tisdag 31 juli 2018

เสี่ยโอมา 2 วันเอาไป 3 พันล้าน แล้วเราจะอยู่กันอย่างไรพี่น้อง ฟังเรื่องที่น่าสะอิดสะเอียนที่สุดของเสี่ยโอใน :"ออกตัวแรงแต่แทงผิดข้าง" รายการสหพันธรัฐไท กับธิดาแอลเอ..




รายการสหพันธรัฐไท กับธิดาแอลเอ
ตอน : ออกตัวแรงแต่แทงผิดข้าง
โดย : ส.ข้าวเหนียว–ส.ยังบลัด-ส.ร้อย-ลุงสนามหลวง
https://youtu.be/EhGLIFqXjK0
วันอังคาร : 31/07/2018 เวลา 21.00 น. ประเทศไทย...
ดูเพิ่มเติม

ดราม่า ! สร้างสถานการณ์รายวัน ..

“บิ๊กตู่” แจงไทยอ้างสนธิสัญญาสยามปี 1911 ขอตัว “ยิ่งลักษณ์” เป็นไปตามขั้นตอน ระบุ ไปจับกุมใครในตปท.ทำไม่ได้!

เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2561 เวลา 14.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เเละหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใ.....
รัฐบาลไทยร้องต่อรัฐบาลอังกฤษอย่างเป็นทางการแล้ว ขอให้ส่งตัว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หลบหนีคดีกลับไทย
https://prachatai.com/journal/2018/07/78052
รัฐบาลไทยร้องต่อรัฐบาลอังกฤษอย่างเป็นทางการแล้ว ขอให้ส่งตัว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หลบหนีคดีกล....

(หมายเหตุ-"อย่าหลงประเด็น" ก้าวให้ทันเกม  ทั้งหมดพวกเดียวกัน(?) " อำมาตย์ศักดินา นายทุน  ขุนศึก นักการเมือง" ที่พยายามสร้างสถานการณ์(รายวัน)เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นความสนใจของประชาชน...
เกี่ยวกับวิกฤตปัญหาที่กำลังรุมเร้าสังคมไทยอย่างหนักทุกด้าน... ทำให้สังคมอ่อนแอ  วิปริตเสื่อมโทรมตกต่ำสุดๆ)

วชิราลงกรณ์ได้ภาษีราษฎรไปใช้ตามใจชอบ 1 หมื่นล้านบาท

ข่าวในพระราชสำนัก: งบประมาณปีหน้า (2562) วชิราลงกรณ์ได้ภาษีราษฎรไปใช้ตามใจชอบราว 8 พันล้านบาท ถ้ารวมงบสร้างซ่อมวัง อีก 2 พันล้าน ก็เป็นราว 1 หมื่นล้านบาท

ข่าวในพระราชสำนัก: งบประมาณปีหน้า (2562) วชิราลงกรณ์ได้ภาษีราษฎรไปใช้ตามใจชอบราว 8 พันล้านบาท ถ้ารวมงบสร้างซ่อมวัง อีก 2 พันล้าน ก็เป็นราว 1 หมื่นล้านบาท
ร่างงบประมาณปีหน้า ที่ผ่านการ "รับหลักการ" จากสภาตรายาง (แบบหลับๆตื่นๆ) เมื่อไม่กี่วันก่อน ได้จัดสรรเงินราว 8 พันล้าน - 1 หมื่นล้านบาท ให้วชิราลงกรณ์ไปควบคุมใช้จ่ายตามใจชอบ
8 พันล้าน คือ คิดจากงบส่วนที่ในเอกสารงบประมาณเรียกว่า "ส่วนราชการในพระองค์" จำนวน 6,800,000,000 (หกพันแปดร้อยล้านบาท) + กับส่วนที่ขอในนามสำนักปลัด กระทรวงกลาโหม เป็น "งบอุดหนุน" เพื่อ "สนับสนุนการถวายความปลอดภัย สถาบันพระมหากษัตริย์" อีกราว 1.2 พันล้านบาท (1,278,970,800) รวมกันเป็น = ราว 8 พันล้านบาท (8,078,970,800)
งบที่ขอในนามกลาโหมนี้ บางส่วนคงจะใช้สำหรับ "หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์" (ปีกลายจะระบุไว้เลย ปีนี้ไม่ได้ระบุไว้) ซึ่งอันที่จริง ตามกฎหมายส่วนราชการในพระองค์ 2560 จัดอยู่ใน "ราชการในพระองค์" ด้วย ยิ่งกว่านั้น ตาม พรบ.ถวายความปลอดภัยที่ออกมาปีกลาย งานด้านถวายความปลอดภัยทั้งหมด ไม่ว่าหน่วยงานไหนเกี่ยวข้อง จะต้องขึ้นตรงต่อการวางแผนและสั่งการจากหน่วยถวายความปลอดภัยของวชิราลงกรณ์ ภายใต้การบัญชาของราชเลขานุการในพระองค์ ดังนั้น "งบอุดหนุน" ถวายความปลอดภัยที่ทำในนามกลาโหมนี้ คือนำไปดำเนินการโดยวชิราลงกรณ์เอง
ส่วนที่คิดเป็น 1 หมื่นล้าน คือ รวมงบประมาณที่ขอในนามกรมโยธาธิการ กระทรวงมหาดไทย ที่เรียกว่า "โครงการสนับสนุนกิจกรรมพิเศษหลวง" เพื่อ "สนับสนุนการออกแบบ ก่อสร้าง และบำรุงรักษากิจกรรมพิเศษหลวงในเขตพระราชฐาน" พูดง่ายๆคือ งบฯสร้าง-ซ่อมแซม-บำรุงรักษาวังต่างๆ (ผมมีตัวอย่างรายละเอียดการใช้งบฯส่วนนี้ ซ่อม-สร้างวังวชิราลงกรณ์ในอดีตอยู่ เช่นในการเบิกงบซ่อมวังครั้งหนึ่งในปี 2557 มีงบสำหรับ "ห้อง FUFU HOUSE" ["บ้านคุณฟูฟู"] เป็นเงิน 5,500 บาทด้วย เป็นต้น) งบฯส่วนนี้ สำหรับปีหน้า ราว 2 พันล้านบาท (2,276,829,000) เมื่อรวมกับ 8 พันล้านข้างต้น ก็จะเป็นราว 1 หมื่นล้านบาท (10,355,799,800)
(ในอดีต อาคารวังต่างๆอยู่ในการดูแลของสำนักพระราชวัง ซึ่งโดยทางการขึ้นต่อนายกรัฐมนตรี ปัจจุบัน สำนักพระราชวังจัดเป็นส่วนหนึ่งของ "ราชการในพระองค์" ที่กษัตริย์มีอำนาจควบคุมสิทธิ์ขาดโดยสิ้นเชิง)
...........
หมายเหตุ:
(1) เกี่ยวกับงบราชการในพระองค์ปี 61 (ปีนี้ อนุมัติปีกลาย) ดูกระทู้ปีกลายของผม อันนี้ https://t.co/gL9bE9nAMj
และอันนี้ https://t.co/NJDIwWw9VP (2) เทียบกับงบราชการในพระองค์ปี 61 (รวมงบฯด้าน "หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัย") ราว 7 พันล้านบาท ในปี 62 ที่จะถึง เป็น 8 พันล้านบาท คือเพิ่มขึ้นราว 1 พันล้านบาท
(3) งบฯปี 61 ถ้ารวมงบฯสร้าง-ซ่อมวัง (ในกระทู้ปีกลาย ผมไม่ได้รวมไว้) ที่อยู่ในกรมโยธาฯด้วยราวเกือบ 2 พันล้านบาท (1,999,670,000) ก็จะเป็นงบฯปี 61 ราว 9 พันล้านบาท (เทียบปี 62 ตัวเลขข้างต้น 10,355,799,800)
(4) ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ (ราชการในพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัย + งบฯสร้าง-ซ่อมวัง) เป็นงบที่กษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาด ควบคุมดูแล ใช้จ่าย ตามใจชอบโดยตรง ไม่ได้รวมถึงงบประมาณของหน่วยงานต่างๆ ที่ตั้งไว้เกี่่ยวกับสถาบันกษัตริย์ เช่น งบปี 62 ที่เพิ่งผ่านการรับรองไป ในกระทรวงกลาโหม มีงบที่เรียกว่า "โครงการเทิดทูนป้องกัน รวมทั้งตอบโต้และทำความเข้าใจมิให้มีการล่วงละเมิดสถาบันกษัตริย์" จำนวน 23,505,000 บาท (ยี่สิบสามล้านห้าแสน) ด้วย เป็นต้น
#กษัตริย์มีไว้ทำไม
1,7 tn gilla-

เสี่อโอกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของไทย

พระบรมทรราชอภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของไทย

อภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของไทย.... รวยแค่ไหน !

Image may contain: 2 people, people standing and text
Somsak Jeamteerasakul
คำนวนตัวเลขให้ดูกันเล่นๆ เพื่อให้เห็นภาพว่า อภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของไทย รวยแค่ไหน เฉพาะรายได้จาก "เงินปันผล" ที่เขาจะได้ในชื่อตัวเอง จากหุ้นเครือซีเมนต์ไทย หักภาษีแล้ว ปีหนึ่งจะตกราว 6 พันกว่าล้านบาท ดูรายละเอียด ....

คำนวนตัวเลขให้ดูกันเล่นๆ เพื่อให้เห็นภาพว่า อภิมหาเศรษฐอันดับหนึ่งของไทย รวยแค่ไหน
เฉพาะรายได้จาก "เงินปันผล" ที่เขาจะได้ในชื่อตัวเอง จากหุ้นเครือซีเมนต์ไทย (ชื่อย่อ SCG หรือ ชื่อรหัส SCC ในตลาดหลักทรัพย์) หักภาษีแล้ว ปีหนึ่งจะตกราว 6 พันกว่าล้านบาท
วิธีคำนวน
ทั้งปี 2017 และ 2016 SCG จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น 2 รอบๆละครึ่งปี อัตราทั้งสองปีที่ผ่านมาเท่ากัน คือ 8.50 บาท / หุ้น สำหรับครึ่งปีแรก และ 10.50 บาท / หุ้น สำหรับครึ่งปีหลัง
ดังนั้น ถ้าเราลองใช้ตัวเลขนี้คำนวน
ต่อไปนี้ วชิราลงกรณ์มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SCG รวม 30.76% คิดเป็นจำนวนหุ้นทั้งสิ้น 369,936,900 (คือราวๆ 370 ล้านหุ้น)
เงินปันผลรอบครึ่งปีแรก ก็จะได้ 369,936,900 x 8.50 = 3,144,463,650 บาท (สามพันหนึ่งร้อยสี่สิบสี่ล้านบาทเศษ)
หักภาษี ณ ที่จ่าย (มีวิธีหักอีกแบบ คือเอาไปรวมรายได้ทั้งหมดของคนนั้น แล้วหักทีเดียว ซึ่งอัตราจะสูงกว่า ผมคิดว่า เขาคงหัก ณ ที่จ่ายมากกว่า) 10% คือหักไป 314,446,365 เหลือเป็นเงินปันผลสุทธิที่จะได้สำหรับครึ่งปีแรก 2,830,017,285 บาท (สองพันแปดร้อยล้านบาทเศษ)
เงินปันผลครึ่งปีหลัง 369,936,900 x 10.50 = 3,884,337,450 บาท (สามพันแปดร้อยล้านบาทเศษ)
หักภาษี 10% (388,433,745) เหลือเป็นเงินปันผลสุทธิ 3,495,903,705 บาท (ราวๆ สามพันห้าร้อยล้านบาท)
รวมรายได้เงินปันผลสุทธิทั้งปี 2,830,017,285 + 3,495,903,705
= 6,325,920,990 บาท หรือเกือบๆ หกพันสามร้อยยี่สิบหกล้านบาท
....................
ซึ่งเงินจำนวนนี้ เขาจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ได้ "ตามใจชอบ" ทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างเช่น สมมุติ เขามี "พระสหายสนิท" ท่านหนึ่ง (สมมุติชื่อคุณ "ก") ที่เขารู้สึกว่าดีต่อเขามาก เขาจะแบ่งรายได้จากเงินปันผลนี้ให้สักครึ่งหนึ่ง หรือราว สามพันกว่าล้านบาท ไปเล่นๆก็ได้ (เขายังมีรายได้ทางอื่นอีกเยอะแยะ และนี่แค่ปีเดียว)
นี่เฉพาะเงินปันผล SCG เท่านั้น ใครขยัน ลองคำนวนตัวเลขแบบเดียวกันของหุ้นไทยพาณิชย์ SCB ดูเอง
....................
และอย่าลืมว่า อภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งท่านนี้ (ต่างจากเศรษฐี "กระจอกๆ" กว่า เช่นพวก เจ้าสัวเจียรวนนท์ ฯลฯ ทั้งหลาย) ยังได้เงินภาษีประชาชนที่รัฐจัดให้ (รวมถึงเงินสำหรับสร้างซ่อมแซมวัง ที่อยู่ในชื่อเขาเองแล้วตอนนี้) ปีละกว่าหมื่นล้านบาท ไปใช้จ่ายตามใจชอบอีกด้วย
ยังไม่นับ "เงินบริจาค" ที่บรรดาเจ้าสัว "กระจอกๆ" ทั้งหลายที่ว่า เอามาให้เขาอีกปีละเป็นพันล้านบาท
.....................
#กษัตริย์มีไว้ทำไม

เป็นทางการ: เผื่อใครสนใจ และยังไม่เห็น เอามาจากเว็บไซต์ Crown Property ประกาศนี้ เฉพาะหุ้นที่(เคย)อยู่ในนาม สำนักงานทรัพย์สินฯ นะครับ ดังที่ทราบกันว่า มีหุ้นในพระปรมาภิไธยอยู่จำนวนหนึ่งอยู่แล้ว ดังนั้นจำนวนหุ้นในพระปรมาภิไธยทั้งหมด จะต้องรวมกับที่มีอยู่ในพระปรมาภิไธยอยู่แล้วด้วย

การเลือกตั้งไม่ใช่ทางออกของประเทศนอกจากการล้มเจ้าคือหนทางเกียวเท่านัั้น !!!

การล้มเจ้าคือการทำบุญอย่างหนึ่งให้แก่ประเทศชาติ

การล้มเจ้าคือการทำบุญอย่างหนึ่งให้แก่ประเทศชาติ

โดย แสงตะวัน



การล้มเจ้าหรือการโค่นล้มระบอบเผด็จการกษัตริย์คือการทำบุญทำกุศลให้แก่สังคมและประเทศชาติเป็นการปลดปล่อยประชาชนออกจากระบอบป่าเถื่อนเหี้ยมโหดผิดมนุษย์ทำให้ประชาชนทั้งหลายที่ได้รับการกดขี่หลุดพ้นออกจากโซ่ตรวนในระบอบเผด็จการของษัตริย์ประหลาดวิกลจริตบ้ากามในเวลานี้

ระบอบเผด็จการกษัตริย์ทำให้ประเทศชาติหล้าหลังไม่ได้รับการพัฒนา  เศรษฐกิจพังทลาย ประชาชนยากจนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้  ศักดิ์ศรีของมนุษย์ถูกเหยียบย่ำมีค่าเพียงฝุ่นใต้ตีนของกษัตริย์ ไม่มีสิทธิ เสรีภาพ ความเป็นธรรมในสังคมไม่มี เพราะถูกครอบงำโดยระบอบเผด็จการของกษัตริย์
วันที่ 22 พฤษภาคม 2557  ขณะที่ภูมิพลนอนป่วยไม่รู้สึกตัวอยู่นั้น วชิราลงกรณ์ยังเป็นมกุฏราชกุมารอยู่ได้ร่วมมือกับพลเอกเปรมประธานองคมนตรี สั่งให้พลเอกประยุทธ์กับพวกยึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนแล้วเรียกตัวเองว่า " คณะรักษาความสงบแห่งชาติ " ( คสช. ) แล้วตั้งรัฐบาลเผด็จการทหารขึ้นเรียกว่ารัฐบาล คสช.
วันที่ 13 คุลาคม 2559 ได้มีการประกาศการตายของภูมิพลขึ้นอย่างเป็นทางการรัฐบาลประยุทธ์ก็ได้ประกาศอันเชิญให้  วชิราลงกรณ์ได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์สืบทอดอำนาจจากพ่อคือกษัตริย์ภูมิพลรัชกาลที่ 9 เจ้าของระบอบกษัตริย์เผด็จการมาจนถึงวันตายหลังจากป่วยมาเป็นเวลายาวนาน แม้แต่วันเวลาการตายที่แน่นอนก็ไม่เปิดเผยให้ชาวไทยและชาวโลกทราบ
วชิราลงกรณ์ จากเด็กที่เติบโตมาอย่างสปอยจากพ่อแม่ที่มีอำนาจอย่างล้นฟ้า ทำให้วชิราลงกรณ์กลายเป็นเพลย์บอย เป็นคนไม่เอาถ่านเรียนหนังสือไม่จบมียศแค่ สิบเอกจากโรงเรียนนายร้อย ดันทรูนประเทศออสเตเรีย มีนิสัยเกเร เป็นนักเลงหัวไม้ชอบเล่นการพนัน ชอบเสพสุขมีเมียและนางบำเรอมากมายมีฮาเรมอยู่ที่
มิวนิคประเทศเยอรมันนี มีวังที่ทำเป็นคุกส่วนตัว เป็นคนทีไร้ความรับผิดชอบไร้จิตสำนึก ต่อสังคมประเทศชาติ และเพื่อนมนุษย์
วชิราลงกรณ์มาจากครอบครัวที่พ่อเป็นมหาโจรปล้นประเทศ และแม่ที่มีจิตใจเหี้ยมโหดเคยสั่งฆ่าคนไทยด้วยกันมาแล้วอย่างมากมายในประวัติศาสตร์จนมีนักกวีที่มีชื่อคนหนึ่งเขียนว่า " พ่อเจ้าปล้นแม่เจ้าฆ่ายังกล้าทำ " หรือที่ประชาชนเรียก " ไอ้เหี้ยสั่งฆ่าอีห่าสั้งยิง "
วชิราลงกรณ์ไม่ได้รับการอบรมมาเพื่อให้เป็นกษัตริย์เพื่อปกครองประเทศตามระบอบประชาธืปไตยเขาเกิดมาจากระบอบเผด็จการของภูมิพลและสิริกิตย์ที่สืบทอดเป็นมรดกมาจาก " ระบอบเศรษฐกิจของสังคมศักดินา "
หลังจากวชิราลงกรณ์ได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ไม่นานก็ได้รวบอำนาจของชาติทุกอย่างไว้ในมือ " อำนาจและทรัพย์สินทุกอย่างเป็นของกูแต่ผู้เดียว " เอากลไกรัฐและทรัพย์สินส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์มาอยู่ใต้การควบคุมของตัวเองโดยสิ้นเชิงทั้ง " ราชการในพระองค์ " และ " ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์  ทุกอย่างเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์หลุดลอยออกจากฝ่ายบริหารนิติบัญญัติโดยสิ้นเชิง  " ยิ่งไปกว่านั้นกษัตริย์ใหม่ยังมีอภิสิทธิ์อันมหาศาลเหนือสังคมไทยทุกอย่าง ทั้งทางกฏหมาย และการเมืองทางเศรษฐกิจและทางวัฒนธรรมสังคม
สรุปแล้วกษัตริย์ ใหม่ มี อำนาจครอบคุมสังคมไทยทุกอย่างและใช้อำนาจนั้นอย่างไม่มีขอบเขต ไม่รับผิดชอบไม่เกรงอกเกรงใจประชาชนชาวไทยทั้งประเทศที่เลี้ยงดูราชวงค์นี้มาจนทุกวันนี้ ขูดรีดกดขี่ข่มเห็ง รังแกประชาชน เอารัดเอาเปรียบสังคม เหี้ยมโหด  รุณแรงอย่างไร้มนุษยธรรมมากยิ่งขึ้นไปกว่ายุคของภูมิพล
ม. 112  และ ม. 44ใช้ เป็นกฏหมายครอบจักรวาฬที่รัฐบาลของกษัตริย์จะใช้อย่างไรกับใครก็ได้ " ตามพระราชอัชญาศัย " 
ใช้อำนาจมืดกำจัดได้กับทุกคนที่ไม่พอใจไม่เว้นแม้แต่ลูกเมียและคนใกล้ชิดที่รับใช้และควบคุมอำนาจรัฐโดยผ่านรัฐบาล ค.ส.ช.ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ ดังนั้นประยุทธ์จึงเป็นเพียงหุ่นหรือสุนัขรับใช้ของกษัตริย์ที่ทำตามคำสั่งของกษัตริย์เหมือนเด็กว่านอนสอนง่ายทุกอย่าง ซึ่งกษัตริย์เองไม่ต้องอยู่ในประเทศนั่งสั่งงานจากเมืองมิวนิคประเทศเยอรมัน
ประยุทธ์ก็จะไปนั่งหมอบกราบต่อหน้ารูปของกษัตริย์เพื่อรับคำสั่งตามความประสงค์ของกษัตริย์  รัฐบาล คสช.จึงเป็นเพียงนอร์มินีของกษัตริย์ใหม่มีหน้าที่อย่างเดียวคือปล้นประเทศชาติปล้นประชาชนในรูปแบบต่างๆกันเพื่อหาเงินให้แก่ตัวเองและเพื่อไปถวายกษัตริย์มหาเพลย์บอยที่กำลังมัวเมาหลงระเริงในอำนาจเสพสุขและมีชีวิตฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกับบรรดานางสนมนางบำเรอทั้งหลายแหล่ที่เขาตั้งยศฐาบรรดาศักดิ์ให้เป็นนายร้อย นายพัน นายพลอยู่ในเวลานี้ พวก " ข้าราชการในพระองค์ " ที่กินเงินเดีอนจากภาษีประชาชนปีหนึ่งเป็นหมื่นกว่าล้านบาทโดยที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่ประเทศชาติและประชาชนแต่อย่างใดเลย
ส่วนประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศไม่มีอำนาจตรวจสอบหรือออกความเห็นคัดค้านใดๆทั้งสิ้น ทั้งที่กษัตริย์เองและรัฐบาล คสช.ก็กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชนปีละหลายหมื่นล้านบาท เราจึงเรียกระบอบการปกครองแบบนี้ว่าเป็น " การปกครองระบอบกษัตริย์เผด็จการ " ( King Dictatorship System ) ไม่ใช่ "การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุข " อย่างพวกนักวิชาการรับจ้างทั้งหลายเรียกเพื่อต้องการเอาใจกษัตริย์

ปัจจัยการผลิตของสังคม ( Means of Production )
การปกครองระบอบกษัตริย์เผด็จการ กษัตริย์เป็นผู้ถือครองปัจจัยการผลิตส่วนมากของสังคมหรือเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต (  Means of Production ) ซึ่งหมายถึงสื่งที่มนุษย์ใช้ผลิตวัตถุที่มีคุณค่าแก่มนุษย์ในการดำรงชีพและในการพัฒนาสังคม ปัจจัยการผลิตได้แก่ ที่ดิน แหล่งแร่ แหล่งน้ำ เครื่องมือการผลิต ( Instruments of Production ) การธนาคารและเครดิต การค้าและการคมนาคม โรงงานวิสาหกิจ โรงงานปูนชิเมนต์ กิจการโรงแรม ฯลฯ ซึ่งในตำราเศรษฐกิจวิทยาสมัยอาดัมสมิธเรียกว่า  " Constant Capital " ในตำราเศรษฐกิจสมัยใหม่เรียกว่า " ทุนของสังคม " ( Social Capital )
จากการประเมินของสำนักงานประเมินทรัพย์สิน ฟอบส์ ( Fobes ) ประเมินเมื่อปี 2559 ว่าทรัพย์สินส่วนตัวของกษัตริย์ภูมิพลมีมูลค่าถึง 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยมากที่สุดในโลก
เมื่อกษัตริย์เป็นเจ้าของทุนส่วนมากของสังคม และเป็นเจ้าของระบอบเศรษฐกิจผูกขาดที่เป็นพื้นฐานของสังคม ภูมิพล จึงกลายมาเป็นนายทุนสามานย์ผูกขาดที่ใหญ่ที่สุดในสังคม ระบอบเศรษฐกิจแบบนี้จึงเรียกว่า " ระบอบเศรษฐกิจทุนนิยมผูกขาด " ( Capitalist Monopoly System) เพื่อหลอกลวงตาชาวไทยและชาวโลกพวกนักวิชาการกากเดนศักดินาได้ให้นิยามระบอบเศรษฐกิจแบบนี้ว่า"เศรษฐกิจพอเพียง "
ทุนของสังคมส่วนใหญ่ไปรวมศูนย์อยู่ภายใต้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้บริหารและจัดการ เป็นองค์กรอิสระไม่ขึ้นกับรัฐ รัฐไม่สามารถตรวจสอบได้และได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี
เมื่อลูกชายภูมิพล ร. 10 ขึ้นครองราชย์ก็ได้โอนสำนักงานนี้มาเป็นของส่วนตัวโดยสิ้นเชิง  เป็นการปล้นทรัพย์สมบัติอันมหาศาลของชาติของแผ่นดินอย่างเลวทรามและเห็นแก่ตัวที่สุดของกษัตริย์ใหม่ ( ดูประกอบจากบทความ อ.สมศักดิ์  เจียมธีรสกุลอำนาจและสมบัติอยู่ในมือกูคนเดียว ชัดๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมอีกต่อไป : มาแล้วครับ พรบ.ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ฉบับใหม่ )

โครงสร้างส่วนบนของสังคม
โครงสร้างส่วนบนของสังคมได้แก่ รัฐ ศาล กฏหมาย การเมือง ศาสนา วัฒนธรรมและอุดมการณ์ รวมไปถึงสื่อสารมวลชน  เจ้าของปัจจัยการผลิตจะสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องรักษา "ระบอบเศรษฐกิจศักดินา " ที่เป็นพี้นฐานชั้นล่างของสังคม เหมือนกับบ้านจะต้องมีหลังคาซึ่งสอดคล้องกับหลักปรัชญาที่ว่า " รูปแบบต้องให้เหมาะสมกับเนิ้อหา "  ดังนั้นในระบอบกษัตริย์เผด็จการองค์คาพยพที่เป็นโครงสร้างส่วนบนของสังคมจึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกปักรักษาระบอบเศรษฐกิจนี้เอาไว้  กษัตริย์มีอำนาจเหนือสังคมทุกอย่าง เหนือ รัฐ เหนือศาล เหนือกฏหมายเป็นจอมทัพของสามเหล่าทัพมีอำนาจแต่งตั้งทหาร ตำรวจข้าราชการได้ทุกระดับ เขาจึงสั่งให้ทหารยึดอำนาจรัฐได้ทุกครั้งที่เขาต้องการเพื่อรักษาผลประโยชน์และระบอบเศรษฐกิจของเขา ทหารจึงเป็นเพียงเครื่องมือของกษัตริย์ที่ใช้ให้กุมอำนาจรัฐเพื่อกดขี่ขูดรีดเอากับประชาชน เหมือนพลเอก ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี หัวหน้ารัฐบาล คสช.ทำอยู่ในเวลานี้ที่ได้รับมอบหมาย ม. 44 จากกษัตริย์ทำหน้าที่แทนกษัตริย์ได้ทุกอย่างกับประชาชนไทยทุกคนในประเทศนี้แม้แต่สั่งยึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร นี่คือธาตุแท้ของระบอบกษัตริย์เผด็จการ

พลังการผลิตของสังคม ( Productive Forces ) ซึ่งประกอบไปด้วย " เครื่องมือการผลิต " ( Instruments of Production ) คือพื้นฐานชั้นล่างทางเศรษฐกิจ
ได้แก่ ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน กรรมกรผู้ใช้แรงงาน พ่อค้าแม่ค้า ที่เป็นผู้ผลิตเลี้ยงสังคม และเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ ประชาชนที่เป็นผู้ผลิตเลี้ยงสังคมเหล่านี้นอกจากจะไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากรัฐในเรื่องค่าแรง และสวัสดิการต่างๆแล้ว รัฐยังกดขี่ ขูดรีด ข่มเหงรังแก รีดไถ คตโกง เอารัดเอาเปรียบประชาชนฝ่ายที่เป็นพลังการผลิตทุกอย่างอย่างไร้ความเป็นธรรม ไม่มีสิทธิเสรีภาพ ไม่มีความเสมอภาคและประชาธิปไตย รัฐใช้อำนาจบังคับไม่ให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้แม้แต่ในวงการสงฆ์ โดยใช้ ม. 44 และ ม. 112  เป็นเครื่องมือในการปราบปรามประชาชน ประชาชนได้รับการดูถูกเหยียดหยามว่าเป็นไพร่ เป็นฝุ่นใต้ขี้ตีนของกษัตริย์
ชนส่วนใหญ่ที่เป็นพลังการผลิตของสังคม ( Productive Forces ) นอกจากจะผลิตเลี้ยงตัวเองและครอบครัวแล้วยังผลิตเลี้ยงกษัตริย์และครอบครัวพร้อมนางบำเรอทั้งหลายแหล่อีกด้วย ต้องส่งส่วยเป็นเงินปีละหลายหมื่นล้านบาท โดยที่กษัตริย์เองและครอบครัวไม่ต้องทำการผลิตอะไรนอกจากนอนอาศัยกินแรงงานของประชาชนที่เป็นฝ่ายผลิตเลี้ยงดูแบบเสือนอนกิน เราจึงเรียกพวกนี้ว่า " พวกกาฝากสังคม "
กาฝากสังคมเหล่านี้มีชีวิตเสพสุข อยู่อย่างฟุ้งเฟ้อทำตัว เป็นอภิสิทธ์ชน มีอำนาจเหนือสังคมเหนือกฏหมายทุกอย่าง มีวิธีเสพสุขแบบพิสดารเหมือนทากหรือปลิงที่สืบพันธ์กันเองและมีชีวิตอยู่ด้วยการดูดกินเลือดของคนไทยทั้งประเทศ
วชิราลงกรณ์เองมีฮาเรมส่วนตัวอยู่ที่เมืองมิวนิคประเทศเยอรมันนี มีนางบำเรอมากมายที่เขาสามารถแต่งตั้งให้เป็นยศฐาบรรดาศักดิ์อะไรก็ได้ มีวังหลายแห่ง บางแห่งก็ทำเป็นคุกส่วนตัว  มีเครื่องบินส่วนตัวใหม่เอี่ยม 2 - 3 ลำ สำหรับไว้ขี่เล่นในต่างประเทศ ทำตัวเป็นกุ้ยเสเพลอย่างไรก็ได้ซึ่งไม่มีกษัตริย์ในโลกที่ไหนเขาทำกัน
ตามหลักทฤษฏีที่ว่าในสังคมใดที่ความสัมพันธ์การผลิต ( Production Relation ) คือผู้ถือครองปัจจัยการผลิตกับกำลังการผลิตสอดคล้องต้องกันสังคมนั้นก็จะพัฒนาก้าวหน้า แต่ถ้าสังคมใดที่เจ้าของปัจจัยการผลิตกับกำลังการผลิตไม่สอดคล้องกันสังคมนั้นก็จะเกิดการขัดแย้งกันขึ้นเมี่อความขัดแย้งนี้ถึงขั้นรุนแรงที่สุดก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมใหม่ที่ดีกว่าซึ่งเป็นไปตามกฏเกณฑ์วิวัฒนาการของมนุษย์ชาตื ตามที่ Dr. Karl Marx ได้ค้นพบในวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงของสังคมมนุษย์ จากระบอบสังคมปฐมการ สู่สังคมทาส สังคมศักดินา สังคมทุนนิยม และสังคมนิยม
จากสภาพการณ์ของการเปลี่ยนแปลงสังคมแบบนี้เมื่อความสัมพันธ์การผลิต   คือผู้ถือครองปัจจัยการผลิตของสังคมไทย  ได้แก่ ฝ่ายกษัตริย์   กับฝ่ายที่เป็นพลังการผลิตของสังคม ที่กำลังเกิดการขัดแย้งกันอยู่ในเวลานี้  เนี่องจากฝ่ายเจ้าของปัจจัยการผลิตขัดขวางพลังการผลิตไม่ให้เจริญพัฒนาก้าวหน้า ทำให้เศรษฐกิจหล้าหลัง ประชาชนที่เป็นพลังการผลิตถูกกดขี่ขูดรีดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า เมื่อมนุษย์ในสังคมได้รับการกดขี่ได้รับความเดือดร้อนก็จะเป็นไปตามทฤษฏีที่ว่า
 " ความเป็นอยู่ปากท้องของมนุษย์เป็นเครื่องกำหนดจิตสำนึกของมนุษย์ "  คือเมื่อชนชั้นที่เป็นพลังการผลิตมีจิตสำนึกที่รู้ตัวว่าถูกกดขี่เบียดเบียน ทำให้เกิดหูตาสว่างตื่นตัว ก็จะเป็นพลังหลักขับเคลื่อนรวมตัวกันลุกขึ้นต่อสู้โค่นล้มระบอบกษัตริย์เผด็จการที่ป่าเถื่อนนั้นลงได้ 
อำนาจทุกอย่างก็จะเป็นของประชาชนและประชาชนจะเป็นผู้ใช้อำนาจนั้นทั้งทาง นิติบัญญัติ บริหาร และ ตุลาการ ประชาชนก็จะมีสิทธิ เสรีภาพ มีประชาธิปไตย เป็นเจ้าของประเทศ ไม่ต้องเสียค่าส่งส่วยให้แก่กษัตริย์บ้ากามและครอบครัวปีละหลายหมื่นล้านบาท ประชาชนทั้งประเทศก็จะได้รับการปลดปล่อยตนเองออกจากสังคมทาสภายใต้ ม. 112 และ ม. 44 ของระบอบเผด็จการกษัตริย์ที่จองจำเรามาเป็นเวลา 80 กว่าปีแล้ว  ประชาชนก็จะมีความสุขไปชั่วลูกชั่วหลานนี่คือการทำบุญอันยิ่งใหญ่ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนไทยทั้งประเทศร่วมกัน

ปรัชญาในการต่อสู้กับระบอบกษัตริย์เผด็จการ

ปรัชญาในการต่อสู้กับระบอบกษัตริย์เผด็จการ


โดย ไชยอุดม.
12 ก.ค. 18

การต่อสู้กับระบอบกษัตริย์เผด็จการอันเหี้ยมโหดและป่าเถื่อนภายใต้กษัตริย์ทรราชย์คนปัจจุบันที่ใช้อำนาจทุกอย่างครอบงำสังคมไทยในเวลานี้ 
ก่อนอึ่นเราต้องเริ่มจากแนวความคิดหรือทำความเข้าใจในด้านปรัชญาเสียก่อนว่าความหมายของปรัชญานั้นคืออะไร...

ปรัชญาความหมายง่ายๆคือ โลกทัศน์ โลกทัศน์คือทัศนะของการมองโลก ว่าโลกนี้คืออะไร โลกนี้ก็คือวัตถุที่ดำรงคงอยู่ตามธรรมชาติ มีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา  การให้คำจำกัด
ความสั้นๆของโลกเช่นนี้เป็นการมองโลกแบบวัตถุนิยมที่เป็นจริงคือโลกนี้เกิดขึ้นมาเองและดำรงคงอยู่ตามธรรมชาติไม่มีใครสร้างขึ้น  โลกนี้เป็นสสารหรือวัตถุที่จับต้องสัมผัสได้ 

แต่ยังมีแนวความคิดอีกแนวหนึ่งที่เชื่อว่าโลกนี้พระเจ้าเป็นผู้สร้างขึ้นมา ซึ่งแนวคิดแบบนี้มีความเชื่อว่า มีพระเจ้าอยู่บนสรวงสวรรค์ดลบันดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของพระเจ้าแม้แต่มนุษย์ที่เกิดมาตลอดจนสัตว์สาวาสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้ากำหนดทั้งนั้น แนวความคิดแบบนี้คือแนวความคิดแบบจิตนิยม เป็นแนวคิดแบบเพ้อฝันไม่มีกฏเกณท์ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ผิดหลักของธรรมชาติ

ปรัชญาหรือทัศนะในการมองโลกก็มีสองแนวคิดนี้เองที่กำลังต่อสู้กันอยู่ในโลกของสังคมนุษย์ชาติในเวลานี้ คือแนวความคิดแบบวัตถุนิยมและแนวความคิดแบบจิตนิยม

สมัยก่อนมนุษย์เรายังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฏเกณฑ์ต่างๆของธรรมชาติ ไม่สามารถอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจักรภพนี้ได้   จึงเชื่อเอาอย่างงมงายว่าธรรมชาติและสรรพสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมีสิ่งบันดาลมาจากเบื้องบนเพื่อให้เป็นไปเช่นนั้น  ซึ่งอำนาจจากเบื้องบนนั้นเชื่อกันว่าเป็นอำนาจของพระเจ้า  หรืออำนาจของพวกเทวาอารักษ์  พวกเจ้าโคตรเจ้าตระกูลทั้งหลาย  ผู้ที่เป็นหัวหน้าสังคมที่ถูกเลือกขึ้นในยุคของสังคมบุพกาลเพื่อให้เป็นตัวแทนในการทำพิธีทางไสยศาสตร์นั้น   ต่อมาก็ได้ตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์  หรือจักรพรรดิ์ ปกครองอยู่ตามดินแดนหรือในแค้วนต่างๆ  บุคคล เหล่านี้ได้ตั้งตนเองขี้นเป็นตัวแทนของพระเจ้า  อ้างว่าพระเจ้าส่งตนลงมาจุติในโลกมนุษย์ หรือเป็นตัวแทนมาจากเบื้องบน ที่สวรรค์ส่งลงมาเพื่อโปรดมนุษย์ และอ้างว่าได้รับอำนาจมาจากสรวงสวรรค์ให้มาปกครองมนุษย์  เช่นจีนในสมัยโบราณมีความเชื่อกันว่าจักรพรรดิ์เป็นโอรสของพระเจ้าส่งลงมาจากสวรรค์  ประเทศญี่ปุ่นสมัยเก่าก็เชื่อกันว่าจักรพรรดิ์เป็นโอรสของพระอาทิตย์มาเกิดเป็นต้น

ความเชื่อเช่นนี้คือต้นเหตุของแนวความคิดที่ทำให้กษัตริย์หรือจักรพรรดิ์ในประเทศต่างๆคิดเอาเองว่า  สรรพสิ่งทั้งหลายทุกอย่างในโลกนี้เช่น ที่ดิน  คนและสัตว์เป็นสมบัติของตนทั้งหมด  
ในประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยายังปรากฏในกฏหมาย  “ ตราสามดวง“ว่า  “ ที่ดินทั้งหลายในแคว้นศรีอยุธยาเป็นของพระเจ้าอยู่หัวโดยพระบรมเดชานุภาพ “  ระบอบศักดินา จึงเกิดขึ้น  อำนาจการปกครองทุกอย่างอยู่ในมือของผู้เป็นหัวหน้าของสังคมแต่ผู้เดียว 
กษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ สามารถใช้อำนาจได้โดยไม่จำกัดขอบเขต  อำนาจเผด็จการโดยสมบูรณ์ของกษัตริย์ก็เกิดขึ้น   ต่อมากษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ ยังได้ตราเป็นกฏหมายขึ้นอีกว่า เมื่อตัวเองตายลงก็ให้ลูกหรือญาติที่สนิทของตนรับช่วงเป็นผู้สืบทอดวงศ์ตระกูลปกครองประเทศสืบต่อไป เป็นการสืบทอดราชสันติวงค์ต่อไปอีกเป็นทอดๆ ดังที่เห็นกันอยู่ในสังคมไทยในเวลานี้

สำหรับในต่างประเทศที่เจริญแล้วระบอบกษัตริย์ได้ถูกโค่นล้มลงไปหมดแล้ว เช่น จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส เยอรมันนี เวียตนาม ลาว พม่า หรือ เมียนม่า ฟีลแลนด์  ฯลฯ เป็นต้น ส่วนประเทศที่มีประชาธิปไตยที่ยังมีระบอบกษัตริย์เหลืออยู่กษัตริย์เหล่านั้้นก็อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ   โดยอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชนและปวงชนเป็นผู้ใชัอำนาจนั้นปกครองประเทศ เช่น เบลเยี่ยม อังกฤษ สวีเด็น นอรเวย์ เด็นมารค์
สำหรับประเทศไทยกษัตริย์อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ อำนาจทุกอย่างรวมศูนย์อยู่ที่กษัตริย์วชิราลงกรณ์แต่ผู้เดียว ดังนั้นวชิราลงกรณ์คือกษัตริย์เผด็จการ ไม่มีคุณงามความดีอะไรที่จะเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศ ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน

เพื่อความอยู่รอดเขาจึงดิ้นรนทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสร้างภาพให้ตัวเอง ด้วยการมอมเมาโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ โดยอาศัยสื่อสารมวลชนและเครือข่ายต่างๆของรัฐที่เขามีอำนาจครอบงำอยู่ในเมืองไทยโหมโฆษณาสร้างภาพด้านเดียวเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นจากความเลวทรามของตัวเองให้ประชาชนสนใจไปทางอื่นเช่นการสร้างภาพเด็ก 13 คนติดในถ้ำหลวง เป็นการก่อกระแสอย่างใหญ่โตที่เกินกว่าเหตุกระจายข่าวไปทั่วโลก   พวกเจ้าพยายามสร้างภาพให้กับตนเองว่าเขาคือพระเจ้าที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ธรรมดา   เป็นบุคคลพิเศษที่จะใช้อำนาจทำอะไรกับใครก็ได้แม้แต่กับลูกเมียตัวเอง

ซึ่งวิธีการหรือแนวความคิดแบบนี้  เป็นหลักวิธีคิดแบบจิตนิยมที่มีมาจากสังคมของระบบทาส   โดยเอาจิตของตนไปกำหนดเอากับวัตถุหรือสิ่งของอื่นตามใจชอบโดยไม่คำนึงถึงหลักความเป็นจริง เพราะความเป็นจริงนั้นคือ มนุษย์ในโลกนี้เกิดมาเหมือนกันหมดต่างกันเพียงแต่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชายแต่เนื้อหาหรือธาตุแท้ของมันก็คือมนุษย์ธรรมดา เป็นวัตถุหรือสสารที่เคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงได้   มนุษย์เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติไม่ใช่พระเจ้าเป็นผู้สร้างมา สิ่งแวดล้อมและสภาพการเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งกำหนดความคิดของมนุษย์  ไม่ใช่เทวดาหรือเทวาอาลักษ์ที่ใหนอย่างที่พวกเจ้าเขาคิดหรือสร้างภาพให้คนเชื่อ  แนวความคิดของพวกเจ้าคือแนวความคิดแบบจิตนิยม  โดยสร้างภาพสมมุติตนเองเป็นเทวดาให้คนเคารพกราบไหว้บูชา   ทำตัวเป็นตัวแทนของพระเจ้า เพื่อตัวเองจะได้ปกครองคนอื่นได้

ดังนั้นกษัตริย์และครอบครัวของเขาจึงไม่ใช่พวกเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไร การใช้ศรรพนามเรียกบุคคลเหล่านั้นว่า "พระเทพฯ ฟ้าหญิง  ฟ้าชาย" เป็นเพียงการสร้างภาพให้แก่พวกเขาเองเป็นการสมมุติให้ดูว่าพวกเขาเป็นคนพิเศษเท่านั้น   ถ้าเราไม่เอาจิตไปกำหนดโดยคิดไปเอง หรือเชื่ออย่างงมงายว่าพวกคนเหล่านั้นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว  พวกเขาเหล่านั้นก็เป็นเพียงคนปกติธรรมดาและไม่มีอะไรเกิดขึ้น    ทุกอย่างอยู่ที่จิตของเรา ธาตุแท้ของมนุษย์ก็คือวัตถุหรือสสารที่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้ มีการเกิด การพัฒนา และดับสูญไปตามกฏของธรรมชาติเท่านั้น

เราอย่าเอาจิตไปกำหนดวัตถุโดยคิดไปเองตามการโฆษณาชวนเชื่อของพวกเขา เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าโลกนี้คือวัตถุเราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้   เช่นถ้าเราต้องการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเราก็ต้องศึกษาหรือค้นขว้าหาข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับแม่น้ำเสียก่อนจึงลงมือสร้างไม่ใช่เอาจิตไปกำหนดหรือคิดไปเองให้เกิดสะพานขึ้นมา ถ้าเราต้องการเปลี่ยนสังคมเราก็ต้องศึกษาให้เข้าใจสังคมนั้นเสียก่อนว่าเป็นสังคมอะไร เช่นสังคมไทยเป็นสังคมกษัตริย์เผด็จการ ถ้าเราต้องการเปลี่ยนให้เป็นสังคมประชาธิปไตยก็ต้องโค่นล้มระบอบกษัตริย์เผด็จการนั้นลงแล้วสร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาแทนซึ่งนี้คือหลักความจริงตามธรรมชาติที่มนุษย์เรามีสิทธิ์จะกระทำได้ซึ่งในหลายประเทศได้ทำสำเร็จมาแล้ว

ดังนั้นทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเราต้องปลดปล่อยตัวเราเองก่อนโดยเริ่มจากแนวความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์มองโลกจากหลักของความเป็นจริงตามหลักของธรรมชาติ มีสติเริ่มต้นจากจิตของเราว่าเราจะสู้หรือไม่สู้ถ้าเราตัดสินใจจะสู้ก็ต้องศึกษาค้นหาวิธีการต่อสู้ และต้องรู้ว่าสู้กับใคร ใครคือศัตรูใครคือมิตร  อย่าลืมว่าประชาชนที่ถูกกดขี่เป็นพลังส่วนมากของสังคมถ้าเราตัดสินใจได้และพร้อมใจกันลุกขึ้นสู้โดยการปฏิเสธไม่ยอมรับระบอบกษัตริย์เผด็จการเท่านั้นพวกมันก็อยู่ไม่ได้.

måndag 30 juli 2018

กษัตริย์มีไว้ทำไม (?)

กษัตริย์มีไว้ทำไม (?) ดูเหมือนเขาจะกลับไปเยอรมันแล้วนะครับ..




Somsak Jeamteerasakul




ดูเหมือนเขากลับไปเยอรมันแล้วนะครับ น่าจะบินจากไทยเมื่อคืน ซึ่งถ้าใช่ ก็หมายถึงว่ามาแค่2วัน(27-28) ปีนี้มาวันเกิด เพราะบังเอิญมีวันอาสาฬหะ ปีกลายไม่มา แม้ว่าช่วงนั้นมีน้ำท่วมใหญ่หลายจังหวัด ถ้ายืนยันตามนี้ ก็เป็นการตบหน้าคนไทยอีกครั้ง อย่างว่า คนไทยหัวอ่อน


ดูเหมือนเขาจะกลับไปเยอรมันแล้วนะครับ
น่าจะบินออกจากไทยเมื่อคืนนี้ ซึ่งถ้าใช่ ก็หมายถึงว่า มาแค่ 2 วัน (27-28) ปีนี้มาวันเกิด เพราะบังเอิญมีวันอาสาฬหะพอดี ปีกลายวันเกิดไม่มา แม้จะให้คนจัดงานใหญ่โตและแม้ว่าช่วงนั้นจะมีน้ำท่วมใหญ่หลายสิบจังหวัด
ถ้ายืนยันตามนี้ ก็เป็นการตบหน้าคนไทยอีกครั้ง ก็อย่างว่าแหละ คนไทยหัวอ่อน
ตามภาพประกอบ เครื่องบิน "ส่วนตัว" ของเขา เพิ่งลงที่ซูริคเมื่อราวครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ใครติดตามผมตลอดคงรู้ว่า เขาชอบไปซูริคหลังจากบินกลับจากไทย เข้าใจว่าอาจจะไป "ส่งคน"
ผมถือโอกาส เอาบันทึกการบินไม่กี่วันก่อนหน้ามาไทยให้ดูด้วย จะเห็นว่า เขาบินไป-มา มิวนิค-ซูริค 2-3 ครั้ง บางครั้งก็ค้างคืน
ข่าวสองทุ่มไทยคืนนี้ ไม่มีตัวเขาปรากฏแล้วนะครับ มีแต่ข่าวราชเลขาฯมาคอยรับพวกพานพุ่มที่คนเอาไปถวาย
คลิกดู-#กษัตริย์มีไว้ทำไม

...................................
ประชาไท Prachatai.com

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องราชสักการะ จุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลและถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ์ บดินทรเทพยวรางกูร 28 กรกฎาคม 2561




พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องราชสักการะ จุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลและถวายราชสดุดีเ....

#ไม่มีประมุขรัฐที่ไหนในโลกที่ใช้ชีวิตในต่างประเทศมากขนาดนี้..."60 วัน" ที่อยู่เยอรมัน ตอนนี้ เป็น 60+ ไปเรื่อยๆแล้ว

 

Somsak Jeamteerasakul
7 เดือนที่ผ่านมา กษัตริย์วชิราลงกรณ์อยู่เยอรมัน 2 เดือน (และตอนนี้กลับไปเยอรมันอีกแล้ว)

7 เดือนที่ผ่านมา กษัตริย์วชิราลงกรณ์อยู่เยอรมัน 2 เดือน
(และตอนนี้กลับไปเยอรมันอีกแล้ว)
นับจากวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2560 คือ 7 เดือนหลังการสิ้นพระชนม์ของในหลวงองค์ก่อน กษัตริย์วชิราลงกรณ์ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเยอรมันรวมกันประมาณ 60 วันหรือ 2 เดือน ดังนี้
มาเยอรมันครั้งที่ 1 : วันที่ 28 ตุลาคม - 10 พฤศจิกายน 2559
มาเยอรมันครั้งที่ 2 : วันที่ 13 มีนาคม - 5 เมษายน 2560
มาเยอรมันครั้งที่ 3 : วันที่ 15 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2560
[รวม 3 ครั้งนี้ ประมาณ 60 วัน]
มาเยอรมันครั้งที่ 4 : วันที่ 13 พฤษภาคม -
เท่าที่ผมรู้และลองเสิร์ชค้นหาดู #ไม่มีประมุขรัฐที่ไหนในโลกที่ใช้ชีวิตในต่างประเทศมากขนาดนี้ (ยกเว้นกรณีป่วยและไปรักษาตัว เช่น สีหนุไปอยู่ในจีน หรือกรณีในระหว่างเกิดสงคราม แล้วลี้ภัยชั่วคราว หรือไม่ก็เพราะติดการศึกษา)*
ยิ่งถ้าเรานึกถึงปริบทของอำนาจและอภิสิทธิ์มหาศาลที่กษัตริย์มีเหนือสังคมไทย ทั้งทางกฎหมายและการเมือง (ทั้งที่เคยมีอยู่นานแล้ว และที่กษัตริย์องค์นี้สร้างเพิ่มขึ้นในรัฐธรรมนูญ และในกฎหมายราชการในพระองค์ล่าสุด) ทางเศรษฐกิจ (ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และงบประมาณที่รัฐทุ่มเทในการรักษาและโปรโมตสถาบันกษัตริย์) และทางวัฒนธรรมสังคม (การโฆษณาเชิดชูสถาบันกษัตริย์ทุกวันทางสื่อและระบบการศึกษา)
ลักษณะสิ้นเปลืองสูญเปล่า การมีอภิสิทธิ์และอำนาจอย่างไร้ความรับผิดชอบ อยู่ในระดับที่เหลือเชื่อและยากจะพบได้ในโลกสมัยใหม่ศตวรรษนี้มากขนาดไหน ก็ลองประเมินกันดู
.............
เมื่อวันศุกร์ก่อน (12 พฤษภาคม) มีคนบอกผมว่า กษัตริย์วชิราลงกรณ์ได้เดินทางกลับไปเยอรมันอีก หลังจากกลับมาไทยเพื่อประกอบพิธีวิสาขบูชาและแรกนาขวัญ เพียงไม่กี่วัน (กลับมาวันที่ 8 พฤษภาคม)
เช่นเดียวกับการเดินทางไป-มาเยอรมันที่ผ่านมา เรื่องนี้ ยากจะยืนยันร้อยเปอร์เซนต์ได้ (ดูเพิ่มเติมท้ายกระทู้)** นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ผมไม่ได้รายงานไป และรอมาจนถึงวันนี้ แต่ว่า น่าสังเกตว่า 5 วันที่ผ่านมา (เสาร์ถึงพุธเมื่อครู่นี้) ไม่ปรากฏข่าวของกษัตริย์ในช่วงข่าวในราชสำนักเลย (ข่าวเรื่องมี "พระราชสาส์น" ไม่นับ)
ยิ่งกว่านั้น ในเย็นวันศุกร์นั้นเอง (12 พฤษภาคม) กษัตริย์ได้ปรากฏตัวชมการแสดงดนตรีที่ "ลานหมุดหน้าใส" (ตามข่าวราชสำนักใช้คำว่า "เป็นการส่วนพระองค์" - ผมเอ่ยขึ้นมาเพื่อบอกอีกครั้งว่า การจะอ้างว่า ที่ไม่มีแม้แต่รายงานข่าวการไปเยอรมัน เพราะเป็นเรื่อง "ส่วนพระองค์" เป็นข้ออ้างไร้สาระ เพราะข่าวสองทุ่ม รายงานสิ่งที่เรียกว่า "เป็นการส่วนพระองค์" เสมอ) แต่การปรากฏตัวดังกล่าว กลับอาจจะยิ่งเป็นการยืนยันว่า กษัตริย์เดินทางออกจากไทยวันนั้นจริงๆ เพราะปกติงานแสดงดนตรี กษัตริย์ให้จัดวันเสาร์ แต่อาจจะเพราะว่า กษัตริย์กำลังจะเดินทางกลับเยอรมันในคืนนั้น (ปกติจะขึ้นเครื่องออกจากไทยช่วงราวห้าทุ่ม) เลยให้เลื่อนขึ้นมาจัดในวันศุกร์แทน (หรือจัดเพิ่มเป็นพิเศษ) เพื่อให้กษัตริย์มาชมก่อนกลับ
ไม่ว่ากษัตริย์จะได้เดินทางกลับไปเยอรมันในวันที่ 12 พฤษภาคมตามที่มีคนบอกผมมาแล้วจริงหรือไม่ ก็ไม่มีผลต่อตัวเลขข้างต้น เพราะผมนับตั้งแต่ 13 ตุลาคม 2559 ถึง 13 พฤษภาคม 2560 คือนับเวลา 7 เดือนพอดีหลังการสิ้นพระชนม์ของในหลวงองค์ก่อน และเวลาประมาณ 2 เดือน หรือ 60 วัน ก็นับเฉพาะในช่วงนั้น
.............
* กรณี รัชกาลที่ 7 ตอนปลาย, รัชกาลที่ 8, และ 9 ตอนต้น
รัชกาลที่ 7 ออกจากประเทศไทยในลักษณะที่อาจจะเรียกว่า "ลี้ภัยการเมือง" (self-imposed exile) คือจริงๆมีเหตุทางการเมืองที่พระองค์ต้องการออกไปเพื่อต่อรองกับคณะราษฎร แต่เหตุผลทางการก็เพื่อไปรักษาพระองค์, รัชกาลที่ 8 ระหว่าง 2478-2488 ยังทรงพระเยาว์ไม่บรรลุนิติภาวะ ต่อให้อยู่ในไทย ก็ต้องมีผู้สำเร็จฯ นั่นคือการอยู่ต่างประเทศช่วงนั้น ยังไม่นับเป็นประมุขจริงๆ และเดิมที่มีแผนจะเสด็จต่างประเทศอีกในปี 2489 แต่มาสวรรคตเสียก่อน ก็ด้วยทรงต้องการศึกษาต่อให้เสร็จ ส่วนรัชกาลที่ 9 หลังรับตำแหน่งต่อจากพระเชษฐาแล้ว ก็ขอไปต่างประเทศ แม้รัฐบาลจะพยายามขอให้อยู่ต่อ (เรื่องนี้เกี่ยวกับกรณีสวรรคตอยู่ แต่ขอผ่านไปในที่นี้) เหตุผลทางการก็เช่นเดียวกับรัชกาลที่ 8 คือทรงศึกษา
** กระทู้นี้ผมเริ่มร่างไว้ตั้งแต่ 2-3 วันก่อน เช้านี้ ผมได้รับการยืนยันโดยมีหลักฐานค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า กษัตริย์ใหม่เดินทางกลับไปเยอรมันจริงๆ เมื่อวันศุกร์ที่ 12 (ถึงเยอรมันวันที่ 13) คือหลังจากไปดูดนตรีที่ "ลานหมุดหน้าใส"
"60 วัน" ที่อยู่เยอรมัน ตอนนี้ เป็น 60+ ไปเรื่อยๆแล้ว
 

ผู้ที่รับใช้ใกล้ชิดที่ถูกเสี่ยโอกวาดล้าง !

 จุมพล มั่นหมาย

 คำบรรยายภาพ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย อดีตรองเลขาธิการสำนักพระราชวัง และอดีตรอง ผบ.ตร. ถูกดำเนินคดีบุกรุกอุทยานแห่งชาติทับลาน
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ไม่ใช่กรณีแรก ที่อดีตคนเคยใกล้ชิดเบื้องสูงถูก "พบความผิด" จนชะตากรรมต้องพลิกผัน เพราะเป็นสิ่งที่ทั้งนายพงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ครอบครัวอัครพงศ์ปรีชา รวมไปถึงหมอหยอง เคยเผชิญมาก่อนหน้านี้
จากกรณี พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย อดีตรองเลขาธิการสำนักพระราชวัง ฝ่ายความมั่นคงและกิจกรรมพิเศษ และอดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่ถูกดำเนินคดีบุกรุกอุทยานแห่งชาติทับลาน มาถึงล่าสุด นายชิดพงศ์ ทองกุม อดีตผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงานฝ่ายเสนาธิการในพระองค์ ที่ถูกศาลทหารตัดสินให้จำคุก เป็นเวลา 4 ปี 18 เดือน
นี่คือตัวอย่างของบุคคลที่ทำงานใกล้ชิดกับสถาบันเบื้องสูง แล้วต่อมาถูก "พบความผิด" ต้องเผชิญกับชะตากรรมที่พลิกผัน บีบีซีไทยชวนย้อนรอยคดี เปิดแฟ้มข่าวเก่าของบุคคลสำคัญที่เกิดขึ้นในรอบ 3 ปี
พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์


 
คำบรรยายภาพ ปัจจุบัน นายพงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ถูกศาลตัดสินให้จำคุกไปแล้ว 7 คดี รวมโทษจำคุก 36 ปี 3 เดือน

พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์

จากยศ พล.ต.ท. และตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) หลายปี ปัจจุบันเขาถูกถอดยศเป็นแค่ "นาย" ถูกศาลตัดสินให้จำคุกไปแล้ว 7 คดี รวมโทษจำคุก 36 ปี 3 เดือน ถูกอายัดทรัพย์ไปแล้วกว่า 1.5 พันล้านบาท
นายพงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ มีศักดิ์เป็นญาติกับ พล.ต.หญิง ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี อดีตพระวรชายาของในหลวงรัชกาลที่ 10 ตั้งแต่ครั้งยังทรงเป็นสยามมกุฎราชกุมาร
ช่วงดำรงตำแหน่ง ผบช.ก. นายพงศ์พัฒน์มีชื่อเสียงจากการคลี่คลายคดีสำคัญๆ จนมีอนาคตทางราชการที่สดใส ก่อนที่ทุกอย่างจะพังทลายลง ช่วงปลายปี 2557 เมื่อเขาและคนสนิทถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ฐานแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ รวมไปถึงกฎหมายฟอกเงิน

 คำบรรยายภาพ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ขณะนั้น (ที่สองจากขวา) นำแถลงผลการจับกุมและตรวจค้นทรัพย์สินของนายพงศ์พัฒน์และเครือข่าย

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ขณะนั้น ระบุว่า พฤติกรรมของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์กับพวก มีการแอบอ้างเบื้องสูงเพื่อผลประโยชน์จาก "การแต่งตั้งโยกย้าย บ่อนการพนัน และขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน"

ต่อมา ตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านพักของคนในเครือข่ายนายพงศ์พัฒน์ รวม 15 จุด ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบเงินสกุลไทยและต่างชาติ ทองคำ รวมถึงวัถตุโบราณและของมีค่า มูลค่ารวมกันนับพันล้านบาท โดยทรัพย์สินบางส่วนถูกเก็บไว้ในเซฟใต้ดินภายในบ้านพักของนายพงศ์พัฒน์
ขณะที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้อายัดทรัพย์สินของนายพงศ์พัฒน์กับพวกถึง 3 ครั้ง รวมมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท แบ่งเป็นครั้งแรก อายัดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท ครั้งที่สอง อายัดเงินฝากในบัญชีธนาคาร มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท และครั้งที่สาม อายัดทรัพย์สิน 3 พันรายการ 2.7 หมื่นชิ้น รวมมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท



Image copyright JACK HILL/AFP/GettyImages
คำบรรยายภาพ หลังครอบครัวถูกดำเนินคดี พล.ต.หญิง ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ก็ลาออกจากฐานันดรศักดิ์ และกลับไป "ปฏิบัติธรรมอย่างเงียบๆ" ในบ้านพักที่ จ.ราชบุรี

"อัครพงศ์ปรีชา" ครอบครัวท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์

สืบเนื่องจากการดำเนินคดีกับนายพงศ์พัฒน์ นำไปสู่การขยายผลจับกุมผู้กระทำผิดในคดี 112 เพิ่มเติม ทั้งตำรวจและพลเรือน รวมถึงผู้ที่มีนามสกุล "อัครพงศ์ปรีชา" ที่เป็นนามสกุลพระราชทาน จำนวน 6 คน ประกอบด้วยนายอภิรุจ, นางวันทนีย์, นางสุดาทิพย์, นายณรงค์, นายณัฐพล และนายสิทธิศักดิ์ ซึ่งทั้งหมดต่างเป็นคนในครอบครัวของ พล.ต.หญิง ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์
เว็บไซต์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกแจกแจงว่า นายอภิรุจและนางวันทนีย์ เป็นบิดาและมารดาของ พล.ต.หญิง ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ อีก 3 คนถัดมาเป็นพี่น้อง ส่วนคนสุดท้ายเป็นหลาน (ลูกของนางสุดาทิพย์)
ภายหลังครอบครัวถูกดำเนินคดี ในวันที่ 12 ธ.ค. 2557 ราชกิจจานุเบกษาก็เผยแพร่ประกาศ การขอลาออกจากฐานันดรศักดิ์ของ พล.ต.หญิง ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ ก่อนเปลี่ยนกลับไปใช้นามสกุลเดิมคือ "สุวะดี"
ข้อความสุดท้ายที่ พล.ต.หญิง ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์สื่อสารต่อสังคมไทย ก็คือจดหมายที่ขอ "ปฏิบัติธรรมอย่างเงียบๆ" ในบ้านพักที่ จ.ราชบุรี และหลังจากนั้นสตรีสูงศักดิ์ก็ไม่ปรากฏตัวในที่สาธารณะอีก
ในปี 2558 ศาลได้ตัดสินให้จำคุกสมาชิกครอบครัว พล.ต.หญิง ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ทั้งหมด ด้วยอัตราโทษที่แตกต่างกัน
ข้อมูลจากสื่อไทยหลายสำนักระบุว่า กรณีพ่อแม่ของ พล.ต.หญิง ท่านผู้หญิงศรีรัศม์ ศาลชี้ว่ามีการแอบอ้างเบื้องสูงไปข่มขู่คู่กรณี ส่วนนางสุดาทิพย์ ศาลชี้ว่าเป็นผู้กำหนดเมนูอาหารในลักษณะผูกขาดในวังศุโขทัย แต่เมื่อกระทำผิดมักแอบอ้างเบื้องสูง ให้จำคุกคนละ 2 ปี 6 เดือน ขณะที่นายณรงค์ นายณัฐพล และนายสิทธิศักดิ์ ศาลชี้ว่ามีการใช้ปืนขู่บังคับผู้เสียหายให้ไปเจรจาลดหนี้ ให้จำคุกคนละ 5 ปี 6 เดือน



Image copyright PORNCHAI KITTIWONGSAKUL/AFP/Getty Images
คำบรรยายภาพ นายสุริยัน อริยวงศ์โสภณ หรือหมอหยอง ถูกนำตัวขึ้นศาลทหาร ในคดี 112 ก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา เนื่องจาก "ติดเชื้อในกระแสเลือด"

หมอหยอง

นายสุริยัน อริยวงศ์โสภณ หรือหมอหยอง ป็นนักโหราศาสตร์ชื่อดัง ได้รับพระราชทานนามสกุล "สุจริตพลวงศ์" ในโอกาสวันคล้ายวันเกิด เมื่อปี 2551 มีความหมายว่า เผ่าพันธุ์ที่เจริญรุ่งเรืองด้วยพลังแห่งความสุจริต แต่ต้องมาติดคุกด้วยข้อกล่าวหาพัวพันทุจริต และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
นายสุริยันมีบทบาทสำคัญในการจัดงาน "Bike for Mom ปั่นเพื่อแม่" ก่อนถูกจับกุมฐานตกเป็นผู้ต้องหาในคดี 112 ช่วงปลายปี 2558 และถูกนำไปควบคุมตัวไว้ที่เรือนจำชั่วคราว ในค่ายทหารของมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) แต่ท้ายสุด คดีนี้ก็ไม่มีคำตัดสิน เพราะนายสุริยันเสียชีวิตลงก่อน
เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ อ้างคำพูดของ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรมขณะนั้นว่า เหตุที่นายสุริยันเสียชีวิตเนื่องจาก "ติดเชื้อในกระแสเลือด"
ภาพจำสุดท้ายของนายสุริยันต่อสาธารณชน คือชายผมสั้นเกรียน หน้าตาอิดโรย ในมือถือถุงยาจำนวนหนึ่ง ถูกหิ้วปีกไปขึ้นศาลทหารเพื่อขออำนาจฝากขังในระหว่างการสอบสวนของตำรวจ

อดีตข้าราชบริพารอื่นๆ

นอกเหนือจากกลุ่มบุคคลข้างต้น ยังมีอดีตข้าราชบริพารหรือผู้เคยใกล้ชิดกับสถาบันเบื้องสูงจำนวนหนึ่ง ที่ต้องเผชิญชะตากรรมใกล้เคียงกัน โดยข้อมูลทั้งหมดสามารถสืบค้นได้จากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา อาทิ
  • พล.ต.พิสิฐศักดิ์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา รองผู้บังคับหน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภฯ ถูกปลดออกจากราชการ ถอดยศทหาร และเรียกคืนเครื่องราชฯ
  • พ.ต.ปฏิภาณ เกษมสุวรรณ ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ถูกปลดออกจากราชการ และถูกถอดยศทหาร
  • พ.อ.สรัศวิน โพธิทอง ถูกปลดออกจากราชการและถูกถอดยศทหาร
  • ร.อ.ศิริพงษ์ ผลวัฒนะ ถูกปลดออกจากราชการและถูกถอดยศทหาร
เป็นต้น

วชิราลงกรณ์ไม่สมควรที่จะเป็นกษัตริย์

วชิราลงกรณ์ไม่สมควรที่จะเป็นกษัตริย์

 
โดย แสงตะวัน
ถ้าอ้างตามความหมายของ Saint-Just ที่อธิบายไว้ว่า " กษัตริย์นั้นเป็นทรราชโดยธรรมชาติและเป็นอาชญากรรมชั่วนิรันดร  นั้น...

"กษัตริย์ใหม่ที่ชื่อวชิราลงกรณ์เหมาะสมที่สุดตรงตามคำอธิบายของ Saint-Just ที่กล่าวไว้ " ...
Saint-Just อธิบายว่า กษัตริย์นั้นเป็นทรราชโดยธรรมชาติและโดยตัวของมันเอง เราไม่ต้องพิจารณาเลยว่าการกระทำของกษัตริย์หรือการบริหารราชการแผ่นดินของ กษัตริย์มีความผิดทางอาญาหรือไม่ ถ้ากษัตริย์เป็นทรราช   นั่นไม่ใช่เพราะความผิดจากการบริหารราชการแผ่นดินของเขา แต่เขาเป็นทรราชก็ด้วยลักษณะของความเป็นกษัตริย์นั่นแหละ 
Saint-Just เสนออย่างชาญฉลาดว่า การที่กษัตริย์ยึดครองอำนาจสูงสุดของประชาชนไปใช้เอง นั่นแสดงให้เห็นว่าลักษณะของความเป็นกษัตริย์เป็นอาชญากรรมนิรันดร (crime éternel) ต่อประชาชน มนุษย์จึงย่อมมีสิทธิสมบูรณ์ในการลุกขึ้นสู้และติดอาวุธ   Saint-Just อธิบายว่า ไม่มีใครสามารถครองราชย์ได้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะ กษัตริย์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นกบฏและเป็นผู้แย่งชิง (usurpateur) อำนาจของประชาชนไป "
ยิ่งถ้าเรานึกถึงปริบทของอำนาจและอภิสิทธิ์มหาศาลที่กษัตริย์มีเหนือสังคมไทย ทั้งทางกฎหมายและการเมือง (ทั้งที่เคยมีอยู่นานแล้ว และที่กษัตริย์องค์นี้สร้างเพิ่มขึ้นในรัฐธรรมนูญ และในกฎหมายราชการในพระองค์ล่าสุด) ทางเศรษฐกิจ (ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และงบประมาณที่รัฐทุ่มเทในการรักษาและโปรโมตสถาบันกษัตริย์) และทางวัฒนธรรมสังคม (การโฆษณาเชิดชูสถาบันกษัตริย์ทุกวันทางสื่อและระบบการศึกษา)ลักษณะสิ้นเปลืองสูญเปล่า การมีอภิสิทธิ์และอำนาจอย่างไร้ความรับผิดชอบ อยู่ในระดับที่เหลือเชื่อและยากจะพบได้ในโลกสมัยใหม่ศตวรรษนี้มากขนาดไหน ก็ลองประเมินกันดู " ( คัดจากบทความ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล )
วชิราลงกรณ์เป็นคนสั่งให้ประยุทธ์ยึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษ์ เมื่อวันที่ 22 พ.ค 2557 ขณะที่ภูมิพลป่วยหนักนอนรอวันตายซึ่งไม่สามารถสั่งการทำอะไรได้     หลังจากภูมิพลตายลง 13 ต.ค. 2559
ต่อมาวชิราลงกรณ์ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 10 ได้รวบอำนาจทุกอย่างไว้ในมือและเพิ่มอำนาจทุกอย่างให้แก่ตนเองยิ่งกว่ารัชกาลที่ 9 ผู้เป็นพ่อเสียอีก    เวลานี้เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปในสังคมไทยและทั่วโลกว่าวชิราลงกรณ์คือกษัตริย์จอมเผด็จการที่มีจิตวิตถาร โมโหร้ายเหี้ยมโหดผิดมนุษย์   ประพฤติตัวไม่เหมาะสมที่จะเป็นประมุขของรัฐ เป็นอันตรายต่อชาติ เป็นภัยต่อสังคม  ผลาญเงินภาษีของชาติไปปีละมากมายมหาศาลทำตัวเป็นอันธพาลแห่งชาติ ใช้ชีวิตอย่างเสเพลอยู่ในต่างประเทศ... ฯลฯ
ดังนั้นประเทศไทยและประชาชนชาวไทยจึงไม่มีความจำเป็นที่จะมีกษัตริย์เผด็จการทรราชอย่างวชิราลงกรณ์   ระบอบกษัตริย์เผด็จการทรราชได้ถูกโค่นล้มลงไปแล้วตั้งแต่ปี 2475 ประชาชาติไทยและสังคมไทยจะต้องพัฒนาก้าวไปข้างหน้าสู่ประชาธิปไตย  สู่สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ความเท่าเทียมกันของการเป็นมนุษย์ ไม่ใช่จะให้อยู่ใต้ตีนของกษัตริย์ทรราช.จึงเป็นสิทธิและหน้าที่โดยชอบธรรมของพี่น้องชาวไทยทุกคนที่จะลุกขึ้นมาโค่นล้มระบอบเผด็จการกษัตริย์นี้ลง แล้วให้การสนับสนุนการก่อตั้งสหพันธ์รัฐไทตามแนวนโยบายที่ทางสหพันธ์รัฐไทได้ก่อตั้งขึ้นโดยอำนาจทุกอย่างมาจากประชาชนเป็นของประชาชน เพื่อประชาชน และประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจนั้น  เมื่อประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจรัฐแล้วก็จะสามารถบริหารประเทศชาติเพื่อผลประโยขน์ของประชาชนในสังคมตามหลักแห่งความเสมอภาค และความเป็นธรรม มีระบบการตรวจสอบได้ มีระบบการเลือกตั้งที่ยุติธรรมตามระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง

ต้นแบบการหากินโดยมิชอบของเชื้อพระวงศ์ไทย

มิลาเคิลออฟไลฟ์ต้นแบบการหากินโดยมิชอบของเชื้อพระวงศ์ไทย

โดย กลุ่มเสียงประชาชนไทย (สปท.)


Image may contain: 15 people, people smiling

(อุบลรัตน์ กับสองอดีตนายก ทักษิณและยิ่งลักษณ์น้องสาวขณะที่ไปชมบอลโลกด้วยกันที่รัสเซีย เดือน ก.ค.18.)                 
ในภาวะที่ประชาชนยากจนคนไทยต้องอดอยาก   งบประมาณไม่เพียงพอที่จะอุดหนุนดูแลการพัฒนาคุณภาพชีวิตอยู่แล้ว   แต่บรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งพระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างก็เร่งทำมาหากินประกอบการค้าขายและหาเงินกันมากมายทั้งเปิดร้านค้าและตั้งมูลนิธิเพื่อหากำไรและหาเงินบริจาคซึ่งเงินบริจาคหลักๆ ก็เอาไปจากงบประมาณแผ่นดินที่เป็นเงินภาษีของประชาชน และจากบริษัทห้างร้านและหน่วยธุรกิจต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะรัฐวิสากิจ แต่ในเมืองไทยกลับกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณ หรือ ทรงพระปรีชาสามารถ  อาทิเช่น  พระเจ้าหลานเธอศิริวรรณวลี จากนักแบดมินตันทีมชาติที่ขณะแข่งในประเทศไทยใครก็ไม่กล้าเอาชนะก็อ้างว่าเป็นพระปรีชาสามารถ  เมื่อแข่งขันแพ้ในเกมส์นานาชาติก็ผันตัวเองมาเป็นดีไซเนอร์ระดับโลก ขนนางแบบไปเดินแฟชั่นในปารีส โดยการบินไทยและรัฐบาลไทยเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายการเดินแบบที่ปารีส ก็อ้างพระปรีชาสามารถ  และหากใครมีโอกาสเดินทางไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก็จะพบกับร้านค้าของทุกพระองค์ที่เปิดร้านค้าแข่งกับเอกชนโดยไม่ได้เสียค่าเช่า อธิเช่น ร้านสวนจิตรลดา  ร้านภูฟ้า  ร้านภูคำ  ร้านจุฬาพร ก็อ้างว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณ เป็นต้น  

                 ในบรรดาเจ้าฟ้าทุกพระองค์นี้  ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์  เป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีวิธีการหาเงินแบบเปิดเผยเป็นต้นแบบของเชื้อพระวงศ์ไทยที่มีการกล่าวอ้างว่าเป็นพระปรีชาสามารถอย่างผิดปกติมากพระองค์หนึ่งที่จะได้กล่าวถึงในโอกาสนี้ ดังจะเห็นได้ว่า เป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวในโลกที่มีอายุมากจนพ้นวัยคือมีอายุกว่า  60 ปีแต่มีการเยินยอกันจนหลงตัวเองว่าเป็นผู้มีความสามารถยิ่ง และพวกบริษัทภาพยนตร์ในประเทศไทยก็สอพลอกันกราบทูลเชิญไปเป็นนางเอกในภาพยนตร์หลายเรื่อง  แสดงทั้ง บทรัก บทโศก และ บทบู๊ เช่นเรื่อง เรื่องหนึ่งใจเดียวกัน และ My best bodyguard เป็นต้น  และในการดำเนินงานนี้ก็บีบบังคับให้ รัฐวิสาหกิจและห้างร้านต่างๆมาช่วยเป็นสปอนเซอร์จ่ายเงินให้เป็นทุนในการสร้างหนังเช่น บริษัท ปตท.บริษัท การบินไทย  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นวงเงินในแต่ละเรื่องไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ทั้งๆที่บริษัทภาพยนตร์เขาก็รวยกันอยู่แล้วแต่กลับไม่ต้องลงทุนหรือไม่ต้องเสี่ยงต่อการขาดทุนไดๆในการสร้างเลย  ปรากฏว่าภาพยนตร์แต่ละเรื่องของพระองค์มักจะไม่มีคนเข้าชม ก็เป็นภาระของ กระทรวงศึกษาก็จะทำหน้าที่รีดไถโดยเกณฑ์เด็กนักเรียนควักเงินของพ่อแม่ซื้อตั๋วเข้าไปชม   ทำให้เกิดข่าวลือในประเทศไทยที่ไม่มีใครกล้าพูดว่าทูลกระหม่อมหญิงองค์โตทรงประกอบธุรกิจด้วยวิธีการพิเศษ ในลักษณะเช่นนี้ ทำให้มีสินทรัพย์เพิ่มพูนอย่างรวดเร็วมากกว่า 2,000 ล้านบาท นับตั้งแต่เสด็จกลับจากอเมริกา และ เลิกใช้นามสกุล เจนเซ่น ของอดีตสามี

                 พระปรีชาสามารถของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์  ที่จะได้นำมากล่าวนี้มีเป็นจำนวนมาก เฉพาะโครงการที่โดดเด่นเช่นโครงการ To be number one  ก็ใช้งบประมาณจากกระทรวงสาธารณสุข ด้วยการทำมาหากินของอากู๋ แห่งบริษัทแกรมมี่ โดยเป็นที่รู้กันทั้งกรมสุขภาพจิตว่า อากู๋เป็นคนช่วยทำโครงการและนำงบประมาณมาใช้แล้วมีเงินทอนถวายพระองค์  และอีกโครงการหนึ่งที่น่าสนใจมากคือ โครงการ Miracle Of Life (MOL) ซึ่งหลายคนคงไม่ทราบในกิจกรรมก็สามารถหาดูได้จาก facebook จากที่นี่ http://www.facebook.com/miracleoflifemag.fan  แต่กิจกรรมที่ใครก็คาดไม่ถึงในความคิดริเริ่มที่ยอดเยี่ยมของพระองค์อย่างหาผู้ได้จะทาบเทียมได้นั่นก็คือ ทรงรวบรวมมูลนิธิเก็บศพต่างๆที่ตั้งอยู่ในต่างจังหวัดเข้าเป็นเครือข่ายของ MOL อย่างเป็นระบบ ทั้งนี่พระองค์คงได้ความคิดมาจาก มูลนิธิปอเต็กตึ้ง และ มูลนิธิร่วมกตัญญู ที่เป็นมูลนิธิเก็บศพชื่อดังของประเทศไทย ที่มีคนร่วมบริจาคมากที่สุด  และขณะนี้ MOL กำลังพัฒนาโครงการใหม่โดยจะทำธุรกิจในสายการสื่อสาร โดยเตรียมการจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ MOL และสถานีวิทยุเครือข่ายอีก 18 แห่งของพระองค์เอง โดยจะต้องใช้งบประมาณเบื้องต้นทั้งหมด 230,400,000 บาท (สองร้อยสามสิบล้านสี่แสนบาทถ้วน)  แต่เงินก้อนแรกกลับขอสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นจำนวนเงิน 150,000,000 บาท (หนึ่งร้อยห้าสิบล้านบาทถ้วน)  โดยพระองค์ท่านได้ดำเนินการอย่างเปิดเผยในการของบประมาณจากรัฐ โดย นายสมภพ  สีเลี้ยง ผู้อำนวยการสถานีวิทยุและโทรทัศน์ มิราเคิลออฟไลฟ์  ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ฯ  ทำหนังสืออย่างเป็นทางการขอเงินภาษีไปใช้ 150ล้านบาทนำเสนอต่อกระทรวงที่เกี่ยวข้องตามหนังสือและเอกสารโครงการที่แนบมาด้วย  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะอ้างกฎข้อบังคับราชการส่วนไหนมาปรับใช้ เพราะเป็นธุรกิจเอกชนแต่ใช้เงินราชการ หรือจะอ้างกิจการการสร้างภาพยนตร์มาเป็นต้นแบบ

                 ความจริงต่างๆเหล่านี้ยังมีอีกมาก  กลุ่มของเราพยายามจะหาข้อมูลมานำเสนอเพื่อให้พวกสลิ่มและพวกเสื้อเหลืองที่มีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ได้เกิดสติและเมื่อเห็นข้อมูลเช่นนี้แล้วดูซิว่าพวกเขายังจะกล้าหลอกลวงตัวเองได้อีกต่อไปไหมว่าสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นเรื่องโกหก?
              สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังที่อยู่ในประเทศไทยที่เกี่ยวกับการเสียสละของราชวงศ์ทุกวันนี้เป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงทั้งๆที่พวกลูกหลานของเขาเองกลับไม่เคยเพียงพอที่จะหาเงินด้วยการขูดรีดประชาชนทั้งโดยทางตรงในรูปของการเรี่ยไร และการนำงบประมาณจากภาษีไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวอย่างฟุ่มเฟือย ซึ่งก็เห็นกันตำตาอยู่แต่ไม่ยอมพูดความจริงกัน  แต่หากว่าพวกเขาจะแกล้งโง่และหลอกลวงกันเกี่ยวกับเรื่องเชื้อพระวงศ์เป็นผู้เสียสละกันต่อไปก็ทำไปเถิด แต่ขอให้คิดด้วยว่าจากผลของการยอมจำนนของพวกสลิ่ม และการสอพลอของนักวิชาการที่ขายตัวที่ประสานเสียงโกหกหลอกลวงประชาชนกันต่อไป  และปล่อยให้เกิดการกดขี่ขูดรีดกันเช่นนี้ในที่สุดเมื่อผู้คนยากจนมากยิ่งขึ้นจนอดทนไม่ไหว และท่ามกลางการใส่ร้ายและเกลียดชังกันระหว่างคนทุกข์คนยากที่ถูกมอมเมากันเช่นนี้ในที่สุดก็จะเกิดสงครามและนำมาซึ่งการสูญเสียชีวิตของคนยากจนด้วยกันเอง ขอให้ผู้มีจิตใจเป็นธรรมทั้งหลายโปรดช่วยกันหาทางออกให้แก่สังคมไทยด้วย

เตรียมรับมือ! อุตุฯเตือน 30-31ก.ค. ฝนตกหนักทุกภาค ระวังน้ำท่วมฉับพลัน ดินโคลนถล่ม

Prachachat - ประชาชาติ
เตรียมรับมือ! อุตุฯเตือน 30-31ก.ค. ฝนตกหนักทุกภาค ระวังน้ำท่วมฉับพลัน ดินโคลนถล่ม

นายวันชัย ศักดิ์อุดมไชย อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่ 30-31 กรกฎาคม ประเทศไทยยังคงมีฝนตกชุก..

เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวปไซต์ข่าว ‘เล่าสู่กันฟัง’ ของลาวเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับบริษัทน...ลาวปล่อยน้ำเขื่อนน้ำงึม5 ไทยหวั่นน้ำโขงบึงกาฬ-นครพนม-อุบลสูงขึ้นอีก.

แม่น้ำโขงที่เชียงคาน จ.เลย ยังเพิ่มระดับอย่างต่อเนื่อง