fredag 31 augusti 2012

กษัตริย์ภูมิพลป่วยหนักใกล้ตายพวกอำมาตย์ร้ายพากันวางแผนจะยึดอำนาจเพื่อขัดขวางไม่ให้ฟ้าชายขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป !

การแย่งชิงราชบัลลังก์คือสาเหตุของปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยปัจุบัน

    โดย   แสงตะวัน
วิกฤติของประเทศไทยที่เป็นอยู่ในเวลานี้คือวิกฤติการแย่งชิงราชบัลลังก์ระหว่าง ลูกชาย ลูกสาว และเมียของกษัตริย์ภูมิพล  เป็นเรื่องภายในครอบครัวซึ่งกษัตริย์ภูมิพลเองไม่สามารถจัดการให้มันลงตัวได้  แต่ โยนปัญหาครอบครัวให้เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย โดยมี รัฐบาล รัฐสภา ประชาชนและประเทศชาติเป็นฝ่ายรับผิดชอบแก้ไขปัญหาให้โดยตัวเองไม่กล้ารับผิด ชอบ นี้คือสาเหตุของปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในเวลานี้
ก่อนการยึดอำนาจ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ กษัตริย์ภูมิพลป่วยหนัก  แต่ประชาชนไม่รู้   และมีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าหลังจากการยึดอำนาจ  พระเทพ ฯลูกคนที่สามซึ่งกษัตริย์ภูมิพล ต้องการให้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป  ได้ ไปทำพิธีต่ออายุให้กษัตริย์ภูมิพลในจังหวัดทางภาคเหนือในขณะเดียวกัน กษัตริย์ภูมิพลก็เข้าโรงพยาบาลทำการผ่าตัดใหญ่ที่กระดูกสันหลังซึ่งป่วยมาจน บัดนี้   และได้ทำโรงพยาบาลศิริราชเป็นพระราชวังสำหรับกษัตริย์ภูมิพลโดยเฉพาะ  การยึดอำนาจเป็นการส่งสัญญาญถึงประชาชนใน ๒ เรื่อง  ชี้บอกถึงว่าทางวังจะมีการเปลี่ยนแปลงรัชกาลคือ :
๑)    คณะรัฐประหารใช้ภาษาว่าเป็นระยะเปลี่ยนผ่าน ซึ่งพลเอกเปรมเองก็ได้ออกมาพูดว่า “ เป็นคนไทยเกิดมาต้องทดแทนบุญคุณแผ่นดิน “  นั้นหมายความว่าพลเอกเปรมจะเป็นคนกำหนดว่าใครจะเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ปัญหามีอยู่ว่า พลเอกเปรมรับคำสั่งมาจากใคร ?  เมื่ออ่านรัฐธรรมนูญปี พ.ศ ๒๕๔๐ และปี พ.ศ. ๒๕๕๐  ในหมวดพระมหากษัตริย์  จะมีข้อความเหมือนกัน โดยให้พลเอกเปรมเป็นคนเสนอชื่อรัชทายาทที่จะขึ้นครองราชย์สืบทอดราชบัลลังก์ต่อรัฐบาล  โดยให้รัฐบาลเสนอต่อรัฐสภาเป็นที่ชัดเจนว่าให้ผู้หญิงขึ้นเป็นกษัตริย์ได้    ดังนั้นรัฐธรรมนูญในหมวดพระมหากษัตริย์การแก้ไขที่จะเกิดขึ้นใหม่  ทางพรรคประชาธิปัตย์จึงได้เสนอห้ามแตะต้องอย่างเด็จขาด    นั้นหมายความว่าห้ามแตะต้องอำนาจพลเอกเปรมในรัฐธรรมนูญ  ถ้า เป็นเช่นนั้นจริงก็ไม่ได้แก้ไขต้นเหตุแห่งความวุ่นวายในการแต่งตั้งกษัตริย์ จึงเป็นสาเหตุแห่งความวุ่นวายของปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้
๒ ) เรื่องการสืบราชสันตติวงค์ตามกฏมณเทียรบาลเป็นหน้าที่ของกษัตริย์ภูมิพลโดย ตรงในการตัดสินใจแต่งตั้งรัชกาลที่ ๑๐ ว่าจะให้ใครเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป   แล้วเรื่องยุ่งยากทั้งหมดก็จะหมดสิ้นไป   แต่กษัตริย์ภูมิพลกลับไม่ทำอะไร  ปล่อยให้ปัญหาความยุ่งยากของครอบครัวเป็นปัญหาของประชาชนในประเทศต้องเกิดความขัดแย้งกันเป็นปัญหาวุ่นวายอยู่ในเวลานี้   นอกจากนั้นยังโยนเรื่องนี้ให้เป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาลและรัฐสภา  ซึ่งตามหมวด ๒ ของรัฐธรรมนูญ   ได้บัญญัติไว้ว่าไม่ให้แก้ไขและใครแตะต้องไม่ได้    จึงกลายมาเป็นหมวดที่ควบคุมรัฐบาลและรัฐสภาไปในตัว  ดังนั้นการมีรัฐบาลที่พลเอกเปรมควบคุมได้ก็คือตัวกำหนดองค์รัชทายาทรัชกาลที่ ๑๐   ฉนั้นพลเอกเปรมจึงต้องการควบคุมรัฐบาลเพื่อให้การแต่งตั้งรัชกาลที่ ๑๐ เป็นไปตามความประสงค์ของตน   คนที่จงรักภักดีเช่นอดีตนายกสมัคร  สุนทรเวช  ที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็อยู่ไม่ได้เพราะนายสมัคร จะเอาเจ้าฟ้าชายขึ้นเป็นกษัตริย์รัชกาลที่  ๑๐    และรัฐบาลทักษินก็ต้องการฟ้าชายขึ้นเป็นกษัตริย์  ซึ่งตามกฏมณเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงค์  ในฐานะเป็นองค์มกุฏราชกุมารฟ้าชายย่อมเป็นผู้มีสิทธิ์มากกว่าคนอื่น   แต่พลเอกเปรมมีความขัดแย้งกับฟ้าชายไม่ยอมให้ฟ้าชายขึ้นเป็นกษัตริย์ รัชกาลที่ ๑๐   เพราะเปรมต้องการให้พระเทพ ฯ ขึ้นเป็นกษัตริย์
ด้วยเหตุนี้การยึดอำนาจ  วันที่ ๑๙  กันยายน  ๒๕๔๙   จึงทำเพื่อการนี้ โดยเฉพาะ  หลังจากการยึดอำนาจมีการวางแผนที่จะควบคุมอำนาจไว้เป็นระยะเวลาอย่างน้อย ๑๐ ปี    เพราะไม่รู้ว่ากษัตริย์ภูมิพลจะตายเมื่อไหร่  โดยได้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญให้อำนาจรัฐสภา อำนาจรัฐบาลอยู่ภายใต้อำนาจตุลาการทั้งหมดในช่วงเวลาถึง ๙ ปี  ภายใต้คำพูดที่เรียกว่า “ ตุลาการภิวัฒน์ “
แล้วใครเป็นคนใช้ศาลได้ถ้าไม่ใช่กษัตริย์ภูมิพลเอง ?
ดังนั้นเมื่อรู้ปัญหาชัดเจนเช่นนี้กษัตริย์ภูมิพลควรแต่งตั้งรัชกาลที่ ๑๐ ขึ้นมาเสียเอง  เป็นการแก้ปัญหาทั้งหมดให้จบสิ้นไป   ประชาชนจะได้ไม่ต้องแบ่งแยกทางความคิดและเข่นฆ่ากันเหมือนกับที่เป็นอยู่ในเวลานี้ประเทศชาติจะได้เดินหน้าพัฒนาต่อไปเสียที
แล้วทำไมกษัตริย์ภูมิพลจึงไม่ทำ ? .
จากประวัติศาสตร์ทำให้เรารู้ว่าในราชวงค์จักรีมีการแย่งชิงราชบัลลังก์กันมาตลอดเวลา   เริ่มต้นโดยเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก  ได้ฆ่าพระเจ้าตากสินหลังจากนั้น ได้ตั้งตัวเองเป็นกษัตริย์แล้วสถาปนาราชวงค์จักรีขึ้นมา  จากนั้นมาก็มีการแย่งชิงราชบัลลังก์กันมาแทบทุกรัชกาล  พี่ฆ่าน้อง  น้องฆ่าพี่  อาฆ่าหลาน  แม่ฆ่าลูก เป็นเรี่องประวัติศาสตร์ของราชวงค์จักรี   การที่กษัตริย์ภูมิพลได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ก็เหมือนแย่งชิงราชบัลลังก์มาจากพี่ชาย    ถึงรุ่นลูกกษัตริย์ภูมิพลก็ควรจะจัดการปัญหาให้เรียบร้อย  ซึ่งเป็นหน้าที่ของกษัตริย์ตามกฏมณเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงค์  ไม่ควรปล่อยให้มีการแย่งชิงกันฆ่ากันเหมือนในอดีตซึ่งทำให้เป็นสาเหตุปัญหาใหญ่ของประเทศชาติ  ของประชาชน  ของรัฐบาล และของรัฐสภา  ที่จะต้องมาแก้ปัญหาให้ครอบครัวกษัตริย์เพราะมันเป็นเรื่องภายในครอบครัวของกษัตริย์ภูมิพลเอง .

.....ลูกหลานใคร เด็กผิดอะไรใยต้องการสเต็มเซลล์......เด็กไม่ผิดแต่ภูมิพลกษัตริย์ปีศาจผีดิบแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ต้องการสเต็มเซลล์จากเด็กทารก......


โดย  hahahaja


โดยข้าวหอม

สเต็มเซลล์ คือ อะไร        คำไทยใช้คำว่า เซลล์ต้นกำเนิด ถ้าแปลตรงตัว Stem ก็ แปลว่าลำต้น ซึ่งเซลล์ต้นกำเนิดนี้ย้อนไปถึงการกำเนิดชีวิตนั่นเอง กระบวนการกำเนิดชีวิตมนุษย์หรือสัตว์นั้น สเปิร์มของผู้ชาย จะมาผสมกับไข่ของผู้หญิงกลายเป็น 1 เซลล์ จากนั้นหนึ่งเซลล์จะทำการแบ่งตัวเป็นทวีคูณ กลายเป็นอวัยวะต่างๆ จนกลายเป็นมนุษย์ขึ้นมา ดังนั้นเซลล์ต้นกำเนิดก็เหมือนเซลล์ที่กลายเป็นอะไรก็ได้ เช่นถ้าไปอยู่ที่สมองก็กลายเป็นเซลล์สมอง ไปอยู่ที่เซลล์ตับก็กลายเป็นเซลล์ตับ

สเต็มเซลล์ สร้างความน่าอัศจรรย์ใจและแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของวงการแพทย์ ด้วยคุณสมบัติดังนี้
       1.สามารถแบ่งตัวของตัวเองได้ตลอด
       2.สามารถเปลี่ยนตัวเองได้ เช่นเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว หรือเป็นเซลล์อื่นๆได้
       3.ยังเป็นตัวของตัวเอง คือมีค้างของตัวเองเสมอ ยังคงมีความเป็น สเต็มเซลล์ อยู่นั่นเอง
        
       ด้วยคุณสมบัติสามประการที่กล่าวมา เมื่อ สเต็มเซลล์ เข้าสู่ร่างกาย ก็จะวิ่งเข้าส่วนที่ร่างกายต้องการ ภาษาทางการแพทย์เรียกว่า Homing   เพราะเมื่อร่างกายมีบาดแผลจะมีการหลั่งสาร บางอย่างออกมา ซึ่งสารตัวนี้เป็นตัวดึงดูดให้วิ่งเข้าไปสร้างหรือซ่อมแซม
สเต็มเซลล์ นำมาจากไหนได้บ้าง      สเต็มเซลล์ ของมนุษย์สามารถเก็บได้หลายระยะ เริ่มตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนในระยะบลาสโตซิสท์ (ไข่ผ่านการผสมกับสเปิร์มมาแล้วประมาณ4-5วัน) เรียกว่า Embryonic stem cell แต่เนื่องจากยังมีมุมมองในแง่ศีลธรรมกันอยู่มาก เพราะหลายคนที่มีความเห็นว่าการนำ Embryonic stem cell มาใช้นั้นเป็นการฆ่าตัวอ่อน ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่ทัศนะของแต่ละคน ดังนั้นจึงขอพูดถึง Stem Cell ที่นำมาใช้ประโยชน์ต่อมนุษย์ในปัจจุบันและไม่ขัดกับหลักศีลธรรม โดยเราจะพูดถึง Fetal และ Adult Stem Cell ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ และไม่ขัดแย้งในเชิงศีลธรรม แหล่งที่พบ Adult Stem Cell ได้แก่ เลือด ไขกระดูก เลือดจากสายรก (สายสะดือ) ตัวสายสะดือ ไขมัน ฟันน้ำนม เรียกได้ว่า สามารถพบได้เกือบทุกอวัยวะของร่างกาย แต่แหล่งที่พบแต่ละที่นั้นมีข้อดีข้อเสียและการนำมาใช้แตกต่างกันไป ดังนั้นจึงขอยกเพียงบางที่มาทำความเข้าใจกัน

สเต็มเซลล์จากเลือด ( Peripheral blood adult stem cell )
        เลือดทั่วๆไปในร่างกายมี Stem Cell แต่มีปริมาณน้อยมาก หากเราต้องการเร่งให้ไขกระดูกปลดปล่อย Stem Cell ออกมาสู่ระบบเลือดในปริมาณมากขึ้น หมอจะฉีดยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว หรือที่เรียกว่า G-CSF ( Granulocyte Colony Stimulating Factor ) เข้าไป และทำการเก็บ Stem Cell ด้วยเครื่อง Apheresis ข้อดีของวิธีนี้คือ เราสามารถเก็บ Stem Cell ให้ได้ตามจำนวนที่เราต้องการนำไปปลูกถ่ายในผู้ป่วย แต่ข้อเสียคือ อาจมีผลข้างเคียงจากการใช้ยา G-CSF และ Stem Cell ที่ได้จะมี T-Cell ซึ่งเป็นเสมือนหน่วยความทรงจำว่าร่างกายเคยเป็นโรคอะไรมาแล้วบ้าง ซึ่ง T-Cell นี้อาจทำให้ร่างกายไม่ยอมรับการปลูกถ่าย และยิ่งอายุมากขึ้นศักยภาพของ Stem Cell ในร่างกายก็ลดลงเช่นกัน นอกจากนี้ การเข้าเครื่อง Apheresis ต้องให้ผู้ป่วยนอนแทงสาย Apheresis และอยู่นิ่งๆ โดยเครื่องจะใช้เวลา ประมาณ 2-3 ชั่วโมง Stem cell ที่ได้ถือเป็น stem cell แก่ คุณสมบัติไม่เท่า stem cell อ่อน ค่าใช้จ่ายปานกลาง ได้จำนวนเซลล์ปานกลาง-มาก แล้วแต่การตอบสนองต่อยากระดุ้น G-CSF แต่ต้องทนเจ็บอยู่กับเครื่องนานหลายชั่วโมง

สเต็มเซลล์ จากไขกระดูก (Bone marrow adult stem cell)

        หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ การปลูกถ่ายไขกระดูก ในกระดูกมี
Stem Cell มาก เพียงพอที่จะนำมาใช้ แต่วิธีการนำมาใช้ยุ่งยากและค่อนข้างเจ็บ  คือ ผู้ให้จะต้องวางยาสลบและทำในห้องศัลยกรรมของโรงพยาบาล โดยแพทย์จะเจาะเข้าไปบริเวณกระดูกเชิงกรานให้ถึงไขกระดูก แล้วดูด Stem Cell ที่ อยู่ในโพรงไขกระดูกให้เพียงพอกับจำนวนที่ต้องใช้ และมักเจาะแค่รูเดียวไม่เพียงพอ ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล 1 วัน และกลับไปพักฟื้นอีกอย่างน้อย 5 วัน ถือเป็น stem cell แก่ ปริมาณที่ได้ค่อนข้างน้อย แต่ค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
สเต็มเซลล์ จากเลือดในสายรก (Cord blood adult stem cell)        การเก็บเลือดจากสายรก จะทำได้แค่ช่วงที่เด็กแรกคลอดเท่านั้น ข้อดี คือ มีปริมาณ T-Cell น้อยมาก เพราะเด็กนั้นยังไม่เคยสัมผัสโรคใดๆ มีวิธีการจัดเก็บง่าย ปลอดภัย ไม่มีความเจ็บปวดต่อทั้งแม่และเด็ก นักวิทยาศาสตร์ พบว่ามี Stem Cell อยู่หลากหลายชนิดในเลือดจากสายรกแต่โดยมากมักนำไปใช้กับ โรคทางเลือด เช่น มะเร็งเม็ดเลือด เนื่องจากมีคุณสมบัติเด่น ทางด้านการเปลี่ยนเป็น เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในไขกระดูก มีการนำไปใช้รักษาจริงได้ในปัจจุบัน แต่เลือดจากสายรกก็มีข้อเสีย คือ ปริมาณที่เก็บได้มีจำนวนน้อย จึงสามารถนำมาใช้ได้กับเด็กหรือ ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักน้อย เพราะจำนวน Stem Cell ที่นำมาใช้ ต้องเหมาะสมกับน้ำหนักตัวของผู้ป่วย และในทางปฏิบัติ stem cell ชนิดนี้มักเก็บในธนาคาร Stem cell เพื่อใช้ประโยชน์กับตัวเด็กเจ้าของ stem cell เองในอนาคต  
สเต็มเซลล์ จากส่วนต่างๆ ของรก,สายรก และถุงน้ำคร่ำ (fetal stem cell)        เป็นการนำ stem cell ที่พบมากในรก เยื่อหุ้มรก สายสะดือ น้ำคร่ำ มาเพิ่มจำนวน ในห้องเพาะเซลล์ ถือเป็น stem cell ที่มีคุณสมบัติ ของ pluirpotent (การเปลี่ยนสภาพ cell ไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ) สูงกว่า stem cell จากเลือดสายรก   มีเม็ดเลือดแดงปนเปื้อนน้อย มีความบริสุทธิ์สูงกว่า มีคุณสมบัติใกล้เคียง Stem cell จากตัวอ่อนมากที่สุด สามารถเพาะได้เซลล์เป็นจำนวนมากๆ ได้ และไม่ติดปัญหาจริยธรรม แต่มีข้อเสียคือ  เป็นเทคโนโลยีใหม่ ต้องเพาะ cell ในห้องวิทยาศาสตร์ที่ต้องใช้เทคโนโลยีสูง จึงมีค่าใช้จ่ายสูง และต้องเตรียมการล่วงหน้าหลายวัน
สเต็มเซลล์ รักษาโรคได้อย่างไร
        หลัก การทำงานของ สเต็มเซลล์ ก็คือ ในร่างกายมนุษย์จะมีเซลล์ทั้งสิ้น 100 ล้านล้านเซลล์ แบ่งเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ 220 ชนิด โดยจะมีทั้งที่ตายไปและสร้างขึ้นใหม่ตามหลักอนิจจังอยู่เสมอๆ ซึ่งปกติร่างกายคนเราก็มี "สเต็มเซลล์" หรือ "เซลล์ต้นกำเนิด" อยู่แล้ว แต่เมื่อเกิดพยาธิสภาพขึ้นก็จะทำให้สเต็มเซลล์ไม่สามารถทำงานได้ 
เมื่อ ในร่างกายมนุษย์มี สเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดที่พร้อมทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งแต่ยังมีน้อยมาก จึงจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนสเต็มเซลล์ หรือเซลล์ต้นกำเนิดเหล่านั้นเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ โดยเอาเซลล์อ่อนที่ถูกคัดเลือกพร้อมทั้งเพิ่มจำนวนแล้วฉีดกลับเข้าไปยัง อวัยวะส่วนที่ต้องการรักษา     เช่น   เซลล์ไขกระดูกที่สร้างเม็ดเลือดแดง เกิดเป็นมะเร็งขึ้นมา เราก็มีการใช้ chemotherapy เพื่อฆ่าเซลไขกระดูกที่เป็นมะเร็ง หลังจากนั้นมีการเอาเซลล์ไขกระดูกดีๆ ที่ไม่เป็นมะเร็ง ใส่เข้าไปแทนไขกระดูกเดิม ถ้าเซลล์เข้ากันได้กับร่างกาย การรักษาก็จะได้ผล ไม่มีการปฏิเสธเซลล์ใหม่ที่ใส่เข้าไป ก็ช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้
เสร็จแล้วเนี่ย ตอนนี้ดูเหมือนว่า  สเต็มเซลล์จากตัวอ่อนหลังจากปฏิสนธิจะแบ่งตัวได้ดีที่สุด!!! วิเศษที่สุด !! 
ให้นึกถึงไข่เมื่อได้รับการผสมแล้ว....สามารถแตกตัวจนกลายเป็นคนได้น่ะค่ะ  แล้วคิดว่ามันจะ สามารถแปรเปลี่ยนสภาพไปซ่อมแซมมนุษย์ได้ดีมากแค่ไหน
มันจึงเป็นที่มาของธนาคารตัวอ่อน  ซึ่งเขา(อ้างว่า) ได้รับมาจากไข่ที่เหลือจากการปฏิสนธิของคนที่มีบุตรยาก
สิ่งที่สะเทือนใจก็คือ .... "ตัวอ่อนเขาเป็นมนุษย์แล้ว" แต่ต้องถูกฟรี๊ซไว้เพื่อรักษาใครซักคน....
และการผสมเทียมแต่ละครั้ง  ได้เด็กกี่คน...พ่อแม่รับไว้กี่คน ?  ถูกเลี้ยงไว้เพื่อเป็นตัวอ่อนกี่คน?... ฯลฯ
เคยดูหนังฝรั่งเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้...มันเป็นเรื่องที่น่าสลดมาก  ที่เราจะเพาะเลี้ยงตัวอ่อนมนุษย์เพื่อเก็บไว้รักษามนุษย์
การเกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องธรรมดา  ถ้ามันถึงเวลา จะตายโหงตายห่าก็ตายๆ ไปเหอะ...อย่าฝืนเลย
หมายเหตุ  มันเป็นความเข้าใจส่วนบุคคล ขอให้ศึกษาด้วยตัวเองเพิ่มเติมกันด้วยค่ะ

"รำลึก ๒๒ ปี คนดีที่จากไป" แด่ สืบ นาคะเสถียร คนดีที่แท้จริงนักต่อสู้ที่ยอมสละชีวิตตนเองเพื่อให้ได้มาซึ่งความยุติธรรม......


วันสืบ นาคะเสถียร
ทุกวันที่ 1 กันยายน ของทุกปี





Posted Image


สืบ นาคะเสถียร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัด อุทัยธานี แลกชีวิตของตนเองเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2533

เพื่อ ปลุกจิตสำนึกของคนในสังคมให้ตื่นขึ้น ให้รับทราบความเป็นไปของสถานการณ์ป่าไม้ และ สัตว์ป่าเมืองไทย คุณสืบ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นจริงจังใน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ภายหลังการเสียชีวิตของคุณสืบ 18 วัน มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ได้รับการก่อตั้งขึ้นเมื่อ ?วันที่ 18 กันยายน 2533? วันเดียวกับการครบรอบ 94 ปีของกรมป่าไม้ หน่วยงานต้นสังกัดของนักอนุรักษ์นี้

มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้ กำหนดขอบข่ายและทิศทางการทำงานไว้ 5 ประการ คือ


  • การสนับสนุนการจัดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่นเรศวร ตลอดจนผืนป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ

  • การปรับปรุงสวัสดิการเพื่อการเสริมสร้างขวัญ และกำลังใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า

  • งานรณรงค์ป้องกันรักษาผืนป่าอนุรักษ์และทรัพยากรธรรมชาติ ภายใต้การรณรงค์แนวความคิด “ไม่มีป่า ไม่มีน้ำ”

  • งานประชาสัมพันธ์และปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม เพื่อขยายแนวร่วม และเผยแพร่งานอนุรักษ์ส่วนกว้าง

  • งานส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาวิจัยสัตว์ป่า โดยจัดตั้งกองทุนสัตว์ป่าขึ้น

ประวัติ
สืบ นาคะเสถียรหรือนามเดิมชื่อ“สืบยศ” เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2492 ที่ตำบลท่างาม อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี บิดาชื่อ นายสลับ นาคะเสถียร เคยดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัด ปราจีนบุรี? มารดาชื่อ นางบุญเยี่ยม นาคะเสถียร สืบ นาคะเสถียรมีพี่น้องทั้งหมด 3 คน โดยสืบ นาคะเสถียร เป็นบุตรชายคนโต น้องชายและน้องสาวอีก 2 คนคือคุณกอบกิจ นาคะเสถียรและคุณกัลยา รักษาสิริกุล? คุณสืบมีบุตรสาว 1 คน ชื่อชินรัตน์ นาคะเสถียร ในวัยเด็ก สืบ นาคะเสถียร ได้ช่วยงานในนาของมารดา ทำงานอยู่กลางแจ้งทั้งวันโดยไม่ปริปากบ่น บุคลิกประจำตัว คือเมื่อเขาสนใจหรือตั้งใจทำอะไรแล้วก็จะมีความมุ่งมั่น ตั้งใจทำอย่างจริงจังจนประสบความสำเร็จ? ครั้นเรียนจบชั้นประถม 4 ต้องจากครอบครัวไปเรียนอยู่ที่ โรงเรียนเซนหลุยส์ จังหวัดฉะเชิงเทรา จนกระทั่งเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5

พ.ศ.2511 เข้าศึกษาในคณะวนศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สืบมีความตั้งใจในการศึกษาอย่างเต็มประสิทธิภาพและเข้าร่วมกิจกรรมนิสิต โดยเป็นที่ทราบกันดีระหว่างผู้ใกล้ชิดว่า สืบ นาคะเสถียร เป็นผู้มีใจรักศิลปะ และสูงส่งในเชิงมนุษยสัมพันธ์ มีระเบียบในการดำเนินชีวิต
ในสมัยเรียนอย่างมีแบบแผน พ.ศ.2514 จบการศึกษาจาก คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ต่อมา พ.ศ.2516 สืบ นาคะเสถียร
เข้าทำงานที่ส่วนสาธารณะของการเคหะแห่งชาติ

พ.ศ.2517 สืบเข้าศึกษาในระดับปริญญาโท สาขาวิชาวนวัฒน์วิทยา ที่คณะวนศาสตร์ มหาลัยเกษตรศาสตร์ จนสำเร็จการศึกษา

และ ในปีพ.ศ.2518 ได้เริ่มชีวิตข้าราชการ โดยบรรจุเข้ารับราชการ ตำแหน่งพนักงานป่าไม้ตรี กองอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ และเริ่มชีวิตข้าราชการกรมป่าไม้

เมื่อปี พ.ศ.2518 ใน กองอนุรักษ์สัตว์ป่า ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงหน่วยงานเล็ก ๆ ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น เขาตัดสินเลือกกองนี้เพราะต้องการทำงาน เกี่ยวกับสัตว์ป่ามากกว่างานที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ ป่าไม้โดยตรง สืบ เริ่มงานครั้งแรกที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขาเขียว-เขาชมภู่ จังหวัดชลบุรี ได้ผลักดันให้สืบ ต้องเข้าไปทำหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย อย่างเลี่ยงไม่พ้น ที่นั่นเขาได้จับกุม ผู้บุกรุกทำลายป่าโดยไม่เกรงอิทธิพลใดๆ ผู้ต้องหาล้วนได้รับการปฏิบัติอย่างสุภาพนิ่มนวล และที่นี่ สืบเริ่มเรียนรู้ว่า การเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ซื่อสัตย์ นั้นเจ็บปวดเพียงไหน

สืบ ทำงาน อยู่ 3-4 ปี ในปี พ.ศ.2522 สืบก็ได้รับทุนจาก British Council ไปเรียนระดับปริญญาโท สาขาอนุรักษ์วิทยาที่มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ จากนั้น พ.ศ.2524 กลับมารับตำแหน่งหัวหน้าเขต ห้ามล่าสัตว์ป่า บางพระ มีส่วนร่วมในการจัดการและประสานงาน รวมทั้งเป็นวิทยากร ฝึกอบรมพนักงาน พิทักษ์ป่าอีกหลายรุ่น

จนกระทั่ง พ.ศ.2526 สืบได้ขอย้ายตัวเอง เข้ามาเป็นนักวิชาการ กองอนุรักษ์สัตว์ป่า ทำหน้าที่วิจัยสัตว์ป่าเพียงอย่างเดียว “ผมหันมาสนใจงานวิจัยมากกว่าที่จะวิ่งไปจับคน เพราะรู้ว่าจับได้แต่คนตัวเล็ก ๆ ตัวใหญ่ ๆ จับไม่ได้ก็เลย อึดอัดว่ากฎหมายบ้านเมืองนั้นมันใช้ไม่ได้กับทุกคน มันเหมือนกับว่าเราไม่ยุติธรรมเรารังแกชาวบ้าน”

ใน ระยะนี้ เป็นจังหวะที่สืบได้แสดงความเป็นนักวิชาการออกมาอย่างเต็มที่ งานวิจัยศึกษาสัตว์ป่าเป็นงานที่สืบ ทำได้ดีและมีความสุขในการทำงานวิชาการมาก สืบรักงานด้านนี้เป็นชีวิต จิตใจ อันเป็นจุดเริ่มต้นที่เขาได้ผูกพัน กับสัตว์ป่าอย่างจริงจัง เขาเริ่มใช้เครื่องมือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้อง วีดีโอ กล้องถ่ายภาพนิ่งและการสเก็ตซ์ภาพ ในการบันทึกงานวิจัยทั้งหมด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้กลาย เป็นผลงานการวิจัยสัตว์ป่าชิ้นสำคัญของเมืองไทยในเวลาต่อมา

และใน เวลา ต่อมา พ.ศ.2529 สืบได้รับมอบหมาย ปฏิบัติงานในหน้าที่ หัวหน้าโครงการอพยพสัตว์ป่าตกค้าง ในพื้นที่อ่างเก็บน้ำ เขื่อนรัชชประภา (เชี่ยวหลาน)? จังหวัด สุราษฏร์ธานี ให้เข้าไปช่วยเหลืออพยพสัตว์ป่าที่ตกค้าง ในอ่างเก็บน้ำ ซึ่งเกิดจากการสร้างเขื่อนเชี่ยวหลาน สืบได้ทุ่มเทเวลาให้กับการกู้ชีวิตสัตว์ป่าที่หนีภัยน้ำท่วม โดยไม่ได้นึกถึง ความปลอดภัยของตนเองเลย จากการทำงานชิ้นดังกล่าวสืบ นาคะเสถียรเริ่มเข้าใจ ปัญหาทั้งหมดอย่างถ่องแท้ เขาตระหนักว่าลำพังงาน วิชาการเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่อาจหยุดยั้งกระแส การทำลาย ป่าและสัตว์ป่าอันเป็นปัญหา ระดับชาติได้ ดังนั้น เมื่อมีกรณี รัฐบาลจะสร้างเขื่อนน้ำโจน ในบริเวณทุ่งใหญ่ฯ สืบจึงโถมตัวเข้าคัดค้านเต็มที่

พ.ศ.2531 สืบได้กลับเข้ามารับราชการที่กองอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ และต่อมา พ.ศ.2532 สืบ นาคะเสถียร ได้เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าเขต รักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง

สืบ ได้พยายามในการที่จะเสนอให้ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และห้วยขาแข้งมีฐานะเป็นมรดกของโลก โดยได้รับการยกย่องอย่างเป็นทางการ จากองค์การ สหประชาชาติ สืบเล็งเห็นว่า ฐานะดังกล่าวจะเป็นหลักประกัน สำคัญที่คอยคุ้มครองป่าผืนนี้เอาไว้ อย่างถาวร ปลายปี พ.ศ. 2532 สืบได้รับทุน ไปเรียนต่อระดับปริญญาเอก ที่ประเทศอังกฤษ พร้อม ๆ กับได้รับมอบหมาย ให้ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ซึ่งเป็นป่าอนุรักษ์ที่มีความสำคัญมากไม่แพ้ป่า ทุ่งใหญ่นเรศวร แต่ในที่สุด สืบ ก็ตัดสินใจเดินทางเข้ารับตำแหน่ง หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง แม้จะรู้ดีว่าหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วย ความยากลำบากนานัปการ

เช้า มืดวันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2533 สืบ นาคะเสถียร ตัดสินใจผ่าทางตันด้วยการสั่งเสียลูกน้อง คนสนิท และเขียนจดหมายสั่งลา 6 ฉบับ ชำระสะสางภาระ รับผิดชอบและทรัพย์สินส่วนตัวที่คั่งค้าง มอบหมาย เครื่องใช้ และอุปกรณ์ในการศึกษาวิจัยด้านสัตว์ป่า ให้สถานีวิจัย สัตว์ป่าเขานางรำ เพื่อนำไปใช้ตาม วัตถุกระสงค์ดังกล่าว ตั้งศาลเพื่อแสดงความคารวะต่อ ดวงวิญญาณของเจ้าหน้าที่ ซึ่งพลีชีพรักษาป่าห้วยขาแข้ง แล้วสวดมนต์ไหว้พระ จนจิตใจสงบขณะที่ฟ้ามืดกำลัง เปิดม่านรับวันใหม่ เสียงปีนดังขึ้นนัดหนึ่งในราวป่าลึก ที่ห้วยขาแข้ง สืบ นาคะเสถียร ก็ปิดม่านชีวิตของเขาลง และเป็นบทเริ่มต้น ตำนานนักอนุรักษ์ไทย สืบ นาคะเสถียร ผู้ที่รักป่าไม้ สัตว์ป่าและธรรมชาติ ด้วยกาย วาจา? และหลังจากนั้นอีกสองอาทิตย์ต่อมา ห่างจากบริเวณที่เกิดเสียงปืนดังขึ้นไม่กี่สิบเมตรบรรดาเจ้าหน้าที่ ระดับสูงของกรมป่าไม้ รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายทหาร นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ นายอำเภอ ป่าไม้เขต และ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ อีกนับร้อยคน ต่างกุลีกุจอมาประชุมกันที่ห้วยขาแข้ง อย่างแข็งขัน เพื่อหามาตรการป้องกันการบุกรุก ทำลายป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง สืบ นาคะเสถียร รอวันนี้มาตั้งแต่วันแรกที่เขามาดำรงตำแหน่ง หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งนี้แล้ว แต่หากไม่มีเสียงปืนนัดนั้น การประชุมดังกล่าวก็คงไม่เกิดขึ้นเช่นกัน…

ขอบคุณที่มา : มูลนิธิ สืบ นาคะเสถียร

เดินต่อไป.....

เผาผีควันโขมง“ ไอ้พวกขี้โกงนอนซังเต “.........คนเขาจะหาม ชอบเอาคานไปสอด เพื่อคนตาบอด ถึงยอมกอดกับหมา ดักวิ่งชิงปล้น ยกตนเป็นพระยา นายกกราบหมา มันน่าอับอาย

โดย  ขุนเขาจากแดนไกล
ขุนเขาบอก :

เผาผีควันโขมง“ ไอ้พวกขี้โกงนอนซังเต “.........


รัฐบาลเงา รัฐมนตรีเงา

เฮ้อประเทศของเรา มันเอาอะไรมาคิด

ไอ้รัฐบาลผู้ดี มันมีอภิสิทธิ์

มันฆ่าคนไม่ผิด มันติดคุกไม่เป็น


ประชาชนทุกข์เข็น ไม่เย็นศิระ

พ่อพระแม่พระ ทำประชาทุกข์เข็น

แบ่งแยกนครา ตั้งคนบ้าให้มาเป็น

นายกหมอกระเด็น เป็นรัฐบาลเงา


อีลุ่ยฉุยแฉก ทั้งแจกทั้งแถม

ถนนรนแคม มันก็แอ้มเงินเขา

ปลัดกระทรวง มันลับลวงเงินเอา

รัฐมนตรีเงา เอาเงินเอาทอง


เห็นเขานั่งเกี้ยว เอามือประสายก้น

อยากเป็นเหลือทน หน้าหม่นหน้าหมอง

จะเป็นจะตาย กับกฎหมายปรองดอง

กลัวพี่ของน้อง ได้ปรองดองกลับมา


คนเขาจะหาม ชอบเอาคานไปสอด

เพื่อคนตาบอด ถึงยอมกอดกับหมา

ดักวิ่งชิงปล้น ยกตนเป็นพระยา

นายกกราบหมา มันน่าอับอาย


ผู้ก่อการร้าย คือชายชุดดำ

ฟังแล้วอยากสกรัม ไอ้หน้าดำอิ๊บอ๋าย

ไอ้ที่วิ่งๆ ไอ้ที่ยิงเสื้อแดงตาย

คือผู้ก่อการร้าย คือชายชุดดำ


พูดออกมาได้ ไม่อายปากหมา

สำเนียงส่อภาษา กริยาหำๆ

ทำตัวเป็นขี้ข้า จรกาหน้าดำ

ยอมตายแทนผู้นำ โถไอ้ดำขี้โกง


ทั้งบ่าวทั้งนาย คงได้ตายในคุก

ลูบหน้าปะจมูก ติดคุกกันทั้งโขลง

เสียงนกแสกหาย ยกคนตายลงโลง

เผาผีควันโขมง “ ไอ้พวกขี้โกงนอนซังเต “.........รอ..

>>>>> คว้ำคุณ"จักรภพ"นักรบประชาธิปไตยร้อยล้าน <<<<< ๑ กันยายน ๒๕๕๕ ขอร่วมแสดงความยินดีและเป็นกำลังใจแก่คุณ " จักรภพ เพ็ญแข " นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทีเก่งกล้าหยิ่งทรนงในศักดิ์ศรีของตนเองไม่ยอมก้มหัวให้กับอำนาจเผด็จการใดๆทั้งสิ้น ขอให้คุณ"จักรภพ"จงมีสุขภาพแข็งแรงมีจิตใจที่เข้มแข็งแน่วแน่ในการเป็นผู้นำ พร้อมนำความรู้มาเผยแพร่ติดอาวุธทางปัญญาให้ประชาชนตาสว่าง.......

โดย หมอตำแย

..... ถ้าเราจะพูดถึงแกนนำไม่ว่าจะเป็นเสื้อสีใดก็ตามแฟนคลับต่างต้องมี"ดาว"ไว้ติดปิดประดับเพราะความชอบ ซึ่งเป็นของธรรมดาเพราะเวลาที่แกนนำทุกคนขึ้นไปพูดบนเวทีปราศรัยก็จะบ่งบอกแนวทางการต่อสู้-อุดมการณ์และเป้าหมายอีกทั้งแกนนำทุกคนจะมีบุคคลิกในการพูดและการแสดงออกที่เป็น"เอกลักษณ์"ของตัวเอง

..... เมื่อมีนักการเมืองน้ำดี-น้ำกร่อย-น้ำเน่าก็ย่อมจะต้องมีแกนนำอยู่หลายระดับเหมือนกัน ซึ่งจะแยกออกมา

ให้เห็นพอสังเขปดังนี้

1. แกนนำระดับอินเตอร์

2. แกนนำระดับประเทศ

3. แกนนำระดับจังหวัด

4. แกนนำระดับหมู่บ้านและกลุ่มเล็กๆ

..... วันนี้ขอพูดแค่แกนนำระดับอินเตอร์ก่อนเพราะเท่าที่เห็นมาแกนนำระดับอินเตอร์ที่มีปณิธานและมีอุดมการณ์ที่แน่วแน่และแน่นอนไม่เคยเปลี่ยนแปลงเรื่องต่อสู้เพื่อ"ประชาธิปไตย"ที่ขาดนามสกุลเพราะเป็น"ประชาธิปไตย"ที่บริสุทธิ์ผุดผ่องอีกทั้งแกนนำท่านนี้ยังมีความสามารถพูดได้ทั้งภาษาไทยและพูดภาษาอังกฤษได้ดี โดยมีวาทะ"ปิยวาจา"สามารถดึงดูดและโน้มน้าวให้ผู้ฟังเห็น"สัจจะเป็นสัจจธรรม"ได้เป็นอย่างดีเขาผู้นั้นคือคุณ"จักรภพ เพ็ญแข" อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เคยควบคุมและพัฒนา"สื่อ"ให้มีคุณภาพเพราะใช้หลัก"แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง"เอาไว้เป็นอย่างดี

..... เมื่อเป้าหมายในการต่อสู้เพื่อ"ประชาธิปไตย"ที่มาจากแหล่งเดียวกัน แต่หนทางที่จะเดินไปนั้นเกิดไม่เหมือนกันขึ้นมา

ในระหว่างทางเพราะฝ่ายคุณ"จักรภพ"เคยอาจหาญบินสูงติดลมบนถึงชั้นสู้กับ"มังกรไฟตาเดียว"ที่มีจิตใจดำอำมหิตมาตั้งแต่ครั้งแรกและจู่ จู่จะให้คุณ"จักรภพ"ลดเพดานบินลงมาหาบรรดานกกระสา-กา-ไก่ ซึ่งคุณ"จักรภพ"ไม่ยอมทำตาม ดังนั้นจึงมีการปล่อยข่าวออกมาจากผู้หญิงอียูคนหนึ่งว่าคุณ"จักรภพ"รับเงินร้อยล้านมาจาก"เถ้าแก่"คนหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อเป็นการดีสเครดิดและพยายามที่จะดึงตัวคุณ"จักรภพ"ลงมาให้ได้.....แต่เมินเสียเถอะลูกผู้ชายหน้าสวยอย่างคุณ"จักรภพ"นักรบประชาธิปไตยที่มี"สัจจะเป็นสมบัติ"หรือจะยอมทำตาม ส่วนเรื่อง"เถ้าแก่"คนนั้นจะเป็นใครขออุบเอาไว้ก่อนนะเจ้าคะ

..... ถึงแม้ว่าตอนนี้คุณ"จักรภพ"สามารถที่จะกลับประเทศไทยได้แล้วก็ตาม แต่คุณ"จักรภพ"ยังไม่อยากที่จะกลับ คงตั้งหน้าตั้งตาทำงานให้กับมวลชนคนรัก"ประชาธิปไตย" ที่อยู่ต่างประเทศและได้ประสานงานอยู่กับคุณ"จตุพร พรหมพันธ์"อย่างเงียบๆอีกทั้งยังทำธุรกิจนับพันล้านกับเพื่อนๆเพื่อจะได้ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง โดยไม่ต้องไปก้มหัวขอเงินสนับสนุนจากใครๆทั้ง
นั้นและวันพรุ่งนี้เป็นวันฤกษ์ดีที่ได้มาถึงคุณ"จักรภพ เพ็ญแข"อีกครั้งหนึ่ง โดยจะเปิดร้านขายหนังสือที่เป็นเสมือน"คลังสมอง"ให้กับประชาชนคนที่สนใจงานด้านวิชาการตามรายละเอียดข้างล่างนี้เจ้าค่ะ

----------- 000000000000000000 -----------

เชิญร่วมเป็นเกียรติในการเปิดร้านหนังสือ TPnews


Posted Image
Posted Image
Posted Image
Posted Image
Posted Image
Posted Image


วันเสาร์ที่ 1 กันยายน 2555 เวลา 13.30-16.00 น.
สถานที่ ห้างอิมพีเรียล เวิร์ล ลาดพร้าว ชั้น 4 (หน้าลิฟต์แก้ว)
วิทยากรรับเชิญ : “อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล”
พิธีกรเสื้อแดง : “จ.เจตน์”

กำหนดการ :13.30 น. ลงทะเบียน รับของที่ระลึก ดื่มชา,กาแฟ
14.00 น. “คุณแม่ณัฐวรรณ เพ็ญแข” ประธานทำการเปิด, ถ่ายภาพร่วมกัน
14.15 น.วิดีโอลิ้งค์จาก “คุณจักรภพ เพ็ญแข” (เจ้าของร้าน)
14.45 น. “อ.ปิยบุตร” พูดคุยในหัวข้อ “หนังสือไทยที่มีอิทธิพลต่อความคิดทางการเมืองของผม”
15.30 น. (ประมาณ) ประธานมอบของที่ระลึกแก่วิทยากร, เสร็จพิธี


onsdag 29 augusti 2012

รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสวีเดนปฏิเสธข้อเสนอของกษัตริย์ ...

นาย อันเดอร์ส บอย ปฏิเสธ ข้อเสนอของกษัตริย์กุสตาฟ
.กษัตริย์ สวีเดนต้องการเงินงบประมาณเพิ่มอีกเกือบ ๕ ล้าน โครน สำหรับการดูแลความปลอดภัยให้แก่ครอบครัวกษัตริย์ ( คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ ๒๐ ล้านบาท )  แต่นายอันเดอร์ บอย รัฐมนตรีกระทรวงการคลังปฏิเสธ  
ความแตกต่างระหว่างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงกับระบอบเศรษฐกิจพอเพียงของภูมิพล
นายอันเดอร์ บอย  เป็น รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของประเทศสวีเดนซึ่งเป็นรัฐบาลฝ่ายขวาโดยมีนายฟีเด อริค เรนท์เฟลร์ เป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดปัจจุบัน ตามข่าวของหนังสือพิมพ์อัปตอนบลาด ลงเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๔ นี้ว่า  กษัตริย์กุสตาฟ  แห่ง ประเทศสวีเดนได้เสนอต่อรัฐบาลขอเพิ่มเงินงบประมาณค่าดูแลด้านความปลอดภัยให้ แก่ครอบครัวของกษัตริย์เป็นเงิน ๕ ล้านโครน (คิดเป็นเงินไทยประมาณ ๒๐ ล้านบาท)  แต่ถูกนายอันเดอร์ บอย รัฐมนตรีกระทรวงการคลังปฏิเสธ  โดยไม่ให้เหตุผลใดๆทั้งสิ้น  หลัง จากนั้นมีคนเป็นจำนวนมากเห็นด้วยกับรัฐมนตรีกระทรวงการคลังโดยให้ความเห็น ว่ากษัตริย์กุสตาฟควรจะออกมาทำมาหาเลี้ยงชีพกินเองอย่างคนธรรมดาไม่จำเป็น ต้องให้รัฐบาลจ่ายค่าเลี้ยงดูจากเงินภาษีของประชาชน  บาง รายยังบอกว่ากษัตริย์เองต้องรู้จักคำว่าพอเพียงกับฐานะความเป็นอยู่ของตัว เองเพราะกษัตริย์และครอบครัวไม่ได้ทำงานอะไร แต่มีพระราชวังอยู่อย่างใหญ่โต กินฟรี อยู่ฟรีทั้งหมด  ลูกๆของกษัตริย์เองยังต้องให้รัฐบาลจัดงบประมาณค่าใช้จ่ายให้อีกต่างหาก
นี่คือกษัตริย์ในประเทศที่มีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ  เรียกการปกครองแบบนี้ว่าระบอบการปกครองที่ประชาชนมีอำนาจสูงสุดโดยให้รํฐบาลที่เป็นตัวแทนของ ประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจนั้น  ไม่ใช่กษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจเหมือนในเมืองไทย
ถ้าเปรียบเทียบกับกษัตริย์ของไทย  คือ กษัตริย์ภูมิพลและครอบครัวโดยต้องใช้ทหารถึง ๓๐๐๐๐ คนเพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่ตนเองและครอบครัว อีกทั้ง ค่าเลี้ยงดูกษัตริย์และครอบครัวปีละ ๒๐๐๐ กว่าล้าน บาท  ค่าจัดงานวันเกิดอีกทุกๆปี ประมาณ ๔๐๐ ๕๐๐ ล้านบาท นอกจากนั้นกษัตริย์ภูมิพลยังมีรายได้จากการบริจาคอื่นๆอีกแต่ละวันมีมูลค่า มากมายมหาศาลโดยไม่ต้องเสียภาษีและไม่ต้องชี้แจงว่าจะนำไปใช้อย่างไร  กษัตริย์ภูมิพลยังมีรถราคาแพงคันละ ๑๐๐ ล้านบาทตั้งหลายคัน มีเฮรี่คอปเตอร์ชนิดพิเศษใช้ส่วนตัวราคาแพงเครื่องละประมาณ ๒๐๐- ๓๐๐ ล้านบาท หลายเครื่องมีเครื่องบินส่วนตัวอีกคิดเป็นเงินหลายพันล้านบาท มีสระว่ายน้ำให้หมาอีกด้วย  ในขณะเดียวกันกษัตริย์ภูมิพลได้ออกมาพูดสั่งสอนให้ประชาชนใช้เศรษฐกิจอย่างพอเพียง  ซึ่ง มันเป็นการสวนทางกับการดำรงชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของกษัตริย์และครอบ ครัวที่อยู่อย่างหรูหราฟุ่มเฟือย ต่างกับประชาชนที่ไม่มีจะกิน
ฉนั้นกษัตริย์ภูมิพลควรจะได้เรียนรู้ทฤษฎีพอเพียงเสียใหม่จากนายอันเดอร์ส  บอย รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของประเทศที่เขาเจริญแล้วอย่างสวีเดนเสียบ้าง




.....กฏแห่งกรรม.. กรณี 2ผัวเมียก็ไม่ได้แตกต่างจากมนุษย์ปุตุชนทั่วไป"

 โดย เคนจิ

"ผม เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมน่ะครับ ผมผ่านประสบการณ์ร้อน-ฝน-หนาวมา62รอบ เห็นอะไรมาเยอะ โดยเฉพาะคนก่อทำชั่วไว้เยอะ ต่อให้มีเงินกองเป็นภูเขาเลากา เวลาเขาหมดกรรมดี เจ้ากรรมนายเวรไล่ทัน สมบัติ-อำนาจมากมายก็ไม่สามรถช่วยเขา กรณี2ผัวเมียก็ไม่ได้แตกต่างจากมนุษย์ปุตุชนทั่วไป"
แต่จริงๆพวก เราไม่รู้ไฟนอก ไฟในครอบครัวนี้เพราะเขามีอำนาจ บารี บริเวร ทรัพย์สินในมือมากมาย แต่จริงๆเวรกรรมได้เล่นงานเขามาเรื่อยๆเริ่มตั้งแต่2523 ที่เขาเริ่มฮุบสมบัติชาติ ก๊าช-น้ำมันและก่อนหน้ากู้เงินมาสร้างเขื่อน โดยเอาประเทศไปจำนองและให้ประชาชนใช้หนี้แทน แต่ผลประโยชน์ ครอบครัวของเขาและบริวารปล้นเอาไปอย่างหน้าด้านๆ ขยายอาณาจักรตั้งแต่บริษัทปูนซีเมนต์และบริษัทยักษ์ใหญ่นานา จนเวลานี้เป็น100กว่าบริษัทฯ(แต่ในนามตัวแทนโดยผ่าน300ตระกูลดัง)
ปี2523 หากคนรุ่นเก่าและอยู่ในสายทหารสนใจเรื่องนี้จะพอทราบ เพราะมีการวางยานายทหารติดตามท่านหนึ่ง ด้วยยาพิษจนตายและตกเป็นข่าว ครั้งนั้นป้าถึงกับบ้า และ2ผัวเมียเหมือนแก้วแตก ถึงกับทะเราะกันอย่างหนัก สุดท้ายมีการตัดขาดจากกันในฐานะผัวเมีย แต่ปิดบังสังคมภายนอกโดยการแยกกันอยู่ ครอบครัวป้ากับลุงจากนั้นมามีเรื่องราวหน้าชื่นอกตรมมาตลอด
แต่กรรมที่ หนักที่สุดคือ เวรกรรมที่เขาคือผู้อยู่เบื้องหลังในการ"สั่งฆ่าประชาชน"ผู้บริสุทธิ์ ทั้งผู้รับใช้ใกล้ตัว ประชาชน ที่เห็นต่างจากเขาเพื่อรักษาอำนาจ ผลโยชน์ ในใจเขากะจะฮุบประเทศนี้ทั้งประเทศโดยไม่แบ่งปันใครเลย(แนวคิดเขาผมว่าผิด มนุษย์มนาน่ะครับ) เขาเป็นจอมวางแผน จ้าวเล่ห์(ดูจากปลายจมูกตามตำราเป๊ะ)
ที่ผ่านมา หลายปีที่ย้ายเข้าไปพักรักษาตัวที่ตึกริมน้ำ เขาอยู่ได้เพราะ"สเต้มเซลล์"และเวลานี้ก็จะตายเพราะ"สเต้มเซลล์"เช่นเดียว กัน เพราะมันคือเลือด วิญญาณ ของอนาคตของเด็กที่พร้อมจะเกิดลืมตามาดูโลก แต่เขาดันไปทำลายอนาคตพระพรมลิขิตของเด็กๆ ยังไงเสียวิญญาณเหล่านี้เขาไม่ยอมง่ายๆหรอกครับ
ครอบครัวเขา เดือนๆปีๆ ต้องเสียเงินเพราะค่าพิธีกรรมมิใช่น้อย เขาเชื่อฝังหัวว่าเขามิใช่คนธรรมดา อยู่เหนือมนุษย์คือไม่มีวันตาย อะไรที่ทำให้เขาอยู่ยงคงกะพันยาก แพงเท่าไรเขาจ่ายไม่อั้น ทั้งของเก๋ ของจริง เขาโดนหลอกเอาเงินไปก็มิใช่น้อย
แปลกแต่จริง วันๆ เขาเที้ยวเสาะแสวงหาอาจารย์ดีๆพระเกจิดังๆครอบครัวนี้เขารู้หมดไม่ว่าในโลก นี้มีพระเกจิ อาจารย์ดัง ดีอยู่ที่ไหนดั้นด้นหา หากอาจารย์ พระเกจิดังๆไม่ให้ความร่วมมือก็สั่งเก็บเสีย เราพอคงจำกันได้เมื่อ30กว่าปีก่อน ที่พระเกจิ อาจารย์ดังทางภาคอีสานที่นั่งเครื่องบินรับกิจนิมนต์ เข้ากรุงเทพฯแต่โชคร้ายเครื่องบินมาตกแถวๆลำลูกกา(สาเหตุทราบภายหลังว่า น้ำมันหมด ทั้งที่เตรียมการน้ำมันพอเพียงและสำรองไว้เพียงพอทั้งขาไป ขากลับ ไม่สัญญาณว่าเครื่องจะตก เกวัดมิเตอร์ปกติ) งานนั้นผู้อยู่บนเครื่องบินตายเรียบรวมทั้งคุณหญิงโยมอุปฐาก พระเกจิท่านรู้ตัวว่าเอาท่านมาตายถึงกับสั่งเสียญาติโยมว่า กูไปแล้วคงไม่มีโอกาสกลับอีกแล้ว ให้ไปหาที่วัดพระศรีมหาธาตุ(บางเขน) พระท่านรู้ตัวแต่ขัดขืนไม่ได้นี่ก็บาปหนักอีกข้อ ที่ฆ่าพระครับ
และบาปที่ให้ ครอบครัวเขาเสื่อมสุดและประชาชนหู-ตาสว่างมากขึ้นก็เห็นจะเป็น การกักน้ำวางแผนถล่มรัฐบาลปูเพื่อทำรัฐประหาร โดยคิดแค่เอาชนะและเอาอำนาจกลับ แต่ลืมไปว่าผลมันกระทบกับคนทั้งประเทศ สัตว์เลี้ยง ลูกเล็ก เด็กแดง คนแก่ กำลังเจ็บไข่หนีไม่ทันต้องมาตามหายไปกับน้ำเป็นร้อยๆชีวิต ผมเห็นภาพหมูว่ายน้ำหนีตาย ทั้งน่ารักและปนสงสาร
ทั้งหมดที่พอ นึกได้และผมที่เล่ามาคือลหุกรรมที่ครอบครัวบ้านหลังนี้ที่เขาก่อทั้งสิ้น นี่ยังไม่ถึง20%ครับ เพราะมีเรื่องเล่นแร่แปรธาตุและแผนชั่วอีกเยอะที่ถูกปกปิด
บัดนี้ครอบ ครัว 2ผัว-เมียเสมือนหนึ่งตายทั้งเป็น อยู่บนกองเงิน กองทองสมบัติมากมาย แต่มันไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้เลย ผมว่าหากเขาเลือกได้ระหว่างมีชีวิตอยู่และต้องตายจากโลกนี้ไป ผมว่าเขาคงเลือกอย่างหลังมากกว่า เพราะทั้งอับอาย ทุกข์จากการเจ็บป่วย ลูกๆเป็นพิษ บริวารเป็นพิษ แต่ตายยังไม่ได้เพราะ ยังห่วงสมบัติ อำนาจผลประโยชน์ที่ครอบครองอยู่และที่สำคัญ"กูแพ้ไม่ได้โว๊ย"

ฟังคลิปคำปราศัย อ. สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลงาน "อากง " ๒๕-๐๘-๒๐๑๒ เปรียบเทียบกรณีอากงเหมือนกับกรณีสวรรคต ร. ๘ !

http://www.youtube.com/watch?v=ELbtVLpQ-ek&feature=player_embedded#t=0s

tisdag 28 augusti 2012

...... Body check up ข่าวด่วนเกี่ยวกับปีศาจผีดิบ " เหี้ยสั่งฆ่า อีห่าสั่งยิง "

 โดย หมอตำแย

.... ข่าวนี้มันเป็นข่าวดีและข่าวร้ายในตัวของมันเพราะคนบางกลุ่มได้ยินแล้วก็ดีใจ แต่คนบางกลุ่มได้ยินข่าวนี้แล้วก็เสียใจ

และกระทู้วันนี้"หมอ" ขออนุญาตใช้ภาษาประกิตปนกับภาษาไทยเพราะเป็นศัพย์ทางวิชาการกลัวแปลไปแล้วอาจจะผิดเพี้ยน

ไปและผลตรวจนี้ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วันเจ้าคะ

..... ตามหลักทางการแพทย์เขาจะตั้ง Score เอาไว้ = 10 แล้วจึงหาค่าของอาการป่วยของคนไข้ว่าจะอยู่ขั้นไหนของ

Score ก็คือถ้าคนไข้มีอาการน้อยก็นับ 1 ขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้ามีอาการป่วยมากจนถึง 10 ก็อันตรายมากที่สุด หวังว่าคงจะเข้าใจ

นะเจ้าคะ

..... อาการของ"อาเหล่ากง" ยังมีอาการที่ผิดปกติมากเพราะมีอาการที่สวิงขึ้น-ลงได้อย่างรวดเร็วคือพอเวลามีอาการดีขึ้นร่า

กายด้านขวาก็ตอบสนองและยังพูดได้บ้าง ส่วนเส้นประสาทด้านซ้ายมือไม่ยอมตอบสนองแม้กระทั่งนิ้วมือยังกระดิกไม่ได้ แต่

พออีกสักครู่ก็หลับพลอยไปเฉยๆ ทั้งนี้ทางการแพทย์ลงความเห็นเรื่องนี้ว่าตอนที่ "อาเหล่ากง" ทำ "Stroke Reverse"และใช้

" C- Pap"เครื่องช่วยหายใจและเวลาไปไหนก็ใช้ " Heart Rate Monitor watch" ในช่วงนั้นมากเกินไปจนทำให้ครั้งหนึ่งเกิด

อาการ "Brain Death" ขึ้นมาทำให้แพทย์ใหญ่ๆทั้งหลายต้องวิ่งกันโรงพยาบาลแทบแตกกันเลยทีเดียว

..... เมื่อคนเรามีอายุถึง 80 ปีขึ้นไปแล้วแน่นอนเจ้าค่ะ ที่ร่างกายก็จะต้องร่วงโรยไปตามธรรมชาติดังนั้นการทำ "Stem Cell"

ครั้งหลังจึงไม่ได้ผลตามที่ต้องการ แถมคนไข้ยังมีอาการติดเชื้อในกระแสโลหิตต้องให้ยาปฎิชีวะนะอย่างต่อเนื่องและพอให้ไป

ได้สักระยะหนึ่งก็ต้องเปลี่ยนยาตัวใหม่เพราะอาการของคนป่วยเรื่ม "ดื้อยา" อีกทั้ง"ต่อมลูกหมาก " Enlarged prostate"ก็ต้อง

ให้ยามาตลอดและตอนนี้ไม่ได้ "อยู่กับก๋ง แต่อยู่กับสายยาง"

-------- Score อยู่ในระหว่าง 7-8 ------------

..... ที่นี้มาดูผลตรวจร่างกายของ "อาเหล่าม่า" บ้าง

..... ผลตรวจ "Stroke" ดีขึ้น Score อยู่ที่ = 5 แต่ถ้ามีอาการเคลียดก็จะขึ้นไปถึง6-7 ทันทีและจะทำให้มีอาการลิ้นคับปาก

จนทำให้ปากเบี้ยวและถ้าเป็นมากไปกว่านี้ก็อาจจะเป็นอำมพาตได้เจ้าค่ะ

..... คนที่มีรูปร่างอ้วนใหญ่มักจะเป็น "Heart Attack" ดังนั้นจะต้องระวังเรื่องนี้ให้มากด้วยเพราะเมื่อเดือนก่อนโน้นได้พยายาม

จะลดน้ำหนักตัวลงจาก 87.6 กกให้เหลือ 75 กกเพื่อออกงานวันเกิด แต่พอลดลงมาได้แค่ 6-7 กก.เท่านั้นก็เกิดอาการหน้ามืด

ตามัวล้มลงเพราะหัวใจเกิดทำงานผิดปกติขึ้นมา Score อยู่ที่= 6-7

..... อาการ " Diabetes" คือเป็นเบาหวาน แต่อาการยังไม่รุุนแรง Score อยู่ที่ = 5 เพราะทานยาควบคุมอยู่เจ้าค่ะ

..... "Kidney disease" นี่ก็เป็นผลที่ทำให้ร่างกายมีผลกระทบต่อร่างกายทั้งนั้น Score อยู่ที่ = 6

..... เมื่อมีการประเมินผลของผู้ป่วยโดยแพทย์ จึงให้ Score เป็นภาพรวมว่าอยู่ที่ 6 เพราะคนไข้ได้ทานยาควบคุมโรคไว้

และถ้าวันใดโรคเกิด"ดื้อยา"ขึ้นมาหรือคนไข้มีอาการเคลียดจัดขึ้นมาเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคนไข้อาจจะ"ช๊อค"ได้โดยง่ายเจ้าค่ะ


 สวัสดีจ้า ข่าวล่ามาเร็ว

เมื่อสักครู่นี้เพื่อนโทรมาบอกว่าตอนเที่ยงวันนี้

มีสายโทรเข้้ามารายงาน"อาเหล่าม่า"ว่า

พล.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ได้

เด้ง 3 นายพลกลาโหมได้แก่

1. พล.อ.เสถียร เพื่มทองอินทร์

2. พล.อ.ชาตรี ทัตติ

3. พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์

ซึ่งที้ง 3 เป็น"ลิ่วล้อ" ทั้งนั้นพอได้รับข่าวโกรธ

ถึงมีอาการ"ตาค้าง"ไปในทันทีและขณะนี้กำลัง

เช็คดูว่าใครเป็นคนโทรเข้ามาบอกข่าวนี้เพราะ

แพทย์ได้ให้บรรดานางสนมกำนันเป็นผู้ที่ดุแล

และเป็นเพื่อนคุยด้วย แต่ยังไม่อนุญาตให้ดูข่าว

เพราะจะทำให้เคลียดและอาจจะมีผลกระทบด้าน

Stroke ได้

måndag 27 augusti 2012

ภูมิพลกษัตริย์ปีศาจผีดิบ มีชีวิตอยู่ได้ด้วย"สเตม เซลล์"ของทารกเป็นพันๆ !!

กษัตริย์ปีศาจผีดิบภูมิพลมีชีวิตอยู่ได้ด้วย"สเตม เซลล์"ของทารกเป็นพันๆ  !!

การมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ของกษัตริย์ภูมิพลต้องขึ้นอยู่กับการฉีด " สเตม เซลส์ " ซึ่งได้มาจากทารก แล้วมาทำเป็นยาฉีดให้กษัตริย์ภูมิพล เพื่อให้มีชีวิตอยู่ไปวันๆ การที่จะได้ยามาฉีดให้แต่ละครั้งต้องฆ่าเด็กทารกเป็นจำนวนมาก ดังที่เป็นข่าวให้ประชาชนได้เห็นอยู่บ่อยๆในหน้าหนังสือพิมพ์ ว่ามีการพบถุงใส่ศพเด็กทารกที่ตายแล้วเป็นจำนวนหลาย๑๐๐๐ ถุงซ่อนอยู่ตามที่ต่างๆ ( ดูจากรูป ) เมื่อเร็วๆนี้สภากาชาดไทยได้ลงโฆษณาขอบริจาก"สเตม เซลล์" ให้แก่ ภูมิพล และ สิริกิตย์... แต่เมืองไทยอำนาจทุกอย่างอยู่ภายใต้ระบอบอำนาจเผด็จการของกษัตริย์ภูมิพล จึงไม่มีใครกล้าวิจารณ์ หรือตั้งคำถามถึงเรื่องเหล่านี้ได้อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา เพราะมีกฏหมายมาตรา ๑๑๒ ของภูมิพล กดหัวอยู่ จะเห็นได้จากกรณี "อากง " และหลายชีวิตที่ถูกจับกุมคุมขังอยู่ในคุกขณะนี้ .... 

มันคือ++++มัจจุราชชัดๆ++++ทั้งเด็ก++ประชาชน++แม้แต่หมอ!!!!ตายเรียบ...... แล้วมันเป็นใครถ้าไม่ใช่ปีศาจจอมเผด็จการฆาตกรใจโหดที่กำลังนอนรอวันตายอยู่ ชั้น ๑๖ โรงพยาบาลศิริราช และ เมียนางมณโทปากแดง ....

โดย เคนจิ

ตั้งแต่ จำความได้ พ่อ-แม่-ผู้ใหญ่-ครูบา-อาจารย์และไม่เว้นแต่พระสงค์ในวัดเอง ก็เที้ยวสอนเราให้เคารพบูชาในสิ่งหนึ่ง ที่จนวันนี้ที่ทุกอย่างมันพิสูจน์เป็นวิทยาศาสตร์ให้เราแลเห็น ที่แท้มันไม่เป็นอย่างที่"ค่านิยมที่ฝังหัว"ที่ผู้ใหญ่พร่ำสอน เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ไปขวางทางเดินเขา ก็ต้องมีอันต้องเป็นไปหมดทั้งสิ้น
ตัวเขาเอง เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มีวัฐจักรการเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นของธรรมดา เขาก็ไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตทั่วไปตัองมีแก่ เจ็บ แต่ตัวเขาเองไม่ยอมรับและหลอกตัวเองมาทั้งชีวิต ว่าตัวเองจะต้องไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย และพยามใช้ทุกวิถีทางในการยื้อชีวิตเพียงเพื่อสนองตัญหาอยาก สะสมความโลภ โกรธ หลง มากกว่าคนทั่วไปการเสียชีวิตเด็กทารกที่ตกเป็นข่าวใหญ่2ครั้งๆละ2,000ศพรวม แล้วก็คงไม่ต่ำกว่า4,000ศพ นี่ยังไม่รวมที่ไม่ตกเป็นข่าวไม่แน่อาจจะมีซุกอีกไว้ไม่น้อยไฮไลซ์มันอยู่ ที่ ศพเหล่านี้เขาเอามาทำอะไรและมันขัดกับศีลธรรมขนาดนี้ ถ้าวันหนึ่งผู้คนรู้เรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ผลมันจะเป็นเช่นไร
ความลับไม่มี ในโลกครับ สุดท้ายปริศนาก็ถูกนำมาเปิดเผยเรื่อง"สเต้มเซลล์" เพื่อไปรักษาและยื้อชีวิตให้กับบุคคลชั้นสูง จริงๆแล้ววงการแพทย์เรื่อง"สเต้มเซลล์"มันมิใช่เรื่องแปลกประหลาดตรงไหน เพราะประเทศที่ได้ชื่อว่าเก่งในการผลิต"สเต้มเซลล์"คือประเทศเยอรมัน แต่เยอเยอรมันเขาใชสัตว์คือแกะมาเป็นวัตถุดิบ แต่ว่ากันว่าราคาสูงมากราคาต่อเข็มหลักแสน-ล้านบาท ตรงนี้เองที่เป็นปริศนาในใจผมตลอดคือ ในเมื่อเขาคนนั้นรวยที่สุดในโลก แค่ยาเข็มละ1ล้านบาทนี่ขนหน้าแข้งเขาไม่ร่วงหรอกซิมิ นี่คือที่ประเด็นที่ผมตั้งกระทู้ว่า"มัจจุราช"เพราะเขาคือ"จ้าวแห่งความตาย" ใครก็ตามที่เข้าใกล้เขาเพื่อรับใช้ เพื่อผลประโยชน์หากคิดจะตีตัวออกห่างไม่ซื่อสัตย์ และปากโป้งก็ต้องมีอันต้องตาย ไม่ว่าคณะหมอที่ดูแลหลายชุดจะต้องมีอันเป็นไป
ปมปรฺิศนา ทั้งหมดที่ถูกปกปิดมานานกว่า60ปี หลายเรื่องตั้งแต่ ใครฆ่าร.8 การจับแพะ นายชิต นายบุศน์ นายเฉลียว ต้องโดนประหารทั้งที่พวกเขาไม่มีความผิด และหลายบุคคลสำคัญที่ต้องตายทั้งๆที่ท่านเหล่านั้นจะต้องทำคุณประโยชน์ให้ กับประเทศนี้ได้อีกนาน แต่ต้องมาตายก่อนเวลาอันควร
การสร้างละคร ตบตาและการปราบปรามประชาชน ทั้ง4ยุค4สมัย มันคงไม่ไปหาคำตอบอีกแล้วล่ะครับเพราะทั้งหมดที่ผมเล่ามามันคือ กุญแจไขปริศนาและเขาคนนั้นแหละคือ...มัจจุราชตัวจริง ครับ ไทยรัฐ 7 ก.ค.55 รพ.จุฬาฯ ลำเลียงซากศพทารก 2,002 ศพ เก็บสุสานป่อเต็กตึ๊ง
Posted Image
มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลำเลียงซากศพทารก 2,002 ศพ จากนิติเวช โรงพยาบาลจุฬาฯ
ไปเก็บที่สุสานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จ.สมุทรสาคร...

.......รัฐบาลเป็นคนดูแลควบคุมกองทัพ ไม่ใช่กองทัพอิสระ ......

โดย  ลูกชาวนาไทย
ย้ายยกพวงทหาร ผมสนับสนุน พล.อ.อ. สุกำพล ต่อไปอำนาจรัฐบาลจะแน่นขึ้น
ก็เห็นความเด็ดขาดของ รมต.กลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล วันนี้แหละครับ ที่มีคำสั่งให้ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ไปปฎิบัติราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกลาโหม มีผลทันที ตามที่หนังสือข้างล่างครับ

[ภาพ: A1Sy8pCCIAAs4nB.jpg]

ตามคำสั่งนี้ในระบบราชการไม่ถือเป็นคำสั่งย้าย แต่เป็นคำสั่งให้ "ปฎิบัติราชการ" ตามที่มอบหมาย ตำแหน่งเดิมยังอยู่ แต่ว่าอำนาจการลงนามต่างๆ ในตำแหน่งเดิมนั้นหมดไปทันที คำสั่งแบบนี้ในระบบราชการถือว่าเป็นของจริง ว่าทำงานที่ไหน สรุปแล้วคือ "คำสั่งช่วยราชการ" นั่นเอง

ผมเห็น ผบ.เหล่าทัพทั้งหลาย ขี่ รมต.กลาโหมมานานแล้ว โดยไม่ยอมฟังคำสั่งเท่าไหร่นัก เพราะถือว่า พรบ.จัดระเบียบราชการกลาโหม พ.ศ. 2551 นั้น ให้อำนาจการโยกย้ายขึ้นกับที่ประชุมเหล่าทัพ ก็เลยกระด้างกระเดื่องกัน

อันที่จริงในกฎหมายฉบับเดียวกัน ก็ให้อำนาจ รมต.กลาโหม สั่งให้ทหารไปปฎิบัติราชการที่ไหนก็ได้ ถือว่าอำนาจนี้คานอำนาจ ผบ.เหล่าต่างๆ ที่กระด้างกระเดืองได้

ผมว่า พล.อ.เสถียร นี่สมควรโดนย้ายอย่างยิ่ง เพราะเมื่อขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชาเรื่องการโยกย้าย ตามข่าวหนังสือพิมพ์ ก็เอาโผโยกย้ายไปให้ พล.อ.สุรยุทธ์ องคมนตรี เพื่อให้ประสาน พล.อ.เปรม ให้ช่วย แบบนี้เหมือนเอาความลับราชการไปให้คนนอกที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ เข้ามาแทรกแซง แค่นี้ก็สมควรเด้งและเอาผิดทางวินัยแล้ว

นอกจากนี้ยังทำหนังสือลับถึงนายกรัฐมนตรี ข้ามหัวนายของตนคือ รมต.กลาโหมฯ แทนที่จะเข้าชี้แจง รมต. อีกอย่างเรื่องโยกย้ายนี่ ผู้บังคับบัญชา เขาย่อมมีเอกสิทธิ์ที่จะพิจารณาด้วย ไม่ใช่ว่าตัวเองจะเอาใครก็ได้

การเล่นบทโหดของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ครั้งนี้ในภาพรวมจะทำให้รัฐบาลคุมกองทัพได้ เป็นการส่งสัญญาณไปยังทหารคนอื่นๆ ที่ทำท่าจะสร้างอาณาจักรอิสระว่า รัฐบาลเป็นคนดูแลควบคุมกองทัพ ไม่ใช่กองทัพอิสระ

ในทางการบริหารนั้น หากไม่เหลืออดจริงๆ เขาก็คงไม่ฆ่ากันแบบนี้ นี่เป็นการเฉือดแบบฟันคอ ตัดหัวฉับต่อหน้าทหารทั้งกองทัพเลยทีเดียว

เรื่องนี้ผมไม่คิดว่า นายกฯปู จะเข้าแทรกแซง เพราะหากเข้าแทรกแซงก็จะทำลายอำนาจบริหารของรัฐบาลเอง และสร้างความสับสนในสายบังคับบัญญชา แต่เมื่อเราดูจากกรณี ที่ รมต.กระทรวงพัฒนาความมั่นคงมนุษย์ (พม.) ย้ายปลัดกระทรวง แม้จะเป็นพี่สาว สส.พรรคเพื่อไทย มีการร้องกันวุ่นวาย แต่สุดท้าย เมื่อเรื่องมันผ่านไปแล้ว ก็ต้องยอมรับ นายกฯปู ก็ไม่ได้เข้าขัดขวางอำนาจของ รมต.ว่าการฯ แต่อย่างใด หากจะเยียวยาอะไรก็ทำภายหลัง

กรณีนี้ในภาพรวม กองทัพก็จะนิ่งขึ้นอีกมากทีเดียว ถือว่าตัดหัว ให้ดูกันต่อหน้าต่อตาเลย
กองทัพที่ไม่มีวินัยนั้น ไม่ต่างจากกองโจร เพราะถืออาวุธ เมื่อถืออาวุธ วินัยก็ต้องเข็มข้น

ประธานาธิบดี ฮาร์รี่ เอส ทรูแมน ของสหรัฐอเมริกา เคยย้าย พล.อ.ดักลาส แม็กอาเธอร์ วีรบุรุษที่มีชื่อเสียงของกองทัพอเมริกาในสงครามโลกครั้งที่สองมาแล้ว คือย้ายตอนสงครามเกาหลี เพราะแม็คอาเธอร์กระด้างกระเดื่อง จะบุกจีน ไม่ฟังคำสั่งประธานาธิบดี ก็เลยโดนเด้ง ซึ่งสังคมอเมริกันก็ยอมรับอำนาจบริหาร

กรรมไดที่ข้ากระทำขอใช้กรรมนั้น..นิรันดร....ห่วงทรัพย์สิน เงินทอง กองท่วมฟ้า จากผืนบ่า ประชาชน มากล้นเหลือ ห่วงลูกหลาน วานวงศ์ ทั้งพงศ์เครือ ทรัพย์ที่เหลือ จักถูกแย่ง แบ่งแผ่นดิน

โดย ขุนเขาจากแดนไกล


ขุนเขาบอก :

กรรมไดที่ข้ากระทำขอใช้กรรมนั้น..นิรันดร....

นอนแน่นิ่ง พิงร่างนอน อ่อนแรงแล้ว
พ่อแม่แก้ว ลูกเหนื่อยแล้ว อยากหลับใหล
ทนฝืนร่าง สร้างภาพลวง ผูกบ่วงไท
หลายสมัย ฤดูกาล นานเหลือเกิน

ห่วงทรัพย์สิน เงินทอง กองท่วมฟ้า
จากผืนบ่า ประชาชน มากล้นเหลือ
ห่วงลูกหลาน วานวงศ์ ทั้งพงศ์เครือ
ทรัพย์ที่เหลือ จักถูกแย่ง แบ่งแผ่นดิน

เงาในตา พร่าเลือน เหมือนภาพฝัน
คำจำนรรจ์ ที่เลือนราง ข้างๆหู
เหมือนเสียงเพรียก จากนายบาป สาปแช่งกู
วสันต์ฤดู อยู่ไม่ถึง ต้องพึ่งเมรุ

โอ้เดือนดาว หนาวสะท้าน ผ่านหมอกฝน
ชีวิตคน ยามตกตาย กายเน่าเหม็น
หลังชีพวาย ก่อนกายไหม้ ใส่โลงเย็น
ตั้งไว้เป็น อุทาหรณ์ สอนผู้คน

ร่างในโลง ที่คงนอน สอนให้รู้
ยามชีพอยู่ กูนี้หนอ ชอบฉ้อฉล
ชอบเข่นฆ่า พร่าชีวี ย่ำยีคน
หนีไม่พ้น โดนตราบาป สาปแช่งชัง

อนิจัง อนิจจา ฟ้าของฉัน
เคยอำพัน อนันต์แสง แห่งมนต์ขลัง
มาบัดนี้ มีเมฆหนา มาบดบัง
ผู้คนชัง บัลลังก์ทอง มาหมองมัว

แสงสุดท้าย ก่อนอำลา มหาเทพ
ร่างหนาวเหน็บ เจ็บกายา ตาสลัว
จิตหลุดกาย คล้ายเฟือนฟั่น สั่นระรัว
ตาหม่นมัว ค่อยปิดลง อัสดงเอย..........กรรมไดที่ข้ากระทำขอใช้กรรมนั้น..นิรันดร....

ปลดปลัดกระทรวงกลาโหม !!



(27 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม มีคำสั่งปลด พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ไปช่วยราชการสำนักนายกฯ ทั้งนี้ได้แต่งตั้งให้ พล.อ.วิทวัส รชตะนันท์ รักษาการปลัดกระทรวงกลาโหมแทน มีผลทันที
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ได้ทำหนังสือลงวันที่ 24 ส.ค.2555 เรื่อง ขออนุญาตเข้าพบเพื่อชี้แจงการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลของกระทรวงกลาโหมถึง นายกรัฐมนตรี โดยหนังสือดังกล่าวอ้างถึงการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลของกระทรวงกลาโหม ประจำปี 2556 ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงกลาโหมกำหนด ทั้งนี้ จะขออนุญาตเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อชี้แจงด้วยตนเองเกี่ยวกับการดำเนินงานที่ ถูกต้องตามกฏหมาย
Posted Image
@WassanaNanuam
Posted Image

söndag 26 augusti 2012

ขอบคุณรัฐบาล แทนนายดาบตำรวจเป็นนายร้อยทุกนาย หนึ่งในผลงานของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่เห็นคุณค่าและให้กำลังใจแก่ข้าราชทุกหน่วยงาน......

ตำรวจชั้นประทวน(นายดาบตำรวจ)ได้เลื่อนยศเป็นนายร้อยตำรวจ ข้าราชการตำรวจชั้นประทวนกว่าสามหมื่นนาย ขอบคุณ พณฯ ทักษิณ พณฯนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ รองนายกฯ รตอ.เฉลิม และพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ผบ ตร. ที่ช่วยกันผลักดัน จนความไฝ่ฝันของพวกข้าราชการตำรวจ ถึงฝั่งฝั่น พวกเราพร้อมทุ่มเททำงาน เพื่อประชาชน

เชิญชมคลิปวีดิโอผลงานตำรวจของประชาชนได้ตามลิงค์ข้างล่าง

http://www.youtube.com/watch?v=dlP-nTh1ct0&feature=player_embedded

ป.ปลาตากลม..... เปรียบตัวสูงส่ง ดั่งร่างทรงของเทพ เป็นหมัดเป็นเห็บ ใต้กรงเล็บหมา เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้ประชา เพื่อเจ้าของหมา ฆ่าได้ทุกกรณี.....ขี้ข้ารับใช้มหาโจรเผด็จการใจโหด และ เมีย นางมณโทปากแดง !

ขุนเขาบอก :

ป.ปลาตากลม....

น่าอับอายจริงหนอ ท.ทหารไท
โผแต่งตั้งทีไร ทำไมต้องไปขอ
นายพลบุญหนัก ชื่ออักษร ป.
ทำไมต้องขอ ให้ นาย ป.สั่งการ

ป.ปลานายนี้ กำลังมีปัญหา
ความแก่ชรา ตั้งท่าจะประหาร
อยู่ยงคงไท ต่อไปอีกไม่นาน
ทำรัฐประหาร จนชาวบ้านเลื่องลือ

เห็นหน้าซื่อๆ คนนับถือหนักหนา
คนสรวมชฎา มอบอาญาให้ถือ
แต่งตั้งโยกย้าย ฆ่าคนตายกับมือ
ยังหลงนับถือ เป็นกระบือกันหรือไร

นายพลนายพัน เป็นพันเป็นหมื่น
ไม่มีจุดยืน ถูกข่มขืนฤา ไฉน
จึงต้องยื่นคอ ให้ นาย ป. ลากไป
ยัดลงตรงไหน ทหารไทไม่แคร์

ใช่พ่อใช่แม่ แท้ๆของท่าน
ศิโรราบกราบกัน เพื่อปั่นกระแส
ตบเท้าเข้าหา เพื่อให้ป๋าดูแล
ดุจพ่อดั่งแม่ ก็แค่ชายชรา

เปรียบตัวสูงส่ง ดั่งร่างทรงของเทพ
เป็นหมัดเป็นเห็บ ใต้กรงเล็บหมา
เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้ประชา
เพื่อเจ้าของหมา ฆ่าได้ทุกกรณี

มันเป็นเยี่ยงนี้ แหละพี่น้องเอ๋ย
มัวแต่นั่งเอิงเอย กระเทยมันจะหนี
ตายไปเสียก่อน ต้องรีบถอนฤทธี
ป.ปลาอัปปีย์ อย่าให้มันมีฤทธา...........ป.ปลาตากลม....

ไว้อาลัย แด่ "อากง" ประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ถูกฆ่าตายโดย ม.๑๑๒ ของอำมาตย์โจรใจอำมหิต อากงไม่ใช่เหยื่อรายแรกและไม่ใช่รายสุดท้ายอย่างแน่นอน ตราบใดที่ประเทศไทยยังปกครองด้วยระบอบภายใต้คำสั่งของอำมาตย์โจรใจอำมหิต ฉนั้นประชาชนที่รักความยุติธรรมทั้งหลายถึงเวลาแล้วจงลุกขึ้นปลดปล่อยตัวเองออกจากระบอบอำมาตย์เผด็จการ!

โดย  สายน้ำ

"พิธีประทานงานศพของอากง"
โดยประชาราษฏร์ร่วมใจกันจัดงานนี้ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่


Posted Image


Posted Image

Posted Image


เป็นความตายของสามัญชนรากหญ้าที่ไม่ได้มีเงินทอง เกียรติยศและชื่อเสียงมาก่อน แต่มีงานศพที่มีคน
มาร่วมเป็นเกียรติมากมายโดยไม่ต้องมีการเกณฑ์คนมา คนยิ่งใหญ่ในประเทศนี้เห็นแล้วคงสะท้อนใจ

   [ภาพ: ozf92C.jpg] 


มันคือ++++มัจจุราชชัดๆ++++ทั้งเด็ก++ประชาชน++แม้แต่หมอ!!!!ตายเรียบ......แล้วมันเป็นใครถ้าไม่ใช่ปีศาจจอมเผด็จการฆาตกรใจโหดที่กำลังนอนรอวันตายอยู่ชั้น ๑๖ โรงพยาบาลศิริราช และ เมียนางมณโทปากแดง ....

โดย เคนจิ

ตั้งแต่ จำความได้ พ่อ-แม่-ผู้ใหญ่-ครูบา-อาจารย์และไม่เว้นแต่พระสงค์ในวัดเอง ก็เที้ยวสอนเราให้เคารพบูชาในสิ่งหนึ่ง ที่จนวันนี้ที่ทุกอย่างมันพิสูจน์เป็นวิทยาศาสตร์ให้เราแลเห็น ที่แท้มันไม่เป็นอย่างที่"ค่านิยมที่ฝังหัว"ที่ผู้ใหญ่พร่ำสอน เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ไปขวางทางเดินเขา ก็ต้องมีอันต้องเป็นไปหมดทั้งสิ้น
ตัวเขาเอง เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มีวัฐจักรการเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นของธรรมดา เขาก็ไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตทั่วไปตัองมีแก่ เจ็บ แต่ตัวเขาเองไม่ยอมรับและหลอกตัวเองมาทั้งชีวิต ว่าตัวเองจะต้องไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย และพยามใช้ทุกวิถีทางในการยื้อชีวิตเพียงเพื่อสนองตัญหาอยาก สะสมความโลภ โกรธ หลง มากกว่าคนทั่วไปการเสียชีวิตเด็กทารกที่ตกเป็นข่าวใหญ่2ครั้งๆละ2,000ศพรวม แล้วก็คงไม่ต่ำกว่า4,000ศพ นี่ยังไม่รวมที่ไม่ตกเป็นข่าวไม่แน่อาจจะมีซุกอีกไว้ไม่น้อยไฮไลซ์มันอยู่ ที่ ศพเหล่านี้เขาเอามาทำอะไรและมันขัดกับศีลธรรมขนาดนี้ ถ้าวันหนึ่งผู้คนรู้เรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ผลมันจะเป็นเช่นไร
ความลับไม่มี ในโลกครับ สุดท้ายปริศนาก็ถูกนำมาเปิดเผยเรื่อง"สเต้มเซลล์" เพื่อไปรักษาและยื้อชีวิตให้กับบุคคลชั้นสูง จริงๆแล้ววงการแพทย์เรื่อง"สเต้มเซลล์"มันมิใช่เรื่องแปลกประหลาดตรงไหน เพราะประเทศที่ได้ชื่อว่าเก่งในการผลิต"สเต้มเซลล์"คือประเทศเยอรมัน แต่เยอเยอรมันเขาใชสัตว์คือแกะมาเป็นวัตถุดิบ แต่ว่ากันว่าราคาสูงมากราคาต่อเข็มหลักแสน-ล้านบาท ตรงนี้เองที่เป็นปริศนาในใจผมตลอดคือ ในเมื่อเขาคนนั้นรวยที่สุดในโลก แค่ยาเข็มละ1ล้านบาทนี่ขนหน้าแข้งเขาไม่ร่วงหรอกซิมิ นี่คือที่ประเด็นที่ผมตั้งกระทู้ว่า"มัจจุราช"เพราะเขาคือ"จ้าวแห่งความตาย" ใครก็ตามที่เข้าใกล้เขาเพื่อรับใช้ เพื่อผลประโยชน์หากคิดจะตีตัวออกห่างไม่ซื่อสัตย์ และปากโป้งก็ต้องมีอันต้องตาย ไม่ว่าคณะหมอที่ดูแลหลายชุดจะต้องมีอันเป็นไป
ปมปรฺิศนา ทั้งหมดที่ถูกปกปิดมานานกว่า60ปี หลายเรื่องตั้งแต่ ใครฆ่าร.8 การจับแพะ นายชิต นายบุศน์ นายเฉลียว ต้องโดนประหารทั้งที่พวกเขาไม่มีความผิด และหลายบุคคลสำคัญที่ต้องตายทั้งๆที่ท่านเหล่านั้นจะต้องทำคุณประโยชน์ให้ กับประเทศนี้ได้อีกนาน แต่ต้องมาตายก่อนเวลาอันควร
การสร้างละคร ตบตาและการปราบปรามประชาชน ทั้ง4ยุค4สมัย มันคงไม่ไปหาคำตอบอีกแล้วล่ะครับเพราะทั้งหมดที่ผมเล่ามามันคือ กุญแจไขปริศนาและเขาคนนั้นแหละคือ...มัจจุราชตัวจริง ครับ ไทยรัฐ 7 ก.ค.55 รพ.จุฬาฯ ลำเลียงซากศพทารก 2,002 ศพ เก็บสุสานป่อเต็กตึ๊ง
Posted Image
มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลำเลียงซากศพทารก 2,002 ศพ จากนิติเวช โรงพยาบาลจุฬาฯ
ไปเก็บที่สุสานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จ.สมุทรสาคร...

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล "กรณีอากงทำให้นึกถึงกรณีสวรรคต (ร. 8)"



ตอนหนึ่งของการปราศรัย สมศักดิ์ กล่าวถึงเรื่อง การมี "Moral Courage" หริอ "ความกล้าหาญทางคุณธรรม" ซึ่งเป็นเรืองที่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก โดยไม่เกี่ยวว่าจะมีทัศนะทางการเมิองอย่างไร โดยสมศักดิ์กล่าวถึงคดีกรณี สวรรคตรัชกาลที่ 8 กับกรณีการเสียชีวิตของอากง SMS โดยสมศักดิ์กล่าวว่า ในคดีกรณีสวรรคตดังกล่าวทั้ง 3 ศาล มีบรรดาตุลาการรวม 12-13 คน แต่ไม่มีสักคนกล้าที่จะบอกว่าหลักฐานไม่พอที่จะเอาผิดประหารชีวิต เฉลียว ปทุมรส, ชิต สิงหเสนี และบุศย์ ปัทมศริน ยกเว้นตุลาการคนหนึ่งในชั้นศาลอุทธรณ์ที่กล้าบอกว่าตัดสินประหารชีวิตไม่ได้ จำเลยเหล่านี้ไม่ผิด ที่เหลือไม่มีใครกล้าบอกเลย

และกรณีดังกล่าวใช้เวลาถึง 30-40 ปี กว่าจะยอมรับว่าปรีดี พนมยงค์ไม่เกี่ยวข้อง และในคดีนี้ไม่มีทางที่มหาดเล็ก 2 คนจะร่วมมือกับปรีดีในการปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 แต่ตลอด 30-40 ปีมานี้ มีคนใหญ่คนโต มีคนจบมหาวิทยาลัย มีนายกรัฐมนตรีจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีใครออกมาพูดว่าเป็นสิ่งไม่ถูกที่ไปประหารชีวิตเขา ไม่ถูกที่ไปไล่เขาออกนอกประเทศ ไม่มีเลย ทุกคนคำนึงถึงฐานะตัวเองหมด แล้วประเทศไทยสังคมไทยเป็นอย่างนี้ตลอด

กรณีอากง เป็นเรื่องที่สะเทือนใจมาก เพราะตลอดทั้งกระบวนการแต่ต้นจนจบ หาคนที่กล้าหาญทางคุณธรรมแบบนี้ไม่ได้ ในระดับตุลาการที่ตัดสินอากง ตั้งแต่การไม่ให้อากงประกัน ตุลาการต้องรู้แน่ๆ ว่าการไม่ให้ประกันมันผิด เหตุผลที่ว่าอากงอายุ 60 จะหนี เป็นเหตุผลที่ว่าผิดแน่ๆ ถ้าตุลาการไปอ้างเหตุผลแบบนี้ แต่ไม่กล้าจะบอกว่าคนนี้ไม่หนีหรอกแล้วให้ประกัน แล้วการตัดสินศาลก็ยอมรับว่าไม่มีหลักฐานพอที่อากงเป็นคนส่ง SMS ในภาษากฎหมายเขามีศัพท์ว่า "Burden of Proof"  ภาระในการพิสูจน์ไม่ได้อยู่ที่จำเลย ไม่ได้อยู่ที่ตัวโจกท์ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ว่าจำเลยส่งจริง ศาลก็ต้องปล่อยจำเลยไป และกรณีที่ต่อให้อากงยอมรับว่าส่ง SMS จากเครื่องนี้จริง แต่พิสูจน์ไม่ได้ว่าอากงในการกดส่ง ตามหลักภาระในการพิสูจน์ศาลก็ต้องปล่อยอากง แต่ศาลก็ไม่กล้าตัดสิน ในสังคมซึ่งมีความเป็นมนุษย์อยู่ ตุลาการที่นั่งบัลลังก์ไม่อนุมัติประกันอากง เขาต้องรู้แน่ๆ ว่าการไม่อนุมัติให้อากงประกันไม่ถูก เขาต้องรู้แน่ๆ ว่าการตัดสินแบบนี้มันผิดหลักกฎหมายแต่ก็ไม่ให้ประกัน ตัดสินเสร็จก็ไม่ให้ประกัน อ้างเรื่องกลัวหนีอีก นี่คือสิ่งที่ผมไม่มีความกล้าหาญทางคุณธรรม อย่างน้อยควรจะรู้อะไรผิด อะไรถูก

ประเด็นที่ผมเสียใจมากกรณีอากงคือ ในทุกวงการไม่มีใครกล้าหาญทางคุณธรรมเพียงพอ แต่คำนึงฐานะตำแหน่งตัวเองตลอด กับฝั่ง นปช. อย่างอาจารย์ธิดา (ถาวรเศรษฐ์) ใช้เวลาถึง 3 สัปดาห์ กว่าจะพูดเรื่องนี้ คือการไม่มี "Moral courage" ที่ผมพูดถึง และไม่เพียงแต่ นปช. รวมทั้งรัฐบาลเอง แม้ในระดับข้อเสนอของนิติราษฎร์จะทำไม่ได้ อย่าว่าแต่ข้อเสนอของผมเลย ซึ่งผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะทำได้ แต่มันมีระดับที่รัฐบาลทำได้ อย่างกรณีที่ตอนนี้มีนักโทษในคดี ม.112 ประมาณ 10 กว่าคนในเรือนจำใหญ่ และอำนาจในการย้ายนักโทษอยู่ในมือ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมต.ยุติธรรม ซึ่งสามารถสั่งการให้กรมราชทัณฑ์ย้ายนักโทษไปอยู่ที่เรือนจำหลักสี่ เซ็นเช้า ย้ายบ่ายได้ทันที แต่จนป่านนี้ทำไมไม่ทำ

กรณีอากง เห็นได้ชัด ทุกฝ่ายขี้ขลาดตาขาว เห็นคนแก่อายุ 60 ห้ามประกันซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ต้องออกมาพูดแล้วว่าทำไม่ได้มันผิด ด้านกฎหมาย อธิการบดี แต่ทุกคนเงียบกริบหมด ที่สำคัญคือพูดไปแล้วกลัวจะเดือดร้อน เข้าข้างพวกล้มเจ้าบ้าง หรือบางคนกลัวว่าจะเข้าข้างอีกฝ่าย จนอะไรที่เป็นเรื่องความถูกความผิด ที่มันเป็นพื้นฐานง่ายๆ ของความเป็นคนมันหมดไปเลย แล้วทำให้คนแก่คนหนึ่งซึ่งไม่ใช่การเมืองอะไรทั้งสิ้น มาตาย โดยที่ไม่มีโอกาสใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายของเขากับครอบครัวเขา

ถ้าเสียงนี้จะได้ยินไปถึงทุกคน ทุกฝ่าย เลยทั้งเหลือง ทั้งแดง ทั้งรัฐบาล ทั้ง นปช. ลองถามตัวเองจริงๆ ว่า ตัวเองมีความรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหนต่อการตายของอากง และถ้าพูดกันตรงๆ คนดังทั้งหลายแหล่ ที่มีฐานะทั้งหลายแหล่แล้วตลอดเวลาของคดีอากง ทั้งที่รู้ว่าไม่ถูก มันผิดแล้วไม่ทำอะไร ผมว่าทุกคนต้องถามใจตัวเองว่า มีความรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหนในทางคุณธรรม ว่าสามารถทำอะไรได้มาก สามารถช่วยอากงในช่วงสุดท้ายของชีวิตได้แต่ไม่ช่วย เพราะคำนึงถึงชื่อเสียงตัวเอง คำนึงถึงฐานะตัวเอง คำนึงถึงการเมืองตัวเอง ผมว่าควรจะมีความละอายแก่ใจตัวเอง พรุ่งนี้เผาอากง ผมอยากให้คนเหล่านี้นอนไม่หลับแล้วคิดถึงความตายของคนแก่คนนี้ แล้วถามตัวเองว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาตัวเองควรจะทำได้มากกว่านี้ไหม

ฝ่ายรัฐบาลเองก็เหมือนกัน กับคนที่ต้องโทษคดี ม.112 เรื่องง่ายๆ แค่ย้ายคุก มันไม่ยากอะไรเลย ถูกด่าก็ด่าไปสิ แค่นี้มันไม่ทำให้รัฐบาลล้มหรอก ถ้าย้ายคุกแล้วทำให้รัฐบาลล้ม มาจับผมเข้าคุกแทนได้เลย คือมันมีอะไรบางอย่างซึ่งควรจะคำนึง ไม่ใช่คิดแต่การเมืองอย่างเดียว มันเป็นเรื่องคุณธรรมที่คุณควรจะคิดบ้าง แล้วสังคมไทยมันขาดสิ่งนี้มาก

ถ้าจะว่าไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่เรายืดเยื้อไม่จบ ผมคุยกับคุณนิก (นิก นอสติทซ์ ช่างภาพ) ชาวเยอรมันที่มาทำข่าวบ่อยๆ สิ่งหนึ่งที่น่าเสียใจก็คือว่า ทุกวันนี้ ทุกฝ่ายขาดสิ่งนี้ คือคิดอยากจะเอาชนะทางการเมืองอย่างเดียว หลายอย่างคนเหล่านี้รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด รู้ว่าเป็นอะไร รู้ว่าทางออกเป็นอะไร ทุกคนรู้ว่าถ้าไม่พูดเรื่องสถาบันกษัตริย์ไม่มีทางแก้วิกฤตได้ ใช่ไหม ไม่พูดถึงสถาบันกษัตริย์ต่อวิกฤตการเมืองที่ผ่านมา เรื่องพวกนี้ถ้าไม่พูด ไม่อธิบายกันเต็มที่ ก็แก้วิกฤตไม่ได้ ถามหน่อยว่าคนในวงการเมืองคนไหนไม่รู้บ้างเรื่องนี้ ถามหน่อยว่าบรรณาธิการข่าวที่ไหน หนังสือพิมพ์ทุกฉบับไม่รู้บ้างว่ามีประเด็นนี้อยู่ แล้วเมืองไทยแทนที่จะมานั่งพูดกัน แทนที่ทุกฝ่ายจะมีความกล้าหาญว่า "เนี่ยวิกฤตนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้" "มันหลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องนี้ไม่ได้ แล้วมาตั้งโต๊ะพูดกันตรงไปตรงมา ฯลฯ"

มันเหมือนประเทศนี้บางครั้งผมคิดแล้วทั้งเศร้า ทั้งเหนื่อย เรื่องที่มันควรจะแก้ได้โดยใช้สามัญสำนึกของความเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ทุกฝ่ายมันเหมือนกับหายไปไหนหมดไม่รู้ แล้วความหายไปไหนหมดนี้ สุดท้ายคนที่เป็นเหยื่อตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาก็คือคนตัวเล็กๆ คนธรรมดานี่แหละ ไม่ใช่คนดังๆ ทั้งหลายของทั้ง 2 ฝ่ายหรอก คนอย่างอากง คนที่ตายไป 90 คน 100 คน 20 คนที่อยู่ในคุกคดีทั่วไป คน 10 คนคดี 112 แล้วคนที่มีตำแหน่ง มีฐานะของทุกฝ่าย ในชีวิตประจำวันคุณกินข้าว กินปลา คุณหลับนอนโดยความรู้สึกที่ปล่อยให้ปัญหามันเรื้อรัง แล้วไม่รู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบของคุณในการแก้

ผมหวังว่าทุกคนทุกฝ่าย โดยเฉพาะคนที่อยู่ในอำนาจตอนนี้ รวมถึงอำนาจการเมือง ทางศาล ทางสังคม พวกนักวิชาการ พวกนักหนังสือพิมพ์ จะได้คิดบ้างว่าเราปล่อยภาวะแบบนี้มันเกินไปแล้ว กรณีอากงมันเป็นสุดยอดของความที่ ซึ่งผมว่าคนจะได้สติกันบ้างจากอากง แต่อากงตายมาหลายเดือนทุกอย่างก็กลับเป็นเหมือนเดิมหมด ก็ไม่รู้ว่าถ้าสังคมไทยเป็นอย่างนี้ ทุกฝ่ายไม่มีความกล้าหาญทางคุณธรรมที่จะคุยกันตรงไปตรงมา ต่างฝ่ายต้องคำนึงถึงอย่างนู้นอย่างนี้ รัฐบาลก็กลัวถูกกล่าวหาว่าว่าล้มเจ้า อีกฝ่ายก็กลัวหมดข้ออ้างในการเกาะสถาบันกษัตริย์ ในที่สุดจะลงเอยอย่างไรรู้ไหม ในที่สุดอาจจะลงเอยด้วยนองเลือดอย่างขนานใหญ่ในสังคมไทย แล้วถ้าลงเอยอย่างนั้นความรับผิดชอบมันอยู่กับใคร อันนี้ต้องถามตัวเองทุกคน

กรณีอากง ความรู้สึกของผมคือ ทุกฝ่ายมันขาด "ความกล้าหาญทางคุณธรรม" ที่จะทำในสิ่งที่รู้ว่ามันถูก รู้ว่าควรจะทำอะไร แต่ทุกคนไปคำนึงถึงอย่างอื่นหมด ไปคำนึงฐานะ ตำแหน่ง คำนึงถึงการเมืองหมด แล้วไม่กล้าทำ แล้วสุดท้ายคนที่เป็นเหยื่อคือคนแก่ธรรมดาที่สุดท้ายต้องมาตายโดยห่างจาก ครอบครัว

lördag 25 augusti 2012

อย่าคิดมากก็แค่เรื่องของนางมณโฑปากแดงกับลุงทศกัณฑ์.... หลังความตายหวังกรายใกล้ เขาไกรลาศ ปากแต้มชาด พร่ำพ้อต่อสวรรค์ ขอชีวีในปั้นปลาย คลายโทษทัณฑ์ อนงค์นั้นเคยบัญชา ฆ่าคนตาย .....

โดย  ขุนเขาจากแดนไกล

ขุนเขาบอก :

อย่าคิดมากก็แค่เรื่องของนางมณโฑปากแดงกับลุงทศกัณฑ์....


ปากแดงๆ ไว้ใจได้กา

ปากแดงใส่ชฎา หายหน้าไปไหน

ไม่มาร้องเห่ ให้โรงลิเกไท

หายหน้าไปไหน หรือไปกรุงลงกา


ตุเรงตุเรง เสียงบรรเลงระนาด

ปากแดงปานแต้มชาด ผู้คนหวาดผวา

แอบอ้างคำสั่งลุง ให้เผากรุงลงกา

ฆ่าคนเหมือนหมา ใส่ชฎาปากแดง


ร่าย..


เคยงามเลิศ่เทิดชั้น เทวีศรี

ทรงฤทธี ไพร่ขี้ข้าอย่ากำแหง

เหยียบหัวไพร่ใส่ชฎา ทาปากแดง

นคราแรง ร้อนฤทธิ์พิษอนงค์


มาบัดนี้ ปากหมดสีที่แต้มชาด

เหลิงอำนาจขาดศิลห้า กาเป็นหงส์

ไร้เรี่ยวแรง ร่างชรายามอ่าองค์

ทรงเครื่องหงส์ ยังเป็นกาน่าอัศจรรย์


หลังความตายหวังกรายใกล้ เขาไกรลาศ

ปากแต้มชาด พร่ำพ้อต่อสวรรค์

ขอชีวีในปั้นปลาย คลายโทษทัณฑ์

อนงค์นั้นเคยบัญชา ฆ่าคนตาย


สวรรค์เลี่ยง เสียงประสงค์อนงค์นาถ

ปากแต้มชาด กลายเป็นผีความดีหาย

ร่างสดสวยย้วยยาน ปานจะตาย

สูญสลายกลายร่าง...”นางมณโฑ”.....อย่าคิดมากก็แค่เรื่องของนางมณโฑปากแดงกับลุงทศกัณฑ์....

25-26 สิงหาคม 2555 วันเผาศพอากง "โศกนาฏกรรมค้ำบัลลังก์"


  •  ๔ ขัวข้อ SMS ที่อ้างว่าส่งโดย นาย อำพล ตั้งนพกุล
  • First SMS. May 9, 2010. ขึ้นป้ายด่วน อีราชนีชั่วมันไม่ยอมเอาเพชรไดรมอนด์ไปคืนซาอุฯ ราชวงศ์หัวควยมันพังแน่ [Put it on billboards urgently, the evil queen refuses to return the diamond to Saudi, this dickhead dynasty will surely collapse.]
  • 2nd SMS, May 11, 2010. อีราชีนีชั่ว อีหีเหล็กมึงแน่จริงมึงส่งทหารเหี้ยๆ มาปราบพวกกูซิวะ โคตรอีดอกทอง ชั่วทั้งตระกูล [The evil queen, the iron cunt, if you are brave enough, send your damn army to crack down on us, you master of whores, family of the bad people.]
  • 3rd SMS, May 12, 2010. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหัวควย อีราชีนีหีเหล็ก ไอ้อีสองตัวนี้มันบงการฆ่าประชาชน ต้องเอาส้นตีนเหยียบหน้ามัน [His Majesty dickhead king, the iron cunt queen, both of them ordered the killing of people. We will stamp on their faces with our heels.]
  • 4th SMS, May 22, 2010. ช่วยบอกไอ้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหัวควยกับอีราชินีหีเหล็ก และลูกหลานมันทุกๆ คนต้องตาย [Please tell his majesty dickhead King, the iron cunt queen and all of their children, you'll all die.]

    ........ วางยาพิษปลิดชีวิต อากง ปุ๋น ปุ๋น ......

     โดย หมอตำแย

    ..... ในบรรดา "เหยื่อ 112" นั้นพูดได้เลยว่า "อากงSMS" ดังไปทั่วโลกเพราะมีแรงส่งเสริมและสนับสนุนมาตั้งแต่แรกโดยมีการเขียนคำว่า "อากง 112" ลงที่ฝ่ามือและสื่อด้วยสาวเปลือยกายจากคุณ"คำ ผกา" สองแรงนี้ทำให้ "อากง 112" จุดติดดังไปเกือบทุกประเทศทั่วโลก แต่ยังมีบางคนบางประเทศที่ปากพูดว่า"แดงแต่ใจเหลืองอ๋อย" ยังอนุรักษ์แจ้งจับคนไทยกันเองด้วย ม.112 มันน่าอนาถใจจริงๆ

    ..... เมื่อวันที่ 4 พค.ที่ผ่านมา "อากง"เรื่มมีอาการปวดท้องจึงไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบและ "อากง" ได้ไปพบหมอวันรุ่งขึ้นและได้ยามาทานแก้ปวด "อากง" เป็นมะเร็ง แต่หมอปัญญาอ่อนให้ยาแก้ปวดคุณๆฟังแล้วมีความรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้เจ้าคะ

    ..... ทางคุณป้าอุ ที่เป็นภรรยาของ "อากง" อยากจะพา "อากง" ไปหาหมอข้างนอก แต่เขาไม่อนุญาตเพราะมันเป็น "ขบวนการ" ฆ่ามนุษย์ที่เป็นปฎิปักษ์กับฝ่ายเขาทุกรูปแบบ พอ"อากง"เข้าทางเขาจึงใช้มือ"แพทย์"เป็นเครื่องมือในการฆ่ามนุษย์ที่เห็นต่างที่ไม่ยอมสยบที่ใต้บาทาของพวกมัน

    ..... ตั้งแต่องคกรอิสระน้อย-ใหญ่ไปจนถึงวัดวาอารามและแพทย์(บางคน)ตลอดไปจนถึงศาลเถื่อนซึ่งเป็นตัวแทนของ"อาเหล่ากง" ถูกกว้านไปเป็นสาวกของเขาหมด โดยปูบำเน็จให้รางวัล-ลาภ-ยศ-คนพวกนี้จึงงมงายไร้มนุษย์ธรรม-ไร้มโนธรรมสำนึกที่ดีเหมือน"ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาปะกัน" จิตสำนึกที่ดีจะเกิดขึ้นกับคนที่คิดดีเท่านั้น

    ..... ในระหว่างที่"หมอ"ที่เป็นสาวกของเขาให้ยา "อากง" ก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นยาอะไรบ้างเพราะในทางการแพทย์ยังงงกับอาการของ "อากง" ที่ปวดท้องได้แค่ 3-4 วันแล้วตายในวันที่ 8 พค 55 เรื่องนี้จังซี่มันต้องถอน สอนหมอใจดำอำมหิตให้รู้ว่าไผเป็นไผ

    ..... จากกลุ่มที่ทำวิจัยผลเลือดเพื่อนกันที่สมัยเรียนอยู่ด้วยกันบอกว่า เมื่อคนไข้ได้รับ"ยาพิษ" ชนิดค่อยๆซึมเข้าไปแล้วระหว่าง ที่คนไข้ "Unconscious" อยู่นั้นมีการ"ถ่ายเลือด"เก่า ของ "อากง" ออก โดยใช้เลือดใหม่ซึ่งเป็นเลือดกรุ๊ฟเดียวกันเติมเข้าไปตรวจยังไงๆก็ไม่พบ"ยาพิษ"เพราะเจือจางเต็มที แต่ฤทธิ์ "ยาพิษ"ที่ได้รับไปในครั้งแรกได้ไปทำลายต่อมมะเร็งให้"น๊อค"เหมือนนายก"สมัคร สุนทรเวช" ยังไงยังงั้นเจ้าค่ะ

    ..... ถึงแม้ว่า "อากง SMS"เหยื่อ 112 ได้เสียชีวิตไปหลายเดือนแล้วก็ตาม แต่คำถามที่ว่า "อากง" ทำไมตายไปก่อนเวลาอันควร,ถ้า"อากง"ไม่ถูก 112 จะตายไหมและทำไมต้อง "อากง" จึงต้องจากพวกเราไปเร็วเกินความคาดหมาย

    ..... คำตอบก็คือมี "คำสั่งลับ" ให้รีบปิดบัญชี"อากง"ให้เร็วที่สุดที่จะเร็วได้คือเข้าทางไหนก็ให้รีบจัดการทางนั้นทันทีถ้ามีโอกาศเพราะเรื่องของ"อากงSMS" ดังไปทั่วโลกดังกว่าใครๆในยุคนี้ ถ้าขืนปล่อยเอาไว้จะทำให้เสียชื่อเสียงของวงค์ตระกูล 112 มากไปกว่านี้ ดังนั้นจึงต้องรีบ

    ------- "วางยาพิษปลิดชีวิต "อากงSMS" -----