได้

โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ที่มา เฟซบุ๊ค สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

ผมเห็นใจ คุณยิ่งลักษณ์(ทักษิณ), เห็นใจ นักการเมืองเพื่อไทย นะ

แต่คนที่ผมเห็นใจยิ่งกว่า คือคนทีตาย บาดเจ็บ พิการ ติดคุก

และผมเห็นว่า ก่อนที่ใครจะรีบพูดเรือ่ง "ต้องประคับประคองรัฐบาลให้อยู่รอดก่อน" "ต้องแก้ปัญหาปากท้องเศรษฐกิจก่อน" "ต้อง ..." ฯลฯ

โปรดหยุดคิดสักนิด ถึงชีวิต (ของคนตาย) ความเป็นอยู่ (ของคนเจ็บพิการ) และอิสรภาพ (ของคนติดคุก) ...

ผมยังเห็นว่า สิ่งเหล่านี้ มีค่าและสำคัญยิ่งกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ กับความอยู่รอดปลอดภัยของนักการเมือง-รัฐบาล

....

ถ้าพูดแบบไม่เกรงใจ ความรู้สึกของผมคือ การเมืองระดับการตั้งรัฐบาล และสิ่งที่ดูเหมือนรัฐบาลจะทำ (ที่พูดๆกันเรื่อง "ปากท้อง เศรษฐกิจ" อะไรแบบนั้น) เมื่อเทียบกับ ความสูญเสีย-การเสียสละ (90 กว่าศพ หลายพันพิการ) ต้องบอกว่า "ห่างกัน" เยอะมาก

หรือพูดแบบภาษาการค้าแบบไม่เกรงใจคือ เป็นการ "ลงทุน" ที่ "ไม่คุ้ม" หรือ "ขาดทุน" อย่างย่อยยับมหาศาล

- จะมีการปลดนายทหาร และปฏิรูปกองทัพหรือไม่ (ตอบ: คงไม่)
- จะมีการปฏิรูประบบตุลาการ ศาล หรือไม่ (ตอบ: คงไม่)
- จะมีการทำอะไรกับปัญหาองคมนตรี และในที่สุด คือ ปัญหาสถานะ/อำนาจ ของสถาบันฯ ในลักษณะปฏิรูป ให้เป็นประชาธิปไตย หรือไม่ (ตอบ: ฝันไปก่อน)

สรุป: ร่วมร้อยชีวิต และอีกนับพันที่พิการ เป็น อะไรที่น่าเสียดาย และ "ไม่คุ้ม" อย่างยิ่ง

อะไรๆก็เฉลิมพระเกียรติ ทุกวันนี้พระองค์ยังมีพระเกียรติไม่พออีกหรือ?

จะสร้างศาลาก็ต้องเป็นศาลาเฉลิมพระเกียรติ
จะสร้างอำเภอ ก็ต้องชื่ออำเภอเฉลิมพระเกียรติ

จะจัดงานอะไรซักอย่าง จะให้ขลังก็ต้องเฉลิมพระเกียรติ
อีกหน่อยคงต้องมีงานประกวดสัตว์เลี้ยงเฉลิมพระเกียรติ

บวชต้นไม้เฉลิมพระเกียรติ
ผสมพันธุ์หมาเฉลิมพระเกียรติ

นี่ยังไม่นับรายการวิทยุ ทีวี สื่อ สารคดีต่าง ๆ ที่ยัดเยียดเข้าสู่สายตาประชาชีวันละสามเวลาและก่อนนอนมากว่า 60 ปี คงกลัวว่าคนไทยจะจำชื่อไม่ได้ หรือกลัวจะลืม

อยากทูลพระองค์ว่า อันความจงรักภักดี เทิดทูนบูชา หาได้มาจากการยกยอปอปั้นสรรเสริญ ด้วยการบังคับฝืนใจ ให้รัก ให้ศรัทธา

แต่ความรักความภักดีจะมีให้ก็ต่อเมื่อ ท่านทำตัวของท่าน ว่าจะทำให้ต่ำหรือสูง คนทำดีย่อมมีคนรักมากกว่าคนเกลียด ขนาดคนที่พวกท่านพยายามสร้างภาพ ป้ายสี ยัดเยียดให้ว่าเป็นคนเลวคนชั่วอย่างคนชื่อทักษิณ ชินวัตร ก็ยังมีคนรักกว่าค่อนประเทศ มั่นใจได้เลยว่ามีคนรักมากกว่าคนเกลียดแน่นอน

เงิน อำนาจ ปากกระบอกปืน อาจจะดลบันดาลหรือจะซื้ออะไรก็ได้บนโลกใบนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่เงินและปืนไม่สามารถซื้อหรือบังคับขู่เข็ญมาได้ ก็คือความรัก ความศรัทธา และความซื่อสัตย์ของคน ถ้าอยากได้ท่านต้องแลกมาด้วยใจและการกระทำที่ดีงามของท่านเท่านั้น

จะมีความจงรักภักดีเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้านามของท่าน คือเครื่องมือที่ใช้เข่นฆ่าล่าล้าง จับกุมคุมขังพสกนิกรของท่านอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแบบนี้ ล่าสุดก็กรณีบัณฑิตที่จบการศึกษามาได้ไม่กี่วัน

หากนามของท่าน ยังเป็นเหมือนดั่งยาพิษสำหรับผู้คนในใต้หล้า ต่อให้เฉลิมพระเกียรติแม้แต่ในความฝันของคนไทยทุกคนได้ ก็คงไร้ซึ่งประโยชน์

งานเดียวของท่านที่พสกนิกรเหล่านั้น จะพร้อมใจกันลุกขึ้นมาแซ่ซ้องยินดี ก็คือวันที่ท่านล้มหายตายจากไปอย่างไม่หวนคืน

รับรองว่าวันเผาศพท่าน คนจะแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน เพื่อแสดงความยินดีที่ท่านตาย ๆ ไปได้เสียที

ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องกฏ ต้องเกณฑ์กันมา เหมือนงานเฉลิมพระชนม์พรรษาแต่อย่างใด