söndag 30 september 2018

ถ้าตู่ติดกับ :คอลัมน์ ใบตองแห้ง


ถ้าตู่ติดกับ:ใบตองแห้ง

ไม่ทันข้ามวันหลังท่านผู้นำประกาศ “สนใจการเมือง” เพจช่องวันเปิดโหวต “เลือก-ไม่เลือก” ใน 24 ชั่วโมง มีคนโหวตล้นหลาม 350,000 คน ผลออกมาน่าสยอง ไม่อยากบอก สำนักข่าวอื่นทำบ้าง ก็ได้เปอร์เซ็นต์ไล่เลี่ยกัน จนบางช่องต้องเปลี่ยนวิธีการ ให้โหวตผ่านหน้าจอด้วย SMS ครั้งนี้ยิ้มได้ ชนะถล่มทลาย 93% จาก 6 พันกว่าคน
ก็อาจเป็นไปได้ว่า กลุ่มเป้าหมายต่างกันสิ้นเชิง ไม่สามารถชี้วัดอะไร แบบเดียวกับโพล มช. ผลออกมาขำๆ เนติวิทย์ยังชนะเจ๊ปู ซึ่งคะแนนเท่าลุงตู่พอดี นิด้าโพลก็ไม่รู้หลอกให้ใครดีใจหรือเปล่า ลุงนำโด่งเกือบ 30% แต่พรรคที่หนึ่งกลับเป็นเพื่อไทย ถ้ารวมอนาคตใหม่พุ่งไปถึง 45%
การเลือกตั้งยังไม่เริ่ม ยังไม่เห็นตัวเลือกชัดเจน ยังเก็งไม่ได้หรอกใครชนะ แต่พูดได้ว่า เลือกตั้งครั้งนี้เก็งยาก เพราะคนไทยไม่ได้เลือกตั้งนาน 8 ปี ทุกอย่างเปลี่ยนเยอะมากจากปี 54 ทั้งกติกาใหม่ บัตรใบเดียว พรรคการเมืองใหม่ ผู้เล่นใหม่ แบบลุงนี่ไง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็มีคนรุ่นใหม่ 7 ล้านคน แถมสังคมยังเปลี่ยนสู่ยุคออนไลน์

แต่นักการเมืองทั้งหลายก็เต็มใจจะเสี่ยง เพราะไม่มีทางเลือก ไม่มีอะไรให้เสียมากไปกว่านี้ คำถามคือท่านผู้นำล่ะ การลงทุนมีความเสี่ยง ท่านพร้อมจะเสี่ยงไหม ถ้าแพ้แล้วจะ เสียอะไร
แน่ละ ภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญ 2560 ส.ว.แต่งตั้ง 250 คน 6 ผบ.เหล่าทัพนั่งควบกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ องค์กรอิสระตั้งไปจาก สนช.ชุดนี้ กลไกต่างๆ ที่พร้อมจะจัดการนักการเมือง เป็นเสมือนใบรับประกันขั้นต้น ว่านักการเมืองไม่มีทางเป็นรัฐบาลได้ โดยเฉพาะฝ่ายที่ไม่พึงปรารถนา
ใบรับประกันนี้ ยังเป็นเครื่องมือหาเสียงทางอ้อมด้วยว่า ถ้าไม่อยากให้บ้านเมืองวุ่นวาย ถ้าไม่อยากให้เศรษฐกิจพินาศฉิบหาย ก็อย่าเลือกไอ้พวกนี้เข้ามา
มิพักต้องพูดถึงว่า นี่เป็นการเลือกตั้งใต้ ม.44 ที่ คสช.มีอำนาจเหนือ กกต. ที่ทหาร ตำรวจ กอ.รมน. ผู้ว่าฯ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ยังรักษาความสงบ พร้อมกับขับเคลื่อนประชารัฐไทยนิยมทุกพื้นที่
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีช่องว่าง ในเมื่อการไปต่อ ยังต้องอิงความชอบธรรมของการเลือกตั้ง ซึ่งไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องยอมให้มีการแข่งขัน ช่วงชิงความนิยม ดีเบต ทำโพล วัดคะแนนเสียง

ถ้าไม่ลงแข่งขัน อย่างยุคป๋าเปรม รอให้พรรคการเมืองไปเชิญ ก็ไม่ต้องวัดความนิยมกับใคร แต่นี่ เมื่อเอาตัวเองลงไปแข่ง นอกจากลงไปเสี่ยง ยังจะถูกจ้องจับว่า เอาเปรียบคนอื่นในฐานะผู้อยู่เหนือกติกาหรือเปล่า
ความเสี่ยงของท่านผู้นำมี 3 ด่านพร้อมกันคือ หนึ่ง ถ้าท่านลงสนาม โดยยอมให้พรรคการเมือง สมมติเช่นพรรคพลังประชารัฐ เสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ 1 ใน 3 โดยไม่ต้องลาออก ต่อให้ได้เปรียบทุกอย่าง พรรคนั้นจะฝ่าฟันได้คะแนนเสียงเท่าใด ถึงจะพอไม่อายหน้า สามารถเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล ท่ามกลางการเลือกตั้งที่บอกแล้วว่าเก็งยาก อย่างน้อยก็แข่งกัน 3 ก๊กกับสองพรรคใหญ่
สอง เมื่อท่านกลายเป็นแคนดิเดต จะปฏิเสธการเปรียบเทียบได้อย่างไร ต่อให้ไม่ยอมดีเบต สังคมก็จะดีเบตโดยปริยาย เลือกไม่เลือกลุงตู่ อยู่มาสี่ปีมีข้อดีข้อเสียแค่ไหน ฯลฯ เข้าใจตรงกันนะ ถึงจะเลือกตั้งใต้ ม.44 บรรยากาศก็ไม่เหมือนสี่ปี ที่ทุกคนเก็บปากเก็บคำ บรรยากาศเลือกตั้งจะเป็นเสมือนปลาอานนท์พลิกตัว ความอัดอั้นจะทะลักถล่มทลาย จะเอาคนเข้าค่ายปรับทัศนคติก็คงไม่หวาดไม่ไหว
ถ้าใช้อำนาจปิดกั้นก็เข้าข้อสาม เอาเปรียบกันหรือเปล่า เป็นแคนดิเดตทำไมวิจารณ์ไม่ได้ พรรคที่ท่านจะไปแปะชื่อ หาเสียงพลังดูดเอาเปรียบคนอื่นไหม ทำไมจู่ๆ ใช้ ม.44 ตั้งสนธยา คุณปลื้ม เป็นนายกเมืองพัทยา ฯลฯ
นี่ยังแค่เริ่มต้น เดี๋ยวจะมาอีกเพียบ คนจ้องจับอีกเยอะ พูดง่ายๆ ทันใดที่ลุงตู่ประกาศ “สนใจการเมือง” ก็กลายเป็นตู่ล่อเป้า นับแต่นี้ถึงธันวาฯยังเป็นแค่ยกชิมลาง หลังประกาศพระราชกฤษฎีกาถ้าท่านเอาจริง จะเป็นวาระรุมบ้อม ซ้ายขวาหน้าหลัง จากทุกฝ่ายที่จองกฐินมานาน
จะบอกว่าคิดผิดคิดใหม่ก็ไม่ได้ เพราะลุงป้อมบอกแล้ว กลัวรัฐประหารเสียของ จำเป็นต้องเสี่ยง ด้วยเดิมพันที่สูงมาก ถ้าสืบทอดอำนาจไม่ได้ ระบอบรัฐธรรมนูญ 2560 ก็รวนทั้งพวง หรือถ้าชนะแบบบอบช้ำ ชนะแบบถูกครหา ไม่สง่างาม ก็ไปต่อลำบาก

ดูดีๆ นี่ก็เหมือนหลุม หรือกับดัก ที่รู้ชัดๆ ว่าเสี่ยง แต่ต้องโดดลงไป

รายการ สหพันธรัฐไท กับสามทหารเสือ ตอน : งบกลางก็คืองบกิน..



รายการ สหพันธรัฐไท กับสามทหารเสือ
ตอน : งบกลางก็คืองบกิน
วันอาทิตย์ 30 กันยายน 2561 เวลา 20.00 น. ประเทศไทย
https://youtu.be/0_SfmlL3eUA
(ยูทูบปลอดภัย กดไลค์/กดแชร์ ทุกคลิ้ปเพื่อสกัดเครือข่ายเผด็จการทุกรูปแบบ)...
ดูเพิ่มเติม

ระบอบกษัตริย์ทรราชย์(Tyranny) ???'ชวลิต' เสนอคืนพระราชอำนาจตั้ง รบ.เฉพาะกาล 'จตุพร' ขอแค่ คสช. ลาออก ลงเลือกตั้ง???

'ชวลิต' เสนอคืนพระราชอำนาจตั้ง รบ.เฉพาะกาล 'จตุพร' ขอแค่ คสช. ลาออก ลงเลือกตั้ง  พล.อ.ชวลิต เสนอนำประเทศกลับสู่ระบอบประชาธิปไตย โดยการถวายคืนพระราชอำนาจให้ ร.10 ตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล แต่ 'จตุพร' ไม่แตะประเด็นนี้ ระบุเพียงแค่ ขอให้ คสช. ลาออกจากการเป็น 'กรรมการ' แล้วเป็น 'ผู้เล่นทางการเมือง' เหมือนคนอื่นๆ
https://prachatai.com/journal/2018/09/78900




(" รวยกระจุกจนกระจาย"สังคมภายใต้ระบอบTyranny)

นักเศรษฐศาสตร์ระบุครัวเรือนไทยกว่า 49% หรือ 10 ล้านครัวเรือนเป็นหนี้ 4.9% เป็นหนี้นอกระบบที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แรงงานไทยที่มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่า 1.5 หมื่นบาทต่อครัวเรือน เป็นหนี้ถึง 96-97% (มูลค่าเฉลี่ย 130,000 บาท) โดยเป็นหนี้นอกระบบ 53-54% และ 78-79% เคยผิดนัดชำระหนี้ เจ้าหนี้นอกระบบมักเอารัดเอาเปรียบมีการคิดดอกเบี้ยถึง 20-30% ต่อเดือน
https://prachatai.com/journal/2018/09/78916

"แต่งตั้ง.- โยกย้าย".ข้าราชการก่อนเลือกตั้ง (?)

มท.เซ็นตั้ง รองผู้ว่าฯใหม่ 107 ตำแหน่งทั่วประเทศ เป็นชาย 101 คน ผู้หญิง 6 คน
https://www.matichon.co.th/politics/news_1155654

ลิ่วล้อ..เผด็จการ !(?).


เมื่อวันที่ 30 กันยายน ที่สำนักงานนายถาวร เสนเนียม อดีต …

รัชกาลที่ ๑ ผู้สถาปนาราชวงศ์จักรีด้วยชีวิตของกษัตริย์ผู้กู้ชาติ


เมื่อรัชกาลที่ ๑ ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงเทพแล้ว ก็พยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเองไม่มีข้อบกพร่อง ไม่เคยกระทำสิ่งใดผิดพลาด เป็นเอกบุรุษที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยบุญญาบารมีและบริสุทธิ์กว่าผู้อื่นทั้งแผ่นดิน เพื่อให้สมกับที่ตนเองได้เป็นพระโพธิสัตว์และเทวดาแล้ว โดยเสแสร้งทำเป็นลืมไปว่า ในโลกแห่งความเป็นจริงพระองค์มิได้วิเศษกว่าบุคคลอื่น ตรงที่เป็นมนุษย์เดินดินกินข้าวแกงเหมือนกัน และที่สำคัญทำเป็นจำไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้พระองค์ก็เป็นสามัญชน ที่มิได้มีเลือดสีน้ำเงิน แม้พ่อจะได้ชื่อว่าเป็นขุนนาง ก็จัดอยู่ในชั้นปลายแถว แม่ก็เป็นเพียงหญิงเชื้อสายจีนพ่อค้า(๑) มิได้เลิศเลอไปกว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่ตนเหยียดหยามเป็นไพร่ราบพลเลวเลย
จุดบอดที่รัชกาลที่ ๑ เห็นว่าสร้างความอัปยศให้แก่ตนเองมากคือ ความปราชัยในการรบกับอะแซหวุ่นกี้ที่พิษณุโลก ในรัชกาลพระเจ้าตากสิน การรบคราวนั้นศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช สรุปจากพงศาวดารที่แต่งโดย Sir Arthur Phayre และจากจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี น้องสาวรัชกาลที่ ๑ เอง ได้ความว่า แม้อะแซหวุ่นกี้รบชนะเมืองพิษณุโลกที่มีรัชกาลที่ ๑ เป็นแม่ทัพฝ่ายไทย แต่ก็ถูกกองทัพของพระเจ้าตากสินหนุนเนื่องขึ้นมาโจมตีจนแตกพ่ายยับเยิน จดหมายเหตุความทรงจำกรมหลวงนรินทรเทวี (เพิ่งถูกค้นพบสมัยร.๕) บันทึกว่าฝ่ายไทยสามารถ “จับได้พม่าแม่ทัพใหญ่ ได้พม่าหลายหมื่น พม่าแตกเลิกทัพหนีไป” หลักฐานฝ่ายพม่าก็ปรากฏว่า อะแซหวุ่นกี้ถึงกับถูกกษัตริย์พม่าถอดจากยศ “หวุ่นกี้” และเนรเทศไปอยู่ที่เมืองจักกายด้วยความอัปยศอดสู(๒) ทั้งที่อะแซหวุ่นกี้เคยได้รับการยกย่องในฐานะวีรบุรุษที่รบชนะกองทัพจีนมาแล้วก็ตาม
หลังจากที่ปราบดาภิเษกสำเร็จและปลงพระชนม์พระเจ้าตากสินรวมทั้งขุนนางฝ่ายตรงข้ามไปกว่า ๕๐ ชีวิตแล้ว คราใดที่ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เมืองพิษณุโลก หัวใจก็เหมือนถูกชโลมด้วยยาพิษ ใจหนึ่งนั้นแสนจะอัปยศอดสูที่ต้องล่าทัพหนีพม่า อีกด้านก็ริษยาพระเจ้าตากสินที่สามารถปราบกองทัพพม่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสมัยกรุงธนบุรี และกำหราบอะแซหวุ่นกี้ที่เอาชนะทั้งกองทัพจีนและพระองค์มาแล้ว พระองค์จึงใช้เล่ห์เพทุบายบังคับให้อาลักษณ์แก้ไขประวัติศาสตร์ทุกฉบับ บิดเบือนว่าอะแซหวุ่นกี้มิได้รบกับพระเจ้าตากสิน แต่ต้องถอยทัพไป เพราะกษัตริย์พม่ามีหมายเรียกตัวกลับบ้าน(๓) พงศาวดารฉบับราชหัตถเลขาถึงกับบิดเบือนว่า พออะแซหวุ่นกี้กลับพม่า ก็ได้รับบำเหน็จรางวัลจากกษัตริย์พม่าในฐานะที่ปราบหัวเมืองเหนือของไทยได้สำเร็จ(๔) เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าอะแซหวุ่นกี้นั้นมิใช่ย่อยๆ หาไม่แล้วที่ไหนเลยจะเอาชนะรัชกาลที่ ๑ ได้ จึงมิใช่เรื่องอับอายเลยที่รัชกาลที่ ๑ รบแพ้อะแซหวุ่นกี้
พงศาวดารฉบับพระนพรัตน์ถึงกับบันทึกไว้อย่างน่าขบขันว่า รัชกาลที่ ๑ ได้สำแดงความเป็นเสนาธิการชั้นเซียนเหยียบเมฆ ด้วยการแต่งอุบายให้เอาพิณพาทย์ขึ้นตีบนกำแพงลวงพม่าเหมือนขงเบ้ง ตีขิมลวงสุมาอี้ในเรื่องสามก๊ก แล้วรัชกาลที่ ๑ ก็ชิงโอกาสตีแหกทัพพม่าที่ล้อมเมืองพิษณุโลกหนีออกมาได้ ก็ขนาดเรื่องใหญ่เช่นนี้รัชกาลที่ ๑ ยังกล้าให้อาลักษณ์บิดเบือนกันถึงเพียงนี้ ทำนองเดียวกับเหตุการณ์ที่อะแซหวุ่นกี้ขอดูตัวเจ้าพระยาจักรีนั้น ก็กล่าวได้ว่าเป็นความเท็จอีกเช่นกัน เพราะจะมีแม่ทัพชาติไหนกันที่จะขอดูตัวแม่ทัพอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อสรรเสริญว่า เก่งกาจสามารถเป็นเยี่ยม เนื่องจากการทำเช่นนี้ย่อมทำลายขวัญสู้รบของทหารฝ่ายตนให้พังพินท์ไป อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์วิจารณ์ไว้ชัดเจนว่า

“ถ้าจะมองจากกฎหมายของไทยและพม่าแล้ว ถ้าพระยาจักรีและอะแซหวุ่นกี้เจรจากันดังที่ศักดินาจักรีอวดอ้างแล้ว ทั้ง ๒ ฝ่ายน่าจะมีความผิดถึงขั้นขบถเลยทีเดียว(๕) ทั้งนี้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล กฎหมายตราสามดวงที่ว่า อนึ่ง ผู้ใดไปคบหาxxxเมืองxxxxราชทูตเจรจาโทษถึงตาย”
สำหรับเรื่องที่มีผู้รู้เห็นมากมาย รัชกาลที่ ๑ ยังกล้าใช้ให้อาลักษณ์แต่งพงศาวดารกลับดำให้เป็นขาว ดังนั้นสิ่งที่เป็นเรื่องส่วนตัวไม่มีผู้อื่นรู้เห็นด้วย เช่น เรื่องของซินแสหัวร่อ ทำนายว่า พระยาจักรีกับพระยาตากสินจะได้เป็นกษัตริย์นั้นจึงวินิจฉัยได้ไม่ยากว่า เป็นสิ่งที่รัชกาลที่ ๑ เสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเอง ซึ่งพวกศักดินาจักรีจะอ้างไม่ได้ว่าเรื่องนี้เกิดจากคำเล่าลือของคนรุ่นหลัง เพราะรัชกาลที่ ๑ เองนั่นแหละที่เป็นผู้ออกปากเล่าความให้เจ้าเวียงจันทร์กับพระยานครศรีธรรมราชฟังในวัดพระแก้ว จนกระทั่งมีผู้ได้ยินได้ฟังด้วยกันหลายคน(๖) การที่รัชกาลที่ ๑ กล้าโป้ปดมดเท็จถึงเพียงนี้ ก็เพราะพระองค์กำลังอยู่บนบัลลังก์เลือดของกษัตริย์องค์ก่อน จึงต้องล่อลวงให้ผู้อื่นเข้าใจว่า พระองค์มีพระปรีชาสามารถเป็นเลิศ มีปัญญาอภินิหารกว่าผู้อื่นในแผ่นดินรวมทั้งพระเจ้าตากสินด้วย นี่เป็นการพยายามสร้างเหตุผลเพื่อรับรองว่า การปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์องค์ใหม่เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด
ภายในจิตใจลึกๆของสองพี่น้อง คือรัชกาลที่ ๑ กับกรมราชวังบวรมหาสุรสีหนาถ มีทั้งความพยาบาทชิงชังและความไม่พอใจในตัวพระเจ้าตากสินไม่น้อย ทั้งที่พระเจ้าตากสินได้ทำนุบำรุงให้พี่น้องคู่นี้มีอำนาจวาสนากว่าขุนนางทั้งหลายในกรุงธนบุรี ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากว่า กรมพระราชวังบวรฯนั้น เคยถูกพระเจ้าตากสินโบยถึง ๖๐ ทีเพราะมีพฤติกรรมซุ่มซ่าม คลานเข้าถึงตัวพระเจ้าตากสินขณะกรรมฐานอยู่ที่ตำหนักแพ กับสมเด็จพระวันรัตน์(ทองอยู่) โดยมิได้ตรัสเรียก(๗) กรมพระราชวังบวรฯจึงมีจิตอาฆาตแค้นเป็นหนักหนา ส่วนรัชกาลที่ ๑ ก็เคยถูกพระเจ้าตากสินโบยถึง ๒ ครั้ง คราวแรกในปี ๒๓๑๓ เพราะรัชกาลที่ ๑ รบกับเจ้าพระฝางด้วยความย่อหย่อนไม่สมกับที่เป็นขุนนางใหญ่ จึงถูกโบย ๓๐ ที(๘) และในปี ๒๓๑๘ รัชกาลที่ ๑ ได้รับคำสั่งให้ทำเมรุเผาชนนีของพระเจ้าตากสิน แต่เมรุนั้นถูกฝนชะเอากระดาษปิดทองที่ปิดเมรุร่วงหลุดลงหมดสิ้น พระเจ้าตากจึงว่า “เจ้าไม่เอาใจใส่ในราชการ ทำมักง่ายให้เมรุเป็นเช่นนี้ดีแล้วหรือ” ทำให้รัชกาลที่ ๑ ถูกโบยอีก ๕๐ ที
ความสัมพันธ์ระหว่างรัชกาลที่ ๑ กับพระเจ้าตากสิน มิได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ รัชกาลที่ ๑ ได้ถวายบุตรสาวเป็นสนมของพระเจ้าตากสิน ซึ่งศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช ตั้งข้อสังเกตว่า สนมพระเจ้าตากสินผู้หนึ่งที่ถูกประหารชีวิตเพราะมีชู้ ก็น่าจะเป็นบุตรสาวของรัชกาลที่ ๑ นี่เอง(๙) ด้วยเหตุนี้ รัชกาลที่ ๑ จึงเคียดแค้นพระเจ้าตากสินมาก เมื่อมีโอกาสคราใดก็จะประณามอย่างตรงไปตรงมา คราวหนึ่งถึงกับประณามไว้ในสารตราตั้งเจ้าพระยานครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ.๒๓๒๗ เพื่อประจานพระเจ้าตากสินว่าเป็นผู้ที่ “กอรปไปด้วย โมหะ โลภะ”(๑๐)
ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ยืนยันว่า พระเจ้าตากสินเป็นผู้นำในการรวบรวมผู้คนที่แตกระส่ำระสาย ในภาวะที่บ้านเมืองไม่มีขื่อแป อดอยาก และพม่าเข้ากวาดต้อนข่มเหงผู้คนไปทั่ว รวบรวมกำลังทีละน้อยรบกับพม่าและคนไทยขายชาติบางกลุ่ม รบกันหลายสิบครั้ง ผลัดแพ้ผลัดชนะ จนสุดท้ายมีกำลังปราบพวกพม่าและชิงกรุงศรีอยุธยากลับคืนมาได้ จากนั้นก็ปราบก๊กต่างๆจนสามารถรวบรวมเป็นประเทศได้อีกครั้งหนึ่ง นี่ย่อมหมายความว่า พระเจ้าตากสินต้องมีบุคลิกของความเป็นผู้นำ มีลักษณะรักชาติ กอรปด้วยจิตใจที่กล้าหาญดีงาม จึงจะสามารถเป็นศูนย์รวมของชาวไทยในภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด จนสามารถนำชาวไทยไปกอบกู้บ้านเมืองได้สำเร็จในช่วงเวลาเพียงปีเดียว
นอกจากนั้นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เช่น เอกสารของบาทหลวงสมัยนั้นกล่าวว่า พระเจ้าตากมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ แม้แต่ปราสาทราชวังหลังเดียวก็ไม่ปรากฏขึ้นในกรุงธนบุรี อนุสรณ์ที่พระเจ้าตากสินสร้างไว้เป็นเพียงท้องพระโรงที่พระราชวังเดิม ซึ่งดูๆไปก็ไม่วิจิตรพิสดารไปกว่าโบสถ์ขนาดย่อมหลังหนึ่ง จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะวินิจฉัยเอาเองว่า ใครกันแน่ที่กอรปด้วยโลภะ โมหะ
หลังจากรัชกาลที่ ๑ ได้ผลิตผลงานชิ้นเอกด้วยการปลอมแปลงประวัติศาสตร์ของชาติแล้ว พระองค์ก็หันมาฟื้นฟูพุทธศาสนาครั้งใหญ่ โดยการแสดงตนเป็นพระโพธิสัตว์ผู้รู้แจ้ง ด้วยการกล่าวร้ายคณะสงฆ์ไทยอย่างสาดเสียเทเสีย เช่น หาว่า”ทั้งสมณะและสมเณรมิได้รักษาพระจตุบาริยสุทธิศีล” (๑๑) บ้าง “มิได้กระทำตามพระวินัยปรนิบัติเห็นแต่จะเลี้ยงชีวิตผิดธรรม” (๑๒) บ้าง นอกจากนี้ยังโมเมว่าพระภิกษุ “มิได้ระวังตักเตือนสั่งสอนกำกับว่ากล่าวกัน” (๑๓) บ้าง ทั้งๆที่สมัยพระเจ้าตากสินเพิ่งมีการฟื้นฟูพุทธศาสนาหลังภาวะสงครามครั้งใหญ่ และพระองค์ทรงส่งเสริมการปฏิบัติธรรมอย่างกว้างขวาง ด้วยพระองค์เองก็ทรงมั่นในวิปัสสนาธุระ สภาพของสงฆ์จึงอยู่ในกรอบพระธรรมวินัยได้เคร่งครัด ดังนั้นการกล่าวร้ายจึงไม่อาจมองเป็นอื่นไปได้ นอกจากการสร้างเรื่องเพื่อหาช่องทางเข้าไปควบคุมศาสนจักร เพื่อเสริมอำนาจการครองราชย์ของพระองค์ให้เข้มแข็งขึ้น จึงมีการควบคุมจิตสำนึกของสังคมด้วยการบีบบังคับพระภิกษุสงฆ์ส่วนใหญ่ ไม่ให้มีโอกาสคัดค้านการนำเอาพระพุทธศาสนา ไปกระทำปู้ยี่ปู้ยำเพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของกษัตริย์จักรี
พระมหากรุณาธิคุณของพระมหาราชองค์นี้ ในด้านการฟื้นฟูพุทธศาสนาคือ ให้ตำรวจวังไปเอาสมเด็จพระวันรัต(ทองอยู่) วัดบางหว้าใหญ่ ซึ่งเป็นพระอาจารย์วิปัสสนาธุระของพระเจ้าตากสินและเป็นพระอาจารย์ของลูกฟ้าฉิม (รัชกาลที่ ๒) ให้สึกออกแล้วลงพระราชอาญาเฆี่ยน ๑๐๐ ที และมีดำรัสให้ประหารชีวิตเสีย(๑๔) เพราะแค้นพระทัยมานานแต่ครั้งสมเด็จพระวันรัต เคยทูลให้พระเจ้าตากสินลงโทษ พระองค์เคราะห์ดีที่ลูกฟ้าฉิมทรงทูลขอไว้ชีวิตอาจารย์ของตนไว้ พระแก่ๆที่เคร่งในธรรมจึงได้รอดชีวิตมาอย่างหวุดหวิด
การที่พระองค์ทรงบังอาจลงโทษด้วยการทำร้ายพระสงฆ์ชราผู้มั่นในโลกุตรธรรมอย่างรุนแรง นับเป็นพฤติกรรมที่ชั่วร้ายมาก อันชาวบ้านสามัญชนถือเป็นบาปมหันต์ ไม่น้อยกว่าการฆ่าบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้า แต่ด้วยโมหะจริตที่พยาบาทอาฆาตมานาน และด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน ทุกสิ่งที่พระองค์กระทำ จึงเป็นความถูกต้องชอบธรรมทุกประการ
แต่เดิมนั้นกษัตริย์จะควบคุมสงฆ์ไว้เพียงระดับหนึ่ง แต่ในรัชกาลนี้ การควบคุมกลับเข้มงวดกว่าเดิม กษัตริย์จะให้ขุนนางในกรมสังฆการีมีอำนาจปกครองสงฆ์และเป็นผู้คัดเถระแต่ละรูปว่าควรอยู่ในสมณะศักดิ์ขั้นใด นอกจากนี้ยังให้กรมสังฆการีดูแลความประพฤติของสงฆ์และคอยตัดสินปัญหาเวลาที่พระภิกษุต้องอธิกรณ์ โดยจะเป็นทั้งอัยการและตุลาการ สิ่งนี้ทำให้กษัตริย์และกลุ่มคนดังกล่าวมีอำนาจเหนือพระ(๑๕)
ในที่สุดคณะสงฆ์ไทยก็ต้องตกอยู่ภายใต้ภาวะที่น่าอเนจอนาถใจเพราะถูกครอบงำโดยพวกศักดินาจักรี อันเป็นฆราวาสซึ่งมีเพศที่ต่ำทรามกว่า บางครั้งถึงกับถูกควบคุมโดยพวกลักเพศ เช่นคราวหนึ่งคณะสงฆ์ทั้งอาณาจักร ต้องตกอยู่ใต้การปกครองของกรมหลวงรักษ์รณเรศ โอรสของรัชกาลที่ ๑ ซึ่งเป็นพวกลักเพศ ชอบมั่วสุมกับเด็กหนุ่มๆ แต่ได้รับการมอบหมายจากกษัตริย์ให้บังคับบัญชากรมสังฆการี
แม้ว่ารัชกาลที่ ๑ รวมทั้งศักดินาอื่นจะถือตนว่าเป็นพระโพธิสัตว์และหน่อพุทธางกูร จนก้าวก่ายเข้าไปในศาสนจักรอย่างน่าเกลียด ก็มิอาจปกปิดธาตุแท้ที่โลภโมโทสันได้ พวกเขาต่างก็ปัดแข้งปัดขากันเองอุตลุต เพื่อแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์ที่ได้มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
ความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างพวกศักดินาในรัชกาลที่ ๑ เกิดขึ้นระหว่างกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทหรือวังหน้ากับรัชกาลที่ ๑ หรือวังหลวง สองพี่น้องซึ่งต่างก็ไม่ยอมลดราวาศอกให้แก่กันและกัน คราวหนึ่งวังหน้าจะสร้างปราสาทมียอดขึ้นประดับเกียรติยศ ทั้งที่รู้ว่าปราสาทยอดเป็นของหวงห้ามไว้สำหรับกษัตริย์เท่านั้น ในปี ๒๓๒๖ จึงเกิดมีผู้ร้ายแปลกปลอมเข้าไปในวังหน้าจะฆ่ากรมพระราชวังบวรฯขณะทรงบาตร บังเอิญผู้ร้ายเหล่านี้ถูกจับได้เสียก่อน ซึ่งก็ปรากฏว่าเป็นคนในวังหลวงเป็นส่วนใหญ่(๑๖) วังหน้าจึงรู้ว่า “ที่พระองค์มาทรงสร้างปราสาทขึ้นในวังหน้า เห็นจะเกินวาสนาไป จึงมีเหตุ จึงโปรดให้งดการสร้างปราสาทนั้นเสีย” (๑๗)
เหตุการณ์ได้รุนแรงยิ่งขึ้นหลังจากที่วังหน้าขอให้วังหลวง เพิ่มผลประโยชน์จากภาษีอากรให้วังหน้ามากกว่าเดิม แต่วังหลวงไม่ยินยอม วังหน้าจึงโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง จนไม่เข้าเฝ้ารัชกาลที่ ๑ พอถึง พ.ศ.๒๓๓๙ พวกวังหน้าได้เห็นขุนนางวังหลวงขนปืนใหญ่ขึ้นป้อม จึงตั้งปืนใหญ่หันไปทางวังหลวงบ้าง จนเกือบเกิดสงครามกลางเมือง ทำให้พี่สาวรัชกาลที่ ๑ ต้องเล้าโลมวังหน้าให้เข้าเฝ้า เหตุการณ์จึงสงบลงได้(๑๘)
โดยพื้นฐานแล้วพวกวังหน้ามักดูถูกดูหมิ่นพวกวังหลวงว่าไม่เอาไหน สู้พวกตนไม่ได้ เมื่อคราวทำสงครามที่เชียงใหม่ในปี ๒๓๓๙-๒๓๔๕ พวกขุนนางวังหลวงจึงถูกวังหน้าซึ่งเป็นแม่ทัพบริภาษติเตียนว่า รบไม่ได้เรื่อง(๑๙)
พอถึงปี ๒๓๔๔ วังหน้าป่วยหนักด้วยโรคนิ่ว อาการกำเริบ จึงให้คนหามเสลี่ยงเดินรอบวังหน้า แล้วสาปแช่งว่า “ของใหญ่ของโตก็ดี ของกูสร้าง นานไป ใครไม่ใช่ลูกกู ถ้ามาเป็นเจ้าของเข้าครอบครอง ขอผีสางเทวดาจงดลบันดาล อย่าให้มีความสุข” (๒๐) เพราะทั้งนี้รู้อยู่เต็มอกว่าของเหล่านั้น “ต่อไปจะเป็นของท่านอื่น” (๒๑) ครั้นมาถึงวัดมหาธาตุ ทรงเรียกเทียนมาจุดxxxxxมาติดที่พระแสง แล้วเอาพระแสงจะแทงพระองค์ พระองค์เจ้าลำดวนและพระองค์เจ้าอินทปัต พระโอรสใหญ่ทั้งสองเข้าปลุกปล้ำแย่งชิงพระแสงไปได้ วังหน้าทรงกันแสงกับพื้นและตรัสว่า “สมบัติครั้งนี้ ข้าได้ทำสงครามกู้แผ่นดินขึ้นมาได้ก็เพราะข้านี่แหละ ไม่ควรให้สมบัติตกไปได้แก่ลูกหลานวังหลวง ใครมีสติปัญญาก็ให้เร่งคิดเอาเถิด”
พอวังหน้าสวรรคต พวกวังหน้าจึงตั้งกองเกลี้ยกล่อมหาคนที่มีวิชาความรู้ฝึกปรืออาวุธกัน ทำนองจะเป็นกบฏ โดยมีพระองค์เจ้าลำดวนและอินทปัตเป็นหัวหน้า แต่เป็นคราวเคราะห์ดีของรัชกาลที่ ๑ ที่ความแตกก่อน จึงสามารถจับคนเหล่านี้ไปฆ่าจนหมดสิ้น(๒๒) ราชบังลังก์ของรัชกาลที่ ๑ จึงยังคงตั้งอยู่ได้บนคราบเลือดและซากศพของหลานตนเอง
หลังจากนั้นไม่นาน จะมีการประกอบราชพิธีกรรมทางศาสนา เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับพระอนุชาร่วมพระอุทร แต่รัชกาลที่ ๑ ทรงไม่หายกริ้วเรื่องอดีตถึงกับตรัสว่า “บุญมา เขามันรักลูกยิ่งกว่าแผ่นดิน ให้สติปัญญา ให้ลูกกำเริบถึงคิดร้ายต่อแผ่นดิน ผู้ใหญ่ไม่ดี ไม่อยากเผาผีเสียแล้ว” (๒๓) พวกเจ้าศักดินาไม่ว่าจะอยู่ระดับสูงหรือต่ำไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือปัจจุบันต่างก็มีความคิดตื้นๆอยู่เสมอว่า”ใครก็ตามที่คิดร้ายต่อข้า เขาผู้นั้นคิดร้ายต่อแผ่นดิน” เพราะพวกเขาคิดว่า แก่นแท้ของความถูกต้องก็คือตัวเขานั่นเอง
จะอย่างไรก็ตาม เหตุการณ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ ซึ่งน่าจะหยิบยกขึ้นมากล่าวถึง เพื่อตัดสินว่ากษัตริย์เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินทั้งหลายนั้นมีศีลธรรมจรรยา สมกับที่ตั้งตนเองเป็นเทวดาและพระโพธิสัตว์ หรือไม่ ก็คือเรื่องคาวๆฉาวโฉ่ ที่สร้างรอยด่างให้กับราชสำนัก รัชกาลที่ ๑ ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากที่เจ้าฟ้าฉิม(ซึ่งต่อมาเป็นรัชกาลที่ ๒) เกิดมีจิตปฏิพัทธ์กับเจ้าฟ้าบุญรอดหลานสาวของรัชกาลที่ ๑ จนถึงขั้นลักลอบเสพสังวาสกันในพระบรมมหาราชวัง โดยไม่นึกถึงขนบธรรมเนียมของปู่ย่าตายาย ที่สั่งสอนให้สตรีไทยรักนวลสงวนตัว หนังสือขัตติยราชปฏิพัทธ์สมุดข่อยที่พวกศักดินาบันทึกไว้ ได้เปิดเผยว่าหลังจากที่เจ้าฟ้าบุญรอดท้องถึง ๔ เดือน ความจึงแตก เพราะเรื่องอย่างนี้ถึงอย่างไรก็ปิดไม่มิด(๒๔) เมื่อเหตุการณ์อันน่าอับอายขายหน้าของพวกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินถูกเปิดเผยขึ้นมา รัชกาลที่ ๑ ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่หน่อพุทธางกูรกระทำการอุกอาจถึงในรั้ววังหลวง ซึ่งพวกศักดินาถือว่าศักดิ์สิทธิ์ จึงขับไล่เจ้าฟ้าบุญรอดออกไปจากวังหลวงทันทีที่รู้เรื่อง และห้ามไม่ให้เจ้าฟ้าฉิมเข้าเฝ้าอีกเป็นเวลานาน(๒๕) นับเป็นบุญของเจ้าฟ้าฉิมที่ไม่ถูกลงโทษมากกว่านี้ เพราะโอรสของรัชกาลที่ ๑ นี้เคยถูกราชอาญาของพ่อถึง ๓๐ ปี เพราะบังอาจไปหลงสวาทพี่สาวของตนเองเข้าให้(๒๖)
     
๑. เป็นคำอธิบายของรัชกาลที่ ๔ที่ให้ไว้แก่จอห์น เบาริ่ง ดู นิธิ เอียวศรีวงศ์ ประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารอยุธยา (สถาบันไทยคดีศึกษา ธรรมศาสตร์,๒๕๒๓) หน้า ๓๙
๒. ศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช ข้อมูลประวัติศาสตร์สมัยบางกอก (ภาควิชาประวัติศาสตร์ม.ศรีนครินทรวิโรฒน์ ประสานมิตร ๒๕๑๘) หน้า ๕๔-๕๗
๓. เรื่องเดิม หน้า ๓๘
๔. เรื่องเดิม หน้า ๕๔
๕. นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรื่องเดิม หน้า ๔๕
๖. ดู “อภินิหารบรรพบุรุษ” (เป็นสมุดข่อยพบในสมัยรัชกาลที่ ๗) อินทุจันทร์ยง เรียบเรียง (ประพันธ์สาสน์, ๒๕๑๗-๒๕๒๐) หน้า ๓๐
๗. เรื่องเดิม หน้า ๕๖-๕๘
๘. เรื่องเดิม หน้า ๔๙
๙. ขจร สุขพานิช เรื่องเดิม หน้า ๖๓
๑๐. นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรื่องเดิม หน้า ๔๓
๑๑. “กฎพระสงฆ์” กฎหมายตราสามดวง เล่ม ๔ (คุรุสภา,๒๕๐๕
๑๒. เรื่องเดิม หน้า ๑๙๓
๑๓. เรื่องเดิม หน้า ๑๗๘
๑๔. ประกอบ โชประการ, ประยุทธ สิทธิพันธ์, สมบูรณ์ คนฉลาด พระมหากษัตริย์ไทย หน้า ๕๕๖
๑๕. อัจฉรา กาญจโนมัย การฟื้นฟูพุทธศาสนาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ๒๕๒๕) หน้า ๒๑
๑๖. กรมหลวงนรินทรเทวี จดหมายเหตุความทรงจำ (คุรุสภา, ๒๕๐๗) หน้า ๗
๑๗. กรมดำรงราชานุภาพ ตำนานวังหน้า ประชุมพงศาวดารเล่ม ๑๑ (คุรุสภา, ๒๕๐๗) หน้า ๒๗
๑๘. เรื่องเดิม หน้า ๓๘
๑๙. เรื่องเดิม หน้า ๓๘-๕๑
๒๐. เรื่องเดิม หน้า ๔๗
๒๑. เรื่องเดิม หน้า ๔๖
๒๒. เรื่องเดิม หน้า ๔
๒๓. ประกอบ โชประการ, ประยุทธ สิทธิพันธ์, สมบูรณ์ คนฉลาด พระมหากษัตริย์ไทย หน้า ๕๕๑-๕๕๓
๒๔. บรรเจิด อินทจันทร์ยง (รวบรวม) ขัตติยราชปฏิพันธ์ พงศาวดารกระซิบ (ประพันธ์สาสน์ ๒๕๒๑) หน้า ๑๑๘
๒๕. เรื่องเดิม หน้า ๑๑๙
๒๖. เรื่องเดิม หน้า ๑๑๗

ปรัชญาในการต่อสู้กับระบอบกษัตริย์เผด็จการ

ปรัชญาในการต่อสู้กับระบอบกษัตริย์เผด็จการ


โดย ไชยอุดม.
12 ก.ค. 18

การต่อสู้กับระบอบกษัตริย์เผด็จการอันเหี้ยมโหดและป่าเถื่อนภายใต้กษัตริย์ทรราชย์คนปัจจุบันที่ใช้อำนาจทุกอย่างครอบงำสังคมไทยในเวลานี้ 
ก่อนอึ่นเราต้องเริ่มจากแนวความคิดหรือทำความเข้าใจในด้านปรัชญาเสียก่อนว่าความหมายของปรัชญานั้นคืออะไร...

ปรัชญาความหมายง่ายๆคือ โลกทัศน์ โลกทัศน์คือทัศนะของการมองโลก ว่าโลกนี้คืออะไร โลกนี้ก็คือวัตถุที่ดำรงคงอยู่ตามธรรมชาติ มีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา  การให้คำจำกัด
ความสั้นๆของโลกเช่นนี้เป็นการมองโลกแบบวัตถุนิยมที่เป็นจริงคือโลกนี้เกิดขึ้นมาเองและดำรงคงอยู่ตามธรรมชาติไม่มีใครสร้างขึ้น  โลกนี้เป็นสสารหรือวัตถุที่จับต้องสัมผัสได้ 

แต่ยังมีแนวความคิดอีกแนวหนึ่งที่เชื่อว่าโลกนี้พระเจ้าเป็นผู้สร้างขึ้นมา ซึ่งแนวคิดแบบนี้มีความเชื่อว่า มีพระเจ้าอยู่บนสรวงสวรรค์ดลบันดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของพระเจ้าแม้แต่มนุษย์ที่เกิดมาตลอดจนสัตว์สาวาสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้ากำหนดทั้งนั้น แนวความคิดแบบนี้คือแนวความคิดแบบจิตนิยม เป็นแนวคิดแบบเพ้อฝันไม่มีกฏเกณท์ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ผิดหลักของธรรมชาติ

ปรัชญาหรือทัศนะในการมองโลกก็มีสองแนวคิดนี้เองที่กำลังต่อสู้กันอยู่ในโลกของสังคมนุษย์ชาติในเวลานี้ คือแนวความคิดแบบวัตถุนิยมและแนวความคิดแบบจิตนิยม

สมัยก่อนมนุษย์เรายังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฏเกณฑ์ต่างๆของธรรมชาติ ไม่สามารถอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจักรภพนี้ได้   จึงเชื่อเอาอย่างงมงายว่าธรรมชาติและสรรพสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมีสิ่งบันดาลมาจากเบื้องบนเพื่อให้เป็นไปเช่นนั้น  ซึ่งอำนาจจากเบื้องบนนั้นเชื่อกันว่าเป็นอำนาจของพระเจ้า  หรืออำนาจของพวกเทวาอารักษ์  พวกเจ้าโคตรเจ้าตระกูลทั้งหลาย  ผู้ที่เป็นหัวหน้าสังคมที่ถูกเลือกขึ้นในยุคของสังคมบุพกาลเพื่อให้เป็นตัวแทนในการทำพิธีทางไสยศาสตร์นั้น   ต่อมาก็ได้ตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์  หรือจักรพรรดิ์ ปกครองอยู่ตามดินแดนหรือในแค้วนต่างๆ  บุคคล เหล่านี้ได้ตั้งตนเองขี้นเป็นตัวแทนของพระเจ้า  อ้างว่าพระเจ้าส่งตนลงมาจุติในโลกมนุษย์ หรือเป็นตัวแทนมาจากเบื้องบน ที่สวรรค์ส่งลงมาเพื่อโปรดมนุษย์ และอ้างว่าได้รับอำนาจมาจากสรวงสวรรค์ให้มาปกครองมนุษย์  เช่นจีนในสมัยโบราณมีความเชื่อกันว่าจักรพรรดิ์เป็นโอรสของพระเจ้าส่งลงมาจากสวรรค์  ประเทศญี่ปุ่นสมัยเก่าก็เชื่อกันว่าจักรพรรดิ์เป็นโอรสของพระอาทิตย์มาเกิดเป็นต้น

ความเชื่อเช่นนี้คือต้นเหตุของแนวความคิดที่ทำให้กษัตริย์หรือจักรพรรดิ์ในประเทศต่างๆคิดเอาเองว่า  สรรพสิ่งทั้งหลายทุกอย่างในโลกนี้เช่น ที่ดิน  คนและสัตว์เป็นสมบัติของตนทั้งหมด  
ในประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยายังปรากฏในกฏหมาย  “ ตราสามดวง“ว่า  “ ที่ดินทั้งหลายในแคว้นศรีอยุธยาเป็นของพระเจ้าอยู่หัวโดยพระบรมเดชานุภาพ “  ระบอบศักดินา จึงเกิดขึ้น  อำนาจการปกครองทุกอย่างอยู่ในมือของผู้เป็นหัวหน้าของสังคมแต่ผู้เดียว 
กษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ สามารถใช้อำนาจได้โดยไม่จำกัดขอบเขต  อำนาจเผด็จการโดยสมบูรณ์ของกษัตริย์ก็เกิดขึ้น   ต่อมากษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ ยังได้ตราเป็นกฏหมายขึ้นอีกว่า เมื่อตัวเองตายลงก็ให้ลูกหรือญาติที่สนิทของตนรับช่วงเป็นผู้สืบทอดวงศ์ตระกูลปกครองประเทศสืบต่อไป เป็นการสืบทอดราชสันติวงค์ต่อไปอีกเป็นทอดๆ ดังที่เห็นกันอยู่ในสังคมไทยในเวลานี้

สำหรับในต่างประเทศที่เจริญแล้วระบอบกษัตริย์ได้ถูกโค่นล้มลงไปหมดแล้ว เช่น จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส เยอรมันนี เวียตนาม ลาว พม่า หรือ เมียนม่า ฟีลแลนด์  ฯลฯ เป็นต้น ส่วนประเทศที่มีประชาธิปไตยที่ยังมีระบอบกษัตริย์เหลืออยู่กษัตริย์เหล่านั้้นก็อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ   โดยอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชนและปวงชนเป็นผู้ใชัอำนาจนั้นปกครองประเทศ เช่น เบลเยี่ยม อังกฤษ สวีเด็น นอรเวย์ เด็นมารค์
สำหรับประเทศไทยกษัตริย์อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ อำนาจทุกอย่างรวมศูนย์อยู่ที่กษัตริย์วชิราลงกรณ์แต่ผู้เดียว ดังนั้นวชิราลงกรณ์คือกษัตริย์เผด็จการ ไม่มีคุณงามความดีอะไรที่จะเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศ ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน

เพื่อความอยู่รอดเขาจึงดิ้นรนทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสร้างภาพให้ตัวเอง ด้วยการมอมเมาโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ โดยอาศัยสื่อสารมวลชนและเครือข่ายต่างๆของรัฐที่เขามีอำนาจครอบงำอยู่ในเมืองไทยโหมโฆษณาสร้างภาพด้านเดียวเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นจากความเลวทรามของตัวเองให้ประชาชนสนใจไปทางอื่นเช่นการสร้างภาพเด็ก 13 คนติดในถ้ำหลวง เป็นการก่อกระแสอย่างใหญ่โตที่เกินกว่าเหตุกระจายข่าวไปทั่วโลก   พวกเจ้าพยายามสร้างภาพให้กับตนเองว่าเขาคือพระเจ้าที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ธรรมดา   เป็นบุคคลพิเศษที่จะใช้อำนาจทำอะไรกับใครก็ได้แม้แต่กับลูกเมียตัวเอง

ซึ่งวิธีการหรือแนวความคิดแบบนี้  เป็นหลักวิธีคิดแบบจิตนิยมที่มีมาจากสังคมของระบบทาส   โดยเอาจิตของตนไปกำหนดเอากับวัตถุหรือสิ่งของอื่นตามใจชอบโดยไม่คำนึงถึงหลักความเป็นจริง เพราะความเป็นจริงนั้นคือ มนุษย์ในโลกนี้เกิดมาเหมือนกันหมดต่างกันเพียงแต่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชายแต่เนื้อหาหรือธาตุแท้ของมันก็คือมนุษย์ธรรมดา เป็นวัตถุหรือสสารที่เคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงได้   มนุษย์เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติไม่ใช่พระเจ้าเป็นผู้สร้างมา สิ่งแวดล้อมและสภาพการเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งกำหนดความคิดของมนุษย์  ไม่ใช่เทวดาหรือเทวาอาลักษ์ที่ใหนอย่างที่พวกเจ้าเขาคิดหรือสร้างภาพให้คนเชื่อ  แนวความคิดของพวกเจ้าคือแนวความคิดแบบจิตนิยม  โดยสร้างภาพสมมุติตนเองเป็นเทวดาให้คนเคารพกราบไหว้บูชา   ทำตัวเป็นตัวแทนของพระเจ้า เพื่อตัวเองจะได้ปกครองคนอื่นได้

ดังนั้นกษัตริย์และครอบครัวของเขาจึงไม่ใช่พวกเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไร การใช้ศรรพนามเรียกบุคคลเหล่านั้นว่า "พระเทพฯ ฟ้าหญิง  ฟ้าชาย" เป็นเพียงการสร้างภาพให้แก่พวกเขาเองเป็นการสมมุติให้ดูว่าพวกเขาเป็นคนพิเศษเท่านั้น   ถ้าเราไม่เอาจิตไปกำหนดโดยคิดไปเอง หรือเชื่ออย่างงมงายว่าพวกคนเหล่านั้นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว  พวกเขาเหล่านั้นก็เป็นเพียงคนปกติธรรมดาและไม่มีอะไรเกิดขึ้น    ทุกอย่างอยู่ที่จิตของเรา ธาตุแท้ของมนุษย์ก็คือวัตถุหรือสสารที่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้ มีการเกิด การพัฒนา และดับสูญไปตามกฏของธรรมชาติเท่านั้น

เราอย่าเอาจิตไปกำหนดวัตถุโดยคิดไปเองตามการโฆษณาชวนเชื่อของพวกเขา เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าโลกนี้คือวัตถุเราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้   เช่นถ้าเราต้องการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเราก็ต้องศึกษาหรือค้นขว้าหาข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับแม่น้ำเสียก่อนจึงลงมือสร้างไม่ใช่เอาจิตไปกำหนดหรือคิดไปเองให้เกิดสะพานขึ้นมา ถ้าเราต้องการเปลี่ยนสังคมเราก็ต้องศึกษาให้เข้าใจสังคมนั้นเสียก่อนว่าเป็นสังคมอะไร เช่นสังคมไทยเป็นสังคมกษัตริย์เผด็จการ ถ้าเราต้องการเปลี่ยนให้เป็นสังคมประชาธิปไตยก็ต้องโค่นล้มระบอบกษัตริย์เผด็จการนั้นลงแล้วสร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาแทนซึ่งนี้คือหลักความจริงตามธรรมชาติที่มนุษย์เรามีสิทธิ์จะกระทำได้ซึ่งในหลายประเทศได้ทำสำเร็จมาแล้ว

ดังนั้นทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเราต้องปลดปล่อยตัวเราเองก่อนโดยเริ่มจากแนวความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์มองโลกจากหลักของความเป็นจริงตามหลักของธรรมชาติ มีสติเริ่มต้นจากจิตของเราว่าเราจะสู้หรือไม่สู้ถ้าเราตัดสินใจจะสู้ก็ต้องศึกษาค้นหาวิธีการต่อสู้ และต้องรู้ว่าสู้กับใคร ใครคือศัตรูใครคือมิตร  อย่าลืมว่าประชาชนที่ถูกกดขี่เป็นพลังส่วนมากของสังคมถ้าเราตัดสินใจได้และพร้อมใจกันลุกขึ้นสู้โดยการปฏิเสธไม่ยอมรับระบอบกษัตริย์เผด็จการเท่านั้นพวกมันก็อยู่ไม่ได้.

วชิราลงกรณ์ได้ภาษีราษฎรไปใช้ตามใจชอบ 1 หมื่นล้านบาท

ข่าวในพระราชสำนัก: งบประมาณปีหน้า (2562) วชิราลงกรณ์ได้ภาษีราษฎรไปใช้ตามใจชอบราว 8 พันล้านบาท ถ้ารวมงบสร้างซ่อมวัง อีก 2 พันล้าน ก็เป็นราว 1 หมื่นล้านบาท

ข่าวในพระราชสำนัก: งบประมาณปีหน้า (2562) วชิราลงกรณ์ได้ภาษีราษฎรไปใช้ตามใจชอบราว 8 พันล้านบาท ถ้ารวมงบสร้างซ่อมวัง อีก 2 พันล้าน ก็เป็นราว 1 หมื่นล้านบาท
ร่างงบประมาณปีหน้า ที่ผ่านการ "รับหลักการ" จากสภาตรายาง (แบบหลับๆตื่นๆ) เมื่อไม่กี่วันก่อน ได้จัดสรรเงินราว 8 พันล้าน - 1 หมื่นล้านบาท ให้วชิราลงกรณ์ไปควบคุมใช้จ่ายตามใจชอบ
8 พันล้าน คือ คิดจากงบส่วนที่ในเอกสารงบประมาณเรียกว่า "ส่วนราชการในพระองค์" จำนวน 6,800,000,000 (หกพันแปดร้อยล้านบาท) + กับส่วนที่ขอในนามสำนักปลัด กระทรวงกลาโหม เป็น "งบอุดหนุน" เพื่อ "สนับสนุนการถวายความปลอดภัย สถาบันพระมหากษัตริย์" อีกราว 1.2 พันล้านบาท (1,278,970,800) รวมกันเป็น = ราว 8 พันล้านบาท (8,078,970,800)
งบที่ขอในนามกลาโหมนี้ บางส่วนคงจะใช้สำหรับ "หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์" (ปีกลายจะระบุไว้เลย ปีนี้ไม่ได้ระบุไว้) ซึ่งอันที่จริง ตามกฎหมายส่วนราชการในพระองค์ 2560 จัดอยู่ใน "ราชการในพระองค์" ด้วย ยิ่งกว่านั้น ตาม พรบ.ถวายความปลอดภัยที่ออกมาปีกลาย งานด้านถวายความปลอดภัยทั้งหมด ไม่ว่าหน่วยงานไหนเกี่ยวข้อง จะต้องขึ้นตรงต่อการวางแผนและสั่งการจากหน่วยถวายความปลอดภัยของวชิราลงกรณ์ ภายใต้การบัญชาของราชเลขานุการในพระองค์ ดังนั้น "งบอุดหนุน" ถวายความปลอดภัยที่ทำในนามกลาโหมนี้ คือนำไปดำเนินการโดยวชิราลงกรณ์เอง
ส่วนที่คิดเป็น 1 หมื่นล้าน คือ รวมงบประมาณที่ขอในนามกรมโยธาธิการ กระทรวงมหาดไทย ที่เรียกว่า "โครงการสนับสนุนกิจกรรมพิเศษหลวง" เพื่อ "สนับสนุนการออกแบบ ก่อสร้าง และบำรุงรักษากิจกรรมพิเศษหลวงในเขตพระราชฐาน" พูดง่ายๆคือ งบฯสร้าง-ซ่อมแซม-บำรุงรักษาวังต่างๆ (ผมมีตัวอย่างรายละเอียดการใช้งบฯส่วนนี้ ซ่อม-สร้างวังวชิราลงกรณ์ในอดีตอยู่ เช่นในการเบิกงบซ่อมวังครั้งหนึ่งในปี 2557 มีงบสำหรับ "ห้อง FUFU HOUSE" ["บ้านคุณฟูฟู"] เป็นเงิน 5,500 บาทด้วย เป็นต้น) งบฯส่วนนี้ สำหรับปีหน้า ราว 2 พันล้านบาท (2,276,829,000) เมื่อรวมกับ 8 พันล้านข้างต้น ก็จะเป็นราว 1 หมื่นล้านบาท (10,355,799,800)
(ในอดีต อาคารวังต่างๆอยู่ในการดูแลของสำนักพระราชวัง ซึ่งโดยทางการขึ้นต่อนายกรัฐมนตรี ปัจจุบัน สำนักพระราชวังจัดเป็นส่วนหนึ่งของ "ราชการในพระองค์" ที่กษัตริย์มีอำนาจควบคุมสิทธิ์ขาดโดยสิ้นเชิง)
...........
หมายเหตุ:
(1) เกี่ยวกับงบราชการในพระองค์ปี 61 (ปีนี้ อนุมัติปีกลาย) ดูกระทู้ปีกลายของผม อันนี้ https://t.co/gL9bE9nAMj
และอันนี้ https://t.co/NJDIwWw9VP (2) เทียบกับงบราชการในพระองค์ปี 61 (รวมงบฯด้าน "หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัย") ราว 7 พันล้านบาท ในปี 62 ที่จะถึง เป็น 8 พันล้านบาท คือเพิ่มขึ้นราว 1 พันล้านบาท
(3) งบฯปี 61 ถ้ารวมงบฯสร้าง-ซ่อมวัง (ในกระทู้ปีกลาย ผมไม่ได้รวมไว้) ที่อยู่ในกรมโยธาฯด้วยราวเกือบ 2 พันล้านบาท (1,999,670,000) ก็จะเป็นงบฯปี 61 ราว 9 พันล้านบาท (เทียบปี 62 ตัวเลขข้างต้น 10,355,799,800)
(4) ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ (ราชการในพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัย + งบฯสร้าง-ซ่อมวัง) เป็นงบที่กษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาด ควบคุมดูแล ใช้จ่าย ตามใจชอบโดยตรง ไม่ได้รวมถึงงบประมาณของหน่วยงานต่างๆ ที่ตั้งไว้เกี่่ยวกับสถาบันกษัตริย์ เช่น งบปี 62 ที่เพิ่งผ่านการรับรองไป ในกระทรวงกลาโหม มีงบที่เรียกว่า "โครงการเทิดทูนป้องกัน รวมทั้งตอบโต้และทำความเข้าใจมิให้มีการล่วงละเมิดสถาบันกษัตริย์" จำนวน 23,505,000 บาท (ยี่สิบสามล้านห้าแสน) ด้วย เป็นต้น
#กษัตริย์มีไว้ทำไม

รัชกาลที่ ๑๐ กษัตริย์ที่ไม่สมควรเป็นกษัตริย์

รัชกาลที่ ๑๐ กษัตริย์ที่ไม่สมควรเป็นกษัตริย์

ในหลวงรัชกาลที่10, สมเด็จพระบรมฯ
โดย แสงตะวัน

ถ้าอ้างตามความหมายของ Saint-Just ที่อธิบายไว้ว่า " กษัตริย์นั้นเป็นทรราชโดยธรรมชาติและเป็นอาชญากรรมชั่วนิรันดร  นั้น...
"กษัตริย์ใหม่ที่ชื่อวชิราลงกรณ์เหมาะสมที่สุดตรงตามคำอธิบายของ Saint-Just ที่กล่าวไว้ " ...
Saint-Just อธิบายว่า กษัตริย์นั้นเป็นทรราชโดยธรรมชาติและโดยตัวของมันเอง เราไม่ต้องพิจารณาเลยว่าการกระทำของกษัตริย์หรือการบริหารราชการแผ่นดินของ กษัตริย์มีความผิดทางอาญาหรือไม่ ถ้ากษัตริย์เป็นทรราช   นั่นไม่ใช่เพราะความผิดจากการบริหารราชการแผ่นดินของเขา แต่เขาเป็นทรราชก็ด้วยลักษณะของความเป็นกษัตริย์นั่นแหละ 
 
Saint-Just เสนออย่างชาญฉลาดว่า การที่กษัตริย์ยึดครองอำนาจสูงสุดของประชาชนไปใช้เอง นั่นแสดงให้เห็นว่าลักษณะของความเป็นกษัตริย์เป็นอาชญากรรมนิรันดร (crime éternel) ต่อประชาชน มนุษย์จึงย่อมมีสิทธิสมบูรณ์ในการลุกขึ้นสู้และติดอาวุธ   Saint-Just อธิบายว่า ไม่มีใครสามารถครองราชย์ได้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะ กษัตริย์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นกบฏและเป็นผู้แย่งชิง (usurpateur) อำนาจของประชาชนไป "
ยิ่งถ้าเรานึกถึงปริบทของอำนาจและอภิสิทธิ์มหาศาลที่กษัตริย์มีเหนือสังคมไทย ทั้งทางกฎหมายและการเมือง (ทั้งที่เคยมีอยู่นานแล้ว และที่กษัตริย์องค์นี้สร้างเพิ่มขึ้นในรัฐธรรมนูญ และในกฎหมายราชการในพระองค์ล่าสุด) ทางเศรษฐกิจ (ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และงบประมาณที่รัฐทุ่มเทในการรักษาและโปรโมตสถาบันกษัตริย์) และทางวัฒนธรรมสังคม (การโฆษณาเชิดชูสถาบันกษัตริย์ทุกวันทางสื่อและระบบการศึกษา)ลักษณะสิ้นเปลืองสูญเปล่า การมีอภิสิทธิ์และอำนาจอย่างไร้ความรับผิดชอบ อยู่ในระดับที่เหลือเชื่อและยากจะพบได้ในโลกสมัยใหม่ศตวรรษนี้มากขนาดไหน ก็ลองประเมินกันดู " ( คัดจากบทความ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล )
วชิราลงกรณ์เป็นคนสั่งให้ประยุทธ์ยึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษ์ เมื่อวันที่ 22 พ.ค 2557 ขณะที่ภูมิพลป่วยหนักนอนรอวันตายซึ่งไม่สามารถสั่งการทำอะไรได้     หลังจากภูมิพลตายลง 13 ต.ค. 2559
 
ต่อมาวชิราลงกรณ์ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 10 ได้รวบอำนาจทุกอย่างไว้ในมือและเพิ่มอำนาจทุกอย่างให้แก่ตนเองยิ่งกว่ารัชกาลที่ 9 ผู้เป็นพ่อเสียอีก    เวลานี้เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปในสังคมไทยและทั่วโลกว่าวชิราลงกรณ์คือกษัตริย์จอมเผด็จการที่มีจิตวิตถาร โมโหร้ายเหี้ยมโหดผิดมนุษย์   ประพฤติตัวไม่เหมาะสมที่จะเป็นประมุขของรัฐ เป็นอันตรายต่อชาติ เป็นภัยต่อสังคม  ผลาญเงินภาษีของชาติไปปีละมากมายมหาศาลทำตัวเป็นอันธพาลแห่งชาติ ใช้ชีวิตอย่างเสเพลอยู่ในต่างประเทศ... ฯลฯ
 
ดังนั้นประเทศไทยและประชาชนชาวไทยจึงไม่มีความจำเป็นที่จะมีกษัตริย์เผด็จการทรราชอย่างวชิราลงกรณ์   ระบอบกษัตริย์เผด็จการทรราชได้ถูกโค่นล้มลงไปแล้วตั้งแต่ปี 2475 ประชาชาติไทยและสังคมไทยจะต้องพัฒนาก้าวไปข้างหน้าสู่ประชาธิปไตย  สู่สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ความเท่าเทียมกันของการเป็นมนุษย์ ไม่ใช่จะให้อยู่ใต้ตีนของกษัตริย์ทรราช.จึงเป็นสิทธิและหน้าที่โดยชอบธรรมของพี่น้องชาวไทยทุกคนที่จะลุกขึ้นมาโค่นล้มระบอบเผด็จการกษัตริย์นี้ลง แล้วให้การสนับสนุนการก่อตั้งสหพันธ์รัฐไทตามแนวนโยบายที่ทางสหพันธ์รัฐไทได้ก่อตั้งขึ้นโดยอำนาจทุกอย่างมาจากประชาชนเป็นของประชาชน เพื่อประชาชน และประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจนั้น  เมื่อประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจรัฐแล้วก็จะสามารถบริหารประเทศชาติเพื่อผลประโยขน์ของประชาชนในสังคมตามหลักแห่งความเสมอภาค และความเป็นธรรม มีระบบการตรวจสอบได้ มีระบบการเลือกตั้งที่ยุติธรรมตามระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง

Image may contain: 3 people, people standing