måndag 31 december 2018

ส่งท้ายปีเก่ากับ : สหพันธรัฐไท กับ คุณธิดาแอลเอ ตอน : สังคมใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว

รายการ สหพันธรัฐไท กับ คุณธิดาแอลเอ
ตอน : สังคมใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว
วันเสาร์ ที่ 29 ธันวาคม 2561 เวลา 20.00 น. ประเทศไทย
https://youtu.be/w-UsPadDr1Q
(ยูทูบปลอดภัย กดไลค์/กดแชร์ ทุกคลิ้ปเพื่อสกัดเผด็จการทุกรูปแบบ)...ดูเพิ่มเติม
คลิ้ปสั้นๆ แต่เด็ดขาด ถึงชีวิต - กูมีอำนาจ กูคือคนปฏิว้ติ - หัวใจผู้กล้า -…

ปรัชญาในการต่อสู้กับระบอบกษัตริย์เผด็จการ

ปรัชญาในการต่อสู้กับระบอบกษัตริย์เผด็จการ

โดย ไชยอุดม.

12 ก.ค. 18

การต่อสู้กับระบอบกษัตริย์เผด็จการอันเหี้ยมโหดและป่าเถื่อนภายใต้กษัตริย์ทรราชย์คนปัจจุบันที่ใช้อำนาจทุกอย่างครอบงำสังคมไทยในเวลานี้ 
ก่อนอึ่นเราต้องเริ่มจากแนวความคิดหรือทำความเข้าใจในด้านปรัชญาเสียก่อนว่าความหมายของปรัชญานั้นคืออะไร...

ปรัชญาความหมายง่ายๆคือ โลกทัศน์ โลกทัศน์คือทัศนะของการมองโลก ว่าโลกนี้คืออะไร โลกนี้ก็คือวัตถุที่ดำรงคงอยู่ตามธรรมชาติ มีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา  การให้คำจำกัด
ความสั้นๆของโลกเช่นนี้เป็นการมองโลกแบบวัตถุนิยมที่เป็นจริงคือโลกนี้เกิดขึ้นมาเองและดำรงคงอยู่ตามธรรมชาติไม่มีใครสร้างขึ้น  โลกนี้เป็นสสารหรือวัตถุที่จับต้องสัมผัสได้ 

แต่ยังมีแนวความคิดอีกแนวหนึ่งที่เชื่อว่าโลกนี้พระเจ้าเป็นผู้สร้างขึ้นมา ซึ่งแนวคิดแบบนี้มีความเชื่อว่า มีพระเจ้าอยู่บนสรวงสวรรค์ดลบันดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของพระเจ้าแม้แต่มนุษย์ที่เกิดมาตลอดจนสัตว์สาวาสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้ากำหนดทั้งนั้น แนวความคิดแบบนี้คือแนวความคิดแบบจิตนิยม เป็นแนวคิดแบบเพ้อฝันไม่มีกฏเกณท์ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ผิดหลักของธรรมชาติ

ปรัชญาหรือทัศนะในการมองโลกก็มีสองแนวคิดนี้เองที่กำลังต่อสู้กันอยู่ในโลกของสังคมนุษย์ชาติในเวลานี้ คือแนวความคิดแบบวัตถุนิยมและแนวความคิดแบบจิตนิยม

สมัยก่อนมนุษย์เรายังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฏเกณฑ์ต่างๆของธรรมชาติ ไม่สามารถอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจักรภพนี้ได้   จึงเชื่อเอาอย่างงมงายว่าธรรมชาติและสรรพสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมีสิ่งบันดาลมาจากเบื้องบนเพื่อให้เป็นไปเช่นนั้น  ซึ่งอำนาจจากเบื้องบนนั้นเชื่อกันว่าเป็นอำนาจของพระเจ้า  หรืออำนาจของพวกเทวาอารักษ์  พวกเจ้าโคตรเจ้าตระกูลทั้งหลาย  ผู้ที่เป็นหัวหน้าสังคมที่ถูกเลือกขึ้นในยุคของสังคมบุพกาลเพื่อให้เป็นตัวแทนในการทำพิธีทางไสยศาสตร์นั้น   ต่อมาก็ได้ตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์  หรือจักรพรรดิ์ ปกครองอยู่ตามดินแดนหรือในแค้วนต่างๆ  บุคคล เหล่านี้ได้ตั้งตนเองขี้นเป็นตัวแทนของพระเจ้า  อ้างว่าพระเจ้าส่งตนลงมาจุติในโลกมนุษย์ หรือเป็นตัวแทนมาจากเบื้องบน ที่สวรรค์ส่งลงมาเพื่อโปรดมนุษย์ และอ้างว่าได้รับอำนาจมาจากสรวงสวรรค์ให้มาปกครองมนุษย์  เช่นจีนในสมัยโบราณมีความเชื่อกันว่าจักรพรรดิ์เป็นโอรสของพระเจ้าส่งลงมาจากสวรรค์  ประเทศญี่ปุ่นสมัยเก่าก็เชื่อกันว่าจักรพรรดิ์เป็นโอรสของพระอาทิตย์มาเกิดเป็นต้น

ความเชื่อเช่นนี้คือต้นเหตุของแนวความคิดที่ทำให้กษัตริย์หรือจักรพรรดิ์ในประเทศต่างๆคิดเอาเองว่า  สรรพสิ่งทั้งหลายทุกอย่างในโลกนี้เช่น ที่ดิน  คนและสัตว์เป็นสมบัติของตนทั้งหมด  
ในประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยายังปรากฏในกฏหมาย  “ ตราสามดวง“ว่า  “ ที่ดินทั้งหลายในแคว้นศรีอยุธยาเป็นของพระเจ้าอยู่หัวโดยพระบรมเดชานุภาพ “  ระบอบศักดินา จึงเกิดขึ้น  อำนาจการปกครองทุกอย่างอยู่ในมือของผู้เป็นหัวหน้าของสังคมแต่ผู้เดียว 
กษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ สามารถใช้อำนาจได้โดยไม่จำกัดขอบเขต  อำนาจเผด็จการโดยสมบูรณ์ของกษัตริย์ก็เกิดขึ้น   ต่อมากษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ ยังได้ตราเป็นกฏหมายขึ้นอีกว่า เมื่อตัวเองตายลงก็ให้ลูกหรือญาติที่สนิทของตนรับช่วงเป็นผู้สืบทอดวงศ์ตระกูลปกครองประเทศสืบต่อไป เป็นการสืบทอดราชสันติวงค์ต่อไปอีกเป็นทอดๆ ดังที่เห็นกันอยู่ในสังคมไทยในเวลานี้

สำหรับในต่างประเทศที่เจริญแล้วระบอบกษัตริย์ได้ถูกโค่นล้มลงไปหมดแล้ว เช่น จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส เยอรมันนี เวียตนาม ลาว พม่า หรือ เมียนม่า ฟีลแลนด์  ฯลฯ เป็นต้น ส่วนประเทศที่มีประชาธิปไตยที่ยังมีระบอบกษัตริย์เหลืออยู่กษัตริย์เหล่านั้้นก็อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ   โดยอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชนและปวงชนเป็นผู้ใชัอำนาจนั้นปกครองประเทศ เช่น เบลเยี่ยม อังกฤษ สวีเด็น นอรเวย์ เด็นมารค์
สำหรับประเทศไทยกษัตริย์อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ อำนาจทุกอย่างรวมศูนย์อยู่ที่กษัตริย์วชิราลงกรณ์แต่ผู้เดียว ดังนั้นวชิราลงกรณ์คือกษัตริย์เผด็จการ ไม่มีคุณงามความดีอะไรที่จะเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศ ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน

เพื่อความอยู่รอดเขาจึงดิ้นรนทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสร้างภาพให้ตัวเอง ด้วยการมอมเมาโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ โดยอาศัยสื่อสารมวลชนและเครือข่ายต่างๆของรัฐที่เขามีอำนาจครอบงำอยู่ในเมืองไทยโหมโฆษณาสร้างภาพด้านเดียวเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นจากความเลวทรามของตัวเองให้ประชาชนสนใจไปทางอื่นเช่นการสร้างภาพเด็ก 13 คนติดในถ้ำหลวง เป็นการก่อกระแสอย่างใหญ่โตที่เกินกว่าเหตุกระจายข่าวไปทั่วโลก   พวกเจ้าพยายามสร้างภาพให้กับตนเองว่าเขาคือพระเจ้าที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ธรรมดา   เป็นบุคคลพิเศษที่จะใช้อำนาจทำอะไรกับใครก็ได้แม้แต่กับลูกเมียตัวเอง

ซึ่งวิธีการหรือแนวความคิดแบบนี้  เป็นหลักวิธีคิดแบบจิตนิยมที่มีมาจากสังคมของระบบทาส   โดยเอาจิตของตนไปกำหนดเอากับวัตถุหรือสิ่งของอื่นตามใจชอบโดยไม่คำนึงถึงหลักความเป็นจริง เพราะความเป็นจริงนั้นคือ มนุษย์ในโลกนี้เกิดมาเหมือนกันหมดต่างกันเพียงแต่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชายแต่เนื้อหาหรือธาตุแท้ของมันก็คือมนุษย์ธรรมดา เป็นวัตถุหรือสสารที่เคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงได้   มนุษย์เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติไม่ใช่พระเจ้าเป็นผู้สร้างมา สิ่งแวดล้อมและสภาพการเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งกำหนดความคิดของมนุษย์  ไม่ใช่เทวดาหรือเทวาอาลักษ์ที่ใหนอย่างที่พวกเจ้าเขาคิดหรือสร้างภาพให้คนเชื่อ  แนวความคิดของพวกเจ้าคือแนวความคิดแบบจิตนิยม  โดยสร้างภาพสมมุติตนเองเป็นเทวดาให้คนเคารพกราบไหว้บูชา   ทำตัวเป็นตัวแทนของพระเจ้า เพื่อตัวเองจะได้ปกครองคนอื่นได้

ดังนั้นกษัตริย์และครอบครัวของเขาจึงไม่ใช่พวกเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไร การใช้ศรรพนามเรียกบุคคลเหล่านั้นว่า "พระเทพฯ ฟ้าหญิง  ฟ้าชาย" เป็นเพียงการสร้างภาพให้แก่พวกเขาเองเป็นการสมมุติให้ดูว่าพวกเขาเป็นคนพิเศษเท่านั้น   ถ้าเราไม่เอาจิตไปกำหนดโดยคิดไปเอง หรือเชื่ออย่างงมงายว่าพวกคนเหล่านั้นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว  พวกเขาเหล่านั้นก็เป็นเพียงคนปกติธรรมดาและไม่มีอะไรเกิดขึ้น    ทุกอย่างอยู่ที่จิตของเรา ธาตุแท้ของมนุษย์ก็คือวัตถุหรือสสารที่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้ มีการเกิด การพัฒนา และดับสูญไปตามกฏของธรรมชาติเท่านั้น

เราอย่าเอาจิตไปกำหนดวัตถุโดยคิดไปเองตามการโฆษณาชวนเชื่อของพวกเขา เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าโลกนี้คือวัตถุเราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้   เช่นถ้าเราต้องการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเราก็ต้องศึกษาหรือค้นขว้าหาข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับแม่น้ำเสียก่อนจึงลงมือสร้างไม่ใช่เอาจิตไปกำหนดหรือคิดไปเองให้เกิดสะพานขึ้นมา ถ้าเราต้องการเปลี่ยนสังคมเราก็ต้องศึกษาให้เข้าใจสังคมนั้นเสียก่อนว่าเป็นสังคมอะไร เช่นสังคมไทยเป็นสังคมกษัตริย์เผด็จการ ถ้าเราต้องการเปลี่ยนให้เป็นสังคมประชาธิปไตยก็ต้องโค่นล้มระบอบกษัตริย์เผด็จการนั้นลงแล้วสร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาแทนซึ่งนี้คือหลักความจริงตามธรรมชาติที่มนุษย์เรามีสิทธิ์จะกระทำได้ซึ่งในหลายประเทศได้ทำสำเร็จมาแล้ว

ดังนั้นทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเราต้องปลดปล่อยตัวเราเองก่อนโดยเริ่มจากแนวความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์มองโลกจากหลักของความเป็นจริงตามหลักของธรรมชาติ มีสติเริ่มต้นจากจิตของเราว่าเราจะสู้หรือไม่สู้ถ้าเราตัดสินใจจะสู้ก็ต้องศึกษาค้นหาวิธีการต่อสู้ และต้องรู้ว่าสู้กับใคร ใครคือศัตรูใครคือมิตร  อย่าลืมว่าประชาชนที่ถูกกดขี่เป็นพลังส่วนมากของสังคมถ้าเราตัดสินใจได้และพร้อมใจกันลุกขึ้นสู้โดยการปฏิเสธไม่ยอมรับระบอบกษัตริย์เผด็จการเท่านั้นพวกมันก็อยู่ไม่ได้.

กษัตริย์ที่ไม่สมควรเป็นกษัตริย์

รัชกาลที่ ๑๐ กษัตริย์ที่ไม่สมควรเป็นกษัตริย์


โดย แสงตะวัน


ถ้าอ้างตามความหมายของ Saint-Just ที่อธิบายไว้ว่า " กษัตริย์นั้นเป็นทรราชโดยธรรมชาติและเป็นอาชญากรรมชั่วนิรันดร  นั้น...
"กษัตริย์ใหม่ที่ชื่อวชิราลงกรณ์เหมาะสมที่สุดตรงตามคำอธิบายของ Saint-Just ที่กล่าวไว้ " ...
Saint-Just อธิบายว่า กษัตริย์นั้นเป็นทรราชโดยธรรมชาติและโดยตัวของมันเอง เราไม่ต้องพิจารณาเลยว่าการกระทำของกษัตริย์หรือการบริหารราชการแผ่นดินของ กษัตริย์มีความผิดทางอาญาหรือไม่ ถ้ากษัตริย์เป็นทรราช   นั่นไม่ใช่เพราะความผิดจากการบริหารราชการแผ่นดินของเขา แต่เขาเป็นทรราชก็ด้วยลักษณะของความเป็นกษัตริย์นั่นแหละ 
 

Saint-Just เสนออย่างชาญฉลาดว่า การที่กษัตริย์ยึดครองอำนาจสูงสุดของประชาชนไปใช้เอง นั่นแสดงให้เห็นว่าลักษณะของความเป็นกษัตริย์เป็นอาชญากรรมนิรันดร (crime éternel) ต่อประชาชน มนุษย์จึงย่อมมีสิทธิสมบูรณ์ในการลุกขึ้นสู้และติดอาวุธ   Saint-Just อธิบายว่า ไม่มีใครสามารถครองราชย์ได้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะ กษัตริย์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นกบฏและเป็นผู้แย่งชิง (usurpateur) อำนาจของประชาชนไป "
ยิ่งถ้าเรานึกถึงปริบทของอำนาจและอภิสิทธิ์มหาศาลที่กษัตริย์มีเหนือสังคมไทย ทั้งทางกฎหมายและการเมือง (ทั้งที่เคยมีอยู่นานแล้ว และที่กษัตริย์องค์นี้สร้างเพิ่มขึ้นในรัฐธรรมนูญ และในกฎหมายราชการในพระองค์ล่าสุด) ทางเศรษฐกิจ (ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และงบประมาณที่รัฐทุ่มเทในการรักษาและโปรโมตสถาบันกษัตริย์) และทางวัฒนธรรมสังคม (การโฆษณาเชิดชูสถาบันกษัตริย์ทุกวันทางสื่อและระบบการศึกษา)ลักษณะสิ้นเปลืองสูญเปล่า การมีอภิสิทธิ์และอำนาจอย่างไร้ความรับผิดชอบ อยู่ในระดับที่เหลือเชื่อและยากจะพบได้ในโลกสมัยใหม่ศตวรรษนี้มากขนาดไหน ก็ลองประเมินกันดู " ( คัดจากบทความ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล )
วชิราลงกรณ์เป็นคนสั่งให้ประยุทธ์ยึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษ์ เมื่อวันที่ 22 พ.ค 2557 ขณะที่ภูมิพลป่วยหนักนอนรอวันตายซึ่งไม่สามารถสั่งการทำอะไรได้     หลังจากภูมิพลตายลง 13 ต.ค. 2559
 

ต่อมาวชิราลงกรณ์ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 10 ได้รวบอำนาจทุกอย่างไว้ในมือและเพิ่มอำนาจทุกอย่างให้แก่ตนเองยิ่งกว่ารัชกาลที่ 9 ผู้เป็นพ่อเสียอีก    เวลานี้เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปในสังคมไทยและทั่วโลกว่าวชิราลงกรณ์คือกษัตริย์จอมเผด็จการที่มีจิตวิตถาร โมโหร้ายเหี้ยมโหดผิดมนุษย์   ประพฤติตัวไม่เหมาะสมที่จะเป็นประมุขของรัฐ เป็นอันตรายต่อชาติ เป็นภัยต่อสังคม  ผลาญเงินภาษีของชาติไปปีละมากมายมหาศาลทำตัวเป็นอันธพาลแห่งชาติ ใช้ชีวิตอย่างเสเพลอยู่ในต่างประเทศ... ฯลฯ
 

ดังนั้นประเทศไทยและประชาชนชาวไทยจึงไม่มีความจำเป็นที่จะมีกษัตริย์เผด็จการทรราชอย่างวชิราลงกรณ์   ระบอบกษัตริย์เผด็จการทรราชได้ถูกโค่นล้มลงไปแล้วตั้งแต่ปี 2475 ประชาชาติไทยและสังคมไทยจะต้องพัฒนาก้าวไปข้างหน้าสู่ประชาธิปไตย  สู่สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ความเท่าเทียมกันของการเป็นมนุษย์ ไม่ใช่จะให้อยู่ใต้ตีนของกษัตริย์ทรราช.จึงเป็นสิทธิและหน้าที่โดยชอบธรรมของพี่น้องชาวไทยทุกคนที่จะลุกขึ้นมาโค่นล้มระบอบเผด็จการกษัตริย์นี้ลง แล้วให้การสนับสนุนการก่อตั้งสหพันธ์รัฐไทตามแนวนโยบายที่ทางสหพันธ์รัฐไทได้ก่อตั้งขึ้นโดยอำนาจทุกอย่างมาจากประชาชนเป็นของประชาชน เพื่อประชาชน และประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจนั้น  เมื่อประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจรัฐแล้วก็จะสามารถบริหารประเทศชาติเพื่อผลประโยขน์ของประชาชนในสังคมตามหลักแห่งความเสมอภาค และความเป็นธรรม มีระบบการตรวจสอบได้ มีระบบการเลือกตั้งที่ยุติธรรมตามระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง

สถาบันกษัตริย์ไทยต้องพังครืนจบสิ้นลงไปเหมือนกับประเทศเนปาล

สถาบันกษัตริย์ที่มีอายุยาวนานนับร้อยปีต้องพังครืนจบสิ้นลงไป

สถาบันกษัตริย์ "เนปาล" ที่มีอายุยาวนาน 240 ปี
    ต้องพังครืนจบสิ้นลงไป

บัลลังก์เลือด-กษัตริย์ คยาเนนทราเป็นสมมุติเทพตามความเชื่อของศาสนาฮินดู พระองค์ทรงเข้ารับราชสมบัติต่อจากพระเชษฐาที่สวรรคตในเหตุนองเลือดใน พระราชวัง มีเสียงลือซุบซิบในหมู่ผู้ต่อต้านว่าพระองค์อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุ การณ์น่าสพรึงนี้
จู่ๆเฉพาะการเข้าแทรกแซงการเมือง คว่ำรัฐบาลจากการเลือกตั้งของประชาชน คงไม่น่ามีผลสะเทือนให้พระราชวงศ์ที่ยืนยาว240ปีต้องถึงกาลอวสาน แต่มันมีเรื่องซุบซิบอื่นๆในเรื่องพระราชจริยาวัตรส่วนพระองค์ และข่าวอัปมงคลต่างๆที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกของสาธารณชนด้วย 2ในข่าวซุบซิบนั้นเป็นเรื่องเล่าลือกันว่าอาจทรงเกี่ยวพันกับการสังหารพระ เชษฐาเพื่อหวังในราชสมบัติ กับทรงมีพระโอรสที่เป็นเพลย์บอย ไม่เป็นที่นิยมของพสกนิกรชาวเนปาลอีกด้วย
ตามคติความเชื่อดั้งเดิมของฮินดู ทรงเป็นสมมติเทพมาปราบยุคเข็ญ ชาวเนปาลเชื่อว่าแท้จริงแล้วกษัตริย์คือปางอวตารของวิษณุเทพ อันเป็นคติแต่โบราณของผู้คนในชมพูทวีป

อดีตกษัตริย์คยาเนนทรา ประสูติเมื่อ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2490 ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนของชาวคริสต์ในเมืองดาจีลิง (Darjeeling) ประเทศอินเดีย พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2544 ต่อจากกษัตริย์พิเรนทรา (King Birendra Bir Bikram Shah Dev) ผู้เป็นพระเชษฐา ซึ่งครองราชย์ตั้งแต่ปี 2515 ก่อนจะสิ้นพระชนม์ในเหตุการณ์ ‘สังหารโหดในพระราชวัง’ (the Palace Massacre) ในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2544 ที่เจ้าชายดิเพนทราพระโอรสซึ่งเสวยน้ำจัณฑ์จนเมามายได้กราดยิงพระองค์และพระ บรมวงศานุวงศ์รวม 10 พระองค์จนสิ้นพระชนม์ก่อนที่เจ้าชายดิเพนทราจะปลงพระชนม์ตัวเองตาม

โดย พื้นฐานทางการเมืองของเนปาลเองปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็น เวลายาวนาน ก็เพิ่งจะมีประชาธิปไตยหลังจากขบวนการ ‘จัน อันโดลัน’ (Jan Andolan Movement) หรือแปลเป็นไทยว่าขบวนการประชาชน ได้บีบให้กษัตริย์พระองค์ก่อนคือพิเรนทรายอมปฏิรูปการเมือง และพระราชทานรัฐธรรมนูญในเดือนพฤษภาคมปี พ.ศ.2534 ทำให้เนปาลมีรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีกิริยา ปราสาท กัวราลา (Girija Prasad Koirala) จากพรรคคองเกรสเนปาล (Nepali Congress Party) ชนะการเลือกตั้งเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี

แต่การเมืองเนปาลก็ เข้าสู่สภาพไร้เสถียรภาพ เพราะเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพของรัฐบาล กับพรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (เหมาอิสต์) หรือกบฏลัทธิเหมานำโดยสหายประจันดา (Prachanda) ที่จับอาวุธสู้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 จนฝ่ายกบฏมีฐานที่มั่นอยู่ใน 50 จังหวัดจาก 75 จังหวัดของเนปาล และสงครามกลางเมืองก็ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 12,500 ราย

เมื่อ เกิดเหตุการณ์ ‘สังหารโหดในพระราชวัง’ (the Palace Massacre) และกษัตริย์คยาเนนทราทรงขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ.2544 การเมืองเนปาลก็ยิ่งไร้เสถียรภาพเข้าไปอีก เพราะพระองค์อ้างเหตุความไม่สงบในเนปาลเข้าแทรกแซงการเมืองระบอบรัฐสภาอันมี พระมหากษัตริย์เป็นประมุข

อาทิทำการปลด และแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีด้วยพระองค์เองรวม 5 ครั้งช่วงปี 2544 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ก่อนที่พระองค์จะยึดอำนาจการปกครองของเนปาลมาอยู่ที่พระองค์เองในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 โดยพระองค์อ้างเหตุผลการยึดอำนาจว่าเพราะนายกรัฐมนตรีคนก่อนบริหารราชการ แผ่นดินบกพร่องในเรื่องการเตรียมการเลือกตั้ง และไม่สามารถสร้างความสงบเรียบร้อยขึ้นมาในบ้านเมืองได้ โดยพระองค์สัญญาว่าจะคืน “ความสงบเรียบร้อยและประชาธิปไตยที่มีประสิทธิภาพ” ภายในเวลา 3 ปี

นอก จากนี้พระองค์ยังตัดสินพระทัยจำกัดเสรีภาพของประชาชนรวมไปถึงเสรีภาพในการนำ เสนอของสื่อมวลชน มีการจับกุมนักการเมือง นักเคลื่อนไหวที่เห็นต่างจากพระองค์ ทำให้องค์กรสิทธิมนุษยชนและองค์กรประชาธิปไตยในประเทศกังวลต่อสถานการณ์ใน เนปาลโดยเฉพาะกับนักข่าวและนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนของเนปาล แต่กษัตริย์คยาเนนทราก็ทรงตอบโต้องค์กรต่างประเทศเหล่านั้นว่า “ประชาธิปไตยและเสรีภาพที่ก้าวหน้าทั้งหลายจำเป็นน้อยกว่าการฟื้นฟูความสงบ เรียบร้อยภายในประเทศ!”

นอกจากความไม่พอใจในตัวกษัตริย์เนปาลจะเกิด เพราะการเข้ายึดอำนาจของกษัตริย์คเยนทราแล้ว สิ่งที่ช็อกความรู้สึกชาวเนปาลอีกประการหนึ่งคือการที่คณะลูกขุนของรัฐบาล ตัดสินว่าเจ้าชายดิเพนทรา (Prince Dipendra) พระโอรสของกษัตริย์พิเรนทรา กษัตริย์พระองค์ก่อน ซึ่งยิงพระองค์เองเสียชีวิต ได้เป็นฆาตกรสังหารพระราชบิดา และพระบรมวงศานุวงศ์ในเหตุการณ์สังหารโหดในพระราชวังปี 2544 ครั้งนั้น แต่สำหรับเรื่องนี้เป็นการยากที่จะให้ชาวเนปาลทำใจเชื่อได้ แถมกบฏลัทธิเหมายังกระพือข่าวว่ากษัตริย์คยาเนนทราผู้สืบราชสมบัติต่อนั่น แหละเป็นตัวการในการสังหารโหดครั้งนั้น

กระแสข่าวทางลบในลักษณะ นี้ต่อกษัตริย์คยาเนนทรายังคงแพร่กระจายไปทั่วเนปาล ผู้คนต่างตั้งคำถามว่ากษัตริย์คยาเนนทราหนีออกจากพระราชวังได้อย่างไรในวัน ที่เหตุฆาตกรรมหมู่เกิดขึ้น และพระราชโอรสพระองค์เดียวของพระองค์ คือเจ้าฟ้าชายพาราช (Prince Paras) หลบออกจากพระราชวังไปได้อย่างไรโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่รอยขีดข่วน!?

และ ยิ่งเจ้าฟ้าชายพาราช ผู้จะสืบทอดราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา และสืบราชสมบัติแห่งราชวงศ์ชาห์กลับมีนิสัยชอบขับรถซิ่ง และความเจ้าสำราญที่ชาวเนปาลขนานนามพระองค์ว่า “The playboy” ยิ่งทำให้ความนิยมของประชาชนต่อเจ้าชายพาราชผู้สืบทอดราชสมบัติของราชวงศ์ชา ห์ และทำให้กษัตริย์คยาเนนทราไม่เป็นที่นิยมชนิดร้าวลึก


ประมาณการณ์ผิดเป็นเหตุให้ถึงกาลอวสานอย่างอัปยศ

 ทรงสำคัญผิด-การ ยึดกุมอำนาจในกองทัพไว้ได้ และมีผู้นำเหล่าทัพที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย กอรปกับการประชาสัมพันธ์ชวนเชื่อให้ประชาชนได้เห็นแต่ด้านดีของระบบกษัตริย์ ทำให้พระองค์ทรงประเมินสถานการณ์ผิดพลาด

พันธมิตรแห่งแนวต้านอำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์

 การที่พระองค์ประมาณสถานการณ์ผิดว่าสามารถยึดกุมกองทัพเอาไว้ ถึงขั้นล้มรัฐบาลหลายคณะ และที่สุดรวบพระราชอำนาจมาไว้ที่พระองค์เสียเอง กับเชื่อมั่นว่าการประชาสัมพันธ์แต่ด้านบวกให้พสกนิกรชาวเนปาลเทิดทูนก็ เพียงพอแล้ว และหวังว่าจะทำสงครามเอาชนะพวกกบฎคอมมิวนิสต์ได้ พระองค์ก็จะกลายเป็นวีรบุษผู้ยิ่งใหญ่ของชาติ ทั้งหมดนี้ทำให้ราชวงศ์เดินทางมาถึงจุดจบ..เพราะสิ่งที่พระองค์ไม่ได้นำมา ประเมินเลยก็คือ พลังของประชาชนผู้กระหายประชาธิปไตย และการปกครองโดยประชาชน
 ท่ามกลางอำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์ในประเทศ ต่อมาในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2548 พันธมิตร 7 พรรคการเมืองเของเนปาล (Seven Party Alliance - SPA) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองในสภาร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (เหมาอิสต์) หรือกบฏลัทธิเหมา ได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรบันทึกข้อตกลง 12 ประการเพื่อสันติภาพและประชาธิปไตย เพื่อต่อต้านการปกครองของกษัตริย์คยาเนนทราซึ่งทำให้เกิดฝ่ายต่อต้านการ ปกครองของกษัตริย์ขยายตัวออกไปทั่วประเทศ

การต่อต้านพระราชอำนาจได้ ถึงจุดปะทะเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2549 พันธมิตร 7 พรรคการเมืองจัดการชุมนุมในกรุงกาฐมาณฑุ เรียกร้องประชาธิปไตย และคว่ำบาตรการเลือกตั้งท้องถิ่นที่กษัตริย์คยาเนนทราได้จัดขึ้นในเดือน กุมภาพันธ์ เนื่องจากเห็นว่าการเลือกตั้งดังกล่าวเป็นเพียงมายาภาพที่แสดงให้เห็นว่านี่ เป็นก้าวแรกสู่ประชาธิปไตยเพื่อสร้างความชอบธรรมในการกุมอำนาจเบ็ดเสร็จของ พระองค์ที่ดำเนินมากว่า 1 ปี

โดยรัฐบาลพยายามสกัดการชุมนุมของ ประชาชนด้วยการประกาศเคอร์ฟิวห้ามออกจากบ้านในยามวิกาลในเขตเมืองหลวงและบาง พื้นที่ของเนปาล ห้ามการชุมนุมสาธารณะ มีการตัดสัญญาณโทรศัพท์และคุกคามผู้ออกมาต่อต้านการเลือกตั้งดังกล่าว ทำให้การชุมนุมเลื่อนจากวันที่ 20 มกราคม มาเป็นอีกวันหนึ่ง


โดย ในวันที่ 21 มกราคม มีการเดินขบวนท้าทายอำนาจของกษัตริย์ครั้งใหญ่โดยประชาชนหลายพันคน ทำให้รัฐบาลของกษัตริย์คยาเนนทราใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรง จนมีผู้นำพรรคการเมือง นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ผู้นำแรงงาน นักศึกษา และนักหนังสือพิมพ์ถูกจับกุมหลายร้อยคน ขณะที่ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ตอบโต้ด้วยการขว้างปาก้อนหินใส่ตำรวจและทหาร พร้อมเผายางรถยนต์เป็นเครื่องกีดขวาง ซึ่งการปราบปรามครั้งนั้นทำให้การชุมนุมต่อต้านกษัตริย์ปะทุไปทั่วประเทศ

การประท้วงใหญ่เดือนเมษายน และการสละพระราชอำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์

ใน เดือนเมษายน 2549 ภายใต้การนำของพันธมิตร 7 พรรคการเมืองเนปาล (Seven Party Alliance - SPA) และกบฏลัทธิเหมาได้มีการต่อต้านครั้งใหญ่เพื่อทวงประชาธิปไตยคืนมาจาก กษัตริย์ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน มีการนัดหยุดงานทั่วประเทศเป็นเวลา 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน และจัดการชุมนุมใหญ่ในเมืองหลวงวันที่ 8 เมษายน ตามด้วยการดื้อแพ่งด้วยการหยุดจ่ายภาษี เช่นเดียวกับการประท้วงหลายต่อหลายครั้ง

รัฐบาลได้ประกาศเคอร์ฟิว ห้ามไม่ให้ประชาชนออกมาชุมนุม แต่การชุมนุมประท้วงกลับขยายตัวไปตามเมืองใหญ่ๆ ตลอดทั้งเดือน ทำให้รัฐบาลพยายามควบคุมสถานการณ์ด้วยการใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดสลายการ ชุมนุมกระทั่งมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก จำนวนผู้ออกมาประท้วงเฉพาะในเมืองหลวงพุ่งสูงกว่า 300,000 - 500,000 คน

และ ในวันที่ 21 เมษายนกษัตริย์คยาเนนทราได้มีพระราชดำรัสว่าจะทรงคืนอำนาจบริหารให้แก่ ประชาชน และจะจัดการเลือกตั้งใหม่ให้เร็วที่สุด รวมทั้งขอให้กลุ่มพันธมิตรฯ เสนอชื่อชื่อบุคคลที่เหมาะสมในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

แต่กลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มกบฏลัทธิเหมาปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว พร้อมกับนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งในวันที่ 25 เมษายน

กระทั่ง เที่ยงคืนของวันที่ 24 เมษายน กษัตริย์คยาเนนทราได้ยอมประกาศคืนอำนาจให้ประชาชนผ่านสถานีโทรทัศน์ว่า พระองค์จะฟื้นฟูสภาผู้แทนราษฎรที่ล้มเลิกไปและขอให้พรรคการเมืองทั้ง 7 พรรคกลับมาร่วมรับผิดชอบดูแลประเทศชาติ เพื่อประชาธิปไตยและสันติภาพของชาวเนปาล ทำให้วันรุ่งขึ้นชาวเนปาลจำนวนมากออกมาชุมนุมแสดงความยินดีต่อชัยชนะของ ประชาชนตามท้องถนน

ตลอดการประท้วงใหญ่ 19 วัน มีการปราบปรามโดยกองกำลังรัฐบาลจนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 19 คน และผู้บาดเจ็บนับพันคน ด้วยเหตุนี้ระหว่างประท้วงจึงทำให้มวลชนตามท้องถนนเผาหุ่นของกษัตริย์และ ประณามกษัตริย์คเยนทราว่าเป็น “ฆาตกร”

ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาบสูญ

ทำไมราชวงศ์ชาห์อันเป็นศูนย์รวมใจเนปาลทั้ง ชาติถูกโค่นล้มลงไป
ความศรัทธาในตัวพระองค์เสื่อม ถอยลง หลังพระองค์ทรงเข้าแทรกแซงการเมือง โดยยึดอำนาจเบ็ดเสร็จมาจากรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้ง 
ฉาก สุดท้ายของพระราชวงศ์ชาห์แห่งเนปาลเป็นไปอย่างอัปยศ รัฐบาลใหม่ของเนปาลเตือนให้กษัตริย์คยาเนนทราต้องออกจากพระราชวังในวันที่ 28 พฤษภาคม2551 หลังสมัชชาแห่งชาติเปิดประชุมครั้งแรก พร้อมคำประกาศเลิกสถาบันกษัตริย์ ถือเป็นการสิ้นสุดทั้งราชวงศ์ชาห์แห่งเนปาลที่ปกครองประเทศมายาวนานถึง 239 ปี และระบอบกษัตริย์ในประเทศนี้ไปพร้อมๆกัน

พระองค์ทรงมีพระราชขัตติ ยะมานะ เพราะเลยเส้นตายของรัฐบาลสาธารณรัฐล่วงไปถึง 11 มิถุนายน 2551 กษัตริย์คยาเนนทราจึงพร้อมด้วยพระราชินีของพระองค์เสด็จออกจากพระราชวัง เพื่อไปประทับ ณ พระตำหนักนิรมาลนิวาส พระตำหนักส่วนพระองค์ โดยมีชาวเนปาลที่ต่อต้านพระองค์มากลุ้มรุมส่งเสียงโห่ไล่ และเต้นรำเฉลิมฉลองกันสุดเหวี่ยง

ราชวงศ์ชาห์ ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ชาวเนปาลเคยนับถือดั่งเทพเจ้าของศาสนาฮินดู ได้กลายเป็นตำนาน หลังสภาร่างรัฐธรรมนูญ ประกาศให้เนปาลเป็นประเทศสาธารณรัฐอย่างเป็นทางการ ในการประชุมนัดแรกในวันที่ 28พฤษภาคม 2551

ชะตากรรมของอดีตกษัตริย์ คยาเนนทราหลังจากนั้นก็คือ การไฟฟ้าของเนปาลได้จัดส่งบิลไปเก็บค่าไฟฟ้าที่คิดค้างไว้ราว 40 ล้านบาท โดยบอกว่าทรงติดไว้นับแต่ปี2548เป็นต้นมา

และไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่จะ ถูกล้มล้าง พระองค์ได้ไปปรากฎตัวต่อสาธารณชนอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยครั้ง โดยทรงเข้าร่วมพิธีทางศาสนาที่วัดแห่งหนึ่งทางใต้ของกรุงกาฏมาณฑุ เพื่อทำพิธีเชือดแพะบูชายัญ หวังจะต่ออายุพระราชวงศ์ ทว่าไม่เป็นผลใดๆ

มี รายงานว่า พระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ ถูกปลดออกจากฝาตามร้านรวงต่างๆ รวมทั้งถูกถอดออกจากธนบัตร ขณะที่คำว่า "Royal"ก็ถูกลบออกจากชื่อของกองทัพ รวมทั้งสายการบินแห่งชาติ และรัฐบาลได้งดจ่ายเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายของพระองค์ปีละ 3 ล้าน 1 แสนดอลลาร์ และยึดวัง 10 แห่งของราชวงค์คืน

กษัตริย์คยาเนนทรา ทรงขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระเชษฐา คือกษัตริย์พิเรนทรา ที่ถูกเจ้าชายทิเพนทรา มกุฎราชกุมาร ปลงพระชนม์พร้อมด้วยพระราชวงศ์เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2544 แต่ความศรัทธาในตัวพระองค์เสื่อมถอยลง หลังพระองค์ทรงเข้าแทรกแซงการเมือง โดยยึดอำนาจเบ็ดเสร็จมาจากรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้ง และให้คำมั่นว่าจะบดขยี้กลุ่มกบฎลัทธิเหมาด้วยพระองค์เอง แต่ถูกกระแสต่อต้านจากประชาชนจนต้องทรงยอมคืนอำนาจให้กับประชาชนในที่สุด

แต่ ชาวเนปาลกลับไปไกลกว่านั้น คือให้ล้มเลิกระบบกษัตริย์ และเปลี่ยนไปเป็นสาธารณรัฐแทน


จุดพลุไล่-ชาว เนปาลออกมาเต้นรำเฉลิมฉลองการที่รัฐสภาลงมติยกเลิกระบบกษัตริย์ สิ้นสุดราชวงศ์ชาห์อายุยาวนาน 240 ปี และเปิดศักราชใหม่ของระบบสาธารณรัฐ เมื่อ28พ.ค.2551

ภายหลังจากที่สภาถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ นายกิริยา ปราสาท กัวราลา อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคคองเกรสเนปาล ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว โดยเขาสัญญาว่าจะจัดการเลือกตั้งคณะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามข้อเรียกร้อง ของประชาชน

ต่อมาอดีตรัฐมนตรี 5 คนที่ทำงานให้กษัตริย์คยาเนนทราก็ถูกจับกุม และสอบสวนกรณีใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนที่ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย นอกจากนี้รัฐบาลชุดใหม่และสภาผู้แทนราษฎรยังได้ดำเนินการลดทอนพระราชอำนาจ อย่างต่อเนื่องทำให้ฐานะของสถาบันกษัตริย์เนปาลกลายเป็นประมุขของประเทศแต่ ในทางพิธีกรรม (Ceremonial Monarchy) เท่านั้น เช่น ห้ามมิให้กษัตริย์มีอำนาจสั่งการกองทัพอีกต่อไป ทั้งนี้กองทัพเคยมีบทบาทในการช่วยกษัตริย์คยาเนนทรายึดอำนาจด้วยการกราบ บังคมทูลเชิญกษัตริย์คยาเนนทราขึ้นสู่อำนาจการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิ ราชย์ การจับนายกรัฐมนตรีและผู้นำพรรคการเมืองต่างๆ ในขณะนั้น มีการเปลี่ยนชื่อกองทัพจากกองทัพในพระมหากษัตริย์เนปาล (Royal Nepalese Army) มาเป็นกองทัพแห่งชาติเนปาล (Nepalese Army)

แถมเพลงชาติเนปาลซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ขึ้นต้นในทำนองว่า “ขอพระบารมีปกเกล้า, เป็นขวัญอธิปไตย เธอชาวเนปาลผู้กล้า มีมหาราชาธิราชเป็นกษัตริย์ของเรา...” ก็ถูกเปลี่ยนอีกด้วย

ที่ สำคัญหลังการประท้วงครั้งใหญ่ในเดือนเมษายนก็ทำให้กษัตริย์คยาเนนทราก็ไม่ ค่อยปรากฏพระองค์ในสถานที่สาธารณะ รถนำขบวนพระราชวงศ์ซึ่งการเสด็จครั้งหนึ่งต้องปิดถนน และทำให้รถติดในเมืองหลวงเป็นกินนานหลายชั่วโมง รวมทั้งการเสด็จแปรพระราชฐานไปยังชนบทด้วยเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งก็ถูกยก เลิก

เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการโดดเดี่ยวกษัตริย์คยาเนนทรา ในงานเฉลิมพระชนมพรรษา ก็ไม่มีเด็กนักเรียนเป็นจำนวนมาก มาร่วมงานฉลองเหมือนอย่างเคย แถมรัฐมนตรีในรัฐบาลก็ไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงดังกล่าว

ที่สุดแล้ว รัฐสภาเนปาลได้ประกาศยกเลิกระบบกษัตริย์ลงอย่างเด็ดขาด และเปลี่ยนประเทศเป็นระบบสาธารณรัฐ และยื่นคำขาดให้อดีตกษัตริย์ทรงออกจากพระราชวัง เพื่อนำไปทำเป็นพิพิธภัณฑ์ และเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวเนปาล

ใน ที่สุดนายคยาเนนทรา อดีตกษัตริย์เนปาลได้ออกจากพระราชวังในวันที่ 11 มิถุนายน 2551 โดยนั่งมาในรถเมอร์ซีเดสเบ๊นซ์กับนางคยาเนนทรา ภรรยาของเขา โดยมีชาวเนปาลที่โกรธแค้นกรูเข้าไปห้อมล้อมรถ ที่ไม่มีขบวนนำยาวเหยียดออกจากพระราชวังไป โดยทหารมากั้นไว้พอเป็นพิธี และให้รถยนต์คันนั้นเคลื่อนออกไปได้ และจะไม่ได้กลับมาในพระราชวังกาฎมาณฑุอีก...ตลอดกาล.

 

 

ส่งท้ายปีเก่า โดย : การล้มเจ้าคือการทำบุญอย่างหนึ่งให้แก่ประเทศชาติ

การล้มเจ้าคือการทำบุญอย่างหนึ่งให้แก่ประเทศชาติ


โดย แสงตะวัน



การล้มเจ้าหรือการโค่นล้มระบอบเผด็จการกษัตริย์คือการทำบุญทำกุศลให้แก่สังคมและประเทศชาติเป็นการปลดปล่อยประชาชนออกจากระบอบป่าเถื่อนเหี้ยมโหดผิดมนุษย์ทำให้ประชาชนทั้งหลายที่ได้รับการกดขี่หลุดพ้นออกจากโซ่ตรวนในระบอบเผด็จการของษัตริย์ประหลาดวิกลจริตบ้ากามในเวลานี้ ระบอบเผด็จการกษัตริย์ทำให้ประเทศชาติหล้าหลังไม่ได้รับการพัฒนา  เศรษฐกิจพังทลาย ประชาชนยากจนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้  ศักดิ์ศรีของมนุษย์ถูกเหยียบย่ำมีค่าเพียงฝุ่นใต้ตีนของกษัตริย์ ไม่มีสิทธิ เสรีภาพ ความเป็นธรรมในสังคมไม่มี เพราะถูกครอบงำโดยระบอบเผด็จการของกษัตริย์
วันที่ 22 พฤษภาคม 2557  ขณะที่ภูมิพลนอนป่วยไม่รู้สึกตัวอยู่นั้น วชิราลงกรณ์ยังเป็นมกุฏราชกุมารอยู่ได้ร่วมมือกับพลเอกเปรมประธานองคมนตรี สั่งให้พลเอกประยุทธ์กับพวกยึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนแล้วเรียกตัวเองว่า " คณะรักษาความสงบแห่งชาติ " ( คสช. ) แล้วตั้งรัฐบาลเผด็จการทหารขึ้นเรียกว่ารัฐบาล คสช.
วันที่ 13 คุลาคม 2559 ได้มีการประกาศการตายของภูมิพลขึ้นอย่างเป็นทางการรัฐบาลประยุทธ์ก็ได้ประกาศอันเชิญให้  วชิราลงกรณ์ได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์สืบทอดอำนาจจากพ่อคือกษัตริย์ภูมิพลรัชกาลที่ 9 เจ้าของระบอบกษัตริย์เผด็จการมาจนถึงวันตายหลังจากป่วยมาเป็นเวลายาวนาน แม้แต่วันเวลาการตายที่แน่นอนก็ไม่เปิดเผยให้ชาวไทยและชาวโลกทราบ
วชิราลงกรณ์ จากเด็กที่เติบโตมาอย่างสปอยจากพ่อแม่ที่มีอำนาจอย่างล้นฟ้า ทำให้วชิราลงกรณ์กลายเป็นเพลย์บอย เป็นคนไม่เอาถ่านเรียนหนังสือไม่จบมียศแค่ สิบเอกจากโรงเรียนนายร้อย ดันทรูนประเทศออสเตเรีย มีนิสัยเกเร เป็นนักเลงหัวไม้ชอบเล่นการพนัน ชอบเสพสุขมีเมียและนางบำเรอมากมายมีฮาเรมอยู่ที่
มิวนิคประเทศเยอรมันนี มีวังที่ทำเป็นคุกส่วนตัว เป็นคนทีไร้ความรับผิดชอบไร้จิตสำนึก ต่อสังคมประเทศชาติ และเพื่อนมนุษย์
วชิราลงกรณ์มาจากครอบครัวที่พ่อเป็นมหาโจรปล้นประเทศ และแม่ที่มีจิตใจเหี้ยมโหดเคยสั่งฆ่าคนไทยด้วยกันมาแล้วอย่างมากมายในประวัติศาสตร์จนมีนักกวีที่มีชื่อคนหนึ่งเขียนว่า " พ่อเจ้าปล้นแม่เจ้าฆ่ายังกล้าทำ " หรือที่ประชาชนเรียก " ไอ้เหี้ยสั่งฆ่าอีห่าสั้งยิง "
วชิราลงกรณ์ไม่ได้รับการอบรมมาเพื่อให้เป็นกษัตริย์เพื่อปกครองประเทศตามระบอบประชาธืปไตยเขาเกิดมาจากระบอบเผด็จการของภูมิพลและสิริกิตย์ที่สืบทอดเป็นมรดกมาจาก " ระบอบเศรษฐกิจของสังคมศักดินา "
หลังจากวชิราลงกรณ์ได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ไม่นานก็ได้รวบอำนาจของชาติทุกอย่างไว้ในมือ " อำนาจและทรัพย์สินทุกอย่างเป็นของกูแต่ผู้เดียว " เอากลไกรัฐและทรัพย์สินส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์มาอยู่ใต้การควบคุมของตัวเองโดยสิ้นเชิงทั้ง " ราชการในพระองค์ " และ " ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์  ทุกอย่างเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์หลุดลอยออกจากฝ่ายบริหารนิติบัญญัติโดยสิ้นเชิง  " ยิ่งไปกว่านั้นกษัตริย์ใหม่ยังมีอภิสิทธิ์อันมหาศาลเหนือสังคมไทยทุกอย่าง ทั้งทางกฏหมาย และการเมืองทางเศรษฐกิจและทางวัฒนธรรมสังคม
สรุปแล้วกษัตริย์ ใหม่ มี อำนาจครอบคุมสังคมไทยทุกอย่างและใช้อำนาจนั้นอย่างไม่มีขอบเขต ไม่รับผิดชอบไม่เกรงอกเกรงใจประชาชนชาวไทยทั้งประเทศที่เลี้ยงดูราชวงค์นี้มาจนทุกวันนี้ ขูดรีดกดขี่ข่มเห็ง รังแกประชาชน เอารัดเอาเปรียบสังคม เหี้ยมโหด  รุณแรงอย่างไร้มนุษยธรรมมากยิ่งขึ้นไปกว่ายุคของภูมิพล
ม. 112  และ ม. 44ใช้ เป็นกฏหมายครอบจักรวาฬที่รัฐบาลของกษัตริย์จะใช้อย่างไรกับใครก็ได้ " ตามพระราชอัชญาศัย " 
ใช้อำนาจมืดกำจัดได้กับทุกคนที่ไม่พอใจไม่เว้นแม้แต่ลูกเมียและคนใกล้ชิดที่รับใช้และควบคุมอำนาจรัฐโดยผ่านรัฐบาล ค.ส.ช.ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ ดังนั้นประยุทธ์จึงเป็นเพียงหุ่นหรือสุนัขรับใช้ของกษัตริย์ที่ทำตามคำสั่งของกษัตริย์เหมือนเด็กว่านอนสอนง่ายทุกอย่าง ซึ่งกษัตริย์เองไม่ต้องอยู่ในประเทศนั่งสั่งงานจากเมืองมิวนิคประเทศเยอรมัน
ประยุทธ์ก็จะไปนั่งหมอบกราบต่อหน้ารูปของกษัตริย์เพื่อรับคำสั่งตามความประสงค์ของกษัตริย์  รัฐบาล คสช.จึงเป็นเพียงนอร์มินีของกษัตริย์ใหม่มีหน้าที่อย่างเดียวคือปล้นประเทศชาติปล้นประชาชนในรูปแบบต่างๆกันเพื่อหาเงินให้แก่ตัวเองและเพื่อไปถวายกษัตริย์มหาเพลย์บอยที่กำลังมัวเมาหลงระเริงในอำนาจเสพสุขและมีชีวิตฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกับบรรดานางสนมนางบำเรอทั้งหลายแหล่ที่เขาตั้งยศฐาบรรดาศักดิ์ให้เป็นนายร้อย นายพัน นายพลอยู่ในเวลานี้ พวก " ข้าราชการในพระองค์ " ที่กินเงินเดีอนจากภาษีประชาชนปีหนึ่งเป็นหมื่นกว่าล้านบาทโดยที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่ประเทศชาติและประชาชนแต่อย่างใดเลย
ส่วนประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศไม่มีอำนาจตรวจสอบหรือออกความเห็นคัดค้านใดๆทั้งสิ้น ทั้งที่กษัตริย์เองและรัฐบาล คสช.ก็กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชนปีละหลายหมื่นล้านบาท เราจึงเรียกระบอบการปกครองแบบนี้ว่าเป็น " การปกครองระบอบกษัตริย์เผด็จการ " ( King Dictatorship System ) ไม่ใช่ "การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุข " อย่างพวกนักวิชาการรับจ้างทั้งหลายเรียกเพื่อต้องการเอาใจกษัตริย์

ปัจจัยการผลิตของสังคม ( Means of Production )
การปกครองระบอบกษัตริย์เผด็จการ กษัตริย์เป็นผู้ถือครองปัจจัยการผลิตส่วนมากของสังคมหรือเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต (  Means of Production ) ซึ่งหมายถึงสื่งที่มนุษย์ใช้ผลิตวัตถุที่มีคุณค่าแก่มนุษย์ในการดำรงชีพและในการพัฒนาสังคม ปัจจัยการผลิตได้แก่ ที่ดิน แหล่งแร่ แหล่งน้ำ เครื่องมือการผลิต ( Instruments of Production ) การธนาคารและเครดิต การค้าและการคมนาคม โรงงานวิสาหกิจ โรงงานปูนชิเมนต์ กิจการโรงแรม ฯลฯ ซึ่งในตำราเศรษฐกิจวิทยาสมัยอาดัมสมิธเรียกว่า  " Constant Capital " ในตำราเศรษฐกิจสมัยใหม่เรียกว่า " ทุนของสังคม " ( Social Capital )
จากการประเมินของสำนักงานประเมินทรัพย์สิน ฟอบส์ ( Fobes ) ประเมินเมื่อปี 2559 ว่าทรัพย์สินส่วนตัวของกษัตริย์ภูมิพลมีมูลค่าถึง 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยมากที่สุดในโลก
เมื่อกษัตริย์เป็นเจ้าของทุนส่วนมากของสังคม และเป็นเจ้าของระบอบเศรษฐกิจผูกขาดที่เป็นพื้นฐานของสังคม ภูมิพล จึงกลายมาเป็นนายทุนสามานย์ผูกขาดที่ใหญ่ที่สุดในสังคม ระบอบเศรษฐกิจแบบนี้จึงเรียกว่า " ระบอบเศรษฐกิจทุนนิยมผูกขาด " ( Capitalist Monopoly System) เพื่อหลอกลวงตาชาวไทยและชาวโลกพวกนักวิชาการกากเดนศักดินาได้ให้นิยามระบอบเศรษฐกิจแบบนี้ว่า"เศรษฐกิจพอเพียง "
ทุนของสังคมส่วนใหญ่ไปรวมศูนย์อยู่ภายใต้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้บริหารและจัดการ เป็นองค์กรอิสระไม่ขึ้นกับรัฐ รัฐไม่สามารถตรวจสอบได้และได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี
เมื่อลูกชายภูมิพล ร. 10 ขึ้นครองราชย์ก็ได้โอนสำนักงานนี้มาเป็นของส่วนตัวโดยสิ้นเชิง  เป็นการปล้นทรัพย์สมบัติอันมหาศาลของชาติของแผ่นดินอย่างเลวทรามและเห็นแก่ตัวที่สุดของกษัตริย์ใหม่ ( ดูประกอบจากบทความ อ.สมศักดิ์  เจียมธีรสกุลอำนาจและสมบัติอยู่ในมือกูคนเดียว ชัดๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมอีกต่อไป : มาแล้วครับ พรบ.ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ฉบับใหม่ )

โครงสร้างส่วนบนของสังคม
โครงสร้างส่วนบนของสังคมได้แก่ รัฐ ศาล กฏหมาย การเมือง ศาสนา วัฒนธรรมและอุดมการณ์ รวมไปถึงสื่อสารมวลชน  เจ้าของปัจจัยการผลิตจะสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องรักษา "ระบอบเศรษฐกิจศักดินา " ที่เป็นพี้นฐานชั้นล่างของสังคม เหมือนกับบ้านจะต้องมีหลังคาซึ่งสอดคล้องกับหลักปรัชญาที่ว่า " รูปแบบต้องให้เหมาะสมกับเนิ้อหา "  ดังนั้นในระบอบกษัตริย์เผด็จการองค์คาพยพที่เป็นโครงสร้างส่วนบนของสังคมจึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกปักรักษาระบอบเศรษฐกิจนี้เอาไว้  กษัตริย์มีอำนาจเหนือสังคมทุกอย่าง เหนือ รัฐ เหนือศาล เหนือกฏหมายเป็นจอมทัพของสามเหล่าทัพมีอำนาจแต่งตั้งทหาร ตำรวจข้าราชการได้ทุกระดับ เขาจึงสั่งให้ทหารยึดอำนาจรัฐได้ทุกครั้งที่เขาต้องการเพื่อรักษาผลประโยชน์และระบอบเศรษฐกิจของเขา ทหารจึงเป็นเพียงเครื่องมือของกษัตริย์ที่ใช้ให้กุมอำนาจรัฐเพื่อกดขี่ขูดรีดเอากับประชาชน เหมือนพลเอก ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี หัวหน้ารัฐบาล คสช.ทำอยู่ในเวลานี้ที่ได้รับมอบหมาย ม. 44 จากกษัตริย์ทำหน้าที่แทนกษัตริย์ได้ทุกอย่างกับประชาชนไทยทุกคนในประเทศนี้แม้แต่สั่งยึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร นี่คือธาตุแท้ของระบอบกษัตริย์เผด็จการ

พลังการผลิตของสังคม ( Productive Forces ) ซึ่งประกอบไปด้วย " เครื่องมือการผลิต " ( Instruments of Production ) คือพื้นฐานชั้นล่างทางเศรษฐกิจ
ได้แก่ ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน กรรมกรผู้ใช้แรงงาน พ่อค้าแม่ค้า ที่เป็นผู้ผลิตเลี้ยงสังคม และเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ ประชาชนที่เป็นผู้ผลิตเลี้ยงสังคมเหล่านี้นอกจากจะไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากรัฐในเรื่องค่าแรง และสวัสดิการต่างๆแล้ว รัฐยังกดขี่ ขูดรีด ข่มเหงรังแก รีดไถ คตโกง เอารัดเอาเปรียบประชาชนฝ่ายที่เป็นพลังการผลิตทุกอย่างอย่างไร้ความเป็นธรรม ไม่มีสิทธิเสรีภาพ ไม่มีความเสมอภาคและประชาธิปไตย รัฐใช้อำนาจบังคับไม่ให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้แม้แต่ในวงการสงฆ์ โดยใช้ ม. 44 และ ม. 112  เป็นเครื่องมือในการปราบปรามประชาชน ประชาชนได้รับการดูถูกเหยียดหยามว่าเป็นไพร่ เป็นฝุ่นใต้ขี้ตีนของกษัตริย์
ชนส่วนใหญ่ที่เป็นพลังการผลิตของสังคม ( Productive Forces ) นอกจากจะผลิตเลี้ยงตัวเองและครอบครัวแล้วยังผลิตเลี้ยงกษัตริย์และครอบครัวพร้อมนางบำเรอทั้งหลายแหล่อีกด้วย ต้องส่งส่วยเป็นเงินปีละหลายหมื่นล้านบาท โดยที่กษัตริย์เองและครอบครัวไม่ต้องทำการผลิตอะไรนอกจากนอนอาศัยกินแรงงานของประชาชนที่เป็นฝ่ายผลิตเลี้ยงดูแบบเสือนอนกิน เราจึงเรียกพวกนี้ว่า " พวกกาฝากสังคม "
กาฝากสังคมเหล่านี้มีชีวิตเสพสุข อยู่อย่างฟุ้งเฟ้อทำตัว เป็นอภิสิทธ์ชน มีอำนาจเหนือสังคมเหนือกฏหมายทุกอย่าง มีวิธีเสพสุขแบบพิสดารเหมือนทากหรือปลิงที่สืบพันธ์กันเองและมีชีวิตอยู่ด้วยการดูดกินเลือดของคนไทยทั้งประเทศ
วชิราลงกรณ์เองมีฮาเรมส่วนตัวอยู่ที่เมืองมิวนิคประเทศเยอรมันนี มีนางบำเรอมากมายที่เขาสามารถแต่งตั้งให้เป็นยศฐาบรรดาศักดิ์อะไรก็ได้ มีวังหลายแห่ง บางแห่งก็ทำเป็นคุกส่วนตัว  มีเครื่องบินส่วนตัวใหม่เอี่ยม 2 - 3 ลำ สำหรับไว้ขี่เล่นในต่างประเทศ ทำตัวเป็นกุ้ยเสเพลอย่างไรก็ได้ซึ่งไม่มีกษัตริย์ในโลกที่ไหนเขาทำกัน
ตามหลักทฤษฏีที่ว่าในสังคมใดที่ความสัมพันธ์การผลิต ( Production Relation ) คือผู้ถือครองปัจจัยการผลิตกับกำลังการผลิตสอดคล้องต้องกันสังคมนั้นก็จะพัฒนาก้าวหน้า แต่ถ้าสังคมใดที่เจ้าของปัจจัยการผลิตกับกำลังการผลิตไม่สอดคล้องกันสังคมนั้นก็จะเกิดการขัดแย้งกันขึ้นเมี่อความขัดแย้งนี้ถึงขั้นรุนแรงที่สุดก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมใหม่ที่ดีกว่าซึ่งเป็นไปตามกฏเกณฑ์วิวัฒนาการของมนุษย์ชาตื ตามที่ Dr. Karl Marx ได้ค้นพบในวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงของสังคมมนุษย์ จากระบอบสังคมปฐมการ สู่สังคมทาส สังคมศักดินา สังคมทุนนิยม และสังคมนิยม
จากสภาพการณ์ของการเปลี่ยนแปลงสังคมแบบนี้เมื่อความสัมพันธ์การผลิต   คือผู้ถือครองปัจจัยการผลิตของสังคมไทย  ได้แก่ ฝ่ายกษัตริย์   กับฝ่ายที่เป็นพลังการผลิตของสังคม ที่กำลังเกิดการขัดแย้งกันอยู่ในเวลานี้  เนี่องจากฝ่ายเจ้าของปัจจัยการผลิตขัดขวางพลังการผลิตไม่ให้เจริญพัฒนาก้าวหน้า ทำให้เศรษฐกิจหล้าหลัง ประชาชนที่เป็นพลังการผลิตถูกกดขี่ขูดรีดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า เมื่อมนุษย์ในสังคมได้รับการกดขี่ได้รับความเดือดร้อนก็จะเป็นไปตามทฤษฏีที่ว่า
 " ความเป็นอยู่ปากท้องของมนุษย์เป็นเครื่องกำหนดจิตสำนึกของมนุษย์ "  คือเมื่อชนชั้นที่เป็นพลังการผลิตมีจิตสำนึกที่รู้ตัวว่าถูกกดขี่เบียดเบียน ทำให้เกิดหูตาสว่างตื่นตัว ก็จะเป็นพลังหลักขับเคลื่อนรวมตัวกันลุกขึ้นต่อสู้โค่นล้มระบอบกษัตริย์เผด็จการที่ป่าเถื่อนนั้นลงได้ 
อำนาจทุกอย่างก็จะเป็นของประชาชนและประชาชนจะเป็นผู้ใช้อำนาจนั้นทั้งทาง นิติบัญญัติ บริหาร และ ตุลาการ ประชาชนก็จะมีสิทธิ เสรีภาพ มีประชาธิปไตย เป็นเจ้าของประเทศ ไม่ต้องเสียค่าส่งส่วยให้แก่กษัตริย์บ้ากามและครอบครัวปีละหลายหมื่นล้านบาท ประชาชนทั้งประเทศก็จะได้รับการปลดปล่อยตนเองออกจากสังคมทาสภายใต้ ม. 112 และ ม. 44 ของระบอบเผด็จการกษัตริย์ที่จองจำเรามาเป็นเวลา 80 กว่าปีแล้ว  ประชาชนก็จะมีความสุขไปชั่วลูกชั่วหลานนี่คือการทำบุญอันยิ่งใหญ่ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนไทยทั้งประเทศร่วมกัน

ผบ.ตร.สั่งเร่งพิสูจน์ดีเอ็นเอ ศพนิรนามถูกฆ่าโหดถ่วงน้ำโขง มุ่งเป้าผู้ลี้ภัยการเมืองที่หายไป


453SHARES
ผบ.ตร.สั่งเร่งพิสูจน์ดีเอ็นเอ ศพนิรนามถูกฆ่าโหดถ่วงน้ำโขง มุ่งเป้าผู้ลี้ภัยการเมืองที่

ส่งท้ายปีเก่า -.เข้าสู่ปีใหม่ (?)

พระราชปณิธาน ร.10 สืบสาน-รักษา-ต่อยอด
https://www.matichon.co.th/columnists/news_1297415
#มติชนออนไลน์

สมเด็จพระเจ้าอยู่หอย ทรงคำนึงถึงความอยู่ดีมีสุขของประชา( ปล้นประเทศฆ่าประชาชน  …


คลิกดู-จัดทัพรับศักราชใหม่ ปีแห่งการเลือกตั้ง 62

(หมายเหตุ-ปีใหม่???สังคมจมปลักภายใต้อำนาจการปกครองในระบอบTyrannyเหมือนเดิม???)