lördag 30 juni 2012

...อีกตัวอย่างหนึ่งของคนดีที่น่ายกย่องทำความดีเพื่อสังคม ทำในสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่หวั่นไหวต่ออิทธิพลใดๆและไม่ได้ทำเพื่อผลตอบแทนใดๆทั้งสิ้น ซึ่งต่างจากคนดีของอำมาตย์ซึ่งมีแต่พวกสารเลว เราขอร่วมแสดงความยินดีด้วยกับ คุณสมบัติ บุญงามอนงค์

บก.ลายจุดคว้ารางวัลครูประทีปค่า1ล้าน สลิ่มต่อมอิจฉาแตกโวยบริษัทตระกูลกรณ์สปอนเซอร์ได้ไง!

ที่มา:facebook
คณะผู้จัดงานบอกว่าให้ผมเชิญแขกมาร่วมงานและรับประทานอาหารกลางวันด้วย 200 คน ผมจะไปเชิญแขกที่ไหนได้ นอกจากใน FB นี้แหละ ไม่ใช่งานแต่งนะครับ มิตรรักแฟนเพจ บก.ลายจุด ที่ได้เห็นข้อความนี้แล้ว ถือเป็นบัตรเชิญ งานเริ่ม 10 โมง ที่ตลาดหลักทรัพย์ (ข้างศูนย์ประชุมสิริกิตติ์) มาไม่ครบ 200 คน ผมเกรงว่าเขาจะไม่มอบรางวัลนี้ให้กับผม

ยอมให้มีการปฏิวัติได้ครั้งเดียวคือ 24 มิถุนา 75 พันตรีพุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา จนเพราะคำนึงถึงศักดิ์ศรีพ่อ-แม่ ย้ำคำพ่อสอน“อย่าคิดว่าเป็นลูกใคร แกก็เหมือนคนอื่นเขา” พระยาพหลฯเป็นคนทั้งดุและใจดี แนะเทคนิคสยบรถถัง พร้อมวิเคราะห์เหตุที่วันที่ 24 มิ.ย.ไม่มีการนองเลือด ... พันตรีพุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา คือลูกกตัญญูที่แท้จริงได้ยึดหลักคำสอนของบิดา พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา "หัวหน้าคณะราษฎร ๒๔๗๕ " โดยได้สืบทอดเจตนารมณ์ของบิดามีความทรนงยึดมั่นในศักดิ์ศรี ไม่เห็นแก่ลาภยศเงินทองและไม่ยอมอยู่ใต้เท้าอำนาจศักดินาเผด็จการ สมควรที่นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทั้งหลายควรยึดถือเป็นตัวอย่าง ... ส่วนพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ลูกทรพีอกตัญญูทรยศต่ออุดมการณ์ของพ่อบังเกิดเกล้า สหายคำตันพันโท โพยม จุลานนท์ โดยยอมรับใช้ศัตรูของพ่อ "อำมาตย์เลว" ทำร้ายประชาชนและขัดขวางความเจริญของประเทศชาติเพื่อเงินทองและบรรดาศักดิ์.

ทายาทพระยาพหลฯ เล่าถึงคณะราษฎรในความทรงจำ ทั้งชีวิตยอมปฏิวัติ 24 มิ.ย.ได้ครั้งเดียว



พันตรีพุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา จนเพราะคำนึงถึงศักดิ์ศรีพ่อ-แม่ ย้ำคำพ่อสอน“อย่าคิดว่าเป็นลูกใคร แกก็เหมือนคนอื่นเขา” พระยาพหลฯเป็นคนทั้งดุและใจดี แนะเทคนิคสยบรถถัง พร้อมวิเคราะห์เหต
ที่วันที่ 24 มิ.ย.ไม่มีการนองเลือด
 
พันตรีพุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา
เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.55 ที่ผ่านมา ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ราชดำเนิน พันตรีพุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา วัย 73 ปี บุตรชายคนที่ 4 ในจำนวน 7 คน ของพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร 2475 กับท่านผู้หญิงบุญหลง ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ คณะราษฎรในความทรงจำ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมรำลึก 80 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครองและมีรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทยในชื่องาน “8 ทศวรรษ ประชาธิปไตย อำนาจสูงสุดยังไม่เป็นของราษฎรทั้งหลาย” ที่จัดโดยสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)และเครือข่ายองค์กรนักศึกษา
โดยพันตรีพุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา เริ่มต้นด้วยการตั้งข้อสังเกตถึงคำว่า “คณะราษฎร” ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดทั้งที่สะกดแล้วไม่มีการันต์ แต่ได้ยินกับหูมาโดยตลอด ว่าพวกท่านเหล่านั้นเรียกตัวเองว่าคณะราษฎร (คะ-นะ-ราด)
ชีวิตวัยเยาว์ที่วังปารุสกวัน
พันตรีพุทธินาถ เล่าว่าตนเป็นลูกชายคนที่ 4 ในจำนวน 7 คน ของพระยาพหลพลพยุหเสนา กับท่านผู้หญิงบุญหลง เกิดที่วังปารุสกวัน ซึ่งเดิม ร.5 สร้างให้กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ อยู่ เมื่อหลัง 24 มิ.ย.2475 ก็ขอมาเป็นที่ทำการของคณะราษฎร โดยตึกทางด้านถนนศรีอยุธยาเรียกว่าตึกทหาร ชั้นล่างเป็นที่ทำการของคณะราษฎรฝ่ายทหารและเป็นกองบัญชาการทหารบกด้วย เพราะคุณพ่อก็เป็นผู้บัญชาการทหารบก และครอบครัวตนอยู่ชั้นบน ส่วนอีกตึกใกล้กระทรวงศึกษาฯ ก็คือตึกพลเรือน ซึ่งมีท่านปรีดี พนมยงค์เป็นหัวหน้าฝ่ายพลเรือนทำงานอยู่ที่ตึกนั้น
ส่วนพี่สาวคนโตของตนเกิดที่บ้านบางซื่อ ปี พ.ศ. 2474 นอกนั้นอีก 5 คนรวมทั้งตน มาเกิดที่วังปารุสกวันทั้งหมด ส่วนน้องคนสุดท้องเกิดที่มหาชัย (สมุทรสาคร) ตอนช่วงสงครามที่คุณพ่อให้ครอบครัวอพยพที่จวนข้าหลวงใกล้ๆกับศาลหลักเมืองมหาชัยโดยคุณพ่อทำงานอยู่ที่กรุงเทพ วันศุกร์ก็ขึ้นรถไฟที่ปากคลองสานไปมหาชัยแล้ววันอาทิตย์ก็กลับมาเพื่อมาทำงานต่อ
“ปรีดี พนมยงค์ มีส่วนที่พิจารณากับคุณพ่อ (พระยาพหลฯ)ในการเลือกผู้ใดสมควรที่จะเป็นรัชการที่ 8 ต่อจากพระปกเกล้าที่สละราชสมบัติ” พันตรีพุทธินาถ บุตรชายพระยาพหลฯ กล่าว
พันตรีพุทธินาถ เล่าต่อว่า คณะราษฎรไม่ว่าจะทหารหรือพลเรือนไปที่วังปารุสก์ (ปารุสกวัน) บ่อย เช่น คุณอาหลวงอดุลเดชจรัส (บัตร พึ่งพระคุณ) ท่านก็มีบ้านหลังตึกที่คุณพ่อ (พระยาพหลฯ) อยู่ที่นั่น ตนชอบซ่อกแซกตั้งแต่เล็กวันหนึ่งได้เดินเข้าไปในบ้านหลวงอดุลฯ ซึ่งที่รถท่านมีปืนว่างที่พื้น ตนก็ถามนายชาญ คือนายชาญนี้เป็นสิบตำรวจเอกชาญ ก่อนที่จะมาเป็นตำรวจเป็นทหารเสนารักษ์ และตอนหลังคอยอุ้มคอยดูแลคุณพ่อ (พระยาพหลฯ) เพราะตอนหลังเป็นอัมพาตไม่สามารถจะลุกเดินได้ตายไปครึ่งซีก นายชาญพอพลจากทหารก็ไปอยู่กับหลวงอดุลฯ ตนได้ถามนายชาญว่าปืนดังกล่าวเป็นปืนอะไร นายชาญตอบว่าปืนเล็กกล เพราะตอนนั้นหลวงอดุลฯ เป็นรองหัวหน้าเสรีไทย รองจากหลวงประดิษฐ์ฯ (ปรีดี) นามรหัสว่า "รู้ธ" (Ruth) หลวงอดุลฯ มีนามรหัสว่า “พูเลา” เวลาฝ่ายเสรีไทยหรือสัมพันธมิตรมาโดดร่มลงแล้วตำรวจจับ หลวงอดุลฯ จะให้ตำรวจเอาตัวมา ญี่ปุ่นขอตัวก็บอกไม่ได้เพราะพวกนี้ทำผิดกฎหมายไทย เพราะฉะนั้นตำรวจไทยต้องจัดการจับกุมและก็สอบสวน จริงๆ แล้วไปอยู่ที่ตึก ที่ตอนนี้ไม่มีแล้วอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ตึกนี้อยู่ข้างกำแพงที่รถรางผ่าน เนื่องจากญี่ปุ่นระแวงคุณอาหลวงอดุลฯ จึงต้องมีปืน
โดยพันตรีพุทธินาถ ยังได้เล่าถึงตนเองในวัยเด็กว่าเคยนั่งตักอาควง (ควง อภัยวงศ์) ซึ่งใครบอกว่าท่านเป็นพรรคประชาธิปัตย์ที่ว่าไม่ได้ท่า ตนขอเถียงว่าสำหรับคุณอาควง ตนเชื่อว่าท่านได้ท่า และเป็นคณะราษฎรคนหนึ่งที่ได้ท่า เพราะว่าถ้าไม่ได้คนได้ท่า 3-4 ท่านนี้คือ คุณอาหลวงพิบูลสงคราม คุณอาหลวงประดิษฐ์ คุณอาหลวงอดุลฯ และคุณอาควง ประเทศไทยอาจจะไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ก็ได้
จนเพราะคำนึงถึงศักดิ์ศรีของคุณพ่อคุณแม่ที่ท่านสร้างสมมา
พันตรีพุทธินาถ กล่าวถึงสภาพครอบครัวเมื่อพระยาพหลฯถึงแก่อสัญกรรมปี 2490 ว่า ตอนนั้นทั้งบ้านมีเงินอยู่ 127 บาท เพราะพระยาพหลฯ ไม่ใช่นักสะสม แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีที่ดินเพราะมีที่ที่รังสิต 50 ไร่ และมีบ้านบางซื่อ แต่ในส่วนของตนเองจนเพราะว่ารับราชการทุกอย่างต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีของคุณพ่อคุณแม่ที่ท่านสร้างสมมาเพราะฉะนั้นตนไม่มีสิทธิไปทำลายคุณงามความดีที่ท่านสร้างไว้ เพราะฉะนั้นตนจึงไม่แตะอะไรทั้งนั้น
ยอมให้มีการปฏิวัติได้ครั้งเดียวคือ 24 มิถุนา 75
เมื่อปี พ.ศ. 2529 พันตรีพุทธินาถ เล่าว่าตนถูกกล่าวหาว่าซ่องสุมกำลังเพื่อก่อการปฏิวัติ จึงเป็นเหตุให้ตนมียศเพียงพันตรีเพราะตนลาออกตั้งแต่ตอนนั้น โดยคนที่ย้ายตนเป็นเพื่อนกับพี่ชายตนรุ่นเดียวกับสมัคร สุนทรเวช ซึ่งคนที่ย้ายเชื่อว่าตนจะทำจริงเพราะว่าตนเป็นลูกพระยาพหลฯ และเป็นลูกน้องมนูญ (ปัจจุบันคือ มนูญกฤต รูปขจร) ตนอยู่ ม.พัน 4 กับผู้พันมนูญ พันตรีพุทธินาถกล่าวว่า “แค่ 2 อย่างนี้หรือผมต้องปฏิวัติ พี่ผมจะบอกให้ประเทศไทยปฏิวัติกี่ครั้งผมยอมให้ครั้งเดียว 24 มิถุนา 75 ที่พ่อผมกับคณะราษฎรทำ เพราะครั้งนั้นถ้าเกิดไม่สำเร็จผมก็ไม่ได้เกิดเพราะ 7 ชั่วโคตร แต่ครั้งต่อๆ มาเป็นการเปลี่ยนฝูงเหลือบเพื่อสูบเลือดเนื้อประเทศชาติ”
พันตรีพุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา ยังได้ตั้งข้อสังเกตอีกว่า “พวกที่ทำรัฐประหารจะอ้าง “ประ” 3 ตัวเหมือน นะโม ตัสสะฯ 3 จบ นี่ที่ต้องการปฏิวัติเพราะประเทศชาติมันย่ำแย่ นี่คือประตัวแรก ประตัวที่ 2 คือประชาธิปไตยมันสั่นคลอนมันไม่มั่นคงสักทีเลยต้องปฏิวัติ ไอ้ “ประ” ตัวที่ 3 คือประชาชนเดือดร้อนกันทุกย่อมหญ้าเลยต้องปฏิวัติ แต่ปฏิวัติทีไรไอ้ประ 3 ตัวไม่เคยได้อะไรเลย” นอกจากนี้พันตรีพุทธินาถยังมองอีกว่ากองทัพไทยสมัยนั้นนี่เลิศประเสริฐศรีแต่แต่งตัวเชยผ้าฝ้าย ไม่เหมือนทหารสมัยนี้ที่เหรียญตราพราวไปหมด แต่ไม่รู้ไปรบกันที่ไหนมา
นิสัยส่วนตัวพระยาพหลฯ เป็นคนทั้งดุและใจดี
พันตรีพุทธินาถ ยังได้เล่าถึงอุปนิสัยส่วนตัวของพ่อตัวเองคือ พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ว่าเป็นคนทั้งดุและใจดี โดยยกตัวอย่างตัวเองโดนให้อ่าน ก.ไก่ ข.ไข่ พระยาพหลฯได้เขียนทิ้งกระดานดำไว้ให้ในตอนเช้า เย็นกลับมาจากทำงานให้ตนอ่านถ้าอ่านได้ก็จะมีการลูบหัว แต่มีอยู่วันหนึ่งตัวที่ให้ในตอนเช้าอ่านได้ แต่ตัวที่เคยอ่านมาแล้วอ่านไม่ได้ จึงโดนลงโทษโดยพู่ระหงเฆี่ยนที่น่องจนเลือดออก พอเลือดออกก็ถูกบังคับไม่ให้ร้องและเอาทิงเจอร์ลาดแผลและสั่งไม่ให้ร้องอีก ในส่วนที่ใจดีพันตรีพุทธินาถ เล่าติดตลกว่า “ที่วังปารุสก์มีทหารยามที่อยู่หน้าตึกสวมหมวกเหล็กแบบทหารฝรั่งเศส ยืนถือปืนพระราม 6 หลับ คุณพ่อโผล่หน้าต่างชั้นบนเห็น เอาเชื่อผูกตะขอห้อยลงไปเกี่ยวหมวกเหล็กดึงขึ้นมา ทหารตกใจว่า ผีหลอก ผีหลอก คุณพ่อหัวเราะ ฮา ฮา ฮ่า ฮาลั่น เพราะฉะนั้นถึงได้บอกว่ามีทั้งดุทั้งใจดี”
พระยาพหลฯสอน “อย่าคิดว่าเป็นลูกใคร แกก็เหมือนคนอื่นเขา”
ในเรื่องคำสอนของทั้งพระยาพหลฯ และท่านผู้หญิงบุญหลงต่อพันตรีพุทธินาถเองนั้นก็ได้เล่าว่าพระยาพหลฯได้สอนกับตนว่า “แกเป็นคน เหมือนกับคนทุกคน แกไม่ใช่ไพร่ไม่ใช่ผู้ดีอะไรทั้งนั้น และแกอย่าคิดว่าไอ้คำว่าไพร่คือคนจน คำว่าผู้ดีคือคนรวย ไม่ใช่ คนที่มีจิตใจดีมีมารยาท มีศีลธรรม มีความโอบอ้อมอารี มีระเบียบวินัย คนเหล่านั้นคือผู้ดี ไม่ว่าจะเป็นขอทานหรือว่าอะไร แต่คนมีเงินเป็นเศรษฐีมีบ้านอยู่ใหญ่โต แต่มีนิสัยไม่ดีเอาเปรียบคนอื่น อะไรต่างๆ เหล่านี้พวกนี้คือไพร่” ซึ่งพันตรีพุทธินาถยังได้กล่าวอีกว่าพระยาพหลฯ ได้สอนว่า “อย่าคิดว่าเป็นลูกใคร แกก็เหมือนคนอื่นเขา” ดังนั้นตนจึงเข้านักเรียนนายสิบได้เพราะเป็นคนเท่ากับคนอื่นเขา
ตอนเข้าโรงเรียนนายสิบโดยครูก็ได้เรียกตนเองคือพันตรีพุทธินาถไปถามว่าเป็นอะไรกับเจ้าคุณพหลเนื่องจากเห็นนามสกุล ตนเองจึงบอกว่าเป็นลูก ครูคนดังกล่าวเลยถามตนว่าทำไมมาเข้าโรงเรียนนายสิบ ตนจึงตอบกลับไปว่าชอบ แต่ที่เข้าโรงเรียนนายร้อยไม่ได้เพราะสอบไม่ได้ แต่ครูคนดังกล่าวก็จะพยายามช่วยเหลือตนแต่ตนปฏิเสธ
“วันที่ 24 มิ.ย.2475 นั้น พระยาพหลฯ อ่านประกาศตรงที่หมุดคณะราษฎรที่มีอยู่ในปัจจุบัน และในตอนนั้นบริเวณดังกล่าวยังเป็นกรวดอยู่ เป็นที่ฝึกทหารของพระนครซึ่งทหารทั้งพระนครทั้งหมดต้องมาฝึกรวมที่ตรงนั้น จึงนำทหารมารวมได้ในวันที่ 24 มิ.ย.” พันตรีพุทธินาถ ยืนยัน
ชี้แจงประจำตระกูลรูปเสือ 3 ตัวในกงจักร
เกี่ยวตราประจำตระกูลของตนที่เป็นรูปเสือ 3 ตัวในกงจักร แสดงถึงตระกูลทหารเสือ 3 รุ่น ซึ่ง ส.พลายน้อย นักเขียนแนวสารคดีชื่อดังและศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2553 ที่เขียนถึงประวัติส่วนตัวของ พระยาพหลฯ และได้จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชน พันตรีพุทธินาถ ได้แย้งข้อมูลดังกล่าวว่า “เสือ 3 ตัวนี่ ตัวแรกคุณปู่ ถูกแล้ว (ตามที่ ส.พลายน้อยเขียน) พระยาพหลฯ กิ่ม เสือตัวที่ 2 ไม่ใช่คุณลุงนพ ไม่ใช่พระยาพหลโยธินรามินทรภักดี แต่เป็นคุณย่า คุณย่าเป็นมอญ ของเรียกว่าคุณปู่ผมมีคุณย่า 10 คน คุณย่าผมคุณย่าจับ (พหลโยธิน) เป็นคนที่ 5 เป็นลูกแม่ทัพมอญเก่า อยู่บางไส้ไก่ ใกล้ๆบางขุนเทียน คลองมอญ ที่สมัยก่อนกษัตริย์ให้พวกมอญมาอยู่ที่นี่เพราะฉะนั้นเป็นเสือตัวกลาง และตัวเล็กนั้นใช้เสือพ่อ เพราะฉะนั้นนี่คือชาติเสือ 3 ท่านนี่คือชาติเสือซึ่งต้องไว้ลาย”
ชวนเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ ฯพณฯ พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา
ปัจจุบันมีอนุสาวรีย์ พระยาพหลฯ ที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ และมีพิพิธภัณฑ์ โดยส่วนของพิพิธภัณฑ์นั้นได้ถูกจัดสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2540 รวมถึงพัฒนาตัวอนุสาวรีย์ที่มีอยู่เดิม โดยพลเอกไพบูลย์ กาญจนพิบูลย์ ซึ่ง พันตรีพุทธินาถ เล่าว่า พลเอกไพบูลย์ ได้พยายามรวบรวมของทุกอย่างของพระยาพหลฯ จากตนเพื่อจะตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งตนคิดว่าตนเองไม่มีปัญญารักษาของเหล่านั้นก็เลยมอบให้ไป จึงได้มีการสร้างพิพิธภัณฑ์ ฯพณฯ พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ซึ่งมีอยู่แห่งเดียวที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ ตำบลเขาพระงาม อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี
วิเคราะห์เหตุที่วันที่ 24 มิ.ย.2475 ทุกอย่างสงบเงียบไม่มีการนองเลือด
พันตรีพุทธินาถได้วิเคราะห์เหตุที่วันที่ 24 มิ.ย.2475 ทุกอย่างสงบเงียบไม่มีการนองเลือดเพราะว่า ผู้ใหญ่ถูกอัญเชิญไปไว้ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม รวมทั้งกรมพระนครสวรรค์วรพินิตซึ่งมีอำนาจล้นฟ้าขณะนั้น ก็อยู่ในกำมือของคณะราษฎรมีพระองค์ ทั้งๆ ที่ขณะนั้นประตูชนะไม่มีเลย และพระยาพหลฯ เป็นคนเข้าเฝ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ เป็นคนสุดท้าย และโดนกรมพระนครสวรรค์ฯ ต่อว่าว่าอกตัญญูต่อราชวงศ์ทั้งที่พ่อและพี่รวมถึงตัวพระยาพหลฯราชวงศ์เป็นผู้เลี้ยงมา ขณะที่พระยาพหลฯได้กล่าวกลับไปว่า “ข้าราชการ 78 คนถูกไล่ออกเพราะอะไร” เพราะไม่มีเงินเดือนจะจ่ายตอนนั้นรัฐบาลไทยไม่มีเงินเหลือเลยต้องปลด ในขณะที่กรมพระนครสวรรค์ฯ กลับตำหนิพระยาพหลฯ และคณะราษฎรว่าไม่ควรต่อว่าราชวงศ์มากมาย ซึ่งพันตรีพุทธินาถบอกว่าพระยาพหลฯ ตอบกลับไปว่า “ในการรบกันทุกฝ่ายก็หวังเอาชนะอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะฉะนั้นคณะราษฎรก็ต้องทำเช่นเดียวกัน แต่เสร็จเมื่อไหร่ก็จะมีการขอขมา”
โดยพันตรีพุทธินาถยังย้ำว่าฝ่ายคณะราษฎรไม่ได้ของนิรโทษกรรมเพราะเป็นฝ่ายชนะ นำกษัตริย์มาอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แต่เป็นการขอขมาแทน เลยมีการนำคณะไปขอขมา พันตรีพุทธินาถยังเล่าว่ากรมพระนครสวรรค์ฯ ได้ถามพระยาพหลฯ ว่าจะเอาแบบฝรั่งเศสหรือเปล่าซึ่งพระยาพหลฯ ตอบกลับว่า “ไม่มีความคิดเช่นนั้น ต้องการให้ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เพราะว่าถ้าเผื่อพระมหากษัตริย์รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวมันก็มีโอกาสผิดพลาดเยอะแยะอย่างที่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะทำให้ประเทศชาติเจริญต่อไปได้” โดยพันตรีพุทธินาถยังได้กล่าวอีกว่าพระยาพหลฯ ได้เคยขอร้องกับคณะราษฎรว่าถ้าเอาแบบฝรั่งเศสจะไม่ขอร่วมด้วย
หลังจากนั้นพันตรีพุทธินาถได้เล่าว่าพระยาพหลฯ ได้ชี้แจงกับกรมพระนครสวรรค์ฯ ว่าจะมีหนังสือกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จกลับมาเป็นประมุขของประเทศชาติภายใต้รัฐธรรมนูญโดยให้กรมพระนครสวรรค์ฯ ลงนามรับรองหนังสือนี้ เพราะพระปกเกล้าอยู่ที่วังไกลกังวลและทราบจากโทรเลขว่ามีการปฏิวัติและเตรียมจะไปปีนัง พอหลังจากกรมพระนครสวรรค์ฯ ลงนามรับรองก็ให้หลวงศุภชลาศัยนำเรือสุโขทัยไปที่วังไกลกังวล ซึ่งหลวงศุภชลาศัยก็ให้เรือจอดห่างจากชายฝังโดยให้ปืนเรือทุกกระบอกพร้อมที่จะระดมยิงวังไกลกังวล แล้วก็มีการสั่งไว้ว่าหากไม่เห็นสัญญาณตามเวลานัดหมายให้ระดมยิงวงไกลกังวลโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวหลวงศุภชลาศัย แล้วจึงถือหนังสือไปกับเรือบดถึงชายฝั่งทหารผู้บัญชาการฝ่ายวังที่อยู่ตรงนั้นให้ทหารจับตัวหลวงศุภชลาศัยโดยหลวงศุภชลาศัยได้ชี้แจงว่ามาในนามทูตฝ่ายคณะราษฎรเพื่อนำหนังสือทูลเกล้าถวาย โดยทหารคนดังกล่าวไม่ยอม หลวงศุภชลาศัยจึงให้ทหารคนดังกล่าวส่องกล้องเพื่อมองที่เรือที่หันปืนใหญ่มาที่วังโดยขู่ด้วยว่าปืนที่วังไม่สามารถยิงถึงเรือในขณะที่ปืนจากเรือสามารถยิงมาถึงที่นี้ได้ จึงยอมให้หลวงศุภชลาศัยเข้าเฝ้า ร.7 และได้เห็นลายมือของกรมพระนครสวรรค์ฯ ที่ได้ลงนามมากับหนังสือดังกล่าว ทำให้ ร.7 ยอมกลับไปกับหลวงศุภชลาศัยโดยทีแรกจะให้เสร็จกลับทางเรือ แต่ ร.7 ไม่ไปเรียกร้องให้ทางคณะราษฎรจัดรถไฟมารับ หลวงศุภชลาศัยจึงโทรเลขกลับมาที่กรุงเทพ พระยาพหลฯ ก็มีหนังสือกลับมาว่าจะส่งรถไฟพระที่นั่งมาที่สถานีหัวหินจึงยอมมา ไม่ได้มาทางเรือ
แนะเทคนิคสยบรถถัง หากมีการรัฐประหาร โดยไม่ทำลายเพราะล้วนมาจากกระเป๋าประชาชน
นอกจากนี้ พันตรีพุทธินาถ ในฐานะผู้เชียวชาญด้านรถถังยังได้แนะนำวิธีในการจัดการกับรถถังหากมีการวิ่งมาในเมืองเพื่อการรัฐประหารว่า “รถถังคือหมาผู้ซื่อสัตย์ของผม เขาคือเพื่อนคู่ชีวิตในสนามรบ เพราะฉะนั้นผมถึงต้อรู้จักเขาเป็นอย่างดี ผมรักเขาเขาจึงรักผม ผมก็เลยได้เลื่อนยศขึ้นมาเพราะเขา จริงๆ แล้วเขาไม่มีวิญญาณ เขาเป็นวัสดุชนิดหนึ่ง แต่เขาเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ถ้าฝ่ายใดไปทำลายเขาวันหนึ่งพอเหตุการณ์สงบทุกคนก็ควักกระเป๋าไปซื้อเขามาใหม่ เพราะฉะนั้นมันมีจุดอ่อนมันไม่ใช่อาวุธที่ใช้ในเมือง และเด็กพวกนั้นขับรถถังออกมาปฏิวัติมันเท่ห์ มีฝ่ายเดียวที่ยึดฝ่ายต่อสู่ไม่มี ผมหวงทรัพย์สมบัติของชาติ และเสียดายชีวิตพวกเด็กที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่กับชีวิตของพวกเราทั้งหมด เพราะฉะนั้นข้างๆ อย่าขึ้นเด็ดขาด ล้อหรือสายพาน หรือที่ชาวบ้านเรียกตีนตะขาบมันจะทับเท้าแหลกเลย ข้างหน้ามันมีปืนและปืนมันหมุนได้รอบตัว พอมันไปอยู่ข้างหน้าก็ขึ้นข้างท้าย สีสเปรย์กระป๋องเดียว ไม่ต้องไปใช้อาวุธอะไรอย่าไปเผาอย่าไปอะไร ฉีดที่เป็นกระจกทั้งหมดนั่นคือตาของคนที่อยู่ในนั้น อะไรเป็นกระจกฉีดให้หมด พอตาบอดมันก็ไปไหนไม่ได้ แล้วเคาะๆๆออกมาๆไอ้หนู นี่พ่อแม่พี่น้องแกทั้งนั้น แกจะฆ่าเขาได้หรอ แล้วก็เขกกะบานสักที เตะตูดสักที ไปกลับบ้าน”

torsdag 28 juni 2012

๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ครบ 70 ปี วันเกิด "ตัวประกัน อ.สุรชัย แซ่ด่าน" ขบวนการประชาธิปไตยไทยในสแกนดิเนเวีย ขออวยพรและส่งกำลังใจมาให้คุณสุรชัยและครอบครัว มีจิตใจที่เข้มแข็ง รักษาสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจ เราจะต่อสู้ร่วมกันจนกว่าจะได้ สิทธิ เสรีภาพ ความยุติธรรม และประชาธิปไตยมาสู่ปวงชนชาวไทย อำมาตย์ชั่วกักขังได้แต่ร่างกายแต่ไม่สามารถเอาชนะจิตใจที่แข็งแกร่งและแน่วแน่ในอุดมการณ์ของผู้รักประชาธิปไตยได้

söndagen den 21:e augusti 2011


สาส์นจากอาจารย์สุรชัย แช่ด่าน

รูปภาพ

2 ยุทธศาสตร์ 3 แนวทาง

โดย Redsiamtv Thailand


เวลานี้เมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลคนเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวอย่างไร จะต้องสู้อย่างไร เพราะพรรคเพื่อไทยต้องรับศึก 2 ด้านคือ

1. กลุ่มอำนาจเก่าต้องการโค่นล้มเพื่อไทย

2.การแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศท่ามกลางการแข่งขันในยุคทุนโลกาภิวัฒน์ จึงต้องเอาชนะให้ได้ทั้งสองด้าน

แดงสยาม จึงขอเสนอทฤษฎีสองยุทธศาสตร์ เพื่อเอาชนะกลุ่มอำนาจเก่า คือ ยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหว 3 ขั้น ดังนี้

ขั้นที่ 1 เคลื่อนไหวเอาคนเสื้อแดงออกจากคุกให้หมด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อมวลชน ที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย

ขั้นที่ 2 เคลื่อนไหวให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมและเยียวยาแก่ทุกฝ่ายให้เร็วที่สุดถึงทุก ฝ่ายมาเป็นมิตร และโดดเดี่ยว สุเทพและอภิสิทธิ์ นำ ท่านทักษิณและพวกที่ลี้ภัยกลับประเทศ ปลดเปลื้องคดีต่าง ๆ ออกจากพวกเรา ซึ่งเป็นการตัดเงื่อนไข ตุลาการภิวัฒน์จะเล่นงานพวกเราสะดวก เพื่อจะได้เคลื่อนไหวสู้ต่อไป

ขั้นที่ 3 เคลื่อนไหวให้แก้รัฐธรรมนูญและยกเครื่องขบวนกายุติธรรม ปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ เพื่อลิดรอน เครื่องมือของกลุ่มอำนาจเก่า

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น นำไปสู่ยุทธศาสตร์การต่อสู้ คือ สะสมกำลังรอคอย เพื่อรอโอกาสลุกขึ้นสู้เมื่อมีความพร้อม ด้วยการใช้สองแนวสามแนวรบ ชู พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และสนับสนุนพรรคเพื่อไทยอย่างเด็ดเดี่ยว กรณีที่มีพวกทรยศอยู่ในพรรคควร ยึดหลักถ่ายเทของเสียออกจากตุ่ม ไม่ใช่ทุบตุ่มทั้งใบ

เวลา นี้พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงอ่านเกมออก จึงเดินเกมถูก ต้องยื่นระยะยาวให้ได้ เวลายิ่งนานไปอำนาจเก่ายิ่งพ่ายแพ้ เวลานี้พวกอำนาจเก่ายังหาทางรุกกลับไม่เจอ จะใช้ทหารยึดอำนาจก็ไม่ได้ จะใช้ตุลาการภิวัฒน์ก็ยังทำไม่ได้ จะอาศัยมวลชนเสื้อเหลือก็หมดสภาพ จะใช้พรรคประชาธิปัตย์เอาชนะการเลือกตั้งก็เพิ่งแพ้อย่างหมดรูป

ฝ่าย อำนาจเก่าจึงต้องพยายามตอกลิ่มสร้างเงื่อนไขรอให้คนเสื้อแดงแตกกับพรรคเพื่อ ไทย เช่น กรณีไม่มีคนเสื้อแดงเป็นรัฐมนตรี หรือไม่อนุญาตให้ประกันตัวออกจากคุก แต่พวกเรารู้ทันหมดแล้ว ไม่ยอมหลงเข้าทางอย่างเด็ดขาด

คนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยต้องจำให้ มั่นว่า การได้เป็นรัฐบาลไม่ใช่ชัยชนะถึงที่สุด การทำให้ระบอกเก่าหมดอิทธิฤทธิ์เท่นั้นจึงเป็นชัยชนะถึงที่สุด พวกเขาต้องพ่ายแพ้ต่อกฎวิวัฒนาการทาสังคมอย่างแน่นอน

สุรชัย แซ่ด่าน
ประธานกลุ่มแดงสยาม
นนทบุรี


ในบทพระเอกที่แสดงละครหลอกลวงประชาชนมาเป็นเวลายาวนานก็ถูกเปิดหน้ากากที่แท้จริงให้ผู้ดูละครได้เห็นถึงการทรยศของลูกอกตัญญูต่อพ่อผู้บังเกิดเกล้า พ่อของพลเอกสุรยุทธ์ได้อุทิศตัวต่อสู้เพื่ออุดมการณ์เพื่อประชาธิปไตย ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายคอมฯ จนได้ไปตายที่ประเทศจีนซึ่งลูกชายยังได้เดินทางไปพบพ่อก่อนจะสิ้นใจ แต่ลูกทรพีกลับมารับใช้อำมาตย์เลวทรยศต่อประเทศชาติและประชาชน ....

ช็อตเด็ดวันนี้:ลูกคอมฯเก่ากับอำมาตย์ใหม่


หงา คาราวาน บรรเลงสดเพลงคิดถึงบ้านให้พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ รับชม ระหว่างทั้งสองไปเยี่ยมเนิน 708 ภูพยัคฆ์ จังหวัดน่านที่สหายคำตัน หรือพันโทโพยม จุลานนท์ บิดาพลเอกสุรยุทธ์เคยใช้เป็นฐานที่มั่นของพรรคคอมมิวนิวส์แห่งประเทศไทย(พคท.) สู้รบกับฝ่ายรัฐบาลในอดีต และหงาเคยมาพำนักที่นี่ระหว่างเข้าร่วมการต่อสู้กับพคท.หลังเหตุกา่รณ์ 6 ตุลาคม 2519

ต่อมาพลเอกสุรยุทธ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นองคมนตรี ส่วนหงากลายเป็นศิลปินเพื่อชีวิตชื่อดัง ทั้งสองพบกันในภาพนี้เมื่อวันที่ 10 หรือ 11 ธันวาคม 2553 ณ บริเวณลานหลังกระท่อมของลุงคำตัน เป็นการพบกันของอดีตลูกคอมฯที่กลายเป็นอำมาตย์ และอดีตคอมฯที่กลายเป็นอำมาตย์ใหม่ กลายเป็นศิลปินแห่งชาติภายใต้อำมาตย์อุปถัมภ์

นี่ก็เป็นการเมืองแบบไทยๆ และความย้อนแย้งที่หากจะหาพบได้ที่ไหนในโลก

onsdag 27 juni 2012

คนบัดซบ ตลบตะแลง โหดเหิ้ยม โดดเด่น เหมือนเช่นเคย ไอ้เทือกเอ๋ย ที่เหมาะหรือ คือ "ซีเรีย"....โค่นล้มอำนาจเผด็จการคืองานของประชาชน...

Posted Yesterday, 07:38 PM
Posted Image

ได้ข่าวว่า ผลงานดี มีคนเห็น
เป็นวรรคเวร ผ่องผุด สุดสดใส
เติมความสุข ให้อารมณ์ สาสมใจ
มิใช่ใคร มนุษย์รู ผู้ช่ำชอง....


98 ศพ รวมพลัง คำสั่งฆ่า
ยังลอยตา อวดตน ชนทั้งผอง
กุเรื่องเท็จ เสร็จมัน ไม่ทันมอง
แถมจดจ้อง ทำยกตน เป็นคนดี....


ถูกทักษิณ ปฏิเสธ เปรตร้องลั่น
เที่ยวโรมรัน ยื้อยุด สุดบัดสี
ว่าพรรคตน คือคนไทย ใจอารีย์
สิ่งด่างพร้อย รอยอัปรีย์ ไม่มีเลย....


เชื่อแล้วว่า ผลงานดี มีคนเห็น
เปิดประเด็น เป็นทุกทาง อย่างเปิดเผย
คือโหดเหิ้ยม โดดเด่น เหมือนเช่นเคย
ไอ้เทือกเอ๋ย ที่เหมาะหรือ คือ "ซีเรีย"....


คนบัดซบ ตลบตะแลง แห่งตอแล
ไม่เปลี่ยนแปร เรื่องระยำ ทำเฮี่ยๆ
ผลงานชั่ว ซ้ำซาก ไม่อยากเคลียร์
มันระเหี่ย ในหัวจิต คิดแล้วเซ็ง....


๓ บลา / ๒๗ มิ.ย.๕๕
http://3blabla.blogspot.com/
"กำลังใจหาซื้อไม่ได้ แต่ให้กันได้"

" หอกทมิฬแทงทมิฬ " เป็นการเปิดโฉมหน้านักการเมืองสารเลวพรรคเหี้ยประชาธิปัติย์ ที่กลายเป็นผู้ร้ายของมวลมนุษย์ชาติในภาคพื้นอาเชียอาคเนย์แล้วอย่างเต็มภาคภูมิ!

โดย ปลายอ้อกอแขม
27 มิถุนายน 2555


การกระชากลากถู องค์การนาซ่าของสหรัฐ เข้ามาเป็นเกมการเมือง “ลูกถนัด” ของพรรคประชาธิปัตย์ดูจะเป็นผลสำเร็จ เพราะรัฐบาลทำท่ายอมถอย นำเรื่องนี้เข้าสู่รัฐสภาเพื่อให้มีการถกเถียงกัน..ตามความประสงค์ของฝ่ายค้าน

หารู้ไม่ การทำดังนี้ของรัฐบาล ซึ่งอาจไม่ตั้งใจ แต่กลับเป็นการทำร้ายพรรคประชาธิปัตย์ “ต่อสาธารณะโลก”อย่างรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่ง ทำให้นักการเมืองพรรคนี้ กลาย “ผู้ร้าย”ของมวลมนุษยชาติไปแล้วอย่างเต็มภาคภูมิ โดยไม่ต้องจัดฉาก ใส่สีให้เปื้อนมือ หอกทมิฬแทงทมิฬ ..แย่งปืนมัน มายิงมัน !

ในประเทศเอง ผู้คนก่นดากันขรม ทั้งด่าโดยตรง และด่าผ่านโพล ที่นักการเมืองพรรคนี้ ได้ทำลายโอกาสอันดีของไทย ที่จะได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้วิทยาการชั้นสูง เพื่อนำมาช่วยเหลือพี่น้องร่วมชาติ แต่ถูกพรรคนี้ขัดขวาง ทำให้นักวิชาการทั้งหลาย รู้สึกสมเพช เวทนา จึงทำให้พรรคต้องเสียมวลชนที่เป็นคนระดับปัญญาสูงไปแล้ว..อย่างไม่คาดคิด

สำหรับประชาชนในภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ พี่น้องร่วมภูมิภาค ที่ประสบภัยพิบัติจากธรรมชาติอยู่เนืองๆ ต่างจ้องมองพรรคประชาธิปัตย์ด้วยความแค้นเคีอง ที่พรรคนี้มาขัดขวางการแก้ไขปัญหาในภูมิภาค เพื่อช่วยเหลือมวลมนุษยชาติโดยเฉพาะในแถบเอเชีย ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติต่างๆ..ผู้ร้ายแห่งเอเชีย

ไม่ต้องพูดถึงสหรัฐ ประเทศต้นสังกัดขององค์การนาซ่า เขาคงไม่พอใจอย่างยิ่ง ที่ถูกคนเหล่านี้ใส่สี ตีไข่ ลากเข้ามาเป็นผู้ร้าย ประมาณว่าจะมาจารกรรมบ้าง มาตั้งฐานทัพบ้าง มาเพื่อใช้เทคโนโลยี ทำลายฝ่ายตรงข้ามบ้าง สารพัดสาระเพ จนเขาต้องทบทวนกระบวนการใหม่ ..อนิจจา

ถือได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้สร้างความจงเกลียดจงชังให้กับคนเกือบค่อนโลกได้ ในเวลาเพียงไม่นาน..ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง

ยิ่งรัฐบาลไทย ทำท่าถอยด้วยแล้ว ยิ่งทำให้คนก่นด่าพรรคนี้หนักขึ้นไปกว่าเดิม และยิ่งไปสืบค้นต้นเค้าว่ามันก็เริ่มมาจากพรรคประชาธิปัตย์นั่นแหละ ในช่วงที่เป็นรัฐบาล แต่พอมาเป็นฝ่ายค้าน ก็เอาเท้าลบ..คนแทบจะถ่มน้ำลายรดหัว

จะเห็นท่าทีท้ายๆ ของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อย่างนายอภิสิทธิ์ ที่ออกมาพูดเสียงอ่อยๆ เมื่อรู้ว่ารัฐบาลถอย ยิ่งทำให้นายอภิสิทธิ์รู้ตัวว่าตนเองและพลพรรคผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ที่มาคัดค้านในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อ “มวลมนุษยชาติ” จึงพยายามจะโยนกลับว่าเป็นความผิดของรัฐบาล ตามแนวถนัด ..แต่ช้าไปแล้ว !

คนไทยอาจจะเป็นคนลืมง่าย ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นมากนัก แต่เพื่อนๆร่วมภูมิภาค อย่างลาว เขมร อินโดนีเซีย จีน พม่า ที่ประสบภัยพิบัติธรรมชาติทุกชั่วนาตาปี จนต้องสูญเสียทั้งทรัพย์สิน และชีวิตของคนที่ตนรักนี้ไป ..เขาคงไม่ลืมพรรคประชาธิปัตย์

ถือว่ารัฐบาลได้ “สั่งสอน”พรรคประชาธิปัตย์อย่างรุนแรง เฉียบขาด โดยใช้ “มือ”ของพรรคประชาธิปัตย์นั่นแหละ “บีบคอ” พรรคประชาธิปัตย์ ให้กลายเป็นตัวถ่วงความเจริญระดับภูมิภาค ..เป็นผู้ร้ายระดับอินเตอร์ !

อีกไม่นาน คงเห็นพรรคประชาธิปัตย์ร้องมาร้อง เย้วๆ ให้รัฐบาลรีบเปิดประชุมสภาสม้ยวิสามัญอย่างเร่งด่วน เพื่อพิจารณาเรื่องนี้ให้ทันก่อนเดือนสิงหา ก่อนสถานการณ์ของตนจะเลวร้ายถึงขีดสุด เพื่อเรียกมิตรคืนมา เรียกคะแนนคืนมา..เพราะรู้ตัวว่าพลาด !

รัฐบาลจะทำอย่างไร ? กับ“ผู้ร้ายการเมือง”รายนี้ เพราะรัฐบาลได้ทีแล้ว จะเดินต่อ หรือจะทำเฉยๆ..ก็ว่าไป !

การเสียที แต่ได้ท่า หรือในตอนต้นดูว่าจะเสียท่า แต่ต่อมาก็ได้ที มีเรื่องในประวัติศาสตร์ให้กล่าวขานกันมานานแล้ว..สมเด็จพระนเรศ !

“ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวร ตัวเล็กกว่าพลายพัทธกอของพระมหาอุปราชา สู้แรงไม่ได้ แต่อาศัยยันโคนต้นพุทรา ทำให้แบกได้ล่าง และสมเด็จพระนเรศวรฟันด้วยพระแสงของ้าว ต้องคอของพระมหาอุปราชาขาดกับคอช้าง” ..นี่ไง !!!

tisdag 26 juni 2012

คดี ๙๘ ศพ ที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) กรุงเฮก.

Posted Today, 09:16 AM
Posted Image



"ธิดา"นำทีมนปช.ฟ้องศาลอาญาโลกเหตุสลายม็อบแดง-"อ.ธงชัย"ขึ้นชี้แจงภาพรวม

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 26 มิ.ย. ที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า นางธิดา โตจิราการ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมด้วย น.พ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียช...ีวิตภายในเต้นท์วัดปทุมวนาราม พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยและประ ชาชน รวม 6 ศพ เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 นายคารม พลพรกลาง ทนายความนปช. นายธงชัย วินิจกุล นักวิชาการอิสระ และนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความ นปช. เดินทางมายังศาลอาญาระหว่างประทศ กรุงเฮก

เพื่อเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงและประชาชนคนไทย รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐทั้ง 98 ศพ เมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯ และผอ.ศอฉ. เพื่อให้ศาลโลกรับทราบข้อเท็จจริงและรับข้อมูลเพิ่มจากที่นายโรเบิร์ต เคยยื่นเรื่องไว้กับศาลเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2554

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้าคณะนางธิดาจะเข้าชี้แจงต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ในช่วงเช้าได้มีการประชุมหารือร่วมกับนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่โรงแรมแห่งหนึ่งภายในเมืองอัมสเตอร์ดัม เพื่อเตรียมข้อมูลและจัดวางคนที่จะชี้แจงรายละเอียดต่อศาลฯ โดยใช้เวลาหารือนานกว่า 2 ชั่วโมง โดยเตรียมหลักฐานเอกสารต่างๆ เพื่อมอบให้ศาลฯ อาทิ คลิปวิดีโอเหตุการณ์สลายการชุมนุมเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 รวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวกับคำสั่งของนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เพื่อให้ศาลฯ ใช้ประกอบการพิจาณาคดีครั้งต่อไป

นายคารม กล่าวว่า การประชุมหารือร่วมกับนายโรเบิร์ตเพื่อจัดวางคนที่จะชี้แจงในศาลฯ โดยนางธิดา ในฐานะประธาน นปช. จะเป็นผู้ชี้แจงภาพรวมการต่อสู้ของคนเสื้อแดงที่ออกมาเรียกร้อง และไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างไร ส่วนคนที่จะพูดเหตุผลสำคัญในการที่จะบอกว่าการฆ่ากันในปี 53 แล้วไม่มีการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้อย่างชัดเจน คือ นายธงชัย วินิจกุล นักวิชาการอิสระ ซึ่งจะพูดภาพรวมทั้งหมดตั้งแต่การสลายการชุมนุมในหลายครั้ง และไม่มีการนำเอาคนผิดมาลงโทษเลย

สาเหตุที่จัดให้นายธงชัย ชี้แจงเรื่องนี้ เพราะนายธงชัยไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เป็นการบอกว่าคนเสื้อแดงไม่ได้ทำเพื่อนายกฯทักษิณ เป็นการต่อสู้เรียกร้องเพื่อขอความเป็นธรรมเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่ต้องมาถูกฆ่าตาย ซึ่งการดำเนินคดีนี้จะต้องดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทุกคนไม่ว่านายสุเทพ หรือคณะเจ้าหน้าที่รัฐ หากปล่อยไว้อาจจะเกิดเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงในลักษณะนี้ได้อีกไม่ว่าปีนี้ หรือปีต่อไปหรือเร็วๆ นี้ก็ได้ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก คนกระทำผิด คนสั่งการไม่ต้องถูกรับโทษจึงกล้ากระทำผิด

นายคารมกล่าวต่อว่า ส่วนตัวแทนผู้เสียหายที่จะชี้แจงต่อศาลโลกวันนี้ คือ นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของน้องเกด จะอธิบายเกี่ยวกับตัวน้องเกดที่เข้ามาเป็นพยาบาลอาสาแล้วถูกฆ่าตาย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมเลย รวมทั้งผู้เสียชีวิตรายอื่นๆ และน.พ.เหวง จะชี้แจงภาพรวมการเมือง กระบวนการสภา และองค์การศาลต่างๆ ซึ่งไม่ได้อิสระเลยถูกก้าวก่าย และตนในฐานะทนาย นปช. จะชี้แจงขั้นตอนการดำเนินการช่วยเหลือประกันตัวคนเสื้อแดง แต่หลักสำคัญจะบอกให้ศาลรู้ว่านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เป็นผู้ออกคำสั่งและวางแผนการสลายการชุมนุม และก็มีหลักฐานชัดเจนว่าทั้งสองคนนี้เป็นผู้สั่งการแต่ยังไม่ถูกดำเนินคดี

"การชี้แจงต่อศาลโลกครั้งนี้ มั่นใจว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีในเชิงบวก เพราะเหตุว่าศาลอาญาระหว่างประเทศควรจะมีส่วนในการป้องกันไม่ให้เกิดมีการเข่นฆ่าหมู่ประชาชนอีก ที่ผ่านมาก็มีภาพชัดว่าประเทศไทยเมื่อมีการฆ่ากันขึ้นคนสั่งฆ่าจะลอยชาย และเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีจำนวนคนเสียชีวิตมากสุดถึง 98 ศพ มากเป็นประวัติการณ์" ทนาย นปช.กล่าว

ทนายนปช.กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีชายชุดดำที่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ซัดทอดว่าเป็นคนฆ่าเสื้อแดงและยิงทหารนั้นตนและหมอเหวง จะเป็นผู้อธิบายต่อศาลโลก จะชี้แจงว่าชายชุดดำไม่ใช่คนเสื้อแดง เพราะไม่ปรากฎมีการจับกุมหรือดำเนินคดีกับชายชุดดำในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เลย และกระสุนที่บอกว่าเป็นกระสุนประชาชน ก็เป็นกระสุนทหาร จะอ้างว่ากระสุนหรือปืนถูกขโมยไป ก็ไม่ใช่ เพราะไม่มีที่ไหนในโลกที่กลุ่มก่อการร้ายขโมยปืนไปแล้วส่งกับคืนให้กับทางการ ไม่มี เป็นข้ออ้างของรัฐบาลขณะนั้น

สาเหตุที่ต้องอ้างว่ามีชายชุดดำเพื่อจะได้สั่งการสลายการชุมนุมและเกิดความชอบธรรม ทั้งนี้ หากว่ามีชายชุดดำจริงเหตุการณ์ ที่ราชประสงค์ 19 พ.ค.53 คงต้องปะทะและมีทหารตายแน่ และพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดงคงไม่เสียชีวิต ซึ่งต้องอธิบายเรื่องชายชุดดำนี้ให้ศาลฯ เข้าใจข้อเท็จจริงทั้งหมด


ที่มา
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNME1EY3hORGsyTnc9PQ%3D%3D&subcatid

เทวดาเจ้าขา จะดื้อด้านอยู่ทำไม ตกสวรรค์ลงมาแล้วศพจะไม่สวย ประชาชนเตือนท่านดีๆแล้วนะ วันชาติไทย ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่ผ่านมาอำมาตย์คงเห็นแล้วว่าประชาชนต้องการอะไรพวกเขาออกมาเฉลิมฉลองวันชาติอย่างมากมายเพราะเขาต้องการรัฐธรรมนูญของประชาชนเป็นกฏหมายใช้ปกครองประเทศไม่ใช่กฏหมายเถื่อนภูมิพล.


หรืออยากเห็นบ้านเมืองนี้ อยู่กันบนซากปรักหักพัง..แบบสงคราม
๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๕
มวลมหาประชาชนเรือนแสน ออกมาแสดงเจตจำนงค์ กันท่วมถนนราชดำเนิน..ไอ้ที่รออยู่ที่บ้าน ด้วยติดภารกิจอีกเป็นหลักหลายล้าน
พวกเขาแค่ชูสองมือขึ้นร้องขอ เสรีภาพที่แท้จริง
ขอประชาธิปไตย แบบที่เป็นหลักสากล อันเป็นที่ยอมรับของ นานาอารยะประเทศ (แปลว่าประเทศที่เจริญแล้ว)
เราขออย่างสงบ
เราร้องขอตามสิทธิที่เราพึงมี
เราไม่ได้สู้ให้ใคร ไม่ได้ทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง (เรื่องแกนนง แกนนำ บนเวที เขาก็มีสิทธิพูด เพราะนั่นถือว่าเป็นเรื่องที่กระทบสิทธิของเขา)
แต่บอกไว้เลยว่า หากหลักการ กระบวนการ วิธีการ มันมาจากกระบวนการยุติธรรม ตามหลักนิติรัฐ หรือ องค์ประกอบนั้น มันยึดโยงกับ อำนาจของประชาชน
ให้ทักษิณ ขี่คอ นัฐวุฒิ แล้วกอดจตุพร มาร้องไห้ กลางเวที
มวลชนเขาก็ไม่ร่วมด้วยขนาดนี้ เพราะมันไม่ใช่หลักการอันใสสะอาด
ที่มันอิรุงตุงนังมาทุกวันนี้
ก็เนื่องมาจาก ประชาธิปไตยแบบกำมะลอ หรือถ้าจะใช้ศัพท์ให้ดูดีหน่อย
ก็ต้องพวกนักวิชาการ พันธ์ขวาที่มักจะกระมิดกระเมี้ยน ออกมาบอกว่า "ระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ " ของเราไม่ต้องเหมือนใคร (ฮา)
นี่แหละที่มัน "ฆ่ากัน" "แตกกัน" จนจะเกิดสงครามกลางเมืองมาทุกวันนี้
ก็เพราะกระดุมเม็ดแรก มันกลัดผิดนี่แหละ
จะโยกโย้ โย้เย้ ศรีธนณชัยไปอย่างไร ประชาชนก็ไม่ยอมรับ เพราะ หมดความไว้วางใจตั้งแต่รับตำแหน่งแล้ว
ทักษิณ พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชาชน มาจนถึง ไทยรักไทย
เป็นแค่ สัญลักษณ์ ของการใช้ต่อสู้
มันเป็นแค่กระผีก ไม่ใช่แก่น
อย่าได้มั่วนิ่มว่าจ้างมา โง่ จัดตั้ง เพราะก็เห็นอยู่เต็มตาว่า ยามโดนลูกปืนร่วงลงไปครั้งใด มวลชนไม่หนีกลับบ้าน
สังคมนี้ แค่คนทุกคนในประเทศนี้เคารพในกติกา
ยอมรับในกติกา
คนเสื้อแดงก็จะยอมรับด้วย
เราไม่เคย ออกมาหาเหตุ ล้มรัฐบาลที่มาจากมือของประชาชน (แม้นจะไม่ใช่รัฐบาลที่เราอยากได้)
แต่พวกเราต่างหาก ที่โดนกระทำ ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า
ครั้นเราเผยอหน้า ชูสองมือขึ้นวิงวอนเทวดา
เรากลับได้รับการล้อมฆ่า พร้อมข้อหา หัวแข็ง เผาเมือง ก่อความวุ่นวาย
แล้วยังจะให้เรา นั่งพับเพียบหมอบกราบ เหมือนในอดีตต่อไปอีกหรือ ? ท่านเทวดาเจ้าขา
๕ - ๖ ปี ที่ผ่านมา บทเรียน คำตอบ เจตจำนงค์ของประชาชน แสดงเอาไว้อย่างแจ่มชัด
เหล่าเทวดา ยังไม่ออสโมสิตเข้าไปในสมองกันอีก
หรืออยาก ตกสวรรค์ แบบศพไม่สวย
อยากสวมชฏา ลอยล่องอยู่ในอากาศก็นั่งไป แต่อย่าได้เจ๋อ...แสล๋นลงมายุ่งเกี่ยวกับภารกิจ ของประชาชนอีก
ลองมองดู เทวดา ของรัฐข้าง ๆ ก็ได้
ตกสวรรค์ลงมา โทษหนักแทบจะโดนประหารทั้งนั้น
ประชาชนเตือนท่าน ดี ๆ แล้วนะ

söndag 24 juni 2012

@ พร้อมเพรียง ลุกขึ้นสู้ อย่านิ่งดู นะเพื่อนเอ๋ย หากปล่อย เป็นเหมือนเคยอีกสิบชาติ ก็แพ้มัน....

@ จาก ๒๔๗๕
กาลเวลา ที่ถดถอย.....
ประชาชน ตั้งตาคอย
คือด่างพร้อย ประชาธิปไตย


@ เห็นไหม ใครเคยเห็น
พานพุ่มเด่น รองรับไว้
เผด็จการ ม่านบังใจ
กลับเชิดชู ว่าคู่ควร


@ ปีแล้ว ผ่านปีเล่า
ณ ที่เก่า ยังโหยหวน
กดขี่ ตีโซ่ตรวน
กดเป็นทาส รองบาทโจร


@ แปดสิบปี ไม่มีเปลี่ยน
ยังวนเวียน พวกห้อยโหน
หลอกล่อ ลิงทะโมน
ประกาศก้อง ว่าเป็นไท


@ อดสู ดูจนเบื่อ
กี่ล้านเหยื่อ สิ้นสงสัย
"เผด็จการ" "มาร" นั่นไง
ที่ขัดขวาง จวบล่วงเลย


@ พร้อมเพรียง ลุกขึ้นสู้
อย่านิ่งดู นะเพื่อนเอ๋ย
หากปล่อย เป็นเหมือนเคย
อีกสิบชาติ ก็แพ้มัน


๓ บลา / ๒๔ มิ.ย.๕๕
"กำลังใจหาซื้อไม่ได้ แต่ให้กันได้"

ภาพพลังมวลชนมาร่วมเฉลิมฉลองวันชาติ  ๒๔  มิถุนายน ๒๕๕๕




ภาพของ sarapaheylo
และนี่อีกมุมมองหนึ่ง ทัพเรือเสื้อแดงวันนี้เองนะคะ
ขอบคุณภาพจาก FB ของคุณ Pornchanok Sangwatcharakul

lördag 23 juni 2012

หากวันไดไร้อดทน กูจักโค่น” เทวดา “.........เราไม่จำเป็นต้องอดทน เมื่อถึงเวลาทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม เราคิดว่าไม่มีอำนาจใดๆในโลกนี้มาต้านทานพลังของมวลชนได้ และวันนั้นคือวันที่เราจะกวาดล้าง "เทวดา" หน้าโง่และลูกสมุนเลวให้หมดสิ้นไปจากผืนแผ่นดินไทย!

ขุนเขาบอก :
หากวันไดไร้อดทน กูจักโค่น” เทวดา “.........
ทุกเรื่องราวที่สับสน เพียงเพราะคนเพียงคนเดียว
แค่คนแก่หนังเหี่ยวๆ เดินคนเดียวยังไม่ไหว
แต่มีคนมาแอบอ้าง ภาพที่สร้างดูวิไล
ครอบงำจิตครอบงำใจ แต่สมัยอดีตกาล
นำมาอิงนำมาอ้าง ให้เลือกข้างให้เลือกสี
ให้หลงใหลในความดี ชีพพร้อมพลีทุกสถาน
ปลุกใจคนทุกหย่อมหญ้า ให้รักษาบริบาล
ใครหมิ่นสีมีประหาร แห่ประจานนครา
ธรรมนูญบุญไม่ถึง กูกลัวมึงจึงสั่งสาน
เข้าห้ำหั่นประจัญบาน ป้องกันการครหา
ตลก.เป็นของกู กูจักอยู่คู่โลกา
อยู่เลี้ยงหมูอยู่เลี้ยงหมา เป็นปู่ย่าห้าร้อยปี
เยี่ยงนี้หนอตอแหลแลนด์ ช่างแร้นแค้นความผ่องใส
ต้องหมอบราบกราบกันไป เป็นแค่ไพร่ไร้ศักดิ์ศรี
ตราบชั่วลูกตราบชั่วหลาน ต้องกราบกรานทุกกรณี
ไพร่สถุนบุญไม่มี ถูกไอ้อีมันบีฑา
ต้องจมปลักอีหลักอีเหลื่อ เพียงเพราะเกลือมันเป็นหนอน
เพียงเพราะหาฐานันดร ต้องสั่นคลอนด้วยตันหา
กอ กอ ตอ. ตอ ลอ ออ. จึงเพียงพอพ่อให้มา
ตัดสินความตามบัญชา ดอ ชฎาเข่นฆ่าคน
เห็นต้องแจวแล้วน้องพี่ พอกันทีกับความหวัง
ตราบไอ้อีมีพลัง ก็อย่าหวังฟังเหตุผล
แต่อยากบอกออกทีวี บอกไอ้อีกูก็คน
หากวันไดไร้อดทน กูจักโค่น” เทวดา

fredag 22 juni 2012

๒๔ มิถุนายน วันชาติไทยและวันครบรอบรำลึก ๘๐ ปี วันเปลี่ยนระบอบสมบูรณญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย.

Posted Image



ล้มศักดินา สถาปนาการปกครอง ฉลองรัฐธรรมนูญ

Posted Image
Posted Image

Posted Image

54ปีสมศักดิ์ เจียมฯ:ครั้งนี้ผมเชื่อว่าฝ่ายเราจะชนะ... เนื่องในวันครบรอบ ๕๔ ปี ของอาจารย์ สมศักดิ์ เจียมฯ เราขออวยพรให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง มีจิตใจที่แข็งแกร่งแน่วแน่ต่อสู้เพื่อความถูกต้องยุติธรรม และให้เป็นเทียนเล่มใหญ่ส่องแสงสว่างนำความรู้ที่แท้จริงมาเปิดเผยให้คนในสังคมไทยได้รับรู้ตาสว่างจากความมืดบอด เพราะความรู้คืออาวุธในการต่อสู้ที่จะนำเราไปสู่ชัยชนะ.


กว่า 54ปี ที่เสด็จพ่อท่านเหน็ดเหนื่อยตรากตรำทำงานหนักเพื่อผองประชา! เพื่อการปลดปล่อยเปลี่ยนแปลงมวลมนุษยชาติ (เครดิต:facebook Nithiwat Wannasiri )


ขุนเขาบอก :ยังพิรี้ยังพิไร ถ่วงเมืองไว้ทำไมกัน...


ขุนเขาบอก :
ยังพิรี้ยังพิไร ถ่วงเมืองไว้ทำไมกัน...
ยังคงเฝ้ารอ อย่างมีจุดหมาย
รอเพียงความตาย ย่างกรายสู่เขา
จะไม่ย่อท้อ เฝ้ารอเงื้อมเงา
มัจจุราชเจ้า นำเขาพิราลัย
กาลครั้งหนึ่งเอย เคยซึ้งเสน่หา
นับวันเวลา หลายคราสมัย
สูงส่งเทียมฟ้า เหยียบบ่าประชาไท
ย่ำยีประเทศใหญ่ หยามไพร่เพียงดิน
หอมกลิ่นลั่นทม ยามลมโชยผ่าน
นิวาสสถาน เสริมคานดั่งหิน
เริ่มถูกกัดกร่อน ฐานสั่นคลอนสะเทือนดิน
รอวันสูญสิ้น ศรัทธาดินทลายบุญ
มดปลวกกินไม้ กัดใจศรัทธา
เป็นเจ้าพระยา ยังถึงคราเสื่อมสูญ
เวียงวังหลังใหญ่ หากไพร่ไม่ค้ำบุญ
กอบเกื้ออนุกูล รักสูญเรือนทลาย
ทลายรักภัคดี ด้วยท่านมีริษยา
ทำลายจิตประชา ให้ร้างลาสลาย
แบ่งขั้วแบ่งข้าง แยกทางอธิปไตย
แบ่งจิตพิสมัย แยกไพร่แยกเมือง
เหลืองเอยเหลืองสี จำปีจำปา
ใจดำเป็นกา จำปาสีเหลือง
ยุยงไปเถิด ระเบิดบ้านระเบิดเมือง
แบ่งแดงแบ่งเหลือง บ้านเมืองบรรลัย
พิลัยลาพิราลัย รอกันไปสู่จุดหมาย
พิรุณเทียมล่มสลาย พิรุณสายปลายสมัย
พิกลคนพิการร่าง ไยไม่ร้างพิราลัย
ยังพิรี้ยังพิไร ถ่วงเมืองไว้ทำไมกัน.............

torsdag 21 juni 2012

คุณทักษิณโทรหา บก.ลายจุด อ่านบทความ อ. สมศักดิ์ คงรู้สึกตัวว่าพลาดไปเยอะ

จากการเปิดเผยของ บก.ลายจุด ผ่าน ไทยอีนิวส์
http://www.tfn5.info/board/index.php?topic=39340.0
โดย ลูกชาวนาไทย

ที่ บอกว่า ท่านายกฯทักษิณได้โทรมาคุยด้วย และขอบคุณที่ชี้แนะ ซึ่งเป็นครั้งแรกของ บก.ลายจุด ที่ได้คุยกับอดีตนายกฯทักษิณ หรือก่อนหน้านี้ทึ่คุณทักษิณโฟนอินเข้ามา และบอกว่าได้อ่านบทความของ อ.สมศักดิ์ เจียมฯ

นัยยะตรงนี้หมายถึงอะไร ผมคิดว่าคุณทักษิณคงรู้ตัวว่าพลาดไปเยอะ และคนเสื้อแดงเริ่มที่จะไม่พอใจกับคุณทักษิณในเรื่อง พรบ.ปรองดอง และ เรื่องการแก้ไข รธน. ซึ่งความไม่พอใจของคนเสื้อแดงที่ขยายตัวออกไปอย่างมากนี้ ทำให้คุณทักษิณรับรู้ด้วยความรู้สึกว่า ทำให้อิทธิพลของตนต่อการชี้นำคนเสื้อแดงนั้นลดลง

ก่อนหน้านี้ผมก็ได้รับทราบว่า คุณทักษิณได้เชิญแกนนำคนเสื้อแดง ในยุโรปให้ไปพบ เพื่อพูดคุยและขอข้อมูล ความเห็นต่างๆ

ซึ่ง ปรากฎการณ์ต่างๆ นี้ชี้ให้เห็นว่าคุณทักษิณคงต้อง "แหวกวงล้อมของพวกประจบสอพลอทั้งหลาย" ที่ทำให้มวลชนที่เคลื่อนไหวจริงๆ เข้าไม่ถึง สุดท้ายการกำหนดยุทธศาสตร์ต่างๆ ที่มาจากคนใกล้ชิดหรือคนที่เข้าถึงอย่างเดียว ทำให้ไม่สามารถทำความเข้าใจกับมวลชนได้

ผมทราบมาเหมือนกันว่า เรื่อง พรบ.ปรองดอง ก็มาจาก รมต.คนหนึ่ง ไปเสนอคุณทักษิณมีการเจรจาและฝ่ายตรงข้ามไฟเขียวแล้วอะไรนี่แหละ ไม่รู้จริงหรือเปล่า แต่ พรบ.ปรองดอง ก็ทะลุกลางปล้องขึ้นมา โดยไม่มีปี่มีขลุ้ย  ไม่มีการเตรียมมวลชน ผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆ เลย อยู่ๆ ก็โผล่เข้ามาอย่างกระทันหัน ทำให้การเตรียมการต่างๆ ลุกลี้ลุกลน และทราบเหมือนกันว่าทางพรรคเพื่อไทยจำนวนมากก็ไม่ได้รับรู้หรือเตรียมตัวมา ก่อน เหมือนตกกะไดพลอยโจน แต่เมื่อนึกว่าเป็นคำสั่งของทักษิณ ก็เลยไม่มีใครกล้าแย้ง

เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ หากคิดโดยรวมแล้วอาจเป็นสิ่งดีที่ทำให้คุณทักษิณ "ลดอัตตา" ทำตัวเป็นศูนย์กลางโลกอย่างที่ อ.ใจ วิจารณ์ลงไปได้ เพราะถึงอย่างไร ใครจะมีบารมีแค่ไหน หากประชาชนไม่เอาด้วย บารมีเขาก็ตกลงไปอย่างรวดเร็ว จะแก้คืนกลับมาได้ ก็ต้องฟังเสียงประชาชน

และที่ชัดเจนเลยคือ พวกประจบสอพลอทั้งหลาย ที่ไม่ได้เข้าถึงมวลชนเลยนั้น ไม่สามารถช่วยอะไรคุณทักษิณได้ในยามวิกฤติ

และ อย่างที่เราก็ทราบกัน ใครในประเทศนี้ก็มองออกว่า หากทักษิณแตกกับคนเสื้อแดงเมื่อไหร่ ทักษิณก็ไม่มีความหมายอะไรในทางการเมืองทั้งสิ้น ภาพพจน์ที่ใหญ่โตจะหดเล็กลงไปกระจิดเดียว และความพ่ายแพ้ทางการเมืองนั้น เห็นได้ชัดอยู่แล้ว

คนอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยังมองออกเลย เลยพยายามตอกลิ่มตัวนี้
พวกอำมาตย์ก็คงมองเห็น

และเตรียมตัวรับมือได้เลยว่าเขาเห็นจุดอ่อนตรงนี้ การโจมตีเพื่อขยายลิ่ม ย่อมมีมาต่อเนื่องอย่างแน่นอน

หากคุณทักษิณไม่มีกลไก เชื่อมโยงกระชับกับมวลชนเสื้อแดง ที่มีหลากหลายกลุ่ม ผมว่าสุดท้ายรอยแยกอาจถ่างมากขึ้น

นปช. นั้นเป็นแค่คนเสื้อแดงกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่มวลชน ที่เป็นคนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นก็ไม่ได้ตาม นปช. อาจมีแกนนอนมากมาย เช่น บก.ลายจุด กลุ่มแดงสยาม กลุ่มเสรีนิยมอื่นๆ และเว็บบอร์ดต่างๆ  ซึ่งเราก็เห็นกันว่ามวลชนเสื้อแดงที่เป็นคนชั้นกลางนั้น แม้จะมีจำนวนน้อยกว่า กลุ่มคนรักทักษิณ แต่ก็เป็นแกนนำทางความคิดของคนเสื้อแดง มีความเชื่อมโยงทางความคิดที่มองไม่เห็นกระจายไปทั่วประเทศ

การประเมินมวลชนก้าวหน้าส่วนนี้ ด้านจำนวนอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้ว คือ การเชื่อมโยงทางความคิดที่มีพลังมากกว่าจำนวน

การ ต่อสู้กับอำมาตย์จริงๆ 6 ปีที่ผ่านมา ก็เกิดจากเสื้อแดงชนชั้นกลางในเมือง ในเว็บบอร์ด ในโลกไซเบอร์นี้เป็นแห่งแรก และเป็นเป็นแนวรบที่ยืนยง แม้วันคืนที่มืดมิดที่สุดก็ตาม

เพราะคนส่วนนี้เป็นแกนนำทางความคิดเชื่อมโยง สอดประสานเสื้อแดงทั้งในต่างจังหวัด ต่างประเทศต่างๆ เข้าหากัน

นปช. เป็นเพียงกลไกภาคสนามตัวหนึ่งเท่านั้น นปช.นำทางความคิดคนเสื้อแดงไม่ได้ทั้งหมด ดังนั้นการให้ นปช. มาเคลียร์กับเสื้อแดงทั้งหมดนั้น ไม่น่าจะสำเร็จ เพราะเสื้อแดงบางส่วนก็ไม่ฟัง นปช.

เราก็เห็นแล้วว่ามีการตั้งเวทีแยก ระหว่างเวทีใหญ่ กับเวทีย่อย
แต่อย่าคิดว่าแยกกันเด็ดขาด เพราะมวลชนนั้นไหลไปมาระหว่างสองกลุ่มนี้ ไม่มีทางที่จะปฎิเสธระหว่างสองกลุ่มนี้ได้

ผม คิดว่าคุณทักษิณต้องเคลียร์คนแวดล้อมตัวเองให้มาก โดยเฉพาะจากพวกพรรคเพื่อไทย ส่วนที่ไม่ใช่เสื้อแดง จากพวกกลุ่มต่างๆ พวกนั้นไม่ได้มีพลังทางการเมืองอะไรที่จะช่วยคุณทักษิณ เขาไม่มีทางทำให้คุณทักษิณได้กลับบ้านแน่ และหากคุณทักษิณแตกกับเสื้อแดง ไร้ฐานมวลชน คนพวกนั้นแหละครับที่จะทิ้งคุณทักษิณก่อน และไปสยบอำมาตย์ทันที


หาก คุณทักษิณกับเสื้อแดงยังสามัคคีกัน พวกกลุ่มต่างๆ ในพรรคเพื่อไทย และพวกอำมาตย์ที่เป็นศัตรู ก็ยังสยบคุณทักษิณไม่ได้ แต่หากแตกกันเมื่อใด ก็ไม่เหลืออะไรในทางการเมืองทันที

onsdag 20 juni 2012

เป็นรูปแบบที่เหมาะสมที่สุดในการโค่นล้มระบอบกษัตริย์เผด็จการ !! เพราะกษัตริย์ภูมิพลจะไม่ยอมคืนอำนาจให้แก่ประชาชนอย่างเด็จขาด นอกจากเราต้องลุกขึ้นมาโค่นล้มระบอบเผด็จการกษัตริย์ลง ประชาชนจึงจะได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง เรื่่องปรองดองต้อง Let it be ( ช่างแม่มัน ) !!

นี้คือรูปแบบการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เหมาะสมที่สุดของไทย


ต้นแบบปฏิวัติ 2475-ภาพยนตร์ 1911 ซึ่งออกฉายในปี 2554 ที่ผ่านมา เฉลิมฉลองโอกาส 100 ปีเปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนจากราชาธิปไตยสู่สาธารณรัฐ ทั้งนี้คณะก่อการ รศ.130ของไทยได้เอาอย่างการปฏิวัตินี้เป็นแม่แบบ ทั้งการแต่งตั้งนายแพทย์เหล็งให้เป็นหัวหน้าคณะก่อการ แบบเดียวกับนายแพทย์ซุนยัดเซ็น และอุดมการณ์ อย่างไรก็ตามการก่อการของคณะรศ.130ในปีพ.ศ.2555 หรือ 100 ปีที่แล้วล้มเหลวกลายเป็นกบฎ แต่คณะราษฎรได้สืบสานสายธารการปฏิวัติจนสำเร็๋จในปี2475

tisdag 19 juni 2012

ประเทศสยามติดบ่วงทราม “ นามธรรม “........,มันเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ภูมิพลขึ้นมาเป็นกษัตริย์ .......

ขุนเขาบอก :

ประเทศสยามติดบ่วงทราม “ นามธรรม “........

เมื่อคนอ้างเจ้า มัวเมาอำนาจ
ประเทศราช ปราศจากกฎหมาย
เมื่อผู้มีคุณธรรม ถูกอธรรมมันทำลาย
หยิบยื่นความตาย ทำลายประชาชน

ปล้นดินปล้นฟ้า เข็นฆ่าชีวิต
กระทำอำมหิต ลิขิตเหตุผล
ดูถูกเหยียดหยาม ประณามความคน
สูงส่งอิทธิพล ล้นนครา

มันเป็นเช่นนี้ มากี่สมัย
ประชาธิปไตย ครึ่งใบข้างฝา
แอบอ้างผู้ใหญ่ ใส่ไคร้ประชา
เยี่ยงหมูเยี่ยงหมา อนิจจาประเทศไทย

คนสั่งยังลอยหน้า คนฆ่ายังลอยนวล
ยังคงก่อกวน ป่วนสภาไหว
ยังคงขัดขวาง หนทางอธิปไตย
ยังคงยิ่งใหญ่ ด่าได้ทั้งแผ่นดิน

องค์กรองค์การ ศาลยุติธรรม
ร่วมกันกระทำ ร่วมยำกฐิน
บิดเบือนเปลี่ยนกฎ เป็นกบฏแผ่นดิน
อ่านคำตัดสิน หมิ่นประชาชน

วิชาการวิชาเกิน เพลินคำจำนรรจ์
พูดจาเอามัน กีดกันเหตุผล
วิชาการเพียงหน้า ปากด่าว่าคน
สำแดงตัวตน เยี่ยงคนต่ำทราม

อนาถเมืองไทย คงวิไลไม่ได้แล้ว
กราบหมากราบแมว สิ้นแล้วซึ่งคำถาม
ถูกเหยียบต่อไป ใต้ฝ่าตีนนิรนาม
ประเทศสยาม ติดบ่วงทราม “ นามธรรม “........

ความเป็นมาของวงค์จักรี ตอน ที่ ๙ ( ตอนสุดท้าย )

แม้รัชกาลที่ ๙ ได้เป็นกษัตริย์แล้วแต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจมากที่สุดในช่วงก่อนหน้าปี ๒๕๐๐ ทั้งนี้เพราะจอมพล ป. รู้เช่นเห็นชาติพระองค์เป็นอย่างดี จึงมิได้มีความเคารพนับถือแม้แต่น้อย ยิ่งเป็นเผ่า ศรียานนท์ด้วยแล้ว ถึงกับขู่ว่าจะเปิดโปง “กรณีสวรรคต” โดยการจ้างนายสง่า เนื่องนิยม นักไฮปาร์ก สมญา “ช้างงาแดง” ป่าวประกาศกึกก้องกลางสนามหลวงหน้าพระบรมมหาราชวังที่ประดิษฐานของพระเศวตฉัตรว่า จะเปิดเผยตัวผู้ฆ่ารัชกาลที่ ๘ เมื่อมีประชาชนมารอฟังนายสง่า เนื่องนิยมจำนวนมาก นายสง่าก็ปีนขึ้นไปยืนบนที่สูงกลางท้องสนามหลวง ในวันที่ ๒๔ มิ.ย. ๒๕๐๐ และร้องก้องว่า“ผู้ฆ่ารัชกาลที่ ๘ คือ.”...” แล้วเอาแว่นตาขึ้นมาสวมทำท่าประหลาด เพื่อบอกใบ้ให้คนดูรู้ว่าฆาตกรคือ รัชกาลที่ ๙ โดยไม่พูดอะไรอีก แม้นายสง่าแสดงกิริยาเช่นนี้ ตำรวจของเผ่าก็มิได้จับตัวนายสง่าไปลงโทษแต่อย่างใด (นายสง่าถูกจับตัวไปลงโทษภายหลังในสมัยสฤษดิ์ ธนะรัชต์)
ส่วนจอมพล ป. มีมาดที่สุขุมกว่านี้ ต่อหน้าประชาชนแล้ว จอมพล ป. จะย้ำว่าตนจงรักภักดีกษัตริย์ แต่ในที่ลับนั้นจอมพล ป. ได้เตรียมการที่เปิดโปง รื้อฟื้นการพิจารณาคดีสวรรคตขึ้นมาใหม่(๑) ซึ่งสิ่งนี้รัชกาลที่ ๙ ทนไม่ได้ จึงเปิดตัวออกมาเล่นการเมืองอย่างเปิดเผย ในวันที่ ๒๕ ม.ค. ๒๔๙๘ ทรงเริ่มปราศรัยในวันกองทัพบกว่าทหารไม่ควรเล่นการเมือง รัฐบาลจึงได้นำเอาบทความของ ดร.หยุด แสงอุทัย ออกอากาศทางวิทยุ แสดงความเห็นว่า “องค์พระมหากษัตริย์ไม่พึงตรัสสิ่งใดที่เป็นปัญหาหรือเรื่องราวเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเมือง หรือทางสังคมของประเทศโดยไม่มีรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ...”  เพื่อเป็นการโต้ตอบ พวกศักดินาเคียดแค้นบทความนี้มาก พากันโจมตีเป็นการใหญ่ รัชกาลที่ ๙ ฉวยโอกาสที่มีประชาชนไม่พอใจนโยบายเผด็จการของจอมพล ป. กันมากเป็นเครื่องมือรุกทางการเมือง โดยไม่ยอมลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งส.ส. ประเภท ๒ ตามที่รัฐบาลจอมพล ป. เสนอไป ในขณะเดียวกันก็พยายามทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสฤษดิ์ ธนะรัชต์กับตนเองกระชับมากขึ้น และแล้วสฤษดิ์ก็ร่วมมือกับรัชกาลที่ ๙ ด้วยการพาเอาพรรคพวกลาออกจากการเป็น ส.ส.ประเภท ๒ เป็นจำนวนมาก และไม่ยอมสนับสนุนจอมพล ป. อีกต่อไป จนกระทั่งทำการรัฐประหารในปี ๒๕๐๐ สฤษดิ์ ยกย่องรัชกาลที่ ๙ ให้ได้รับเกียรติยศมากขึ้นและฟื้นฟูพระราชพิธีที่ล้าหลัง เช่น แรกนาขวัญอันถูกยกเลิกไปในระยะหลังปี ๒๔๗๕ ในอดีตนั้นประเพณีนี้ล้าหลังถึงขั้นที่ว่า ถ้ากษัตริย์ยังไม่ได้ประกาศให้มีการแรกนาขวัญในแต่ละปีแล้ว ประชาชนจะทำไร่ทำนาไม่ได้เป็นอันขาดทีเดียว(๒) มิฉะนั้นจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก ในฐานะที่บังอาจทำอะไรข้ามหน้าข้ามตากษัตริย์
รัชกาลที่ ๙ เองได้พยายามสนับสนุนการปกครองที่บีบคั้นเสรีภาพของประชาชน เขาได้กล่าวสุนทรพจน์สนับสนุนสฤษดิ์อยู่เนืองๆ โดยไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดีเลยว่า ผู้ที่ตนสนับสนุนนั้นเป็นจอมเผด็จการที่คอรัปชั้นทรัพย์ของแผ่นดินไปนับพันล้านบาท ส่วนราชินีก็เช่นเดียวกัน คราวหนึ่งราชินีกับรัชกาลที่ ๙ได้รับการสนับสนุนจากสฤษดิ์ให้ไปเยือนออสเตรเลีย ในฐานะตัวแทนแห่งประเทศไทย ขณะที่ทรงประทับอยู่หน้าศาลาเทศบาลเมืองซิดนีย์นั้น มีประชาชนจำนวนหนึ่ง โปรยใบปลิวลงจากหน้าต่างตึกหน้าศาลาเทศบาลนั้น กระจายในหมู่ฝูงชน มีข้อความโจมตีสฤษดิ์ว่าเป็นฆาตกรประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ ราชินีทนอ่านข้อความนี้ไม่ได้เลย เพราะโดยพื้นๆนั้นทรงโปรดอ่านแต่เรื่องภูตผีวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านโหราศาสตร์ของไคโรโหรจากอังกฤษ(๓) (ก่อนที่จะสวดมนต์ภาวนาก่อนนอนวันละ ๒ ชม.) (๔) จึงแต่งหนังสือโต้ตอบกับประชาชนที่เกลียดชังเผด็จการดังกล่าวว่า ตนเองได้รู้จากนักเรียนไทยในออสเตรเลียว่าผู้ที่ต่อต้านสฤษดิ์ที่ซิดนี่ย์นั้นเป็น “...องค์การลับของพวกแดงที่มีทุนรอนมาก...” ทรงแสดงความเห็นว่า “ข้าพเจ้าอดที่จะนึกไม่ได้ว่าคงจะต้องเป็นองค์การใหญ่ที่มีเงินมากอย่างแน่นอน จึงมีทุนทรัพย์และหนทางที่จะสืบเรื่องเมืองไทยได้อย่างละเอียดลออ และยังลงทุนพิมพ์ใบปลิวมากมายไว้โปรยเล่นตอนเราได้รับเชิญมาเมืองนี้...” ทรงโต้แทนสฤษดิ์ว่า “...เหตุผลของเขาในการตำหนิรัฐบาลเรา ฟังไม่ค่อยขึ้น คนที่เขาเรียกว่าผู้บริสุทธิ์ในใบปลิว ก็คือพวกที่โดนประหารชีวิตเพราะวางเพลิงกับพวกที่กระทำจารกรรมและอาชญากรรมต่างๆในเมืองเรานั่นเอง...”(๕) ตกลงราชินีก็เช่นเดียวกับผู้ที่นิยมลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จคนอื่น คือพอเห็นใครต่อต้านโจมตีการใช้อำนาจเผด็จการป่าเถื่อนกดหัวประชาชน โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมเข้า ก็หาว่าผู้นั้นเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นแดง เป็นซ้ายและอะไรต่อมิอะไร ที่จะเสกสรรปั้นเรื่องขึ้นเป็นเหตุผลในการปิดปากประชาชนต่อไป โดยพอใจที่จะยกย่องรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นคนขี้โกงเช่นสฤษดิ์ ว่าเป็น”รัฐบาลของเรา” มากกว่าที่จะเห็นอกเห็นใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ถูกคอรัปชั่นจนยากจน สูญเสียโชควาสนาและความหวังในชีวิตไปแทบจะหมดสิ้น
ขณะที่รัชกาลที่ ๙ และราชินีกำลังร่วมมือกับสฤษดิ์ เพื่อรื้อฟื้นฐานะของสถาบันกษัตริย์ให้สูงขึ้นนั้น ในกลุ่มศักดินาด้วยกันเองก็ไม่ละเว้นที่จะแก่งแย่ง ชิงความเป็นใหญ่ในแผ่นดินทุกขณะ ...... ตราบเท่าที่ตำแหน่งกษัตริย์ยังคงมีอยู่ในประเทศไทย จึงขอย้อนกล่าวถึงการแก่งแย่งราชสมบัติระหว่างพวกศักดินา จนกระทั่งฝ่ายมหิดลได้เป็นกษัตริย์
ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้วนั้น เรื่องนี้ได้สร้างความเคียดแค้นให้ฝ่ายจักรพงษ์มาก จึงมีการวางแผนอย่างลึกซึ้ง โดยให้เครือญาติของตนเข้าไปมีส่วนร่วมในสถาบันกษัตริย์ เพื่อให้ราชสมบัติกลับมายังพวกตนบ้าง ถ้าเอาคนในตระกูลจักรพงษ์เข้าไปสัมพันธ์ทางสายโลหิตกับตระกูลมหิดลโดยตรง ก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัว ดังนั้นจึงวางแผนเอาตระกูลที่ใกล้ชิดกับตน คือตระกูลกิติยากรเข้าไปสัมพันธ์กับพระองค์เจ้าภูมิพล (รัชกาลที่ ๙)
รัชกาลที่ ๙ ทรงพระราชสมภพที่รัฐนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ทรงได้รับการศึกษาที่สวิสเซอร์แลนด์ โดยเริ่มจากวิชาการแพทย์แล้วทรงเปลี่ยนเป็นรัฐศาสตร์ เมื่อพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของราชวงศ์จักรี การดำเนินชีวิตของพระองค์ในต่างประเทศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ทรงโปรดทั้งดนตรี งานสังคม และทรงโปรดการขับรถเร็วเป็นพิเศษ ด้วยพระองค์ทรงอยู่ในวัยหนุ่มและชอบสนุก จึงเปิดช่องให้ฝ่ายจักรพงษ์ใช้แผนลับดังกล่าวผ่านรัชกาลที่ ๙ ซึ่งจะดูแนบเนียนมาก ฝ่ายจักรพงษ์ได้ร่วมมือกับฝ่ายกิติยากรส่งมรว.สิริกิต กิติยากรธิดาของกรมหมื่นจันทบุรี ซึ่งเป็นทูตไทยในอังกฤษขณะนั้น ให้ไปช่วยรักษาพยาบาลรัชกาลที่ ๙ อย่างใกล้ชิดที่สวิสเซอร์แลนด์ ภายหลังที่พระองค์ทรงเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนกระจกทิ่มเอาพระเนตรบอดสนิทไปข้างหนึ่ง จากเสน่ห์ของสาวแรกรุ่นและความใกล้ชิดทำให้รัชกาลที่ ๙ ทรงติดเนื้อต้องใจมรว.สิริกิต ด้วยความประทับพระทัย พระองค์จึงมอบแหวนธรรมดาวงหนึ่งให้เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจของมรว.สิริกิต ฝ่ายจุลจักรพงษ์และกิติยากรเห็นเป็นนิมิตรหมายที่ดี จึงฉวยโอกาสประโคมข่าวออกมาว่า รัชกาลที่ ๙ ทรงหมั้นมรว.สิริกิต จนทำให้พระองค์ตกกระไดพลอยโจน ต้องทรงประกาศการหมั้นอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา และได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสในปี ๒๔๙๓ ขณะนั้นรัชกาลที่ ๙ ทรงมีพระชนมายุได้ ๒๒ พรรษา, มรว.สิริกิตมีอายุได้ ๑๗ ปี
อย่างไรก็ตาม อีกไม่นานต่อมารัชกาลที่ ๙ กับพระชนนีก็ได้เริ่มเข้าพระทัยว่าการแต่งงานครั้งนี้คงจะต้องมีเบื้องหลัง ทรงไม่พอพระทัยมากที่ไปตกหลุมพราง จึงทรงผูกใจเจ็บและพยายามหาทางตอบโต้อีกฝ่ายหนึ่ง
ครั้นแล้วพระวโรกาสก็มาถึง เช้าวันหนึ่งขณะที่กรมหมื่นจันทบุรี พระบิดาของราชินีกำลังวิ่งออกกำลังกายในกิจวัตรปกติ เพื่อเป็นการกระตุ้นเลือดลมให้เดินสะดวกยิ่งขึ้นหลังจากออกกำลังกายเสร็จ รัชกาลที่ ๙ ทรงยกสุราให้ดื่มแก้วหนึ่ง หลังจากที่กรมหมื่นจันทบุรีดื่มแล้วก็ได้เสียชีวิตลงในวันนั้นเอง
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานอย่างเด่นชัดว่าการตายของกรมหมื่นจันทบุรีมีสาเหตุจากรัชกาลที่ ๙ ตาฝ่ายกิติยากรและญาติวงศ์ต่างไม่พอใจ จึงเก็บความคับแค้นนี้ไว้ในส่วนลึกของหัวใจ เบื้องหลังเหตุการณ์ที่แท้จริงเป็นเช่นไร รัชกาลที่ ๙ และพระชนนีจะทรงเล่าได้ดีที่สุด ความรักใคร่ปรองดองของทั้งสองพระองค์ เริ่มห่างเหินและทรงกินแหนงแคลงใจมากขึ้นเป็นลำดับ หลายๆครั้งที่แสดงออกถึงการพยายามจะชิงความเป็นใหญ่ดังจะได้กล่าวในโอกาสต่อไป
แม้ว่ารัชกาลที่ ๙ และราชินีจะทรงบาดหมางใจกันจนเข้ากันไม่ได้ แต่ในสภาพที่ต่างก็มีผลประโยชน์มหาศาลร่วมกันในสถาบันกษัตริย์ การขัดแย้งจึงเป็นเรื่องภายใน แต่หลังฉากแล้วความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นภาพพจน์ที่สำคัญซึ่งจะดำรงความศรัทธาของปวงชนที่มีต่อสองพระองค์ ยิ่งในภาวการณ์ที่ถูกอิทธิพลทหารบีบ เช่น รัฐบาลถนอม ประภาส การกลมเกลียวเพียงหน้าฉากยังไม่เพียงพอ ทั้งสองพระองค์บ่อยครั้งที่ต้องปรึกษาความกันจนสว่าง มีความร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อแสดงบทขอความเห็นใจจากประชาชน ทั้งนี้ก็เพื่อต่อต้านกับพลังใดๆที่บังอาจมาทำลายสถาบันผลประโยชน์อันล้าหลังของตน
ในช่วงที่รัฐบาลถนอม ประภาสเรืองอำนาจอยู่นั้น ประภาสไม่ลงรอยกับศักดินาใหญ่มาตลอด เป็นเพราะต่างก็ต้องการเป็นใหญ่เหนือผู้อื่นในแผ่นดิน อีกทั้งประภาสสามารถกำความลับเรื่องสังหารรัชกาลที่ ๘ อยู่ด้วย จึงเห็นได้ว่าการกระทำของกลุ่มถนอม ประภาสมีลักษณะแข่งขันและไม่ไว้หน้าศักดินาใหญ่มากขึ้นเป็นลำดับ เช่น นางไสว จารุเสถียรชอบแต่งตัวแข่งขันกับราชินีสิริกิตตลอดเวลา ไม่ว่าราชินีสิริกิตจะทรงแต่งกายอย่างฟุ่มเฟือยเพียงใด นางไสวจะต้องแต่งให้ได้เทียมนั้น นับเป็นการพยายามแข่งขันที่น่าสังเวชมาก ณรงค์เองถึงกับประกาศก้องในหมู่เพื่อนทหารขณะมึนสุราอย่างน้อย ๒ ครั้งว่า “กูนี่แหละ จะเป็นประธานาธิบดีคนแรกของเมืองไทย” ครั้งหนึ่งที่เพชรบุรี อีกครั้งหนึ่งที่เพชรบูรณ์
ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของกษัตริย์ภูมิพลหรือราชินีสิริ กิต จะมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งนายทหารและพลเรือนเข้าถวายพระพรเป็นประจำทุกปี แต่ในช่วงก่อนเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ จะพบว่าไม่มีชื่อของประภาส-ไสว ณรงค์ กิติขจรและภรรยา เข้าไปถวายพระพรเลย ในช่วงนั้นฝ่ายศักดินาใหญ่พยายามปล่อยข่าวว่า ประภาสส่งคนไปยิงฟ้าชายวชิราลงกรณ์ที่ออสเตรเลีย เพื่อเป็นการปลูกความจงรักภักดีในสถาบันกษัตริย์และเป็นการทำลายประภาสไปใน ตัว ซึ่งวิธีการอันแนบเนียนนี้เป็นวิธีการที่ทั้งสองพระองค์ทรงโปรดปรานมาก นิยมนำมากลั่นแกล้งและทำลายผู้ที่ล่วงรู้ความลับอันเลวร้ายและไม่ยอมอ่อนข้อ ให้พระองค์เป็นประจำ ขณะที่กลุ่มถนอม ประภาสมีอำนาจและมีกำลังทหารในมือพร้อมที่จะโค่นศักดินาใหญ่ได้ ฝ่ายศักดินาใหญ่ก็มีประชาชนจำนวนมากที่ให้การสนับสนุนด้วยความงมงายตาม ประเพณีนิยม ในภาวะขณะนั้นฝ่ายศักดินาใหญ่แม้จะเสียเปรียบอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจสร้างกำลังใดๆได้เลย นอกจากตำรวจชายแดนจำนวนไม่มากที่ทรงให้ความสนิทสนมโดยส่วนพระองค์ของพระชนนี และกษัตริย์ภูมิพล ปัญหาฐานอำนาจของศักดินาคือกำลังติดอาวุธ นี่เป็นสิ่งที่กลุ่มทหารที่กุมอำนาจตระหนักและกีดกันสถาบันกษัตริย์หลัง ๒๔๗๕ มาตลอด และเป็นความเจ็บปวดของฝ่ายศักดินาที่จดจำได้แม่นยำจนเป็นบทเรียนสำคัญ ดังจะเห็นได้ในระยะหลัง ๑๔ ตุลา ที่ศักดินาใหญ่พยายามแทรกอิทธิพลของตนเข้าไปในหมู่ทหารและข้าราชการสำคัญๆ รวมทั้งการเล่นเล่ห์เพทุบายเพื่อหาคนหัวอ่อนและงมงายในตนขึ้นมาคุมอำนาจต่าง พระกรรณอันจะเป็นฐานอำนาจที่แท้จริงในการค้ำจุนสถาบันกษัตริย์ ซึ่งนับวันจะเสื่อมด้วยความเหลวแหลกของคนในสถาบันเอง
อย่างไรก็ตาม กำลังของทั้งสองฝ่ายก็ไม่อาจทำลายล้างกันได้ในทันทีเช่นกัน ปัญหาของทั้งสองฝ่ายคือ การคอยจ้องหาโอกาสเหมาะๆที่อีกฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เพื่อทำลายอีกฝ่ายลงไปให้ได้
ครั้นแล้วโอกาสก็มาถึง ในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ในช่วงนั้นอดีตผู้นำนักศึกษาและอาจารย์กลุ่มหนึ่งทำการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐบาลถนอมร่างมา ๑๐ ปียังไม่เสร็จ ประภาสสั่งจับคนเหล่านี้ โดยตั้งข้อหาฉกรรจ์ว่าเป็นกบฏและคอมมิวนิสต์ ทำให้นักเรียน นักศึกษา ประชาชนลุกขึ้นต่อสู้ทั่วประเทศนับล้านคน เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยคนทั้ง ๑๓ และให้รัฐธรรมนูญโดยเร็ว ในขณะที่สถานการณ์ตึงเครียดติดต่อกันหลายวันกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีแก่ถนอม ประภาสในตอนใกล้รุ่งของวันที่ ๑๔ ตุลาคม ได้มีวิทยุลับจากพระราชวังสั่งให้มนต์ชัย พันธ์คงชื่น ซึ่งเผชิญหน้าฝูงชนอยู่ที่สวนจิตรลดาให้ตะลุมบอนตีนักศึกษา เพื่อหวังก่อคลื่นต่อสู้ในหมู่ประชาชนที่มีต่อ ๓ ทรราชย์ขึ้นมาใหม่ มีการจลาจลกันทั่วไปในกรุงเทพฯ ผู้คนเสียชีวิตเกือบ ๑๐๐ คน ขณะเดียวกันตำรวจชายแดนนอกเครื่องแบบก็ถูกศักดินาใหญ่ส่งตัวออกไปปลุกความเกลียดชัง และรวมทั้งก่อวินาศกรรมเผาตึกหลายแห่ง พร้อมกับเปิดประตูวังต้อนรับนักศึกษา ประชาชนเพื่อคุ้มภัยให้ อันเป็นการฉวยโอกาสสร้างความนิยมในพระองค์ ท่ามกลางความชิงชัง ๓ ทรราชย์ในหมู่นักศึกษา ประชาชน พระองค์โดดเด่นขึ้นมาเป็นเทพบุรุษในดวงใจของประชาชน แต่อีกมือหนึ่งก็ร่วมมือกับกฤษณ์ สีวะรา ใช้อำนาจทางทหารบีบให้ ๓ ทรราชย์บินออกนอกประเทศ โดยหน้าฉากกษัตริย์ให้คำมั่นสัญญาต่อหน้า ๓ ทรราชย์ว่าจะไม่ยึดสมบัติอันมหาศาลของพวกเขา และจะให้กลับเข้าประเทศอย่างแน่นอนเมื่อเรื่องสงบลง แต่หลังเหตุการณ์ไม่นาน กษัตริย์กลับสนับสนุนให้ยึดสมบัติของพวกเขา และแสดงท่าทีเฉยเมยต่อการขอกลับประเทศในระยะ ๒ ปีแรก
การแย่งผลประโยชน์กับการหักหลังเป็นของคู่กัน กษัตริย์ซึ่งถือกันว่าเป็นผู้สูงส่ง ก็หาได้พ้นจากวิถีการแก่งแย่งด้วยการหักหลังผู้อื่นก็หาไม่ โอกาสใคร โอกาสมัน ผู้กำชัยชนะที่แท้จริงในวันมหาวิปโยคหาใช่ประชาชนเราท่านตามที่เข้าใจกัน แท้ที่จริงคือ สถาบันพระมหากษัตริย์หรือกษัตริย์ภูมิพลจอมวางแผน
หลัง ๑๔ ตุลา อำนาจการปกครองจึงหวนกลับมาสู่อ้อมอกของกลุ่มศักดินาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เมื่อ ๒๔๗๕ และต้องอยู่เบื้องล่างกลุ่มทหารมาตลอด นายสัญญา ธรรมศักดิ์ องคมนตรีเป็นคนที่กษัตริย์ทรงไว้วางพระทัยมากที่สุดคนหนึ่ง ได้รับการแต่งตั้งจากพระองค์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีหลังเหตุการณ์นองเลือด สัญญา ธรรมศักดิ์ใช้ความเกลียดชังต่อ ๓ ทรราชย์ของปวงชน สร้างความนิยมให้สถาบันกษัตริย์ด้วยการเหยียบ ๓ ทรราชย์ให้จมดิน ซ้ำยังโยกย้ายนายทหาร ตำรวจที่เป็นเส้นสาย ๓ ทรราชย์ออกจากตำแหน่งสำคัญๆทางราชการ ในช่วงนี้อิทธิพลศักดินาใหญ่ค่อยๆเข้าแทนที่อิทธิพลของกลุ่มทหาร โดยสรรหาบุคคลที่จงรักภักดี ไม่ว่าจะจริงใจหรือด้วยความทะเยอทะยาน เข้ามามีบทบาททางราชการเมือง เช่น สมัคร สุนทรเวช(ครั้งสมัยยังอยู่ประชาธิปัตย์) พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์(นายทหารภูธรขณะนั้น) พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธ์คงชื่น อธิบดีกรมตำรวจในช่วงนั้น พร้อมกับการปรับปรุงตำรวจชายแดน ฐานกำลังสำคัญของตนให้มีอาวุธทันสมัยขึ้น แต่ก็ไม่อาจเข้าครอบงำทหาร ตำรวจทุกส่วน เพราะทหาร ตำรวจบางคนที่มีอำนาจอยู่แล้ว ไม่คิดที่จะไปเกาะขาหรือชายกระโปรงใครทั้งสิ้น เช่น พวกทหารยังเติร์กและนายตำรวจที่เข้าร่วมกบฏใน ๑ เมษา ๒๕๒๔ ซึ่งพวกเขาเชื่อมั่นในความสามารถของตนมากกว่าการเดินเส้นสายกษัตริย์ เพราะต้องเอาใจและปฏิบัติตามความมักใหญ่ใฝ่สูง รวมทั้งความคิดพิเรนๆของศักดินาใหญ่
นอกจากกำลังทหาร ตำรวจแล้ว ศักดินาใหญ่ยังพยายามหาฐานกำลังสนับสนุนจากชาวบ้านด้วยการตั้งกลุ่มลูกเสือชาวบ้าน นวพล กระทิงแดง ด้วยความบันเทิง ความเชื่องมงาย เพื่อดำรงความภักดีของพวกเขาต่อไปด้วยการพระราชทานผ้าพันคอ ให้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด ให้สายสะพายเหรียญตรา รวมทั้งสนับสนุนด้านเงินทอง นับวันกำลังของศักดินาใหญ่จะเข้มแข็งขึ้น แต่ความขัดแย้งภายในระหว่างกษัตริย์และราชินีไม่มีทีท่าจะลดลงเลย
ในช่วงที่คึกฤทธิ์ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานสภาสนามม้า ซึ่งเป็นสภาชุดพระราชทาน แต่งตั้งโดยกษัตริย์ภูมิพล พระองค์ทรงมอบให้คึกฤทธิ์แก้กฎมณเฑียรบาลเสียใหม่ โดยให้สตรีมีสิทธิ์ที่จะเป็นกษัตริย์ได้เช่นกัน ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะได้หนุนฟ้าหญิงสิรินธร พระธิดาองค์โปรดของพระองค์ให้มีโอกาสเป็นกษัตริย์ได้และจะได้เป็นตัวแทนของราชวงศ์สายสามี ขณะที่ราชินีสิริกิตติ์พยายามจะทรงดันลูกชายปัญญาอ่อนสุดที่รักขึ้นเป็นกษัตริย์ เพื่อตนจะได้เข้ากุมบังเหียนตามแผนที่ฝ่ายกิติยากรและจักรพงษ์ได้ร่วมวางไว้
การพยายามสร้างชื่อเสียงและปลูกฝังความจงรักภักดีในหมู่นักศึกษาของศักดินาใหญ่ กลับไม่เป็นไปตามที่กษัตริย์ภูมิพลคาดการณ์ พระองค์ทรงเอาใจศูนย์นิสิตด้วยการทรงเสด็จไปพระราชทานเพลิงศพวีรชน พระราชทานโอวาทและให้การสนับสนุนนักศึกษาหลายๆประการ แต่ด้วยความตื่นตัวของภาวะการเมืองในระยะนั้น นักศึกษาหาได้ติดกับสถาบันกษัตริย์ซึ่งสวยหรูแต่ภายนอก พวกเขากลับลุกขึ้นเพื่อต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม เพื่อสิทธิเสรีภาพ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คนโดยเฉพาะชาวนา กรรมกรอย่างขนานใหญ่ และส่งผลกระทบกระเทือนผลประโยชน์กลุ่มศักดินาอย่างใหญ่หลวง สุดกำลังของทั้งสองพระองค์จะเหนี่ยวรั้งไว้ได้ ศักดินาใหญ่จึงหันมาวางแผนเพื่อกำจัดคนรุ่นหนุ่มสาวมิให้เป็นเสี้ยนหนามพระองค์ต่อไป
โดยก่อนหน้านี้ไม่นาน ครอบครัวกษัตริย์ได้ไปให้พระหมอดูทำนายอนาคต พระองค์นั้นบอกว่าราชวงศ์จักรีถึงฆาต ชะตาขาดเสียแล้วในรัชกาลนี้ หากจะให้มีรัชกาลที่ ๑๐ ต่อไปแล้ว กษัตริย์ต้องทำการอย่างใดอย่างหนึ่งทางการเมือง ตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป จากนั้นต้องฆ่าประชาชนสัก ๓๐,๐๐๐ คน ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือ กันยายน-ตุลาคม โดยให้พวกทหารจัดการให้ นอกจากนั้นพระหมอดูยังได้เสนอให้แก้เคล็ดลางร้ายด้วยการให้พระองค์และฟ้าชายนอนลงในโลงศพ และนำเลือดหญิงสาวพรหมจรรย์ของผู้ที่ไม่หวังดีต่อสถาบันกษัตริย์มาชำระพระบาททั้งสองข้าง ด้วยความงมงายอย่างยิ่งยวดและความหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมเพื่อคนยากไร้ในยุคนั้น กษัตริย์และราชินีกับราชนิกุลกลับคิดถึงความอยู่รอดของบัลลังก์ เฉกเช่นบรรพบุรุษของตนในทุกยุคที่ผ่านมา เมื่อมีเหตุการณ์แหลมคมใดๆเกิดขึ้นในบ้านเมือง ก็ยินดีที่จะให้ความฉิบหายบังเกิดแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์และบ้านเมือง ยิ่งกว่าการเสียผลประโยชน์ ลาภยศ ความสุขและการเสียสละส่วนพระองค์ของสถาบันกษัตริย์เลย เหล่าราชนิกุลของราชวงศ์จักรีสายมหิดลได้ตัดสินพระทัยที่จะปฏิบัติตามคำทำนาย
หลังวันที่ ๑๒ สิงหาคม อันเป็นวันครบรอบวันเกิดของราชินีสิริกิตติ์ไม่นาน ตามแผนการลับขั้นที่ ๑ ให้จัดส่งประภาสให้บินกลับเมืองไทย เพื่อทดสอบการต่อต้านของปวงชน ทั้งสองพระองค์ได้แสดงออกอย่างเด่นชัดในการคัดค้าน การต่อต้านของนักศึกษาและประชาชนด้วยการอนุญาตให้ประภาสเข้าเฝ้า มอบช่อดอกไม้และออกค่าใช้จ่ายจำนวน ๕ แสนบาทเพื่อเป็นค่าเที่ยวบินพิเศษในการนำประภาสกลับไทเป ก่อนจากไปมีการอนุญาตให้ประภาสปรากฏตัวทางโทรทัศน์ เพื่อแสดงบทขอความเห็นใจจากประชาชนโดยอ้างว่าตนเอง ตากำลังใกล้บอดต้องการมารักษาในเมืองไทย เดิมทีถนอมเคยขอสัญญาให้ตนเองกลับประเทศ แต่ศักดินาใหญ่กับทหารบางคนเป็นตัวการอ้างความไม่พอใจของประชาชน โกหกถนอมว่ายังไม่ถึงเวลานั้น แต่เมื่อศักดินาใหญ่ต้องการสร้างสถานการณ์ปราบนักศึกษา กลับแต่งคนไปเชื้อเชิญ ๓ ทรราชย์และให้การต้อนรับอย่างดี โดยได้รับการคุ้มครองอย่างเข้มแข็งจากนายพลทหารบกคนหนึ่งชื่อ ยศ เทพหัสดินทร์ หลานประภาสนั่นเอง
ในช่วงก่อนที่ประภาสจะเข้ามาเมืองไทย ในวงการทหารมีการเปลี่ยนแปลงดุลยอำนาจอย่างมาก เมื่อกฤษณ์ สีวะรา ผู้บัญชาการทหารบก ด่วนตายไปก่อนด้วยการถูกวางยาพิษขณะเข้าโรงพยาบาลมงกุฎด้วยโรคสามัญ แท้จริงกฤษณ์ต้องการใช้โรงพยาบาลเพื่อการประชุมนายทหารคนสนิท วางแผนเตรียมยึดอำนาจมาสู่กลุ่มตน แต่ถูกยศ เทพหัสดินทร์ ลูกน้องที่ไว้ใจได้ของกฤษณ์หักหลัง เพราะกฤษณ์คัดค้านการพยายามกลับเข้ามาของ ๓ ทรราชย์ตั้งแต่หลัง ๑๔ ตุลา กฤษณ์เป็นผู้คุมกำลังทหารมากที่สุดในขณะนั้น ไม่เห็นด้วยกับแผนการขยายอำนาจของกษัตริย์ภูมิพลในกลุ่มทหารและพยายามขัดขวางพระองค์ นี่เป็นสาเหตุการตายที่สำคัญ
เมื่อมามองประวัติศาสตร์ในยุคหลังจากนี้ไม่กี่ปี ได้มีนายทหารหลายคนที่จะได้เป็นผู้บัญชาการทหารระดับสูง แต่ต้องเสียชีวิตในลักษณะที่คล้ายๆกัน ไม่ทราบสาเหตุเด่นชัด เช่น พล.อ.อำนาจ ดำริกาญจน์,พล.อ.อ.คำรณ ลีละศิริ ซึ่งแต่ละคนล้วนแต่ขัดแย้งกับศักดินาใหญ่ทั้งสิ้น และก็มีข่าวลือว่าเป็นเพราะ “คำบัญชาจากเบื้องบน” ทุกครั้งไป เรื่องทำนองนี้เป็นที่กล่าวขวัญกันทั่ว ในบรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่ เช่น ครั้งหนึ่งขณะที่มีการแข่งขันเลือกตั้งที่ร้อยเอ็ด พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์เป็นนายทหารที่มีจิตใจประชาธิปไตย หากได้รับเลือกตั้งจะเป็นกำลังสำคัญของฝ่ายประชาธิปไตย ในการต้านทานอิทธิพลอันแสนจะล้าหลังของกษัตริย์ ในขณะรณรงค์เลือกตั้ง พล.อ.เกรียงศักดิ์เกิดเป็นไข้หวัดและต้องการไปพักผ่อน แต่ผู้ใกล้ชิดทุกคนต่างเตือนไม่ให้ พล.อ.เกรียงศักดิ์เข้าโรงพยาบาล เพราะเกรงว่าจะเสียชีวิตอย่างกะทันหันเช่นนายพลคนที่ตายอย่างมีเลศนัย เพราะบังอาจไปบดบังรัศมีของสถาบันพระมหากษัตริย์ กฤษณ์ก็เช่นกัน การขึ้นเป็นรัฐมนตรีกลาโหมตามที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอ จะทำให้กฤษณ์สามารถผนึกกำลังได้เข้มแข็งยิ่งขึ้นและอำนาจอันควรตกแก่กษัตริย์จะยิ่งริบหรี่ลงทุกวัน แน่นอนกษัตริย์และราชินีย่อมทนในสิ่งนี้ไม่ได้ ใครผู้บังอาจขวางทางพระองค์ ก็จะต้องมีอันเป็นไปตามพระบัญชา
แผนร้ายได้เริ่มขึ้นด้วยการปลุกปั่นลูกเสือชาวบ้าน นวพล กระทิงแดงให้จงเกลียดจลชังนักศึกษาเป็นพิเศษ ใช้กลไกราชการขัดขวาง ประณามและใส่ร้าย หาว่านักศึกษาไม่หวังดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นพวกคอมมิวนิสต์ รวมทั้งใช้ศาสนามาสร้างความขลัง ให้พระเทศน์ ตลอดจนการเข้าทรง ใช้เครื่องรางต่างๆ เช่น ผ่านสำนักปู่สวรรค์ ซึ่งพวกเขาตั้งขึ้นเพื่อทำลายอีกฝ่ายโดยเฉพาะ, พระกิตติวุฒิโฑแห่งจิตภาวัน ฯลฯ รวมทั้งการแต่งเพลงปลุกใจ มอมเมาให้ชาวบ้านรังเกียจพวกนักศึกษาและศูนย์นิสิตอย่างยิ่ง ทั้งที่เด็กรุ่นหนุ่มรุ่นสาวเหล่านี้อยากเห็นสังคมที่มีความยุติธรรม และเปิดโอกาสให้ปัญหาความยากจน ความเน่าเฟะของประเทศได้รับการแก้ไขเท่านั้น ถ้าผู้มีอำนาจในประเทศเข้าใจ และเปิดโอกาสให้พวกเขามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสังคมบ้างอย่างค่อยเป็นค่อยไป ความรุนแรงและนองเลือดจะต้องลดน้อยลงกว่าภาวะปัจจุบันอย่างแน่นอน และยังให้โอกาสสังคมเปลี่ยนแปลงอย่างสันติได้มากขึ้นด้วย
แผนลับขั้นที่ ๒ ได้เริ่มขึ้นเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๑๙ มีการส่งพระถนอมเข้ามาเมืองไทยในรูปของสามเณร เพื่อมาบวชเป็นพระที่วัดบวรนิเวศอันเป็นวัดหลวงที่กษัตริย์เคยบวช สามเณรถนอมเข้ามาทั้งๆที่คณะรัฐมนตรีมีมติห้ามเข้ามา พระถนอมได้รับความคุ้มครองจากตำรวจรอบวัด รวมทั้งการอารักขาจากพล.ท.ยศ เทพหัสดินทร์แม่ทัพภาค ๑ ในช่วงนี้เองที่ฝ่ายสนับสนุนศักดินาใหญ่ได้เผยโฉมออกมาอย่างชัดเจน พระนวพล กิตติวุฒโฑ พูดออกอากาศทางโทรทัศน์ว่า “การกลับเข้ามาและการบวชของพระถนอม ได้รับพระบรมราชานุญาตและพระราชดำริเห็นชอบจากพระเจ้าอยู่หัว ฉะนั้นพระถนอมจึงเป็นผู้บริสุทธิ์” นายสมัคร สุนทรเวชรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยในขณะนั้น ได้ให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้ว่า “ผมได้รับพระราชกระแสรับสั่งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เป็นผู้ยุติเรื่องนี้” วันต่อมาสมัครก็เดินทางไปนราธิวาสเพื่อเข้าเฝ้ากษัตริย์และราชินี
ทั้งสองพระองค์ซึ่งทำทีว่าไม่รู้เรื่องมาตั้งแต่ต้น โดยได้หลบดูเหตุการณ์อยู่ภาคใต้ ได้รีบเสด็จขึ้นกรุงเทพฯในวันที่ ๒๓ กันยายน และเข้าเยี่ยมพระถนอมทันทีที่ลงจากเครื่องบินที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เช่นเดียวกับฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ซึ่งกลับจากออสเตรเลียก็ตรงเสด็จเข้าเยี่ยมพระถนอมทันทีในวันที่ ๓ ตุลาคม แทนที่จะเข้านมัสการพระแก้วมรกตตามปกติ การแสดงท่าทีเช่นนี้เป็นการประกาศสนับสนุนพระถนอม และคัดค้านการต่อสู้ของนักศึกษา ประชาชนที่ให้จับฆาตกรมาลงโทษอย่างตรงไปตรงมา
โอกาสอันเหมาะสมที่สุดได้เกิดขึ้น เมื่อนักศึกษากลุ่มหนึ่งได้จัดแสดงละครเลียนแบบการแขวนคอช่างไฟฟ้า ๒ คนที่ออกติดโปสเตอร์ต่อต้านพระถนอม แต่พวกศักดินาได้ฉวยโอกาสตกแต่งฟิล์มที่ถ่ายรูปตัวละครนั้นเสียใหม่ให้เหมือนเจ้าฟ้าชาย จากนั้นก็ใช้วิธีการที่พวกตนถนัดนักหนา โหมปลุกระดมความจงรักภักดีทั้งทางหน้าหนังสือพิมพ์และวิทยุอย่างขนานใหญ่ โดยกล่าวหานักศึกษาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วยการแสดงละครแขวนคอฟ้าชาย เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจแก่ชาวบ้านที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุในต่างจังหวัดมาก พวกเขาหลงเชื่อคำโฆษณา โดยเฉพาะลูกเสือชาวบ้านถึงกับถูกหลอกให้มาเที่ยวกรุงเทพฯ แต่กลับตาลปัตรได้มาชุมนุมที่พระบรมรูปรัชกาลที่ ๕ เพื่อให้ดูเหมือนว่าชาวไทยโกรธแค้นแทนสถาบันกษัตริย์ ขณะเดียวกันพวกศักดินาได้ร่วมกับทหารบางกลุ่ม ตระเตรียมพวกอันธพาล กระทิงแดง ตำรวจชายแดน รวมทั้งทหารพลร่มป่าหวายติดอาวุธร้ายแรงครบครับ ล้อมทางเข้าออกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทุกด้าน
วันแห่งการนองเลือดได้มาถึงเมื่อเช้าตรู่วันที่ ๖ ตุลาคม หนุ่มสาวผู้มีแต่สองมือเปล่าถูกระเบิด กระสุนซัดดังห่าฝน ตายและบาดเจ็บอย่างอเนจอนาถ บางคนถูกจับแขวนคอ เผาทั้งเป็นอย่างสยดสยอง ผู้หญิงบางคนถูกข่มขืนแล้วฆ่าอย่างไร้ความปรานี บางคนถูกทรมานเอาไม้ตอกทั้งเป็น เอาไม้แทงเข้าช่องคลอดของเด็กสาวผู้ไร้เดียงสา และแล้วเลือดบริสุทธิ์จากหญิงสาวพรหมจรรย์ก็ได้ถูกนำไปล้างพระบาททั้งสอง ข้างของพระมหากษัตริย์ไทยผู้สูงส่งตามพิธีกรรมทางไสยศาสตร์อันพิสดาร ชีวิตผู้คนจำนวนนับร้อยนับพัน ผู้ไร้ความผิด ต้องตกเป็นเหยื่อของความโง่เขลาเบาปัญญาและความมัวเมาในอำนาจของกษัตริย์และ ราชินี ทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึงเหตุการณ์มหาวิปโยคในวันที่ ๖ ตุลาคม ยากยิ่งที่ชาวไทยจะไม่หวนระลึกถึงกษัตริย์ภูมิพลและราชินีสิริกิตติ์คนบาปใน คราบนักบุญ ผู้บงการและอยู่เบื้องหลังการตายอันน่าขนพองสยองเกล้าของเหล่านักศึกษาผู้ บริสุทธิ์
ในตอนเย็นวันที่ ๖ ตุลาคม กลุ่มทหารก็ประกาศยึดอำนาจโดยมีพลเรือเอกสงัด ชลออยู่(รัฐมนตรีกลาโหมในขณะนั้น)เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ ก่อนหน้ามีการประกาศยึดอำนาจในเย็นวันนั้น มีการพบปะระหว่างกษัตริย์ภูมิพลและพล.อ.อรุณ ทวาทสิน เพื่อไปทาบทามพลเรือเอกสงัด ชะลออยู่ให้เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ เมื่อพลเรือเอกสงัดทราบว่ากษัตริย์ทรงสนับสนุนการปฏิวัติครั้งนี้อย่างยิ่งจึงได้ยอมรับ หลังจากนั้นได้มีการจัดตั้งรัฐบาลโดยนายธานินทร์ กรัยวิเชียรผู้มีความคิดคับแคบและใช้อำนาจเผด็จการในการบริหารประเทศตามอำเภอใจ ร่วมกับนายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีมหาดไทยทั้งสองต่างก็เป็นผู้ใกล้ชิด และวางพระทัยของสถาบันกษัตริย์โดยเฉพาะราชินีสิริกิตติ์ เห็นได้ชัดว่าการได้ดิบได้ดีของนายสมัคร มาจากลักษณะมักใหญ่ใฝ่สูง ถีบตัวขึ้นมาจากการเกาะชายกระโปรงของฝ่ายหญิง พร้อมกับการถีบส่งเพื่อนร่วมงานและผู้มีบุญคุณทุกคน แม้แต่นายธรรมนูญ เทียนเงินและพรรคประชาธิปัตย์ผู้โอบอุ้มทางการเมืองตั้งแต่สมัครยังไม่มีชื่อเสียงใดๆ
ในช่วงหลัง ๖ ตุลา ไม่นาน ราชินีสิริกิตติ์ผู้กำบังเหียนรัฐบาลชุดใหม่ ได้มีบทบาทมากและพยายามสร้างฐานอำนาจของตนให้มั่นคงยิ่งขึ้นในกลุ่มลูกเสือชาวบ้าน โดยเฉพาะในเขตภูธรที่เป็นของกษัตริย์ภูมิพล และในวันที่ ๕ พฤศจิกายน๒๕๑๙ ราชินีและฟ้าชายได้พาประธานลูกเสือชาวบ้านจำนวนหนึ่งไปสาบานตนกลางดึกในวัดพระแก้ว ว่าจะรับใช้และจงรักภักดีต่อราชินีเสมอไป การใช้เล่ห์กลสารพัด เพื่อหลอกล่อ ผูกมัดทางจิตใจชาวบ้านและข้าราชการระดับต่างๆอย่างเช่นตัวอย่างข้างต้นมักจะมีเป็นประจำ บางครั้งถึงกับจัดงานฉลองเลี้ยงอาหารในพระราชวังเป็นการส่วนพระองค์เอง มีการแจกของที่ระลึกเหรียญตราเป็นกรณีพิเศษ พวกทหารเสือราชินีและทหารที่ค่ายนวมินทรชลบุรี เป็นตัวอย่างของขุมกำลังที่ราชินีผู้มักใหญ่ใฝ่สูงได้พยายามสร้างขึ้นมาจากศรัทธา และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเหล่าทหาร พวกเขายังหลงคิดว่า การเสียสละให้กับราชินีเป็นคุณอันใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ แท้จริงการเสียสละของเขาไม่เพียงแต่ไร้ค่า แต่ยังสร้างความฉิบหายกับประเทศโดยส่วนรวม โดยที่เขาไม่เข้าใจเลย
สมเด็จพระราชินีสิริกิตติ์ เติบโตมาจากพระราชวงศ์ชั้นปลายแถว เป็นเด็กหญิงหม่อมราชวงศ์ตัวเล็กๆ ที่เคยศึกษาในโรงเรียนสามัญเช่นเดียวกับลูกชาวบ้านทั่วไปที่โรงเรียนสายปัญญา ครั้นต่อมาได้เป็นราชินี ด้วยอุบายอันแนบเนียนของพระบิดาและญาติวงศ์ที่ใกล้ชิด เช่น จักรพงษ์และสนิทวงศ์ สมเด็จทรงมีลักษณะทะเยอทะยานใฝ่สูงเป็นพิเศษ ยิ่งมีอำนาจสูงก็ยิ่งหลงระเริง ทรงเป็นสตรีที่เจ้าเล่ห์เพทุบาย มักเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สำคัญๆของบ้านเมือง บางครั้งถึงกับออกหน้าอย่างทระนง เช่น การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ เกือบทุกครั้ง แต่ที่โด่งดังคือ การตั้งเปรม ติณสูลานนท์จากผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้บัญชาการทหารบก พร้อมกับเตะโด่ง เสริม ณ นคร ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น ไปเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด การต่ออายุเปรมในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยสมเด็จสั่งให้อาทิตย์เล่นเกมส์นี้ร่วมกับพระองค์ แม้คณะรัฐมนตรีหลายท่านจะคัดค้านเพราะไม่ชอบด้วยตัวบทกฎหมาย แต่ในที่สุดคณะรัฐมนตรีต้องอนุมัติอย่างเฝื่อนๆด้วยจำยอมต่อ “ข้อมูลใหม่” ซึ่งก็คือพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จ อีกครั้งหนึ่งที่เด่นมากและมีผลต่อการเปลี่ยนดุลยอำนาจในหมู่ทหารอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือคือ กรณีหักหลังกลุ่มยังเติร์กในกบฏวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๔ สมเด็จเป็นผู้ดึงดันให้กษัตริย์ภูมิพลและเปรมทรยศต่อยังเติร์ก และพากันหนีไปตั้งกองบัญชาปราบกบฏที่โคราช ทั้งๆที่เปรมและกษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้เปิดไฟเขียวให้พวกยังเติร์กและสัณห์ปฏิวัติเอง ช่วงจังหวะอาทิตย์ได้โดดเด่นขึ้นมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงคุมทั้งแม่ทัพภาค ๑ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก, ผู้อำนวยการรักษาพระนคร ฐานอำนาจทางทหารจึงตกอยู่ในมือของสมเด็จโดยผ่านอาทิตย์ กำลังเอก, ทหารเสือราชินีที่สมเด็จทรงโปรดปรานเป็นพิเศษ บางครั้งการใช้อำนาจของสมเด็จเป็นไปอย่างมัวเมา โดยไม่เคยคำนึงถึงผลกระทบต่อประเทศชาติเลย เช่น กรณีกลุ่มยังเติร์กอยากขอเข้ารับราชการทหารใหม่ ซึ่งน่าที่จะอนุญาตเพราะจะเป็นการสมานความแตกร้าวในกองทัพมิให้สลายเป็นเสี่ยงๆมากไปกว่านี้ อีกทั้งจะยังเป็นการรักษาสมรรถภาพของกองทัพในการตั้งรับกองทัพเวียดนามที่กำลังจ่อคอหอยประเทศไทยอยู่ขณะนี้ เพราะกลุ่มยังเติร์กเป็นนายทหารที่มีฝีมือ ผ่านการรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพลทหารมาอย่างโชกโชน ขณะที่ผู้บัญชาการระดับกรมและกองพันส่วนใหญ่ในปัจจุบัน มักร่วมรบกับลูกน้องในห้องแอร์ พวกเขา ๒๐ คนเศษจึงเป็นกำลังที่สำคัญของกองทัพไทย แต่สมเด็จไม่ได้มองเห็นคุณค่าของพวกเขาเลย สมเด็จห่วงอำนาจของตนในกองทัพบกมากกว่าห่วงสถานการณ์ทางชายแดน พระองค์จึงใช้สิทธิพิเศษในการวีโต้ทุกครั้ง ไม่ว่าใครจะมาเพียรพยายามขอร้องอย่างใด คำตอบก็คือ “ไม่”
บทบาททางการเมืองทั้งลับและเปิดเผยด้วยลูกไม้อันแพรวพราวของสมเด็จ เป็นที่ลือเลื่องกันไปทั่วในหมู่ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือนชั้นผู้ใหญ่ วงการนักการเมืองและนักธุรกิจชั้นสูงต่างยกย่องสมเด็จในนามสมญาต่างๆ และใช้กันอย่างกว้างขวาง บ่อยครั้งที่หนังสือพิมพ์มีการเขียนค่อนแคะด้วยพระสมญานามอย่างครื้นเครง เช่น “พระนางอสรพิษ” “ซูสีไทเฮา” “ผู้บัญชาการผบ.ทบ.” “คำสั่งเบื้องบน” เป็นต้น จนรู้กันทั่ว เดี๋ยวนี้ข้าราชการคนใดอยากเป็นใหญ่เป็นโตในพริบตาก็ต้องผ่านเส้น “สมเด็จ” เพียงแค่กราบใต้เบื้องพระบาทงามๆ และปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์จนมีผลงานให้ดูเสมือนหนึ่งจงรักภักดี และจะพยายามถวายชีวิตนี้ให้พระองค์เท่านั้น ความยิ่งใหญ่นั้นก็จะมาได้อย่างง่ายดาย จนถึงกับมีนายทหารพูดว่า “อยากเป็นผู้การ ก็ให้ไปกราบท่าน” นี่จึงเปิดช่องให้พวกมักใหญ่ใฝ่สูงแต่ด้อยฝีมือต้องเข้ามาซบอกเกาะขอบชายกระโปรงตามๆกัน เช่น พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก, นายสมัคร สุนทรเวช, นายพลตำรวจเจริญฤทธิ์ จำรัสโรมรัน, นายพิศาล มูลศาสตร์สาทร, นางทมยันตี, อุทาร สนิทวงศ์ เป็นต้น
นอกจากสมเด็จจะเป็นผู้มัวเมาในอำนาจแล้ว ยังทรงใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อในเรื่องฉลองพระองค์(๖) และการรักษาพระสิริโฉมอันเหี่ยวย่น ซึ่งร่วงโรยไปตามสังขารให้กลับเต่งตึงหวานซึ้งราวสาวแรกรุ่น พระองค์ทรงยินดีที่จะเสียพระราชทรัพย์ไม่ว่าสักเพียงใด เพื่อให้ประเทศไทยมีราชินีที่ยังสาวและสวยสง่าเป็นศรีแห่งแว่นแคว้นตลอดไป จนถึงกับมีข่าวเกรียวกราวว่าพระองค์ทรงเสด็จไปอเมริกาเพื่อยกเครื่องใหม่ในปี ๒๕๒๓(๗) แม้จะอ้างว่าไปเพื่อรักษาโรคภูมิแพ้ก็ตามทีแท้จริงพระองค์ก็มีพระชนมายุอีกเพียงปีเดียวก็ครบ ๕๐ พรรษา การมีพระวรกายตามพรรษาจริงก็มิได้ทำให้ประเทศชาติต้องเสื่อมเสียหรือพินาศลงไปเลยแม้แต่น้อย กลับจะทรงเป็นแบบอย่างที่ดีงามของประชาชน แต่การใช้จ่ายเงินภาษีของชาติในภาวะที่เศรษฐกิจฝืดเคืองประชาชนอดอยากไปทั่ว อย่างฟุ้งเฟ้อไร้สติเช่นนี้ รังแต่จะทำผู้คนนินทา ด่ากันไปทั่วทั้งแผ่นดิน
การวางพระองค์และพระท่วงท่าที่แสดงออกก็เป็นสิ่งที่ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันมาก เช่น การประพาสอเมริกาปลายปี ๒๕๒๔ พระองค์ทรงโอบกอดเต้นรำกับหนุ่มชาวนาอเมริกาอย่างสนิทแน่น และภาพนี้สื่อมวลชนทั่วโลก รวมทั้งภายในประเทศ มีการนำมาตีแผ่กันทั่ว เป็นภาพที่น่าสลดสังเวชมากที่พระราชินีไทย ไม่มีการไว้พระองค์ในฐานะสตรีผู้สูงศักดิ์ที่พึงมีสมบัติกุลสตรีไทยบ้างตามสมควร, อีกครั้งหนึ่งราวปี ๒๕๒๐ พระองค์ทรงนั่งป้อนพระขนมแก่ชายหนุ่มลูกเสือชาวบ้านคนหนึ่ง ด้วยท่วงท่าที่น่าชมเชย ดั่งหญิงสาวแรกแย้มป้อนขนมให้คู่รักของตน ภาพนี้ได้รับการตีพิมพ์ในข่าวสังคมหน้าในของหนังสือพิมพ์ เป็นภาพที่บัดสี ขนาดชาวบ้านนินทาอย่างรุนแรง จนไม่อาจจะเขียนเป็นตัวหนังสือ ปัจจุบันพระเกียรติคุณของสมเด็จในสายตาของปวงชนลดลงจนกลายเป็นเรื่องตลก เรื่องสนุกที่ชาวบ้านจะเล่าสูกันฟังหลังอาหารอย่างครึกครื้นเสียแล้ว
เนื่องจากสมเด็จไม่ได้ทรงศึกษาในมหาวิทยาลัยหรือการศึกษาขั้นสูง ประกอบกับไม่ค่อยเข้าใจกฏเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ สมเด็จจึงเป็นผู้ที่เชื่อคนง่าย ชอบการยกยอปอปั้น คำหวานหอม ตลอดจนเชื่อผีสางโชคลางเป็นอย่างยิ่ง หลายครั้งทีเดียวที่พระองค์เล่าให้นางสนองพระโอษฐ์ฟังว่า พระนเรศวรมาเข้าฝัน บางครั้งถึงกับปรากฏต่อหน้าพระพักตร์ และเมื่อพระองค์ทรงตื่นก็ปลุกกษัตริย์ภูมิพลขึ้นทอดพระเนตร ก็ยังคงทอดพระเนตรเห็นวิญญาณนั้นปรากฏอยู่ (ความเป็นจริงราชินีและกษัตริย์ทรงขัดเคืองจนมิได้บรรทมด้วยกันมานานแล้ว) และหลายครั้งที่ให้คุณหญิงแดง (คุณหญิงสวรี เทพาคำ) เข้าทรง เพื่อพระองค์จะได้ติดต่อกับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ รวมทั้งการล่วงรู้เหตุการณ์สำคัญๆในอนาคตได้แม่นยำ ดังนั้นสมเด็จจึงนับถือและสนิทสนมกับคุณหญิงแดงมาก ทั้งสองอยู่ด้วยกันดึกๆจนสว่างเพื่อประกอบพิธีกรรมและปรึกษาความเมืองกัน คุณหญิงแดงจึงเป็นเป้าด่านแรกในการเข้าหาสมเด็จ
อาทิตย์ กำลังเอกผู้ต้องการเป็นใหญ่ ได้ใกล้ชิดกับสมเด็จเป็นพิเศษสุดในระยะหลังโดยผ่านคุณหญิงแดงนี่เอง การเข้าทรงและประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ ยิ่งทำให้พระองค์ทรงเชื่ออย่างฝังใจในเรื่องลางสังหรณ์ คำทำนายของโหรใหญ่ การดูโชคชะตาราศีของพระ เรื่องนี้สมเด็จเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ยืนยันเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง เช่น “เรื่องโหราศาสตร์ เชื่อเป็นบางคน เฉพาะที่คิดเลขเก่งจริงๆ พ่อฉันก็ชอบเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์ ส่วนเรื่องวิญญาณก็เชื่อ เราเชื่อเรื่องวิญญาณ เพราะว่าตัวเองเคยประสบหลายหน” “เรื่องพระนเรศวรมาเข้าทรงสุบินนั้นเป็นความจริง แต่ฉันอาจแต่งเอาเองในส่วนลึกของหัวใจก็ได้” พระองค์ทรงคลั่งไคล้เรื่องทำนองนี้ มีอยู่ครั้งหนึ่งถึงกับออกประกาศชักชวนให้ปฏิบัติตาม จนเป็นข่าวเกรียวกราวในหน้าหนังสือพิมพ์ เพราะพระองค์ทรงสุบินไปว่า คนที่เกิดปีมะ จะมีอันเป็นไป มีอาเพศแก่ตน ให้ชวนกันไปทำบุญที่โบสถ์พราหมณ์ มีผู้คนมากมายตื่น แล้วบอกต่อๆกันจนโบสถ์พราหมณ์ที่เสาชิงช้าเกือบพัง, อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นภายในราชวัง คือ หลังเหตุการณ์ ๖ ตุลาไม่นานนัก สมเด็จทรงรับสั่งให้มีการประกอบพิธีสะเดาะเคราะห์แก่ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ด้วยการปั้นหุ่นขนาดเท่าฟ้าชายและมีลักษณะเหมือนจริงทุกประการ และเอาหุ่นนั้นลงนอนในโลงศพ อันเป็นพิธีสะเดาะเคราะห์ต่ออายุให้ฟ้าชาย เรื่องนี้ความแตกเพราะ ฟ้าชายบังเกิดความเมามันจึงจ้างคน ๔ คน แบกโลงศพซึ่งมีหุ่นของพระองค์อยู่ข้างใน ห่อโลงศพอย่างสวยงาม ส่งไปให้น้าของโสมสวลี บ้านอยู่แถวคลองประปาสามเสน หม่อมน้าทรงแปลกพระทัย และเมื่อแกะกล่องออกมาเห็นในโลงศพมีศพฟ้าชายก็ตกพระทัย ร้องกรี๊ดดังลั่น จึงโทรเรียกตำรวจท้องที่มาจัดการกับชาย ๔ คนนั้น มีชาวบ้านละแวกนั้น แห่กันมามุงดูมืดฟ้ามัวดิน ขณะที่หม่อมน้ายังไม่หายตกพระทัย ก็พอดีมีเสียงโทรศัพท์จากฟ้าชายและโสมสวลี หัวเราะครึกครื้นมาตามสาย ทรงทูลหม่อมน้าว่า “ทรงตกพระทัยมากไหม” น้าของโสมสวลีจึงมาถึงบางอ้อ ด้วยความโกรธจัดจึงพูดไปว่า “อยากถวายผางพะย่ะค่ะ”(อยากเตะ) ทางตำรวจท้องที่หัวปั่นไม่รู้จะทำอย่างไร จึงต้องปล่อยชายผู้ต้องหาไป เรื่องนี้สามารถสอบถามได้จากชาวบ้านละแวกนั้น ซึ่งต่างก็รู้สึกทึ่งในการไม่สมประกอบทางปัญญาของพวกราชนิกุล
ความใฝ่ฝันที่จะให้ราชบัลลังก์ตกอยู่กับตระกูลของตนและญาติวงศ์ที่ใกล้ชิด เป็นความฝันที่ใกล้จริง เมื่อพระองค์ทรงกะเกณฑ์ให้ฟ้าชายวชิราลงกรณ์แต่งงานกับโสมสวลี กิติยากรหลานแท้ๆของพระองค์ เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๒๐ วชิราลงกรณ์เป็นโอรสที่สนิทสนมและรักทูลกระหม่อมแม่มากกว่าพ่อ ทรงรักและเชื่อฟังแม่มากถึงกับเขียนกลอนสดุดีสมเด็จขณะที่ยังเรียนอยู่ที่ออสเตรเลีย วชิราลงกรณ์นั้นเรียนไม่เก่ง เมื่อครั้งไปเรียนที่อังกฤษ ปรากฏว่าทรงสอบได้วิชาภาษาไทยเพียงวิชาเดียว ต้องย้ายโรงเรียนถึง ๓ ครั้ง ในที่สุดย้ายมาเรียนวิทยาลัยดันทรูนในออสเตรเลีย นักเรียนไทยในออสเตรเลีย มักเล่าสู่กันฟังถึงเรื่องของฟ้าชายเสมอว่า ที่วิทยาลัยนี้มีการศึกษาสองระดับด้วยกัน ผู้ที่มีเกรดดีจึงจะได้เรียนในระดับนายร้อย ส่วนผู้ทำเกรดไม่ได้จะได้เรียนแค่ระดับนายสิบเท่านั้น ฟ้าชายของเราทำคะแนนไม่ได้ จึงได้เรียนแค่นายสิบเท่านั้น เห็นได้จากภาพที่แพร่ในช่วงที่มีการรับปริญญา จะเห็นฟ้าชายแต่งชุดทหารยศแค่สิบโทเท่านั้น แต่มีการอ้างว่าที่วิทยาลัยนี้ เขาก็แต่งกันอย่างนี้ทั้งนั้น มันน่าตลกสิ้นดี ที่เมื่อฟ้าชายกลับถึงเมืองไทย สามเหล่าทัพจำต้องกุลีกุจอถวายพระยศเป็นร้อยเอก, เรือเอกและเรืออากาศอย่างเสียไม่ได้
ฟ้าชายชอบใส่ชุดทหารและติดอาวุธตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ทั้งๆที่พระองค์รับราชการฝ่ายข่าวของกองทัพ นอกจากพระองค์จะทรงพยายามแสดงออกถึงความสามารถสูงส่งอย่างเบาปัญญาแล้ว บรรดาที่อยู่ใกล้ชิดก็จะช่วยกันโหมข่าว สร้างชื่อเสียงให้ฟ้าชายเพื่อจะได้มีพระเกียรติสมกับสยามมกุฎราชกุมาร เช่น วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ สื่อมวลชนทุกประเภทพากันประโคมข่าวว่า รถเกราะพาหนะของฟ้าชายถูกผกค.ซุ่มโจมตีที่บริเวณเขาค้อ (เพชรบูรณ์) พระองค์ได้แสดงวีรกรรมอย่างอาจหาญ สั่งสละรถตนเอง ได้หลบและเคลื่อนที่เข้าจุดที่มั่น ทรงบัญชาให้หน่วยปืนใหญ่ที่บ้านทุ่งสมอ ระดมยิงไปที่ผกค. จนพวกนั้นล่าถอยกลับไป แต่สำหรับทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างทราบดีว่า เฮลิคอปเตอร์ของฟ้าชายถูกยิงตก และก็ไม่มีวีรกรรมใดๆปรากฏขึ้นเลย จะมีก็เพียงข่าวลือและเขาเล่าว่า แต่เมื่อได้พบเห็นฟ้าชายที่ทรงกระทำอะไรแผลงๆแบบไม่ค่อยเต็ม ความที่เคยสงสัยก็กลับกระจ่างอย่างไม่น่าเชื่อ
สำหรับโสมสวลีทรงเรียนหนังสือครั้งแรกที่โรงเรียนจิตรลดา การเรียนอยู่ในระดับต่ำ จนต้องสอบประถม ๓ ตก ๑ ครั้ง เมื่อย้ายมาเรียนที่โรงเรียนราชินีล่าง(ปากคลองตลาด) การเรียนก็ไม่ดีขึ้น ครูถึงกับเอ่ยปากหนักใจแทน เพราะโสมสวลีของเราสอบ ม.ศ. ๒ ตกซ้ำ ๒ ปีติดต่อกันจึงลาออก สมเด็จทรงรับมาชุบเลี้ยงในราชวัง ฝึกทำของคาวหวานจนเก่งงานครัว ทั้งฟ้าชายและโสมสวลีต่างมีสายโลหิตที่ใกล้ชิดกันมาก มีคนเกรงว่าหากแต่งงานกันเช่นนี้ จะทำให้โอรสและธิดาที่ทรงประสูติมาจะมีโอกาสปัญญาอ่อนมาก เพราะเพียงแค่ลำพังสองพระองค์ก็ทรงมีลักษณะอับเฉาทางปัญญามากพออยู่แล้ว เรื่องนี้มีผู้ท้วงติงมาก แม้แต่กษัตริย์ภูมิพลเอง แต่เพราะเป็นความต้องการของฟ้าชายที่ถูกแม่ขอร้องให้แต่งงาน เรื่องจึงต้องว่ากันไปตามเพลง ผลมาปรากฏตอนท้ายมีผู้ที่เสียพระทัยมากที่สุดสองคนคือ โสมสวลีและสมเด็จ เพราะฟ้าชายทรงหนีไปมีนางสนมมากมาย และไม่คิดจะใยดีโสมสวลีต่อไป เพราะโสมสวลีคือลูกสะใภ้ที่แม่ต้องการ ส่วนเมียสุดที่รักของฉันคือ ยุวธิดา
การที่สมเด็จทรงเชิดฟ้าชายผู้อยู่ในโอวาทให้มีบทบาทที่จะรับตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป ด้วยการกุมบังเหียนได้ทั้งหลานและลูก นับเป็นความสำเร็จทางการเมืองชิ้นสำคัญ แต่สมเด็จก็ทรงพร่ำเพ้อว่าพระองค์ทรงไม่รู้จักการเมืองและไม่ปรารถนาที่จะยุ่งเกี่ยว นอกจากการช่วยเหลือประชาชนผู้ยากไร้อย่างฉาบฉวย และหากสิ่งนี้คือการเมือง พระองค์ก็อดไม่ได้ที่อุทิศตัว เพื่อช่วยเหลือพวกเขาอย่างสุกเอาเผากินกันต่อไป พระองค์ถึงกับปรารภว่า “คนที่จนที่สุดบวกจนที่สุดคือชาวเขาและชาวไทยอิสลาม จนอย่างชนิดที่เราไม่เคยเห็น อิสานก็ไม่เคยเห็นอย่างนั้น เสื้อผ้ากะรุ่งกะริ่ง ร่างกายซูบซีดขาดเลือด ฉันให้แม่ทัพใต้ ตอนนั้นคุณปิ่น ธรรมศรี คุณเปรมเป็นผู้ช่วยหรือรองผบ.ทบ. ฉันไม่เข้าใจว่ารองหรือผู้ช่วยต่างกันอย่างไร คุณเปรมไปเฝ้าที่นั่น คุณเปรมก็บอก “ปิ่น ทำไมไม่ช่วยราษฎรล่ะ” คุณปิ่นบอก “แหม ก็ไปก้าวก่าย” อันนี้ก็การเมืองอีกใช่ไหม ฉันไม่ทราบจะทำอย่างไร การเมืองนี่เป็นอย่างไร ฉันไม่ทราบจะทำอย่างไร เพราะราษฎรเอามาให้ช่วย ขนาดจุฬาภรณ์และสิรินธรถึงกับเคยแย่งฎีกาชาวบ้านจากมือของตำรวจพระราชวัง โธ่ คุณ ถ้าเผื่อปิดนี่ บ้านเมืองเราจะไปไม่ไหวนะ ราษฎรไม่รู้จะออกทางไหน เราก็มีหน้าที่เอามา แล้วเอาไปให้แก่รัฐบาลเท่านั้น” (๙)
สมเด็จแม้จะรู้ว่าชาวบ้านอดอยากแร้นแค้นมาก แต่พระองค์ไม่เคยทรงทราบเลยว่า เลือดของประชาชนที่ขาดหายไปจนซูบซีดนั้น ใครเป็นผู้สูบไป พระองค์ก็ไม่ต่างจากจอมเผด็จการทั้งหลายในโลกรวมทั้งพระนางซูสีไทเฮา ซึ่งไม่เคยทราบต้นสายปลายเหตุความทุกข์ยากของแผ่นดิน พวกเขาได้แต่สงสาร เห็นใจและสงเคราะห์ช่วยเหลือไปตามความสบายใจของตน พระองค์หารู้ไม่ว่า ก็เพราะอำนาจของสถาบันพระองค์ที่ครอบงำความก้าวหน้าของสังคม และคอยค้ำจุนระบบคนกินคนอันเลวร้ายของสังคม ขณะเดียวกันธุรกิจสมัยใหม่ของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ก็มีส่วนร่วมสูบเลือดชาวไทยให้หนักหน่วงยิ่งขึ้น อิทธิพลของสถาบันพระมหากษัตริย์ คือ ต้นตอความยากจนทุกข์เข็ญของประชาชนทั่วทั้งประเทศ
ขณะที่สมเด็จทรงใช้กลเม็ดเด็ดพรายแย่งราชบัลลังก์จากกษัตริย์ผู้ฆ่าพี่ชายอย่างเลือดเย็น มาสู่ตระกูลของตนพร้อมกับซ่องสุมกำลังทหารเสือราชินี, ผลักดันอาทิตย์ กำลังเอกขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหาร เพื่อหวังกุมอำนาจทั่วทั้งแผ่นดินมาสู่กำมือของตนเช่นนี้แล้ว พระองค์ยังจะกล้าเอ่ยปากว่า พระองค์ไม่รู้จักคำว่าการเมืองอีกหรือ เพราะทุกย่างก้าวของความมักใหญ่ใฝ่สูง ล้วนกระทบกระเทือนต่อชีวิตตัวดำๆของชาวไทยทั่วทั้งประเทศ หากพระองค์มีเจตนาหวังดีต่อประชาชนอย่างแท้จริง ก็จงมาช่วยกันล้มระบบอภิสิทธิ์ของซากเดนศักดินาใหญ่ มาช่วยกันพัฒนาและปลุกความตื่นตัวของประชาชนให้สามารถคุ้มครองและช่วยเหลือตนเอง ในการต่อสู้เพื่อปากท้องในสังคมอย่างยุติธรรมต่อไป เปิดให้มีการกระจายอำนาจการปกครองไปสู่ท้องถิ่นอย่างจริงจัง ทำการปฏิรูปที่ดินและสร้างการชลประทานอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ ก่อตั้งระบบสหกรณ์ที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาใหม่ ให้ก่อตั้งสหภาพแรงงานเพื่อต่อรองกับนายจ้างอย่างยุติธรรมตามกฎหมายแรงงาน ให้ช่วยกันสร้างเศรษฐกิจของชาติให้พ้นจากอิทธิพลของต่างชาติที่คอยสูบเลือดเรา หากสมเด็จและกษัตริย์ภูมิพลทรงรักประชาชนและประเทศไทย และต้องการให้ประเทศไทยก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศทั้งหลาย ขอให้พระองค์สละราชสมบัติ ยกเลิกระบบกษัตริย์ซึ่งค้ำจุนความคิดและระบบอันล้าหลัง งมงายลงเสีย เปลี่ยนการปกครองเป็นประเทศสาธารณรัฐมีประธานาธิบดี ควรเป็นประมุขของชาติที่อยู่ใต้กฎหมาย และไม่มีอำนาจบริหารประเทศใดๆทั้งสิ้น และหากพระองค์คิดว่าประชาชนยังคงรักและเห็นความดีงามของพระองค์ พระองค์ก็จะได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ประชาชนยกย่องนับถือ และหากองค์รัชทายาทเป็นผู้ที่ดีพอ ตำแหน่งประธานาธิบดีคงไม่แคล้วคลาดจากฟ้าชาย ยุคสมัยแห่งการสืบสันตติวงศ์ เอาเพียงสายโลหิตของกษัตริย์เป็นเครื่องวัดความดีงาม และสืบทอดตำแหน่งประมุขของชาติอย่างงมงายควรจะเลิกกันเสียที ประชาชนผู้ทุกข์ยากจำนวนล้านๆไม่อาจทนหิวโหย ผอมโซอีกต่อไปแล้ว ขอพระองค์จงเร่งตัดสินใจ ก่อนที่จะสายเกินกาล เมื่อวันนั้นมาถึง ชาติตระกูลของพระองค์คงต้องสูญสิ้น ขณะที่ประเทศและประชาชนจะช่วยกันสร้างชาติไทยให้รุ่งโรจน์สืบไป
          ๑. สุพจน์ ด่านตระกูล แถลงการณ์เรื่องความบริสุทธิ์ของนายปรีดี พนมยงค์ ในกรณีสวรรคตของ ร.๘ (ไทยแลนด์การพิมพ์,๒๕๒๒) หน้า ๖๒
๒. ๒. ดูประชุมประกาศในสมัยรัชกาลที่ ๔ ที่คุรุสภาพิมพ์
๓. พระราชเสาวนีย์ต่อสมาคมนักข่าวหญิงแห่งประเทศไทย ดู...มาตุภูมิ วันที่ ๒๗ กค. ๒๔
๔. เรื่องเดิม
๕. สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ “ความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศ” อนุสรณ์ พล.ต.อ.หลวง วรยุทธวิชัย (วรยุทธ จารุมาศ) (โรงพิมพ์อักษรประเสริฐ,๒๕๑๔ หน้า ๔๓)
๖. พระราชกระแส สัมภาษณ์โดย นางอนงค์ เมษประสาท หนังสือสยามใหม่ ฉบับที่ ๗๑, ๒๒ ส.ค. ๒๕๒๔ หน้า ๑๒ พระองค์ให้สัมภาษณ์ว่า “ทรงโปรดการแต่งพระองค์งาม อันนี้จริง ฉันเป็นคนที่แก้ไม่หาย เพราะชอบสวยงาม อีกประการหนึ่ง ชาวบ้าน นานๆเขาจะเห็นเราสักทีหนึ่ง โดยมากชั่วชีวิตเขาก็เห็นไม่กี่ครั้งเลย คิดว่าพยายามแต่งตัวให้ดี ให้เขาเห็น ให้เขาจำเราได้
๗. หนังสือเสด็จประพาสอเมริกา
๘. พระราชกระแส สัมภาษณ์โดย นางอนงค์ ดมษประสาท หนังสือสยามใหม่ ฉบับที่ ๗๑ หน้า ๔...
๙. เรื่องเดิม หน้า ๑๙

måndag 18 juni 2012

ความเป็นมาของวงค์จักรี ตอนที่ ๘

ก่อนหน้ารัชกาลที่ ๗ นั้น รัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖ ทรงต่อต้านประชาธิปไตยมาก รัชกาลที่ ๕ หาว่าพวกที่สนับสนุนระบบรัฐสภานั้น “พูดไปโดยรู้ งูๆ ปลาๆ.......” (๑)  เพราะฝันเฟื่องไปว่า ตนเองซึ่งเป็นกษัตริย์ “.....จะทรงประพฤติการณ์อันใด ก็ต้องเป็นไปตามทางที่สมควรและยุติธรรม” (๒) และหลงว่าถึงจะมีสส. คนก็คงเชื่อกษัตริย์มากกว่าสส.(๓) ส่วนรัชกาลที่ ๖ ก็แสดงความเห็นไว้ในหนังสือเรื่อง “ฉวยอำนาจ” ว่าการปกครองแบบเก่าสมบูรณ์ที่สุด เพราะว่า “มีราชาเป็นสง่าแห่งแคว้น” และพยายามต่อต้านระบบประชาธิปไตยอย่างรุนแรง ประดุจผู้ที่ปิดหูปิดตาตนเอง โดยดึงเอาระบบประชาธิปไตยไปพัวพันกับความจลาจลวุ่นวาย ดังจะเห็นได้จากบทความเรื่อง “ความกระจัดกระจายแห่งเมืองจีน” และ “การจลาจลในรัสเซีย” ซึ่งพระองค์แปลมาจากภาษาอังกฤษ เพื่อปกป้องสถานภาพที่ได้เปรียบของตนไว้
ความคิดที่ล้าหลังของกษัตริย์ทั้งสอง ขัดขวางความก้าวหน้าของประเทศชาติ จึงถูกผู้ที่รักชาติต่อต้านตลอดมาซึ่งจากบันทึกของรัชกาลที่ ๗ ได้ชี้ว่าตั้งแต่ปลายรัชกาลของรัชกาลที่ ๕ แล้ว ที่มีผู้วิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์ในแง่ลบมากขึ้น(๔) บันทึกนั้นมีสาระตรงกับความคิดของเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถที่ว่า “นับแต่ปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเป็นต้นมา ความเชื่อมั่นในพระบรมราโชบาย......ดูเบาบางลง เกิดมีความเห็นว่า ทำอย่างนั้นจะดีกว่า ทำอย่างนี้จะดีกว่า ทำอย่างนั้นเป็นการเดือดร้อนแก่ราษฎร....” (๕)
สำหรับรัชกาลที่ ๗ นั้น มีความทันสมัยกว่าพี่ชายและพ่อ คือเห็นว่า “.....ฐานะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นสิ่งที่ตกอยู่ในสภาวะลำบาก ความเคลื่อนไหวทางความคิดในประเทศ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ระยะเวลาของระบบเอกาธิปไตยเหลือน้อยเต็มที....” (๖)
แต่ถึงพระองค์จะรู้เช่นนี้และมีโอกาสเป็นกษัตริย์อยู่หลายปี ก็มิได้ผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆให้เกิดขึ้นในเวลาอันสมควร จนทำให้สถานการณ์ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมืองเลวร้ายลงทุกที แม้หนังสือพิมพ์ เช่น นครสาร, บางกอกการเมือง, ปากกาไทย, สยามรีวิว, ศรีกรุง และไทยหนุ่ม จะเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาประชาธิปไตยและเศรษฐกิจ นสพ.ไทยหนุ่ม ฉบับเดือน ก.ค. ๒๔๗๐ ถึงกับเสียดสีพวกศักดินาว่า “....อย่าว่าแต่ราษฎรที่ไม่ได้รับการศึกษา จะเป็นพลเมืองที่ถ่วงความเจริญของประเทศเลย ถึงพระเจ้าแผ่นดินที่มีชีวิตไม่เต็มความ ก็เป็นภัยกับประเทศเหมือนกัน.....”
แต่พวกเจ้า ก็ยังแสดงทีท่าว่าเป็นพระอิฐพระปูน สิ่งนี้ทำให้เกิดกรณีการเปลี่ยนแปลงในปี ๒๔๗๕ อันเป็นฝันร้ายของพวกศักดินา พวกอนุรักษ์นิยมที่จะต้องจดจำไปตลอดชีวิต และก็เพราะเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้รัชกาลที่ ๗ ต้องสละราชสมบัติ
         
๑. พระจุลจอมเกล้า “พระบรมราชาธิบายว่าด้วยความสามัคคี” หนังสืออ่านประกอบคำบรรยายวิชาพื้นฐานอารยธรรมไทย (เรื่องเดิม) หน้า ๒๔๐
๒. พระจุลจอมเกล้า “พระราชดำรัสลงในพระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครอง” หนังสืออ่านประกอบคำบรรยายฯ ( เรื่องเดิม) หน้า ๒๓๕
๓. เรื่องเดิม หน้า ๒๓๕
๔. กจช. เอกสาร ร.๗ สบ.๒.๔๗/๓๒ เล่ม ๓ บันทึกเรื่องการปกครอง (๒๓ก.ค.-๑ส.ค.๒๔๖๙) พระราชหัตถเลขา ร.๗ ถึง ดร.ฟรานซิส บีแซร์
๕. กจช. เอกสารสมัย ร.๖ หมายเลข ก๑/๒ ลายพระหัตถเลขา เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกฯ ทูล ร.๖ วันที่ ๒๔๕๔
๖. กจช. เอกสาร ร.๗ สบ.๒.๔๗/๓๒ เล่ม ๓ บันทึกเรื่องการปกครอง (๒๓ก.ค.-๑ส.ค.๒๔๖๙) จดหมาย ร.๗ ถึง ดร.ฟรานซิส บีแซร์
ผู้สนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือเกี่ยวกับประวัติงาน ของเทียนวรรณ กx.ร.กุหลาบ เช่น ฟื้นอดีต ของ แถมสุข นุ่มนนท์


 ความขัดแย้งของพวกศักดินาปัจจุบัน เริ่มขึ้นเมื่อรัชกาลที่ ๗ สละราชสมบัติ เนื่องจากรัชกาลที่ ๗ ไม่มีพระอนุชา ไม่มีพระโอรสและธิดาตามกฎมณเฑียรบาลการสืบราชสันตติวงศ์ จะต้องกระทำโดยการสืบเชื้อพระวงศ์จากวงในสุดออกมา ซึ่งท่านแรกคือ ๑.พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ แต่เนื่องจากท่านมีแม่เป็นชาวรัสเซีย มีพระชายาเป็นชาวอังกฤษ เป็นการผิดกฎมณเฑียรบาล จึงไม่สามารถขึ้นมาเป็นกษัตริย์ได้ องค์ถัดมาคือ ๒.พระองค์เจ้าวรนนท์ธวัส แต่เนื่องจากมีพระชายาเป็นชาวตะวันตก จึงไม่ได้รับเลือกอีกเช่นกัน ตำแหน่งจึงตกมาอยู่กับพระองค์เจ้าอานันทมหิดลในที่สุด
อันที่จริงพระองค์เจ้าอานันทมหิดลและพระองค์เจ้าภูมิพล มีพ่อคือกรมหลวงสงขลานครินทร์กับนางสาวสังวาลย์ ตะละภัฏ ซึ่งเป็นหญิงสามัญชน ลูกพ่อค้าจีนขายก๋วยเตี๋ยวอยู่แถวท่าช้าง (ที่เขียนเช่นนี้มิได้มีเจตนาลบหลู่คนจีนหรืออาชีพชาวบ้าน เพียงแต่ชี้ให้เห็นว่า แท้จริงพวกเขาก็เป็นคนสามัญชนทั่วๆไปอย่างเราท่าน-ผู้เขียน) ลูกที่เกิดมาจึงมีศักดิ์เป็นเพียงหม่อมเจ้าเท่านั้น แต่เนื่องจากกรมหลวงสงขลาฯเป็นบิดาทางการแพทย์ สร้างคุณงามความดีไว้มาก รัชกาลที่ ๗ จึงโปรดเกล้าฯให้ลูกของกรมหลวงสงขลาเลื่อนฐานันดรศักดิ์เป็นพระองค์เจ้า เพื่อตอบแทนที่กรมหลวงสงขลาฯต้องสิ้นพระชนม์ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ในการบุกเบิกการแพทย์ไทย
เมื่อครั้งที่พระองค์เจ้าอานันทมหิดลเป็นกษัตริย์ พระองค์มีอายุเพียง ๙ พรรษาเท่านั้นและกำลังศึกษาอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์ รัชกาลที่ ๘ เมื่อทรงพระเจริญวัยขึ้น ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมามาก โดยเฉพาะความรู้ทางด้านการปกครอง ถึงแม้พระองค์จะได้ชื่อว่ามีเชื้อสายกษัตริย์ แต่ก็มีพระราชประสงค์ให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีการปกครองตนเอง อีกทั้งได้รับอิทธิพลจากการสละราชบัลลังก์ของรัชกาลที่ ๗ จึงมีพระราชดำริที่จะสละราชสมบัติและเลิกล้มระบบกษัตริย์ เพราะเห็นว่ายุคนี้การเป็นกษัตริย์นั้น เป็นการเอาเปรียบประชาชน และผู้ปกครองประเทศควรมาจากการเลือกตั้ง โดยพระองค์จะลงเล่นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยด้วยตนเอง เรื่องนี้ทำให้พระชนนีไม่พอพระทัยมาก จึงขัดแย้งกันขึ้น
เหตุการณ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ รัชกาลที่ ๘ ทรงเห็นด้วยกับความคิดในการปรับปรุงประเทศของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเคยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อยู่ระยะหนึ่ง โดยเฉพาะเค้าโครงเศรษฐกิจของชาติที่มีเนื้อหาการจัดระบบสหกรณ์ และการปฏิรูปที่ดินอย่างขนานใหญ่ทั่วประเทศ และเรื่องนี้กระทบกระเทือนผลประโยชน์ของพวกศักดินาอย่างรุนแรง เพราะพวกศักดินาเป็นเจ้าของที่ดินส่วนใหญ่ของประเทศไทย พวกศักดินาจึงใส่ร้ายหาว่า ดร.ปรีดี เป็นคอมมิวนิสต์
เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์หนุ่มที่เลือดรักชาติแรงกล้าและเห็นใจประชาชนเป็นพื้น จึงทรงออกนั่งตุลาการด้วยตนเอง ทั้งยังออกเยี่ยมประชาชนอยู่เนืองๆ เช่น คนจีนที่สำเพ็ง ซึ่งปรากฏว่าชาวจีนถวายความนับถือและจงรักภักดีมาก การออกเยี่ยมตามที่ต่างๆทำให้พระองค์ได้สัมผัสกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างแท้จริง ทำให้ความคิดของพระองค์ยิ่งขัดแย้งกับพวกศักดินามากขึ้นเป็นลำดับ
หม่อมสังวาลย์ อดีตนางพยาบาลที่ปรนนิบัติกรมหลวงสงขลาฯจนได้แต่งงานกัน มีความหลงใหลในเกียรติยศชื่อเสียงของตน นึกไม่ถึงว่าจะได้เป้นพระราชชนนี ซึ่งหมายถึงแม่ของกษัตริย์ ประมุขสูงสุดของประเทศ นางจึงขัดแย้งมากและยอมไม่ได้ที่รัชกาลที่ ๘ จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ อันหมายถึงเกียรติยศชื่อเสียงและผลประโยชน์จำนวนมหาศาล ที่จะดลบันดาลความสุขสบายแก่ตนเองและวงศ์ตระกูลไปตลอดชาติต้องอันตรธานในพริบตา นอกจากนี้ยังมีความขัดแย้งอื่นๆระหว่างแม่ลูกคู่นี้อีก กล่าวคือกรมหลวงสงขลาฯได้สิ้นพระชนม์ไปขณะนางสังวาลย์ยังสาวอยู่ นางจึงดำริจะแต่งงานใหม่ แต่ทว่ารัชกาลที่ ๘ ไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตามด้วยความต้องการทางเพศอันเป็นปกติของร่างกายในวัยสาว นางจึงได้มีสัมพันธ์สวาทกับฝรั่งชาติกรีกนายหนึ่งอย่างลึกซึ้ง และเมื่อรัชกาลที่ ๘ ทรงทราบเข้าก็เกิดการถกเถียงอย่างหนักในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นที่รู้กันในหมู่คนไทยที่ใกล้ชิดในเมืองโลซาน เรื่องนี้ทำให้นางสังวาลย์ไม่พอใจมาก
โดยธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อลูกคนใดคนหนึ่งเกิดความขัดแย้งกับพ่อหรือแม่ ก็จะมีลูกอีกคนหนึ่งเกิดความไม่พอใจกับลูกที่ขัดแย้งนี้ นี่ก็เช่นเดียวกัน ภูมิพลได้เข้าข้างแม่และไม่พอใจพี่ชาย หาว่ารัชกาลที่ ๘ เป็นลูกอกตัญญูประกอบกับตนเองมีปมด้อยทางร่างกายและอยู่ในวัยรุ่นด้วย จึงมีความคิดละอารมณ์วู่วาม ขาดความยั้งคิด ต้องการเด่นดังมีหน้ามีตาอย่างพี่ชายของตนบ้าง อีกทั้งได้แรงยุจากแม่ในเรื่องที่ขัดแย้งกับรัชกาลที่ ๘ ภูมิพลซึ่งเดิมเป็นเด็กที่อยู่ในโอวาท ขี้ประจบ หัวอ่อน ก็กลับกลายเป็นผู้ที่มีอารมณ์วู่วาม รุนแรงในบางครั้งกับคนที่ตนไม่พอใจ
โดยปกติวิสัยของรัชกาลที่ ๘ ชอบสะสมปืนมาก และมีปืนของรัชกาลที่ ๘ อยู่กระบอกหนึ่งซึ่งไกปืนอ่อนมาก ขณะเดียวกับภูมิพลชอบเอาปืนของรัชกาลที่ ๘ มาเล่น เช่น ไปจี้คนนั้นคนนี้ บางครั้งเอาปืนมาจ่อรัชกาลที่ ๘ ทำท่ายิงเล่นๆ จนผู้คนในวังเห็นเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว แต่แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดฝันก็ได้เกิดขึ้น
 
เมื่อเวลา ๘.๓๐ น. ของวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ ........... เสียงปืนดังขึ้น ๑ นัด จากห้องบรรทม ชั้นบนของพระที่นั่งบรมพิมาน ต่อจากนั้นอีกไม่กี่นาที นายชิต ยามมหาดเล็ก วิ่งหน้าตื่นไปทูลพระราชชนนีว่า “ในหลวงทรงยิงพระองค์”การสิ้นพระชนม์ของรัชกาลที่ ๘ นั้น ศาลอาญา, ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา สรุปตรงกันว่า เกิดโดยการลอบปลงพระชนม์ มิใช่การปลงพระชนม์เอง เพราะว่าแผลที่ทำให้พระองค์สวรรคตอยู่ที่หน้าผาก กระสุนทะลุออกทางท้ายทอย ซึ่งแสดงว่าไม่ใช่การฆ่าตัวตาย เพราะผู้ที่อัตตวินิบาตกรรม ส่วนมากจะยิงขมับและหัวใจเท่านั้น นอกจากนี้ นายแพทย์ใช้ ยูนิพันธ์ ยังให้ความเห็นว่า แผลของพระองค์เกิดจากการอัตตวินิบาตกรรมไม่ได้ เพราะวิถีกระสุนเฉียงลง รัชกาลที่ ๘ ผู้ที่ยิงตนเอง ต้องยกด้ามปืน หันปากกระบอกปืนลง เป็นของทำได้ยาก นอกจากนี้แผลยังแสดงว่าอุบัติเหตุที่เกิดโดยรัชกาลที่ ๘ เอง ก็ไม่มีทางเป็นไปได้เช่นกัน เพราะวิถีกระสุนมีลักษณะที่เห็นชัดว่าเกิดจากการตั้งใจทำของผู้ที่ยิง
ก่อนบอกว่าใครฆ่ารัชกาลที่ ๘ ต้องดูข้อมูลต่างๆดังนี้
 
๑. ผู้ที่ฆ่า มิใช่บุคคลอื่นที่อยู่นอกวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระที่นั่งบรมพิมาน เพราะว่าได้มีการจัดทหาร ตำรวจวัง ล้อมรอบพระที่นั่งอย่างเข้มงวด ตั้งแต่ประตูวังถึงองค์พระที่นั่ง คือถ้าเป็นกลางวัน ณ ที่ประตูเหล็กทางเข้าพระที่นั่งจะมีทหารยามรักษาการณ์ ส่วนพระที่นั่งชั้นบนมียามมหาดเล็ก ๓ จุด สำหรับชั้นล่างมียามตำรวจหลวงและยังมีทหารยามเฝ้าอยู่ที่เชิงบันไดส่วนที่จะขึ้นพระที่นั่งอีก(๑) เฉพาะที่บันไดใหญ่ทางขึ้นพระที่นั่งมียามถึง ๔-๕ คน(๒) ส่วนในเวลากลางคืนจะมียามอยู่ที่ชั้นบนตรงตำแหน่งที่สำคัญ ๒ จุดๆละ ๒ คน นอกจากนี้ยังมียามที่ชั้นล่างอีก(๓)
ตัวพระที่นั่งมีทางขึ้นชั้นบนที่ประทับของรัชกาลที่ ๘ อยู่ ๓ บันได ในจำนวนนี้อนุญาตให้คนขึ้น ลงตลอดวันเพียง ๑ บันได ปิดตาย ๑ บันได ส่วนอีก ๑ บันได เปิดเฉพาะเวลากลางวัน สำหรับบันไดที่เปิดตลอดเวลานั้น จะมียามเฝ้าในเวลากลางคืน(๔)  ยามเหล่านี้ล้วนเป็นมหาดเล็กที่คัดเลือกกันมาตามตระกูล ที่เชื่อได้ว่าจงรักภักดี สามารถสละชีพเพื่อกษัตริย์ได้ (ขนาดช่างตัดผมของรัชกาลที่ ๙ ทุกวันนี้ ก็ตัดผมกษัตริย์มาตั้งแต่บรรพบุรุษ) ย่อมไม่มีวันยินยอมปล่อยให้ผู้ร้ายภายนอก หลงหูหลงตาขึ้นไปชั้นบนพระที่นั่งเป็นอันขาด
จะเห็นได้ว่าถ้าไม่ใช่คนในพระที่นั่งบรมพิมานแล้วจะฆ่ารัชกาลที่ ๘ ไม่ได้เลย เพราะนอกจากไม่สามารถเล็ดลอดยามจำนวนมากขึ้นไปบนพระที่นั่ง ยังไม่สามารถหนีไปได้พ้นเมื่อยิงแล้ว เพราะเป็นที่ยอมรับกันว่า รัชกาลที่ ๘ สิ้นพระชนม์ในเวลา ๙ โมงเศษ ซึ่งในเวลานั้นจะมีผู้คนพลุกพล่านบนพระที่นั่งแล้ว เพราะอย่างน้อยที่สุด ชาววังจะทำความสะอาดตั้งแต่ ๖-๘ โมงเช้า(๕) ผู้ร้ายภายนอกจะไม่มีทางวิ่งหนีลงไปจากพระที่นั่งได้ เพราะเมื่อเสียงปืนดังสนั่นขึ้นแล้ว ทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกยามย่อมรู้ว่ามีเหตุร้าย จะคอยสังเกตดูความผิดปกติ แต่ปรากฏว่าพยานทุกคนที่เป็นยามให้การกับศาลว่า ไม่ปรากฏว่าผู้ใดเห็นร่องรอยผู้ร้ายวิ่งลงมาจากพระที่นั่งเลย

นอกจากประเด็นที่กล่าวแล้ว ควรพิจารณาต่อไปอีกว่า ในวันที่ ๘ มิ.ย. ๒๔๙๘ นั้น รัชกาลที่ ๘ เข้านอนเวลา ๓ ทุ่มเศษ และตื่นขึ้นมาในเวลาย่ำรุ่งวันที่ ๙ มิ.ย. ๒๔๙๘ หลังจากนั้นพระชนนีและมหาดเล็ก ๑ คน ได้ถวายน้ำมันละหุ่ง เพราะในวันที่ ๘ มิ.ย. พระองค์ท้องเดิน หลังจากนั้นก็หลับไปจนเวลา ๘ โมงเช้า จึงตื่นขึ้นไปเข้าห้องน้ำ แล้วกลับมานอนอีกราว ๑ ชม. เวลา ๙ โมงเช้าก็ถูกลอบปลงพระชนม์
หลังจากที่ถูกยิงแล้ว คณะแพทย์ส่วนใหญ่ได้ตรวจพระศพ และวินิจฉัยว่าแผลที่เกิดจากการยิงห่างจากหน้าผากไม่เกิน ๕ ซม.(๖) ซึ่งต่อมา นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ตรวจสอบบาดแผลเป็นพิเศษพบว่า ที่ตำแหน่งหน้าผากตรงที่ถูกยิงมีรอยกดของกระบอกปืนเป็นวงกลม แสดงว่าผู้ที่ยิงต้องเอาปืนกระชับยิงลงไปที่หน้าผาก
ทั้งนี้เมื่อตรวจมุ้งของรัชกาลที่ ๘ แล้ว ไม่ปรากฏว่ามีรอยทะลุ แสดงว่าผู้ร้ายต้องเลิกมุ้งออก แล้วจึงเอาปืนจ่อยิงในหลวง โดยที่ “ผู้ที่ยิงต้องเป็นคนรูปร่างสูง แขนยาว” จึงจะทำได้สะดวก เพราะจากขอบเตียงถึงบาดแผลมีระยะห่างกันถึง ๖๖ ซม. ถ้ารูปร่างเล็กแขนสั้นจะทำไม่ได้(๗) (ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าตลก ที่พวกศักดินาพยายามว่าร.ท.สิทธิชัย ชัยสิทธิเวชฆ่ารัชกาลที่ ๘ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะร.ท.สิทธิชัย เป็นคนรูปร่างเล็ก)
จะเห็นว่าถ้าผู้ร้ายเป็นบุคคลอื่น ซึ่งไม่สนิทสนมกับรัชกาลที่ ๘ มากๆแล้ว จะกระทำการดังกล่าวไม่ได้เลย เพราะเป็นการเสี่ยงภัยและไม่มีทางสำเร็จ เพราะพระองค์นอนตั้งแต่เวลา ๓ ทุ่มของวันที่ ๘ มิ.ย. จนตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าตรู่ของวันที่ ๙ มิ.ย. และเข้านอนถึง ๒ ระยะย่อมหลับไม่สนิท เพราะปกติในหลวงไม่เคยตื่นสายกว่า ๘.๓๐ น. เลย ดังนั้นถ้ามีคนเลิกมุ้งย่อมมีเสียง เพราะมุ้งมีเหล็กทับอยู่ ทำให้พระองค์รู้ตัวก่อนที่ผู้ร้ายจะทำการได้(๖)
นอกจากนี้ถ้ามีผู้ร้ายภายนอกแอบเข้าไปในห้องบรรทม ก็ต้องเข้าไปในเวลากลางคืนและยิงในเวลานั้นเลย เพราะปลอดคน ทั้งหนีสะดวก มิใช่รอจนเวลาเช้าจึงยิง อันจะทำให้ต้องแอบซ่อนตัวอยู่เป็นเวลานาน ซึ่งเป็นการเสี่ยงภัยมากกว่า และหากมีผู้ร้ายซ่อนตัวอยู่จริง ย่อมไม่อาจรอดสายตาพระชนนี และมหาดเล็กที่เข้าไปถวายน้ำมันละหุ่งให้รัชกาลที่ ๘ ได้
 
๒. ตามธรรมดานั้น ปรากฏในประวัติศาสตร์เสมอมาว่า มีพี่ฆ่าน้อง น้องฆ่าพี่ ลูกฆ่าพ่อ อาฆ่าหลาน หลานฆ่าอา และกระทั่งแม่ฆ่าลูกเพื่อชิงราชสมบัติ อาทิเช่น กรณีแม่เจ้าอยู่หัวศรีสุดาจันทร์ สมัยอยุธยาฆ่าพระแก้วฟ้า บุตรของตนเองเพื่อให้พันบุตรศรีเทพหรือขุนวรวงศาธิราชชู้รัก ได้เป็นกษัตริย์ ในเมื่อผู้ร้ายเป็นบุคคลภายนอกมิได้ ส่วนผู้ที่อยู่ในพระที่นั่งก็ล้วนจงรักภักดีและไม่ได้ประโยชน์จากการตายของรัชกาลที่ ๘ ผู้ที่น่าสงสัยที่สุดก็คือ รัชกาลที่ ๙ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากกรณีสวรรคต ทั้งในด้านลาภยศและทรัพย์ศฤงคาร อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะสรุปว่าเป็นคนลงมือฆ่าหรือไม่ ควรดูคำให้การของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สวรรคต ดังสรุปได้ดังนี้
 
ก. ห้องของรัชกาลที่ ๘ อยู่ทางตะวันออกของพระที่นั่งชั้นบน ส่วนห้องของรัชกาลที่ ๙ อยู่อีกฟากหนึ่งทางทิศตะวันตกมีระเบียงเชื่อมถึงกัน ข้างห้องรัชกาลที่ ๙ เป็นห้องพระชนนีซึ่งมีประตูติดต่อถึงกันได้

ภาพผังพระที่นั่งบรมพิมาน
 

ข. รัชกาลที่ ๙ ให้การว่าในวันนั้น ตนจะเข้าไปหาพี่ชายในเวลาประมาณ ๙ โมงเช้า ก่อนเกิดเสียงปืนไม่นานนัก พบนายชิต สิงหเสนีและนายบุศย์ มหาดเล็ก ซึ่งนั่งอยู่ที่ประตูห้องรัชกาลที่ ๘ เมื่อรู้ว่าพี่ชายยังไม่ตื่นจึงเดินกลับไปที่ห้องของตน เข้าๆ ออกๆ ระหว่างห้องตนกับห้องเล่นเครื่อง (ดูแผนที่) และในเวลาที่มีการยิงปืนนั้น ตนไม่ได้ยินเสียงปืนเลย จนเมื่อรู้เรื่องการยิงรัชกาลที่ ๘ จาก น.ส.จรูญ ตะละภัฏ แล้วจึงวิ่งไปที่ห้องบรรทม ซึ่งก็มีแม่และพระพี่เลี้ยงเนื่องอยู่ในห้องนั้น ก่อนหน้าที่ตนจะวิ่งเข้าไป
คำให้การนี้ ซึ่งก็สอดคล้องกับคำให้การของ น.ส.จรูญ ตะละภัฏ ข้าหลวงพระชนนี (เป็นญาติพระชนนีด้วยเพราะนามสกุลเดียวกัน) ที่อ้างว่า พอตนได้ทราบจากนายสาธิตว่า รัชกาลที่ ๘ ถูกยิงก็วิ่งไปที่ห้องบรรทม พบรัชกาลที่ ๙ อยู่ที่ประตูห้องบันไดเล็ก(ซึ่งมีประตูติดต่อกับห้องเล่นเครื่อง) จึงแจ้งให้รู้ว่าในหลวงสวรรคต แล้วพากันวิ่งไปที่ห้องบรรทมด้วยกัน โดยมีรัชกาลที่ ๙ วิ่งนำหน้าไป
 
ค. คำให้การของรัชกาลที่ ๙ มีพิรุธมากเพราะ
ค.๑ ทุกคนที่อยู่ในพระที่นั่งได้ยินเสียงปืนดังสนั่น ทั้งชั้นล่างและชั้นบน มีแต่รัชกาลที่ ๙ และพระชนนีเท่านั้นที่ไม่ได้ยินเสียงปืน
ค.๒ จากคำให้การของนายฉลาด เทียมงามสัจ ซึ่งยืนอยู่ในบริเวณห้องเสวยพระกระยาหาร อันเป็นจุดที่สามารถและเห็นการเคลื่อนไหวหน้าห้องบรรทมได้หมดนั้น นายฉลาดให้การว่ารัชกาลที่ ๙ วิ่งเข้าไปในห้องบรรทมก่อนพระพี่เลี้ยงเนื่อง จินตะดุลย์ ไม่ตรงกับคำให้การของรัชกาลที่ ๙ ที่ว่าเข้าไปในห้องหลังพระพี่เลี้ยงเนื่อง จินตะดุลย์
ค.๓ พระพี่เลี้ยงเนื่อง จินตะดุลย์ นักเรียนพยาบาลรุ่นเดียวกับพระชนนี ให้การว่า ตนอยู่ในห้องรัชกาลที่ ๙ ๒๐ นาที ก่อนมีเสียงปืน และไม่พบรัชกาลที่ ๙ ในห้องนั้นเลย แสดงว่ารัชกาลที่ ๙ อ้างว่าตนเองเข้าๆ ออกๆ ระหว่างห้องนอนของตนกับห้องเล่นเครื่อง ย่อมเป็นการโกหก นอกจากนี้พระพี่เลี้ยงเนื่องยังให้การต่อไปอีกว่า เมื่อได้ยินเสียงปืนแล้ว ก็รีบวิ่งไปยังห้องบรรทม ผ่านห้องเครื่องเล่นแต่ไม่พบรัชกาลที่ ๙ ในห้องนั้น แสดงว่าข้ออ้างของรัชกาลที่ ๙ ที่ว่าอยู่ในห้องเล่นเครื่องก่อนหน้าเหตุการณ์สวรรคต ก็ไม่เป็นจริง เพราะถ้าเป็นอย่างนี้จริง ขณะที่พี่เลี้ยงเนื่องวิ่งผ่านห้องเล่นเครื่องนั้น จะต้องแลเห็นรัชกาลที่ ๙ เพราะรัชกาลที่ ๙ เองก็ยังอ้างว่า ตนวิ่งไปยังห้องบรรทมหลังพี่เลี้ยงเนื่อง
ค.๔ รัชกาลที่ ๙ และน.ส.จรูญ ตะละภัฏญาติพระชนนี อ้างว่า ตนวิ่งไปที่ห้องบรรทมด้วยกัน แต่นายฉลาด เทียมงามสัจ ซึ่งอยู่นอกห้องบรรทมและเห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดให้การว่า ไม่เห็นน.ส.จรูญเข้าไปในห้องบรรทมเลย (น่าสังเกตว่าคำให้การของน.ส.จรูญนี้ เชื่อถือไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะน.ส.จรูญอ้างว่า ตนอยู่ในห้องพระชนนีก่อนเสียงปืนดัง แต่พยานอื่นที่อยู่ในห้องขณะนั้นให้การเป็นอย่างอื่น)
ค.๕ รัชกาลที่ ๙ บอกให้กรมขุนชัยนาทฯ ฟังว่า ขณะที่ผู้ร้ายยิงปืนนั้น ตนเองอยู่ในห้องของตน(๙) ซึ่งเป็นเรื่องเท็จอย่างเห็นได้ชัด เพราะขัดแย้งกับคำให้การของพี่เลี้ยงเนื่อง จินตะดุลย์ ซึ่งอยู่ในห้องของพระองค์ในขณะนั้น
ค.๖ นายเวศน์ สุนทรวัฒน์ มหาดเล็กหน้าห้องรัชกาลที่ ๙ ให้การว่า แม้ห้องนอนของรัชกาลที่ ๙ มีประตูติดกับห้องเครื่องเล่น แต่ประตูนี้ปิดตายตลอดเวลา ถ้ารัชกาลที่ ๙ ต้องการจะเข้าห้องเครื่อง จะต้องเข้าทางประตูด้านหน้าของห้องเครื่อง มิใช่เข้าทางประตูด้านหลังซึ่งติดต่อกับห้องของรัชกาลที่ ๙
 
จึงเห็นได้ว่า ข้ออ้างที่รัชกาลที่ ๙ โกหกว่าตนเข้าๆ ออกๆระหว่างห้องเครื่องกับห้องนอนตนเองนั้นเป็นเท็จ
 
ง. เราสามารถสรุปได้ว่า รัชกาลที่ ๙ ให้การเท็จ พยายามอ้างว่าตนอยู่ไกลสถานที่เกิดเหตุที่สุด และไปถึงห้องบรรทมคนสุดท้าย โดยร่วมมือกับบุคคลอื่น เช่น น.ส.จรูญ ตะละภัฏ เป็นต้น
โดยข้อมูลนี้ เราจะเห็นได้ว่า เมื่อรัชกาลที่ ๙ กินข้าวเช้าอิ่ม ก็ได้เดินไปถึงหน้าห้องบรรทมของรัชกาลที่ ๘ ก่อนเสียงปืนไม่นานนักและเข้าไปในห้องนั้น โดยที่นายชิตและบุศย์มิได้ห้ามปราม เพราะตามคำให้การของพระพี่เลี้ยงเนื่องนั้น ปรากฏว่าพี่น้องคู่นี้นั้น ถ้าผู้ใดตื่นก่อน มักจะเข้าไปยั่วเย้าอีกคนหนึ่งให้ตื่น ฉะนั้นนายชิตและบุศย์ ย่อมไม่สงสัยว่าเหตุใดรัชกาลที่ ๙ จึงเข้าไปในห้องรัชกาลที่ ๘
เมื่อเข้าไปในห้องรัชกาลที่ ๘ แล้วก็เอาปืนของรัชกาลที่ ๘ นั้นเอง ถือเดินไปที่พระแท่น เลิกมุ้งขึ้นแล้ว “บุรุษร่างสูง แขนยาว” ผู้นี้ก็เอาปืนจ่อยิงรัชกาลที่ ๘ ขณะที่รัชกาลที่ ๘ ยังไม่ทันรู้ตัวว่าจะถูกฆ่า
ถ้าจะถามว่ารัชกาลที่ ๘ ไม่รู้ตัวในเวลาที่น้องชายเลิกมุ้งหรือ
ตอบได้ว่า จะรู้หรือไม่ ก็ไม่สำคัญ เพราะพี่ชายย่อมไม่ระแวงน้องชาย นอกจากนี้ ทั้งคู่ก็มักจะใช้ปืนล้อผู้อื่นอยู่แล้ว พระพี่เลี้ยงเนื่องให้การว่า บางครั้งทั้งคู่จะใช้ปืนจี้ล้อพวกฝ่ายใน เช่น ท้าวสัตยา นางสาวจรูญ นางสาวทัศนียาและพระพี่เลี้ยงเนื่อง บางครั้งถึงกับเอาปืนเข้าไปใกล้ๆ ยกขึ้นเล็งไปยังคนเหล่านั้น ฉะนั้นแม้รัชกาลที่ ๘ จะเห็นรัชกาลที่ ๙ ถือปืน ก็ไม่มีวันระแวง
ปัญหาสุดท้ายก็คือ จะเป็นเรื่องอุบัติเหตุได้หรือไม่
ไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุ เพราะถ้ารัชกาลที่ ๙ เอาปืนล้อรัชกาลที่ ๘ แม้จะเล็งปืนเข้าไปใกล้เพียงใด ก็ไม่น่าจะถึงกับเอาปืนจ่อกระชับเข้าไปที่หน้าผากเป็นอันขาด (ตามการตรวจแผลของนายแพทย์สุด แสงวิเชียร) เพราะทรงย่อมรู้เหมือนกับคนอื่นทั่วไปว่า ปืนกระบอกนั้นไกอ่อน ถ้ากระชับปืนเข้าที่หน้าผากขนาดนั้น ย่อมเป็นการเสี่ยงภัยจนเกินไป
สำหรับปัญหาเกี่ยวกับพยานหลายคน เช่น นายชิต นายบุศย์ และนายฉลาด เทียมงามสัจ ที่ให้การตรงกันว่า รัชกาลที่ ๙ ไม่ได้เข้าไปในห้องบรรทม เชื่อไม่ได้เลยหรือ
ตอบได้ว่า เชื่อไม่ได้ คนเหล่านี้ล้วนให้การเท็จ เพราะสำหรับนายฉลาดนั้น เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการโกหกของตนเอง นายฉลาดยอมรับในศาลว่า ตั้งแต่ถูกเรียกตัวไปสอบสวนก็ได้เบี้ยเลี้ยงจากสันติบาลวันละ ๓ บาท นอกจากนี้หลังจากที่ถูกปลดจากสำนักราชวัง ฐานหย่อนความสามารถ เมื่อเดือน ม.ค.๒๔๙๑ ก็ยังได้รับการบรรจุเข้าทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยความสนับสนุนของพนักงานสอบสวน ข้อที่ชี้ชัดได้ว่านายฉลาดโกหกก็คือ การที่นายฉลาด บอกว่าไม่เห็นผู้ร้ายวิ่งออกจากห้องบรรทมเลย นี่เป็นการโกหกชัดๆ เพราะเมื่อมีการปลงพระชนม์เกิดขึ้นแล้ว ผู้ร้ายที่ไหนจะยอมอยู่เป็นเหยื่อในห้องบรรทม จะต้องวิ่งหนีออกจากห้องนั้น
ส่วนนายชิตกับนายบุศย์นั้น ตกอยู่ในฐานะน้ำท่วมปาก พูดมากไม่ได้ เพราะการฟ้องร้องคดีสวรรคตนี้เกิดขึ้นหลังจากที่พวกทหารก่อรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลเลือกตั้ง ผลจากรัฐประหารทำให้พระพินิจชนคดี พวกศักดินาได้เป็นอธิบดีกรมตำรวจ และดำเนินการสอบสวน นายชิตเองถูกฉีดยาให้เคลิบเคลิ้ม ถูกขู่เข็ญสารพัด(๑๐) ทั้งคู่รู้ดีว่า พวกศักดินาและพระพินิจฯ จะต้องเล่นงานพวกนายปรีดี พนมยงค์ให้ได้ โดยใช้กรณีสวรรคตเป็นเครื่องมือ ฉะนั้นถึงตนพูดความจริง ก็ไม่มีประโยชน์ ซ้ำจะเป็นอันตรายถึงครอบครัว เพราะทั้งคู่รู้ดีว่า สมัยนั้นมีการใช้อำนาจเผด็จการรัฐประหารอย่างป่าเถื่อน เช่น ยิงทิ้ง จับกุมคุมขังและทรมานผู้บริสุทธิ์อย่างไรบ้าง จึงยอมสงบปาก หวังที่จะได้รับความเมตตาของศาล และอย่างน้อยที่สุด ทั้งคู่น่าจะได้รับคำรับรองจากศักดินาว่า ถ้าศาลตัดสินประหารชีวิต รัชกาลที่ ๙ จะให้อภัยโทษ ไม่ต้องถูกประหารชีวิตและทางครอบครัวจะได้รับการเลี้ยงดู
เป็นที่น่าเสียใจที่ นายชิตและนายบุศย์ไม่ได้รับความปรานีจากศักดินา หลังจากที่เขาถูกตัดสินประหารชีวิต แม้จะถวายฎีกา แต่รัชกาลที่ ๙ ยกฎีกาเสีย จอมพล ป. เล่าให้ลูกชาย (พล.ต.อนันต์ พิบูลย์สงคราม) ฟังว่าตนเอง “....ได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึง ๓ ครั้ง...” (๑๐) แต่รัชกาลที่ ๙ ไม่ยอมให้ผู้ที่รู้ความลับของตนมีชีวิตต่อไป จึงยกฎีกาเสีย
อย่างไรก็ดี ศักดินาใหญ่ก็ฉลาดพอที่จะส่งเงินอุดหนุนจุนเจือ ครอบครัวผู้ถูกประหารชีวิตเสมอมา เพื่อป้องกันมิให้ครอบครัวผู้สิ้นชีวิตโวยวาย ซึ่งเรื่องนี้ นายปรีดี พนมยงค์ได้เปิดโปงไว้ในคำฟ้องคดีที่นายชาลี เอี่ยมกระสิทธ์ หมิ่นประมาทนายปรีดีว่า ครอบครัวผู้ตายได้รับการช่วยเหลือทางการเงินจากพระราชวงศ์องค์หนึ่ง ซึ่งพวกศักดินาก็ไม่กล้าโต้ตอบแต่อย่างใด
 
จ. ในเมื่อหลักฐานพยานแวดล้อมต่างผูกมัดว่า รัชกาลที่ ๙ ฆ่ารัชกาลที่ ๘ เช่นนี้ทำไมศาลไม่พิพากษาเอาตัวไปลงโทษ
ที่เป็นเช่นนี้ ขณะนั้น อำนาจมืดอันเกิดจากการรัฐประหารด้วยปืนแผ่ซ่านไปทั่ว มีความพยายามที่จะปกป้องรัชกาลที่ ๙ และโยนบาปไปให้พวก ดร.ปรีดี โดยการใช้วิธีการทุกอย่าง เช่น
จ.๑ สร้างพยานเท็จ นอกจากที่กล่าวแล้ว ยังมีการสร้างพยานเท็จว่า ดร.ปรีดีและพวก ปรึกษากันว่าจะฆ่ารัชกาลที่ ๘ ที่บ้านพระยาศรยุทธเสนี โดยมีนายตี๋ ศรีสุวรรณ เป็นผู้ล่วงรู้ความลับนี้ เรื่องโกหกพรรค์นี้ แม้ศาลก็ไม่กล้าเชื่อ ในภายหลัง นายตี๋ ศรีสุวรรณ ยอมรับกับท่านปัญญานันทะ ภิกขุว่าตนให้การเท็จ
นอกจากนี้ยังมีนายวงศ์ เชาวนะกวี ให้การว่าได้ยินนายปรีดีพูดกับตนว่า ต่อไปนี้นายปรีดีจะไม่ป้องกันราชบัลลังก์ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ เพราะนายวงศ์มิใช่ผู้ที่สนิทชิดเชื้อกับนายปรีดี พอที่นายปรีดีจะพูดความลับ อันเป็นความเป็นความตายด้วย
จ.๒ มีการทำลายหลักฐานต่างๆที่จะผูกมัดรัชกาลที่ ๙ ในภายหลัง เช่น พระชนนีสั่งให้พระพี่เลี้ยงเนื่อง ทำความสะอาดพระศพ แล้วยังให้หมอนิตย์ เย็บบาดแผล ทั้งที่พระชนนีเป็นพยาบาลมาก่อน ย่อมรู้ดีว่า ควรจัดการอย่างไรกับศพที่มีเค้าว่าจะถูกฆาตกรรม
นอกจากนี้ยังมีการผลัดเสื้อผ้าพระศพ โดยเฉพาะหมอนนั้นถูกนำไปฝัง หลังรัชกาลที่ ๘ สวรรคตไปแล้ว ๑๐ วัน ซึ่งพระยาชาติเดชอุดม เลขาธิการพระราชวังให้การว่าจะทำเช่นนี้ได้ต้องมี ”ผู้ใหญ่สั่ง” แน่นอนผู้ที่ใหญ่กว่าเลขาธิการพระราชวัง ในวังหลวงนั้นเห็นจะมีแต่พระชนนี หาไม่ก็รัชกาลที่ ๙ เท่านั้น
ที่ร้ายกว่านี้คือ มีการเคลื่อนย้ายพระศพรัชกาลที่ ๘ ออกไปและมีผู้ยกเอาพระศพไปไว้บนเก้าอี้โซฟาแทน(๑๑) การแตะต้องพระบรมศพนั้น มิใช่ว่าจะกระทำได้ง่ายๆ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้านายผู้ใหญ่ก่อนเท่านั้น
จ.๓ เมื่อรัฐบาลพลเรือนชุดก่อนที่จะถูกรัฐประหาร จะชันสูตรพระศพรัชกาลที่ ๘ กลับถูกคัดค้านจากกรมขุนชัยนาทและพระชนนีจนกระทำไม่ได้(๑๒)
จ.๔ แม้แต่ศาลฎีกา ก็พยายามช่วยเหลือรัชกาลที่ ๙ และโยนความผิดให้ผู้อื่น ดังจะเห็นได้ว่า
จ.๔.๑ มีเพียงสองคนเท่านั้นในคดีนี้ ที่ไม่ได้รับการตรวจพิสูจน์เขม่าปืนที่มือ คือพระชนนีกับร.๙ เมื่อปรากฏว่ามีนายตำรวจคนหนึ่งเสนอให้ทำการพิสูจน์ด้วย ผลต่อมาปรากฏว่านายตำรวจผู้นั้นถูกสั่งปลดออกจากราชการ
จ.๔.๒ ศาลหลีกเลี่ยงไม่ยอมปฏิบัติตามมาตรา ๑๗๒ และ ๑๗๒ ทวิ แห่งประมวลวิธีความอาญาซึ่งกำหนดว่า การซักค้านพยาน อันจะเกิดความเสียหายต่อจำเลย ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย ศาลกลับเดินเผชิญสืบพระชนนีและรัชกาลที่ ๙ ที่สวิสเซอร์แลนด์ ในวันที่ ๑๒ และ ๑๕ พ.ศ. ๒๔๙๓ โดยไม่ยอมให้จำเลยและทนายไปซักค้านด้วย แม้พระชนนีและรัชกาลที่ ๙ ให้การสับสน ทนายจำเลยก็ซักค้านไม่ได้
การซักค้านรัชกาลที่ ๙ และพระราชชนนีโดยอัยการ คราวนี้ได้กระทำอย่างขอไปที อย่างน่าเกลียด ทั้งที่รัชกาลที่ ๙ เป็นผู้ที่น่าสงสัยที่สุด ในฐานะที่ได้รับประโยชน์จากการตายของรัชกาลที่ ๘ แต่ผู้เดียว อัยการกลับซักถามรัชกาลที่ ๙ เพียงไม่กี่คำ และเลี่ยงที่จะไต่ถามในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญ นอกจากนี้ศาลฎีกายังหลีกเลี่ยงไม่ยอมปฏิบัติตามมาตรา ๒๐๘ และ ๒๐๘ ทวิ และ ๒๒๕ แห่งประมวลวิธีความอาญา เพราะว่าตามปกตินั้น คดีสำคัญๆจะต้องนำไปให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาวินิจฉัย แต่คดีสวรรคตเป็นคดีที่สำคัญกว่าคดีทั้งปวงในประวัติศาสตร์ ที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกากลับไม่ได้วินิจฉัย มีเพียงผู้พิพากษา ๕ คนเท่านั้น ที่เป็นผู้ตัดสินคดี ที่คณะศาลฎีกาไม่ยอมเอาคดีนำขึ้นสู่ที่ประชุมใหญ่ ก็เพราะไม่อยากให้ผู้ที่จับได้ไล่ทัน คัดค้านนั่นเอง
จ.๔.๓ เพื่อให้ความผิดพ้นจากตัวรัชกาลที่ ๙ ศาลฎีกาถึงกับประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์อย่าง นายเฉลียว ปทุมรส ซึ่งคนผู้นี้ ศาลฎีกาไม่สามารถกล่าวออกมาได้ว่า เกี่ยวข้องกับคดีสวรรคตอย่างไร นอกจากอ้างซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า มีความใกล้ชิดกับนายปรีดี เช่น ยืนตามคำให้การของ “นายรวิ ผลเนืองมา” ว่านายเฉลียว จัดรถพระที่นั่งของรัชกาลที่ ๘ ให้นายปรีดีใช้ ขณะที่รัชกาลที่ ๘ อยู่ที่หัวหิน อันเป็นการแสดงความไม่จงรักภักดี (ซึ่งเป็นคำให้การเท็จเพราะขณะนั้นนายปรีดีก็อยู่ที่หัวหินด้วย) ไม่ว่านายเฉลียวจะใกล้ชิดกับนายปรีดี หรือมีความจงรักภักดีกับรัชกาลที่ ๘ มากน้อยเพียงใด การประหารชีวิตนายเฉลียว ก็เป็นบาปอันมหันต์ของศาลฎีกาชุดนั้น เพราะกระทั่งฆาตกร ศาลก็วินิจฉัยไม่ได้ว่าใครเป็นผู้กระทำ ศาลกลับให้ฆ่านายเฉลียว เพียงเพราะนายเฉลียวใกล้ชิดกับนายปรีดี
เมื่อการสะสางคดีนี้จบลง โดยการมีแพะรับบาป ต้องคำพิพากษาประหารชีวิต ๓ คนคือ นายชิต สิงหเสนี นายบุศย์ ปัทมศริน นายเฉลียว ปทุมรส ส่วนรัชกาลที่ ๙ ก็ได้ทรงหนีไปอยู่ต่างประเทศชั่วคราวระยะหนึ่งจึงเสด็จกลับ เพื่อเป็นการหนีเสียงครหานินทาของประชาชน โดยวางหมากให้แม่เป็นผู้ออกรับแทน
ก่อนที่คนทั้ง ๓ จะถูกประหารชีวิต คนหนึ่งได้ขอพบเผ่า ศรียานนท์เป็นการส่วนตัว และได้พูดคุยกับเผ่าเป็นการลำพังประมาณ ๑๐ นาที เมื่อหนังสือพิมพ์ได้ถามหลังการประหาร ๓ คนนั้นแล้ว ว่าได้คุยเรื่องอะไรกันบ้าง เผ่าไม่ยอมตอบ แน่นอนเผ่าจะต้องรู้ว่า ใครเป็นฆาตกรโหดในกรณีดังกล่าวและไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า เผ่าจะไม่ได้บอกเพื่อนสนิทให้รู้ความลับนี้ ในจำนวนเหล่านั้นมี แปลก สฤษดิ์และประภาสรวมอยู่ด้วย
การกำจัดรัชกาลที่ ๘ นั้น นับว่าเป็นการยิงทีเดียวได้นก ๒ ตัว เพราะนอกจากรัชกาลที่ ๙ จะจัดการกับรัชกาลที่ ๘ ได้แล้ว ยังได้กำจัด ดร.ปรีดี ซึ่งเป็นต้นตอทำลายผลประโยชน์ของพวกกลุ่มศักดินาอีกด้วย อีกทั้ง ดร.ปรีดีจะรู้อะไรมากไปสักหน่อย สมควรที่จะถูกทำลายลงเสียที ฉะนั้นเมื่อสิ้นเสียงปืนไม่นาน ปรีดีต้องลี้ภัยทางการเมืองไป ตั้งแต่ปี ๒๔๙๑ จนถึงปัจจุบัน
ข้อน่าสังเกตประการหนึ่ง ซึ่งเพิ่งถูกค้นพบในระยะหลังๆคือ เมียของ ร.ท.สิทธิชัย ชัยสิทธิเวชผู้ถูกระบุว่าเป็นมือปืน แล้วหนีตาม ดร.ปรีดีไปอยู่เมืองนอก ชื่อชะอุ่ม กลับได้รับตำแหน่งหัวหน้าแม่ครัวในวังสวนจิตรลดาตราบเท่าทุกวันนี้ ลูกทุกคนได้รับการส่งเสียให้เงินทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ และตัว ร.ท.สิทธิชัยเองก็กลับมาอยู่อาศัยที่ลาดพร้าว ซอย ๑๐๑ อย่างสุขสบาย โดยที่เจ้าตัวไม่ต้องทำมาหากินแต่อย่างใด หากเขาเป็นฆาตกรจริง ทำไมรัชกาลที่ ๙ จึงยังทรงไว้วางพระทัยในตัวแม่ครัวปัจจุบัน และเหตุใดจึงไม่ให้มีการลงโทษตามตัวบทกฎหมาย เช่นเดียวกับที่เคยเล่นงานนายชิตและนายบุศย์
หลักฐานจากผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สวรรคตที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ได้ชี้อย่างเด่นชัดว่า ฆาตกรผู้ฆ่ารัชกาลที่ ๘ อย่างเลือดเย็นนั้น จะเป็นผู้อื่นมิได้เลย นอกจากรัชกาลที่ ๙ มหาราชองค์ปัจจุบัน
        
๑. คำให้การพระยาชาติเดชอุดม (พยานโจทก์) คดีสวรรคต
๒. คำให้การของนายเวช สุนทรรัตน์ (มหาดเล็กหน้าวัง)
๓. คำให้การของนายมังกร ภมรบุตร (มหาดเล็กในฐานะพยานโจทก์)
๔. คำให้การของพระพี่เลี้ยงเนื่อง
๕. คำให้การของพระพี่เลี้ยง (พยานโจทก์)
๖. คำวินิจฉัยของศาลกลางเมือง
๗. คำให้การของนายแพทย์นิตย์ เวชวิศิษฐ์ ผู้ตรวจศพ
๘. คำวินิจฉัยของศาลกลางเมือง
๙. คำให้การของกรมขุนชัยนาทฯ
๑๐. พล.ท.อนันต์ พิบูลย์สงคราม จอมพล ป.พิบูลสงคราม เล่ม ๕ หน้า ๖๘๗
๑๑. คำให้การ พระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร
๑๒. คำให้การหมอนิตย์และคำให้สัมภาษณ์ของ มจ.สกลวรรณกร วรวรรณ ต่อ นสพ.เสียงไทย วันที่ ๒๘ มิ.ย. ๒๔๘๘