lördag 30 november 2019

Update ยุคมืดทางกติกา :คอลัมน์ ใบตองแห้ง


 

ยุคมืดทางกติกา :คอลัมน์ ใบตองแห้ง

ประเทศไทยวันนี้อยู่ใน “ยุคมืดทางกติกา” คือกติกาไม่เป็นประชาธิปไตย ได้อำนาจไม่ชอบธรรม เอาเปรียบกันดื้อๆ โกงเจตนารมณ์ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ความยุติธรรมสองมาตรฐาน มีไว้ทำลายฝ่ายตรงข้าม ระบอบการปกครองไม่เป็นตามหลักนิติรัฐ ไม่ยึดหลักยึดเกณฑ์อะไรสักอย่าง ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ก็ยังทำเฉยเมย ลอยหน้าลอยตา

สภาพโดยรวมคือ อำนาจไม่ชอบธรรม แต่ไม่มีใครทำอะไรได้ เพราะอำนาจนี้ใหญ่โตมโหฬาร ผนึกกันเป็นเครือข่าย มีทั้งอำนาจตามกฎหมาย อำนาจบิดเบือนกติกา และอำนาจฉีกกติกา รัฐสภาเป็นแค่พิธีกรรมเท่านั้น

ประชาชนส่วนหนึ่งก็สนับสนุนหัวชนฝา ส่วนหนึ่งก็ไม่สนใจ ไม่เห็นความสำคัญของการเมือง ตามข่าวดาราดราม่าดูหงส์ดูผีดีกว่า คนรักประชาธิปไตยแม้มีไม่น้อย 16.5 ล้าน ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะประชาธิปไตยต้องการเสรีภาพเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ไม่ได้อยากลงถนน ไม่ได้อยากนองเลือดโค่นล้มแบบ 14 ตุลา ไม่พอใจแค่ไหน ก็ไม่อยากเสี่ยงคุกตะราง

พลังประชาธิปไตยจึงถูกล้อมวง “กระชับพื้นที่” ปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์ จนเหลือพื้นที่เสรีภาพน้อยลงๆ เดี๋ยวยังจะถูกเด็ดทำลายพลังแถวหน้า แบบดื้อๆ ใครจะทำไม เพียงไม่เอาถึงตาย เอาให้ไม่มีทางสู้ก็พอ
ภายใต้การกุมอำนาจอย่างนี้ รัฐบาลจึงมีเสถียรภาพที่จะทำอะไรเอาที่สบายใจ แล้วก็ใช้อำนาจต่อรองกับประชาชน เช่น อ้างว่ากำลังแก้ปัญหาปากท้อง ประชาชนซาบซึ้ง สำนึกบุญคุณบัตรคนจน เดี๋ยวยังจะประกันราคาข้าว ยาง ปาล์ม อย่าไปแยแสแก้รัฐธรรมนูญ อย่าไปสนใจนาฬิกาพี่ป้อม มือพ่น Street Art ยังท้อ ขอปิดเพจเพราะกฎหมายคือเรื่องของชนชั้นบน

ภายใต้ยุคมืดทางกติกา เครือข่ายอำนาจอนุรักษนิยมผสมนักการเมืองไร้จุดยืน และกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ พยายามเรียกร้อง ระดมพลังทางสังคม โดยเฉพาะคนชั้นกลางระดับบน ให้ร่วมกับสร้าง “ยุคทอง” ของอะไร 2-3 อย่าง

เช่น ยุคทองของการลงทุน เศรษฐกิจดิจิตอล สมาร์ต สตาร์ตอัพ AI สร้างโรงเรียนอีลิท คนรุ่นใหม่ที่เก่งวิทยาศาสตร์ โดยไม่จำเป็นต้องมีสำนึกทางสังคมมากนัก เอาแค่รักชาติ รักพ่อ รักแม่ ไม่ต้องเรียนปรัชญา สังคมศาสตร์ ความคิดเชิงวิพากษ์ ตั้งคำถาม เรียนเคมีฟิสิกส์จบด๊อกเตอร์มหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของโลก แล้วกลับมาเสี่ยงเซียมซี

ยุคทองของศีลธรรม ความมีระเบียบวินัย เคารพผู้ใหญ่หมาไม่กัด (เพราะผู้ใหญ่สั่งหมาได้) สอนเด็กไทยให้โตขึ้นมา กล้าต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง อย่าง “มะลิซัง” แต่อย่าโตมาเป็นอย่าง เนเน่ บอล เพนกวิน ก็แล้วกัน

ยุคทองของคุณภาพชีวิต ยุคประยุทธ์ตั้งแต่รัฐประหาร พะยูนตายน้อยลง รณรงค์ลดถุงก๊อบแก๊บ คือภารกิจอันยิ่งใหญ่ในฐานะที่เกิดมาเป็นพลเมืองโลก

นอกจากนั้น ยุคมืดทางกติกา ก็มียุคทองของดราม่าออนไลน์ชดเชยกัน ใครว่าสังคมไทยไม่มีความยุติธรรม เห็นไหม แพทริเซียยังโดนรุมลงทัณฑ์ ครูอ้อมได้รับการปกป้อง จากอำนาจบาตรใหญ่ อส.ปิดม่านทุบเด็กแว้น เราก็เห็นว่าทำไม่ถูกต้อง (แต่อย่าพูดเรื่องอับดุลเลาะ อีซอมูซอ ก็แล้วกัน)

ความเป็นจริงมันคล้ายการย้อนไปสถาปนาสังคมมายาคติ ยุคหลัง 6 ตุลา ประชาธิปไตยครึ่งใบ พยายามให้ลืมอดีต กลบบาดแผล เริ่มต้นใหม่ วางระบบการศึกษาที่ทำให้คนคิดแบบ critical thinking น้อยลง แต่ประชาธิปไตยครึ่งใบยังมาจากฉันทมติ ไม่ใช่ข่มขืนใจให้คนข้างมากยอมรับอำนาจ ประกอบกับความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ ที่มาจากญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิต

ยุคนี้ต่างโดยสิ้นเชิง อาจมีอย่างเดียวที่เป็นผลดี คือความใหญ่โตของเศรษฐกิจบริโภคนิยม ทำให้ชีวิตคนมีทางเลือกหลากหลาย ต่างคนต่างมีที่ไป มีทั้งโลกที่เป็นจริง และโลก Avengers ไม่จำเป็นต้องเหลืออดกับอำนาจ แบบเด็กหลังห้อง หรือแม้แต่เด็กหน้าห้อง ครูระเบียบเอาแต่ใจต้องการให้ทำอย่างไรก็ทำ ลับหลังก็มีชีวิตของตัวเอง มีโลกของตัวเอง

แต่นั่นแหละที่ทำให้สังคมไทยเป็นสังคมไม่เคารพกฎหมาย ไม่ยอมรับกติกา เพราะรู้ว่าไม่มีใครทำตามกติกา ถ้ามีเส้น นักกฎหมายก็เรียนเพื่อเป็นศรีธนญชัย ใช้หาประโยชน์ให้ตัวเอง

ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ก็ได้รางวัลโอลิมปิกทุกยุคสมัยไง แต่ไม่สามารถยกระดับการแข่งขัน แรงงานมีฝีมือ หรือสติปัญญาทางสังคม แบบผู้นำม็อบรักชาติยังกินฉี่อยู่เลย

ยุคมืดทางกติกา ความจริงคือยุคมืดทางปัญญา ปิดกั้นเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ ความเป็นตัวของตัวเอง ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ปิดกะโหลกคนข้างหนึ่ง แล้วพยายามจะให้พัฒนาอีกข้างหนึ่ง เพื่อสนองความต้องการของอำนาจ

ระวังไว้ให้ดี ภาพคนจำยอมวันนี้เป็นแค่ชั่วคราว ถ้าเศรษฐกิจวิบัติ คนตกงาน คนยากลำบาก และคนโกรธแค้น ก็จะมีเป็นจำนวนมาก

ใบตองแห้ง: พรรคร่วมไร้ราคา?

ใบตองแห้ง
สภาล่ม! รัฐบาลแพ้โหวตฝ่ายค้าน แล้วตีรวนให้นับใหม่ ฝ่ายค้านวอล์กเอาต์จนไม่ครบองค์ประชุม
บางคนกลับหาว่าฝ่ายค้านตีรวน ทำไมไม่ยอมนับใหม่ให้จบๆ ไป พวกนี้แถเสียจนขี้แพ้ชวนตีกลายเป็นฝ่ายถูก เพราะแม้ข้อบังคับ 85 ให้ขอนับใหม่ได้ อ.พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย ก็ชี้ว่าการนับใหม่ต้องมีเหตุผล เช่นผลคะแนนน่าสงสัยอย่างยิ่ง หรือผิดปกติชัดแจ้ง

ไม่อย่างนั้นใครแพ้ไม่ถึง 25 เสียง ก็ขอนับใหม่ๆๆ ร่ำไป ยื้อเวลาขานชื่อ 2-3 ชั่วโมงทุกญัตติ ก็ได้หรือ
ญัตติตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบประกาศคำสั่ง คสช.ม.44 ที่รัฐบาลแพ้ก็ไม่น่าสงสัยอะไร 6 ส.ส.ปชป.โหวตเห็นด้วย เพราะเป็นผู้เสนอญัตติคู่กับฝ่ายค้าน อภิปรายสนับสนุนกันอยู่ปาวๆ พอถึงเวลาลงมติ อ้าว จะให้โหวตสวนญัตติตัวเองตามวิปรัฐบาล ทำแบบนั้นจะให้เอาคอไปไว้หว่างขาหรือไง
แค่ ปชป.ยอมถอนชื่ออภิสิทธิ์ ไม่ส่งแข่งประธานกรรมาธิการศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ กับไพบูลย์ นิติตะวัน ก็ถามหาปี๊บกันให้วุ่น ใครหว่า เพิ่งดีแต่พูดอยู่หลัดๆ หาว่าพรรคแกนนำไม่จริงใจ

จากประกาศไม่เอาตู่ แพ้เลือกตั้งมาร์คต้องออก ร่วมรัฐบาลตั้งเงื่อนไข ต้องบรรจุนโยบายแก้รัฐธรรมนูญ พอ จะตั้งกรรมาธิการ อัญเชิญมาร์คกลับเป็นพระเอก ที่ไหนได้ พปชร.เสียงแข็ง ไม่ให้เป็นประธาน ก็ถอยจุกก้นกลับบ้าน

ชัดเจนนะ ผู้กุมอำนาจยอมไม่ได้ ที่จะให้ฝ่ายแก้ไขรัฐธรรมนูญนั่งประธานกรรมาธิการ เช่นเดียวกับที่ไม่ยอมให้ตั้งกรรมาธิการศึกษาผลกระทบ ม.44 แม้ตั้งไปแล้ว รัฐบาลจะมีเสียงมากกว่าอยู่ดี ก็คอยดูว่า 6 ส.ส.ปชป.จะหาทางออกอย่างไร เพื่อให้เป็นไปตามความประสงค์ของ ผู้มีอำนาจ ผู้ออก ม.44

อาการกระทบกระทั่งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลเป็นที่น่าขบขัน เพราะขนาด เอ๋ ปารีณา ยังไม่เกรงใจ ชวน หลีกภัย หาว่าสั่งปิดไมค์เพราะโมโห แพ้ พปชร.ที่ตรัง เขตบ้านตัวเอง ทำให้ ส.ส.ตรังสอบตกออกมาโต้ ในฐานะที่เคยเรียนจิตเวช คนตรังรู้ดี พรรคไหนใช้วิธีสกปรกโสโครกอย่างไร
ถ้าเป็นรัฐบาลปกติ คงนับถอยหลัง แต่รัฐบาลนี้ไม่แปลกใจ ยังไงๆ ปชป.ก็ไม่กล้าถอนตัวจากรัฐบาล ทั้งที่ต้องการ แย่งฐานเสียงในกรุงและภาคใต้คืนจาก พปชร.

จะถอนตัวได้ไง เพราะเลือกนายกฯ กี่ครั้งก็ยังเป็นตู่ ที่ตั้ง 244 ส.ว.+6 ผบ.เหล่าทัพมาโหวตให้ตัวเอง
เช่นเดียวกับภูมิใจไทย พระเอกนางเอก อนุทิน มนัญญา ขี่กระแสแบนสารเคมีมาลิ่วๆ โดนสุริยะเบรกหัวทิ่มโค้งสุดท้าย มีคนยุให้ถอนตัวจากรัฐบาล ขำตาย แค่เสียใจแต่ไม่ลาออก แค่ประชด ขอคืนกรมวิชาการเกษตร ท่องอาขยาน ถ้ามีอำนาจจะแบน 3 สารให้ได้ แต่ตอนนี้ต้องเคารพกฎหมาย คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติอย่างไรเราก็ต้องยอมรับ

กรณีนี้แม้ต่างออกไป เพราะการกลับมติเลื่อนเลิกแบน 3 สารเคมี น่าจะถูกต้องแล้ว เมื่อคำนึงถึงความเสียหายต่อเกษตรอุตสาหกรรม แต่การที่รัฐบาลปล่อยให้ภูมิใจไทยขี่กระแส ปลุกดราม่าพาราควอต โดยไม่เบรกกันตั้งแต่ต้น มาพลิกเมื่อเหลือ 3 วันสุดท้าย ก็เท่ากับจุดชนวนให้รัฐบาล ต้องรบรากับ 686 องค์กร NGO คนชั้นกลางเกษตรอินทรีย์ โดยที่อนุทิน มนัญญา ได้คะแนนไปเต็มๆ
มันจึงสะท้อนภาพสองด้าน ว่าขณะที่พรรคแกนนำถืออำนาจสิทธิขาด แต่พรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่ฟัง และสร้างกระแสของตัวเองเช่นกัน

มองในภาพกว้างจึงเป็นปัญหา อย่างที่สมคิดออกมาพูดถึงเศรษฐกิจสี่ขา ตอนนี้มีขาเดียว เพราะขาอื่นไปอยู่กับพรรคอื่น

แต่ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาของประชาชน ไม่สำคัญ เท่าความมั่นคงของรัฐบาล ซึ่งไม่ได้หมายความถึงพรรคร่วม แต่หมายถึงผู้นำและคณะที่สืบทอดมาจากรัฐประหาร ที่ต้องการคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ แข็งขืน ไม่แยแสใคร ราวกับสมัยมีอำนาจแต่ผู้เดียว มีสภาตรายาง

ปรากฏการณ์นี้ยังเห็นได้จากการไม่ยอมให้ฝ่ายค้านทำงาน เช่น การส่งสิระ ปารีณา แถมจะเพิ่มไพบูลย์ เข้าไปในคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. ซึ่งไม่เพียงเพราะเรียกประยุทธ์ประวิตรไปชี้แจง หากจะมีเรื่องสำคัญเข้าสู่กรรมาธิการอีกมาก

นี่เป็นปัญหาของอำนาจที่ไม่มาตามกติกา เขียนกติกาเข้าข้างตัวเอง ทำอย่างไรก็เป็นรัฐบาล ทำตามอำเภอใจแบบไหน พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคต่างๆ ก็ต้องร่วม ขณะที่ 7 พรรคฝ่ายค้านตั้งป้อม ก็จ้องพึ่งกลไกทางกฎหมายยุบพรรคฝ่ายค้าน

ถึงที่สุดก็ยังมีทางออกอีกอย่าง นั่นคือดูดงูเห่า อย่างที่มีข่าวสะพัด ออกรถใหม่ ให้เงินลงพื้นที่ เดือนละ 2 แสน ใครไม่เอายกมือขึ้น

สังคมภายไต้ระบอบกษัตริย์ทรราชย์ สุรชัยถูกรัฐบาลของกษัตริย์ทรราชย์ฆ่าทิ้งอย่างเหี้ยมโหดภรรยาต้องเสียเงินค่าประกันตัวอีก 450,000 . บาทซึ่งภรรยาของผู้ตายไม่มีเงินจ่ายเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมที่สุดของกษัตริย์ซาตานของไทย Andrew MacGregor Marshall ‏Verifierat konto @zenjournalist 21 timför 21 timmar sedan Utterly disgraceful and inhuman. The family of of Surachai Danwattananusorn, who was murdered by the Thai regime, are still being forced to pay bail money. His wife Pranee owes 450,000 baht which she cannot afford.

สังคมในระบอบทาสพวกทาสต้องไปฝึกอบรมเพื่อรับใช้กษัตริย์ทรราชย์

 

Update #คดีเกี่ยวกับเจ้าและผู้ต้องหาเป็นคนสำคัญ #มีเส้นสายใหญ่โตแบบคุณสุวิทย์ #มิหนำซ้ำ #ตำรวจกลับไม่ตั้งข้อหา112ด้วย,,( ?),



กระทู้ที่แล้วเรื่องจับคุณสวิทย์ ผมรีบเขียน เพราะกว่าจะกลับบ้านมาเขียนได้ เห็นว่าดึกมากแล้วของเวลาไทย (ถ้าใครขยันดูประวัติการแก้ไขกระทู้ จะเห็นว่า ผมมีการแก้ไข เรียบเรียงข้อความใหม่บางจุดหลายครั้งอยู่ เพราะพยายามให้ชัดเจนรัดกุมขึ้น แต่ก็อาจจะยังอ่านยากสำหรับบางคนอยู่)
ในที่นี้ ผมสรุปให้ดูง่ายๆขึ้น (หวังว่าอ่ะนะ) ดังนี้

(1) #คดีเกี่ยวกับเจ้าและผู้ต้องหาเป็นคนสำคัญ #มีเส้นสายใหญ่โตแบบคุณสุวิทย์ (หรือนึกถึงกรณีหมอหยองหรือพวกอัตรพงศ์ปรีชาที่คล้ายกัน) ลำพังตำรวจ ไม่กล้าตัดสินใจดำเนินการอะไรเองแน่นอนครับ (ยิ่งประเภททำขึงขัง เอาคอมมานโดไปบุกพังกุฏิอย่างที่เห็น)

(2) #มิหนำซ้ำ #ตำรวจกลับไม่ตั้งข้อหา112ด้วย ทั้งที่ถ้าเป็นคดีแบบเดียวกันที่ผ่านมา ต้องมีการตั้งข้อหานี้ และมีการแจ้งความ 112 ไว้แล้วด้วย ตำรวจก็ไม่กล้าตัดสินใจดร็อปข้อหานี้ไปเองแบบนี้ (คดี 112 นั้น ที่ผ่านมา ตำรวจไม่กล้าดร็อปไปง่ายๆอยู่แล้ว ต้องทำแบบเกินไว้ก่อน คนพูดถึงกษัตริย์ตายไปแล้วเป็นร้อยปี ยังต้องทำไปเผื่อไว้) อันที่จริง แต่ไหนแต่ไร ทิศทางใหญ่เกี่ยวกับการใช้ 112 จะใช้มากน้อยอย่างไร ก็ไม่ใช่การตัดสินใจระดับรัฐบาล แม้แต่รัฐบาล คสช. แต่เป็นอะไรที่ต้องประสานถามไถ่กับทางวัง ได้รับสัญญาณจากทางวัง คดีสุวิทย์ที่ไม่ตั้งข้อหา 112 แต่ใช้ข้อหาอื่นแทน เป็นไปตามทิศทางของวังระยะหลัง ที่พยายามให้เลี่ยงการใช้ 112 แต่ใช้ข้อหาอื่นที่โทษใกล้เคียงกันได้แทน หรือให้ "ดำเนินการไปตามเนื้อผ้า" ได้ (คือไม่ต้องเอาผิด 112 หมดทุกกรณี นึกถึงกรณีหญิงตาบอด หรือกรณีการตัดสินของศาลในบางคดีในเร็วๆนี้)
พุทธะอิสระไม่ได้ถูกตั้งข้อหา 112 แต่เรื่องนี้ค่อนข้างแน่ว่าเกี่ยวกับ 112 (วัง "ไฟเขียว" ให้เล่นงาน แต่ไม่ใช่ด้วย 112)
วันนี้ ผมอยู่นอกบ้านทั้งวัน ก็พยายามตามข่าว "พุทธะอิสระ" โดนจับและโดนสึก ปรากฏว่า ข่าวสับสนอยู่หลายชั่วโมงว่า ตกลงโดน 112 หรือไม่
สรุปคือ ไม่ได้โดน 112 แน่นอนครับ #แต่ ผมเชื่อว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับ 112 (วัง) ค่อนข้างแน่
ขอให้ดูรายงานไทยรัฐ ซึ่งดูเหมือนเป็นฉบับเดียว ทีมีการคัดเอาคำร้องฝากขังของพนักงานสอบสวนมาแบบคำต่อคำ
https://www.thairath.co.th/content/1290749
ข้ามไปดูตอนท้ายก่อนก็ได้ เพื่อยืนยันว่า ไม่ได้โดน 112
"พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาฐาน “ปลอมขึ้นซึ่งพระปรมาภิไธย และใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้น” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 250, 252 ...."
แต่ความน่าสนใจของคำร้องฝากขัง และคิดว่า เป็นต้นเหตุที่ทำให้สื่อหลายฉบับรายงานสับสนอยู่หลายชั่วโมง คือดังนี้
ตอนต้น พนักงานสอบสวน เริ่มบรรยายว่า มีคนแจ้งความต่อพุทธะอิสระ ในข้อหา 112
"ทั้งนี้ คดีมีการ ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.60 นายวิชัย ประเสริฐสุดสิริ ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. ให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา ที่นำอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. และอักษรพระนามาภิไธย ส.ก. มาประดิษฐานหลังองค์พระเครื่องโดยไม่ได้รับพระราชทาน พระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9...จึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ, ปลอมขึ้นซึ่งพระปรมาภิไธย และใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 250, 252"
มิหนำซ้ำ หลังจากบรรยายความเป็นมายืดยาวแบบนี้ และระบุด้วยว่า การแจ้งความมีข้อหา 112 ด้วย คำร้องฯยังบรรยายต่อว่า
"จากการสอบสวนพยานบุคคลเจ้าหน้าที่ #กรมราชเลขานุการในพระองค์ ยืนยันว่าผู้ต้องหาไม่ได้ขออนุญาตใช้พระปรมาภิไธยย่อ และอักษรย่อพระนามาภิไธย ตามพฤติการณ์และพยานหลักฐาน จึงยืนยันว่า ผู้ต้องหาเป็นผู้สร้างพระนาคปรก อุดปรอท รุ่นหนึ่งในปฐพี ที่เป็นปัญหาในคดีนี้จริง #โดยไม่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญอักษรพระปรมาภิไธย และอักษรพระนามาภิไธยย่อ ไปประดิษฐานหลังองค์พระเครื่องดังกล่าว..."
ใครที่คุ้นเคยกับคดี 112 ที่ผ่านมา คงรู้ว่า ถ้ามีการบรรยายพฤติกรรมในลักษณะนี้ มามากมายถึงขนาดนี้ จะต้องลงเลยด้วยการที่ตำรวจตั้งข้อหา 112 เข้าไปในการจับและฝากขังต่อศาลแน่
(และนี่เองทำให้สื่อหลายฉบับสับสน รายงานว่าโดน 112 เพราะในคำร้องฝากขัง มีบรรยายเรื่องที่ปกติถือเป็นความผิด 112 เสียมากมาย แต่กลับลงเอย ไม่มีการฝากขังด้วยข้อหานี้)
....................
คดีนี้ ยังอยู่ในขั้นพนักงานสอบสวน (ตำรวจ) ยังไม่ถึงอัยการ ดังนั้น คำสั่งเร็วๆนี้ ที่ให้รวมคดี 112 ในขั้นอัยการ ไปที่อัยการสูงสุดผู้เดียว เพื่อให้ทางวังสามารถประสานพิจารณาชี้นำได้โดยตรงและสะดวก โดยทางการคดีนี้จึงยังไม่เกี่ยวกับคำสั่งนั้น
แต่คดีซึ่งเกี่ยวกับเรื่องเจ้าอย่างสำคัญระดับนี้ มิหนำซ้ำ ยังมีการอ้างการ "สอบสวนพยานบุคคลเจ้าหน้าที่ กรมราชเลขานุการในพระองค์" การดำเนินการของตำรวจต้องมีการประสานกับทางวังแน่นอน
ยิ่งกว่านั้น ปกติ คดีในลักษณะนี้ อย่างน้อยที่สุด ตำรวจจะต้องตั้งข้อหา 112 ไว้ก่อนและ "เตะโด่ง" ไปให้ขั้นอัยการเป็นคนตัดสินใจอีกที คดีที่มีการบรรยายพฤติกรรมในลักษณะนี้ ไม่เคยมีที่ขั้นพนักงานสอบสวน จะมีการ "ดร็อป" ข้อหา 112 (ซึ่งคนแจ้งความได้แจ้งไว้แล้วด้วย) เสียเองแบบนี้
การที่ตำรวจ "ดร็อป" 112 ในคดีเรื่องอ้างเจ้าสำคัญแบบนี้นี่แหละ ผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่า การเล่นงานพุทธะอิสระครั้งนี้ ได้รับการ "ไฟเขียว" หรือชี้นำจากวัง
นั่นคือ #เช่นเดียวกับคดีหญิงตาบอดมุสลิม ที่ผมเล่าให้ฟังเร็วๆนี้ (ใครยังไม่เคยอ่าน ดูที่นี่ https://t.co/giSVaeffRv) ทางวังไม่ต้องการให้ใช้ 112 ให้หาทางเลี่ยงไปใช้ข้อหาอื่นแทน
#แต่สาเหตุของการที่พุทธอิสระโดนเล่นงานในที่สุด #ก็น่าจะมาจากเรื่องที่เกี่ยวกับ112นี้เอง (การอ้างพระปรมาภิไธย) คือ "เสี่ย" เขาไม่ชอบเรื่องการ "อ้างชื่อ" จริง และดังนั้น จึงให้เล่นงานพุทธะอิสระในครั้งนี้

Image may contain: 7 people

*** คอนเฟิร์ม "เสี่ย" สั่งเล่นงานพุทธอิสระ ทั้ง ประวิตร วงศ์สุวรรณ และ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ออกมาขอโทษ "พระอาจารย์" และเรียกตำรวจไปตำหนิ กระทำการเกินเลย goo.gl/fBZT7A


*** มีข่าว พุทธอิสระ จะ"รับสารภาพ"ข้อหาปลอมแปลง"ภปร" ชวนให้นึกถึงพ่อแม่ศรีรัศมิ์, หมอหยองฯลฯ พอโดนจับ พากัน"รับสารภาพ"กันง่ายๆหมด แม่ศรีรัศมิ์ตอนโดนแจ้งความ ปฏิเสธเสียงแข็ง พุทธอิสระ ตอนโดนแจ้งความ ก็ออกมาโต้เสียงแข็งมาก ตอนนั้น เขาอ้างชื่อ "แก้วขวัญ วัชโรทัย" goo.gl/vazCWQ

(

ผู้ต้องขัง ม.112 เธอถูกขังมาแล้วเกือบ 5 ปี (จากโทษ 28 ปี) เธอเป็นแม่เดี่ยวลูกสอง (อายุ 14 และ 11)


5 ชั่วโมงที่ผ่านมา
เธอถูกขังมาแล้วเกือบ 5 ปี (จากโทษ 28 ปี) เธอเป็นแม่เดี่ยวลูกสอง (อายุ 14 และ 11)

“ศศิพิมล” ผู้ต้องขัง ม.112 ไม่ได้รับอนุญาตให้พักโทษ เหตุกระทำผิดต่อสถาบันกษัตริย์

29 พ.ย. 62 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้รับแจ้งจากนางสุชิน มารดาของ “ศศิพิมล” (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องขังตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และอดีตพนักงานโรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่ ว่าทางเจ้าหน้าที่ของทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ได้แจ้งกับศศิพิมลว่าทางคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาวินิจฉัยการพักการลงโทษได้มีมติไม่อนุญาตให้เธอพักการลงโทษ โดยอ้างเหตุคดีของเธอเป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคง และเป็นความผิดเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์
สำหรับกรณีของศศิพิมล เธอถูกกล่าวหาและดำเนินคดีในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากการโพสต์ข้อความ 7 ข้อความในเฟซบุ๊ก ที่ไม่ได้ใช้ชื่อของเธอเอง และตัวเธอยืนยันว่ามิได้เป็นผู้โพสต์ข้อความตามฟ้อง แต่ได้ยินยอมรับสารภาพตามข้อกล่าวหา ในภาวะแวดล้อมของความผิดมาตรานี้หลังการรัฐประหาร 2557 ศศิพิมลถูกควบคุมตัวและคุมขังโดยไม่ได้รับการประกันตัวมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2558 ก่อนถูกศาลมณฑลทหารบกที่ 33 จังหวัดเชียงใหม่ พิพากษาจำคุก 56 ปี แต่ลดโทษให้เหลือ 28 ปี เนื่องจากให้การรับสารภาพ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2558

ดูความเห็นคณะทำงานว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการ ภายใต้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ว่าการควบคุมตัวกรณีศศิพิมลเป็นการควบคุมตัวโดยมิชอบ  คณะทำงานฯ UN เรียกร้องปล่อยตัว “ศศิพิมล-เธียรสุธรรม” สองผู้ต้องขังคดี 112 ชี้เป็นการควบคุมตัวโดยพลการ


 (ภาพจากสำนักข่าวประชาไท)
ปัจจุบันเธอถูกคุมขังในเรือนจำมาแล้ว 4 ปี 9 เดือนเศษ เป็นนักโทษชั้นเยี่ยม และผ่านการได้รับการลดหย่อนโทษจากการมีพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษในโอกาสสำคัญของบ้านเมืองมาแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 จากพระราชกฤษฎีกาช่วงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทำให้เหลืออัตราโทษที่เข้าเกณฑ์ในการได้รับการพิจารณาพักการลงโทษ หรือการได้ปล่อยตัวก่อนกำหนดได้
ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2562 ญาติของศศิพิมลได้ยื่นเอกสารเพิ่มเติมให้กับทางเรือนจำ เพื่อให้ทางทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ทำเรื่องกลั่นกรองในการขอพักการลงโทษ ให้กับคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาวินิจฉัยการพักการลงโทษพิจารณา และได้ไปให้ข้อมูลกับเจ้าพนักงานคุมประพฤติเพื่อทำรายงานประกอบการพิจารณา
จนล่าสุดเมื่อวันที่ 28 พ.ย. 62 ทางเจ้าหน้าที่ของทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ได้แจ้งผลการพิจารณากับศศิพิมล ว่าทางคณะอนุกรรมการฯ ไม่อนุญาตให้พักการลงโทษ โดยแจ้งเหตุผลว่าเป็นเพราะคดีของเธอเป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคง และเป็นความผิดเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้ต้องขังอาจจะมีโอกาสไปกระทำความผิดซ้ำ ทั้งผู้ต้องขังยังได้รับการลดหย่อนโทษจากการพระราชทานอภัยโทษมาแล้ว 3 ครั้ง เหลืออัตราโทษอีกไม่มากนัก ทำให้ทางคณะอนุกรรมการฯ ไม่เห็นชอบให้พักการลงโทษ
นางสุชิน มารดาของศศิพิมล เปิดเผยว่าทางครอบครัวรู้สึกผิดหวังและเสียใจ เนื่องจากตั้งความหวังกับการขอพักการลงโทษในครั้งนี้ ทั้งก่อนหน้านี้มีข่าวจากในเรือนจำมาว่าศศิพิมลได้รับอนุญาตแล้ว ทำให้มีความคาดหวังกันไว้มาก ตัวลูกสาวเองก็ถึงกับร้องไห้เมื่อตนไปเยี่ยมที่เรือนจำและทราบว่าไม่ได้รับอนุญาตให้พักโทษ ในอาทิตย์ที่ผ่านมา มีการปล่อยตัวผู้ได้รับการพักโทษจากทัณฑสถานฯ เป็นชุดที่ 2 โดยจากผู้ที่ได้รับการพิจารณาการพักโทษในชุดนี้จำนวน 30 คน มีศศิพิมลเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รับอนุญาต ลูกสาวได้แสดงความเป็นห่วงว่าจะทำให้แม่และหลานสาวอีก 2 คน ต้องลำบาก เนื่องจากเธอยังต้องถูกคุมขังในเรือนจำต่อไป
นางสุชินระบุว่าจากอัตราโทษที่ได้รับการลดหย่อนมาก่อนหน้านี้ ศศิพิมลจะเหลือโทษจำคุกอยู่จนถึงเดือนพฤษภาคม 2564 หรืออีก 1 ปี 5 เดือนเศษนับจากปัจจุบัน เมื่อไม่ได้รับการพักโทษ ทำให้อาจต้องติดไปจนครบกำหนด แต่ลูกสาวก็ระบุว่ายังมีช่องทางการขอ “ลดวันต้องโทษจำคุก” ในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งจะทำให้หักวันต้องโทษจำคุกไปได้บางส่วน ซึ่งกระบวนการนี้อาจทำให้ได้รับการปล่อยตัวเร็วกว่าจำนวนโทษที่เหลืออยู่บ้าง
ปัจจุบันศศิพิมล อายุ 34 ปี เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวของลูกสาวสองคน วัย 14 ปี และ 11 ปี ตามลำดับ ทั้งสองคนอยู่ในการดูแลของนางสุชิน ผู้เป็นยาย มาจนถึงปัจจุบัน กรณีของศศิพิมล ซึ่งถูกพิพากษาจำคุก 56 ปี นับเป็นผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ที่ถูกลงโทษด้วยอัตราโทษที่สูงที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ในยุคของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

“สมยศ-ไผ่” เคยร้องศาลปกครอง เหตุไม่ได้พักโทษเหมือนผู้ต้องขังคดีอื่นๆ

สำหรับการพักการลงโทษ หรือเรียกสั้นๆ ว่า “การพักโทษ” หมายถึง การปล่อยนักโทษออกจากเรือนจำก่อนครบกำหนดโทษตามคำพิพากษาของศาลภายใต้เงื่อนไขคุมประพฤติที่กำหนด จนกว่าจะครบกําหนดโทษจริง หากผู้ได้รับการพักโทษฝ่าฝืนเงื่อนไขคุมประพฤติ ก็จะถูกสั่งเพิกถอนการพักโทษได้
ก่อนหน้านี้จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มีผู้ต้องขังที่ถูกจำคุกในคดีมาตรา 112 ถูกพิจารณาไม่อนุญาตให้พักการลงโทษ มาแล้วอย่างน้อย 2 คน ได้แก่ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” แม้ทั้งสองคนจะมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์เหมือนกับผู้ต้องขังในข้อหาอื่นๆ ทั่วไป แต่กลับไม่ได้รับการอนุญาตให้พักการลงโทษ

กรณีของสมยศ ถูกให้เหตุผลในการไม่อนุญาตว่าเนื่องจากขาดองค์ประกอบที่จะสนับสนุนให้พักการลงโทษ ขณะที่จตุภัทร์ ถูกให้เหตุผลว่าเนื่องจากพฤติการณ์กระทำผิดกระทบต่อสถาบันหลักของชาติอันเป็นที่รักใคร่เทิดทูนของปวงชนชาวไทย จึงให้ทัณฑสถานอบรมพัฒนาพฤตินิสัยต่อไป
ทั้งสมยศและจตุภัทร์ ยังได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง ขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนมติไม่เห็นชอบให้พักการลงโทษ ของคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาวินิจฉัยการพักการลงโทษดังกล่าว โดยเห็นว่าเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นการใช้ดุลพินิจที่ผิดพลาดของคณะอนุกรรมการฯ และขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  โดยสมยศยื่นฟ้องคดีไปเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2561 และจตุภัทร์ยื่นฟ้องคดีไปเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2562 คดีของทั้งสองคนยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ จนถึงปัจจุบัน
ในส่วนการฟ้องของสมยศ ยังได้ขอให้ศาลปกครองกลางเพิกถอนประกาศกรมราชทัณฑ์ เรื่องหลักเกณฑ์การพิจารณาพักการลงโทษ พ.ศ. 2560 ข้อ 2 (ข) และข้อ 3 ซึ่งให้อำนาจคณะกรรมการพักโทษ พิจารณาให้ความเห็นชอบการพักโทษโดยคำนึงถึงลักษณะความผิด เนื่องจากหลักเกณฑ์ข้อดังกล่าวขัดหรือแย้งกับระเบียบกระทรวงยุติธรรมฯ ทั้งยังถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ขัดต่อหลักความเสมอภาคที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ
จากข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ถึงปัจจุบันยังมีผู้ต้องขังที่ถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพการแสดงออกและคดีสิ้นสุดแล้ว ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำอีกอย่างน้อย 25 คน และมีบางรายได้ทำเรื่องขอพักการลงโทษเอาไว้เช่นกัน
พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ ซึ่งเพิ่งเกษียณจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อสิ้น ก.ย. กล่าวถึงสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าเป็นปัญหา "ภายในประเทศ" ที่เกิดจากหลายปัจจัย ที่สำคัญคือความคับข้องใจของผู้เห็นต่างจึงจับอาวุธขึ้นมาต่อสู้กับเจ้าหน้าที่และก่อเหตุรุนแรง

fredag 29 november 2019

‘ถ้าไม่ยกย่องก็อย่าเหยียบย่ำ การเคลื่อนไหวของคณะสงฆ์ในบริบทการเมืองร่วมสมัย’ คณะสงฆ์และการเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังปี 2540 จากยุครุ่งเรืองสู่ยุคถูกรัฐครอบงำ ด้านพระไม่ต้องการให้รัฐแทรกแซงกิจการสงฆ์ แต่ควรอุปถัมภ์ค้ำชู เชื่อว่าความมั่นคงของพระพุทธศาสนาเป็นความมั่นคงของประเทศ
-มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคณะสงฆ์อย่างมากผ่านการจัดตั้งองค์กรเกี่ยวกับพุทธศาสนาหลังปี 2540 มีทั้งกรณีที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว
-หลังรัฐประหาร 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีความพยายามจะปฏิรูปพระพุทธศ...
ดูเพิ่มเติม




คลิกดู-‘ถ้าไม่ยกย่องก็อย่าเหยียบย่ำ’ (เกือบ) ไม่มีที่ยืนของคณะสงฆ์ใต้ร่มเงารัฐรวมศูนย์ | ประชาไ

มาแล้วครับ พรบ.สงฆ์ฉบับใหม่ ที่ผมบอกไปเมื่อวันก่อนว่า วชิราลงกรณ์จะให้เข็นออกมา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ประกาศ "รับฟังความเห็น" พรบ.สงฆ์ฉบับใหม่ ข่าว หน้าเว็บกฤษฎีกา "รับฟังความเห็น" ร่าง พรบ.ดังกล่าว

.ยุคล่าเมืองขึ้นอาณานิคมแบบใหม่(?) ด้วย สงครามเศรษฐกิจ..การค้า

ด้วยกระทรวงกลาโหมประสงค์จะรับบุคคลเข้าทำหน้าที่ทหารเป็นการชั่วคราวเพื่อปฏิบัติหน้าที่ราชการในการป้องกันและรักษาความมั่นคงหรือรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ

(Thailand!!กองทัพไทยขาดกำลังพล(ทหาร)ประจำการ???ประกาศรับสมัครทหารจะรบกับใคร???)




ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะกา …
นักลงทุนมุ่งความสนใจไปยังประเด็นที่ว่า จีนจะแสดงปฏิกิริยาเช่นใดต่อการที่สหรัฐให้การสนับสนุนการประท้วงต่อต้านรัฐบาลในฮ่องกง เพราะปัจจัยนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อการเจรจาต่อรองเพื่อยุติสงครามการค้า


สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า กระทรวงการค้าเกาหลีใต้เปิดเ …
กระทรวงกลาโหม..ช่วยอธิบายหน่อย ที่มาของรายได้นอกงบประมาณ 19,000 ล้านบาท ที่ไม่ได้ถูกส่งกลับเข้าคลัง และไม่มีการตรวจสอบ #BBCไทย

คลิกดู-ธนาธร วิจารณ์ กองทัพ ถาม รายได้นอกงบประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท ใช้จ่ายอย่างไร

(หมายเหตุ-"ไทยแลนด์" ยุครัฐบาลTyrant +ผู้นำบ้า(โง่)อำนาจ .... 
กับภาวะ"ศึกนอก- ศึกใน" นำชาติเข้าสู่"กลียุค"  เมื่อรัฐบาลหลายพรรค(ร้อยพ่อพันแม่)บริหารจัดการรัฐล้มเหลวจนเกิดวิกฤตปัญหารุมเร้าทุกด้านและแก้ไขไม่ได้   ทั้งการเมืองติดหล่มจมปลัก  เศรษฐกิจฝืดเคือง  สังคมวิปริตจิตตกเสี่อมโทรมตกต่ำสุดๆ ไร้กฎกติกาบ้านป่าเมืองเถื่อน ทำให้เดือดร้อนกันทุกถ้วนหน้าจากบนถึงล่าง  อีกไม่นานคนไทยคงหนีไม่พ้น"สภาพกรุงแตก"แน่นอน.. )