torsdag 29 september 2011

อธิการบดี "สมคิด" จนแต้ม! ลบเพจหนี "ลูกสาวปรีดี"

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ตั้งคำถาม 15 ข้อ ฝากไปยังนักวิชาการ "คณะนิติราษฎร์" ในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีคำถามข้อหนึ่งระบุว่า "ถ้าเรายกเลิกกฎหมายที่ถูกยกเลิกไปแล้วได้ เราจะล้มเลิกการกระทำทั้งหลายและลงโทษคณะรัฐประหารกี่ชุด สุจินดา ถนอม ประภาส สฤษดิ์ จอมพล ป. อ.ปรีดี หรือจะลงโทษเฉพาะคณะรัฐประหารที่กระทำต่อนายกฯทักษิณ"

ส่ง ผลให้นางดุษฎี บุญทัศนกุล บุตรสาวนายปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ถูกนายสมคิดกล่าวอ้างถึงในคำถามดังกล่าว เข้ามาโพสข้อความในหน้ากระดานเฟซบุ๊กของอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คน ปัจจุบันว่า

"อาจารย์เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ ที่พูดพาดพิงถึงนายปรีดีเกี่ยวกับการรัฐประหาร ( เห็นข่าวจากนสพ.หลายฉบับ ) โปรดอธิบายด้วย"

ต่อมา นายสมคิดได้เข้ามาตอบคำถามของนางดุษฎีว่า "ผมเข้าใจท่านปรีดีดีครับ การรัฐประหารกับการปฏิวัติต่างกันครับ แต่อยากให้ผู้คนได้คิดหาเหตุผลตรึกตรองในเรื่องต่างๆ"

จากนั้นบุตรสาวนายปรีดีจึงเข้ามาพิมพ์โต้ตอบกลับอีกสองข้อความว่า "กลับไปอ่านคำให้สัมภาษณ์ของอาจารย์ต่อสาธารณชนก่อนค่ะ" และ "ขอบคุณค่ะ ที่นำปรีดี มาเทียบเท่ากับ สุจินดา ถนอม ประภาส สฤษดิ์ จอมพลป."
ผู้ สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในเวลาประมาณ 18.00 น. ของวันที่ 29 กันยายน เมื่อตรวจสอบไปที่หน้ากระดานเฟซบุ๊กของนายสมคิดอีกครั้งหนึ่ง พบว่า ข้อความโต้ตอบระหว่างนางดุษฎีและนายสมคิดได้ถูกลบหายไปแล้ว

นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่แต่งตั้งโดยนายสุเมธ ตันติเวชกุล พวกสุนัขรับใช้กษัตริย์เผด็จการภูมิพล ออกมาเห่าหอนบิดเบือนประเด็นข้อเสนอของ คณะนิติราษฎร์

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์

วิวาทะร้อนผ่านเฟซบุ๊คข้างต้นมีปฐมเหตุจากสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์เรื่องการลบล้างรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ให้เป็นโมฆะ โดยแสดงความเห็นตอนหนึ่งว่า
"ถ้าเีราจะยกเลิกกฎหมายที่ถูกยกเลิกไปแล้วได้ เราจะล้มเลิกการกระทำทั้งหลายและลงโทษคณะรัฐประหารกี่ชุด สุจินดา ถนอม ประภาส สฤษดิ์ จอมพลป. อ.ปรีดี หรือเฉพาะคณะรัฐประหารที่กระทำต่อนายกฯทักษิณ"

ทำให้ดุษฎี บุญทัศกุล บุตรีของนายปรีดี พนมยงค์ ออกมาแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊คของนายสมคิดว่า อาจารย์เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าคะ ที่พูดพิงถึงนายปรีดีเกี่ยวกับรัฐประหาร โปรดอธิบายด้วย

นายสมคิดตอบว่า ผมเข้าใจท่านปรีดีครับ การรัฐประหารการปฏิวัติแตกต่างกันครับ แต่อยากให้ผู้คนได้คิดหาเหตุผลตรึกตรองเรื่องต่างๆ

บุตรีนายปรีดีตอบว่า กลับไปอ่านบทสัมภาษณ์ของอาจารย์ต่อสาธารณชนก่อนคะ ขอบคุณค่ะที่นำปรีดีมาเทียบเท่า สุจินดา ถนอม ประภาส สฤษดิ์

ทั้งนี้ปรีดีเป็นผู้นำคนสำคัญในการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ต่อมาถูกทำรัฐประหารโค่นล้มลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี2490 โดยคณะรัฐประหารอ้า่งกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 เป็นเหตุ ต่อมาในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2492 นายปรีดีก่อรัฐประหารที่เขาเรียกว่า "ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์"หรือที่นิยมเรียกกันว่า"กบฎวังหลวง"แต่ล้มเหลว ถูกปราบปรามลงสิ้นเชิง ผู้ร่วมขบวนการหลายรายถูกฝ่ายรัฐบาลเผด็จการในเวลานั้นสังหาร และตามกวาดล้างสิ้นซากในเวลาต่อมาอีกหลายปี นายปรีดีลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศตลอดชีวิตที่เหลืออีก 36 ปี และอสัญกรรมในฝรั่งเศส

ปรีดีถูกจดจำในแง่เป็นผู้นำการปฏิวัติการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มากกว่าผู้นำรัฐประหารที่ล้มเหลวในปี 2492 แต่ความแตกต่างของปรีดีกับผู้นำรัฐประหารรายอื่นๆที่สมคิดไม่ได้อธิบายคือ ขณะที่ปรีดีล้มเหลวกลายเป็นกบฎไม่เคยได้รับนิรโทษกรรม ถูกกล่าวหาว่าพัวพันกรณีสวรรคตและอสัญกรรมในต่างแดน

แต่ผู้นำรัฐประหารรายอื่นประสบความสำเร็จ ได้มีอำนาจ ได้รับนิรโทษกรรม ได้รับเกียรติยศอย่างสูงสุดจากอำนาจฝ่ายจารีตนิยมจนถึงวันตายเป็นส่วนใหญ่

ปรีดียังเป็นผู้ให้กำเนิดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่นายสมคิดเป็นอธิการบดีในปัจจุบัน อย่างไรก็ดีในระยะหลังฝ่ายจารีตนิยมเข้า่มามีอิทธิพลเหนือมหาวิทยาลัยแห่งนี้ นายสุเมธ ตันติเวชกุล เป็นนายกสภามหาวิทยาลัย มีอำนาจในการแต่งตั้งถอดถอนอธิการบดี(ดูรายละเอียด) นั่นอาจจะทำให้อธิการบดีของธรรมศาสตร์ในระยะหลังมีแนวโน้มเป็นพวกจารีตนิยมอนุรักษ์นิยม และยืนข้างฝ่ายเผด็จการ

onsdag 28 september 2011



ทนายความตัวจริงออกโรง คัดค้านแถลงการณ์สภาทนายความสมุนอำมาตย์ ชี้ "เสื่อมเสียเกียรติภูมิทนาย"

เผยแพร่วันที่ 28 กันยายน 2554
ใบแจ้งข่าว

แถลงการณ์กลุ่มทนายความและนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน

คัดค้านแถลงการณ์สภาทนายความ


ตามที่สภาทนายความได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2/2554 ขอแสดงความคิดเห็นต่อข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ ความละเอียดปรากฏตามที่อ้างถึงนั้น

กลุ่มทนายความและนักกฎหมายดังปรากฏรายนามท้ายแถลงการณ์นี้ ซึ่งเป็นสมาชิกสภาทนายความ ตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2548 และนักกฎหมายที่ทำงานด้านการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยมีความวิตก กังวลต่อสาระสำคัญของแถลงการณ์ดังกล่าว ที่อาจนำความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของทนายความโดยรวม โดยเหตุที่สภาทนายความมี 2 สถานภาพทางสังคมกล่าวคือ สภาทนายความเป็นสถาบันวิชาชีพที่ออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ที่จะเป็นทนายความ ซึ่งทนายความถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมในการดำเนินการเพื่อส่ง เสริมหลักนิติธรรม (Rule of Law) ร่วมค้นหาความจริงกับอัยการและผู้พิพากษาต่อการกระทำของผู้ต้องหาหรือจำเลย ในคดีอาญาเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย และยังมีหน้าที่ “ผดุงไว้ซึ่งเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ และปฏิบัติตน ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติทนายความ อีกสถานภาพหนึ่ง สภาทนายความพึงเป็นสถาบันของสังคมในการส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สภาทนายความเป็นแถวหน้าของผู้เรียกร้องการปกครองระบอบประชาธิปไตย ต่อต้านอำนาจนิยมและผลักดันให้มีกฎหมายที่ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน สภาทนายความจึงเป็นสถาบันของผู้ประกอบวิชาชีพทนายความและเสาหลักหนึ่งใน สังคมประชาธิปไตย สภาทนายความจึงต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เหมาะสมแก่เกียรติภูมิของสมาชิกและ ประชาชนในสังคมประชาธิปไตย สภาทนายความต้องยึดมั่นในหลักการสำคัญของหลักนิติธรรม หลักสิทธิมนุษยชน และร่วมกันจรรโลงไว้ซึ่งหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันนานาอารยประเทศยึดถือด้วย แต่จากแถลงการณ์ของสภาทนายความ ตามที่อ้างถึง กลุ่มทนายความฯ ขอแสดงความคิดเห็นว่า แถลงการณ์ของสภาทนายความ เป็นการทำลายหลักนิติธรรม และระบอบประชาธิปไตย อันนำความเสื่อมเสียมาสู่เกียรติภูมิของสภาทนายความ

กลุ่มทนายความและนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน ขอแสดงความคิดเห็นดังกล่าว เพื่อแสดงจุดยืนว่า สังคมใดจะเป็นสังคมที่เจริญและสงบสุขได้นั้น สถาบันต่างๆในสังคมต้องยึดมั่นต่อ หลักนิติธรรม สิทธิมนุษยชน และเคารพต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยต้องร่วมกันแสดงความคิดเห็นคัดค้านอำนาจที่มิชอบ เช่น การรัฐประหาร ดังเหตุผลข้างต้น และขอเรียกร้องให้สภาทนายความ ในฐานะสถาบันหลักสถาบันหนึ่งของสังคม จงเป็นที่พึ่งแก่คนยากไร้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมตามกฎหมาย และเป็นสถาบันที่ธำรงไว้ซึ่ง หลักนิติธรรม สิทธิมนุษยชน และหลักประชาธิปไตย ตลอดไป ดังรายละเอียดแถลงการณ์ตามไฟล์ที่แนบมาพร้อมนี้

วันที่ 28 กันยายน 2554

ลงชื่อ

นางสาวเยาวลักษ์ อนุพันธุ์ ทนายความ

นางสาวส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความ

นายศราวุฒิ ประทุมราช นักกฎหมาย

นางสาวพูนสุข พูนุสขเจริญ ทนายความ

นายพนม บุตะเขียว ทนายความ

นางสาวภาวิณี ชุมศรี ทนายความ

นายอานนท์ นำภา ทนายความ

นางสาววราภรณ์ อุทัยรังษี ทนายความ

นายสนธยา โคตปัญญา นักกฎหมาย

นางสาวศิริกาญจน์ เจริญศิริ นักกฎหมาย

นายจุลศักดิ์ แก้วกาญจน์ นักกฎหมาย

นางสาวเกศรินทร์ เตียวสกุล นักกฎหมาย

นํ้าจะท่วมไปเรื่อยๆจนกว่าเสื้อแดงจะยอมแพ้หรือไม่ก็อำมาตย์สูญพันธ์

ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา ปริมาณน้ำฝน (มม.)
2552 2553 1 มค.-26 กย.2554
ภาคเหนือ1190.31303.31231.6
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ1447.3 1434.11150.4
ภาคกลาง1475.71460.61074.7
ภาคตะวันออก1998.51789.91338.6
ภาคใต้ฝั่งตะวันออก1581.51965.31363.7
ภาคใต้ฝั่งตะวันตก2822.52660.01947.9
รวมทั่วประเทศ13067.810613.28106.9


ดู จากปริมาณน้ำฝนทั่วประเทศแล้วสงสัยว่าทำไม่ถึงได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ถึง 2 ปีติดต่อกันทั้งๆที่ในปี 2553 นั้นปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าในปี 2552 และในปีนี้ปริมาณน้ำฝนก็ไม่ได้มากจนผิดปกติแต่อย่างใด

เมื่อปีที่ แล้วนั้นสังเกตุเห็นความผิดปกติจากการปล่อยน้ำออกจากเขื่อนต่างๆจนทำให้ โคราชเกิดน้ำท่วมใหญ่เป็นครั้งแรกและเกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ซึ่งเรามี โอกาสได้ไปดู ถ่ายรูปและพูดจากับชาวบ้านที่ประสบภัยจนทำให้อดคิดไม่ได้ว่าน้ำท่วมครั้ง นั้นเกิดจากการจงใจโดยน้ำมืออำมหิต

จนมาถึงปีนี้ดูเหมือนการระบายน้ำ จากเขื่อนต่างๆในช่วงเวลานี้เป็นไปอย่างปกติและดูเหมือนกรมชลประทานเองก็ พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะกักน้ำและปล่อยน้ำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด แต่ก็ยังเกิดน้ำท่วมซึ่งดูเหมือนจะรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา สิ่งที่น่าจะผิดปกติก็คือการกักเก็บน้ำและการปล่อยน้ำก่อนหน้านี้ตั้งแต่ต้น ปีจนถึงกรกฎาคมซึ่งมีการกักเก็บน้ำไว้มากและระบายน้ำออกน้อยมากในภาคเหนือ และภาคกลาง ปริมาณน้ำสะสมจึงมีอยู่มากอยู่มากเมื่อเข้าหน้าฝนปริมาณน้ำในเขื่อนจึงล้นจน ต้องระบายออกมาในจังหวะที่ฝนตกหนักติดต่อกันทำให้เกิดน้ำท่วมขึ้น และปริมาณน้ำนั้นมากจนไม่สามารถระบายได้ทันก็ไหลมารวามกันยังพื้นที่ต่ำกว่า ไล่ลงมาทีละจังหวัดอย่างที่เป็นอยู่จนถึงวันนี้ เปรียบเสมือนการจราจรในกรุงเทพฯ ถ้าเราบล็อคถนนสายหลักแค่เส้นเดียวซักสองถึงสามชั่วโมงจากนั้นก็ระบายรถตาม ปกติเชื่อว่าการจราจรจะเป็นอัมพาตไปทั่วกรุงเทพฯทั้งวันอย่างแน่นอนแม้ว่า ตำรวจจราจรจะพยายามแก้ไขกันอย่างเต็มที่ก็ไม่มีทางคลี่คลายได้ง่ายๆ

หลักการทำให้น้ำท่วมก็คงไม่ต่างจากการจงใจทำให้รถติดมากนักที่ต่างกันคือความสูญเสียและความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อประเทศชาติและประชาชน

เรา พยายามหาเหตุผลที่อภิสิทธิ์ชิงยุบสภาทั้งๆที่ยังสามารถหน้าด้านอยู่ต่อไปได้ จนครบเทอมโดยมี อมาตย์ ทหาร ศาล สื่อ นักวิชาการขายตัวคอยโอบอุ้มอยู่ ทั้งๆที่รู้ตัวอยู่แล้วว่าเลือกตั้งก็ต้องพ่ายแพ้แก่พรรคเพื่อไทยอย่างขาด ลอย อีกทั้งเงื่อนเวลาที่ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ จนตั้งรัฐบาลใหม่ก็จำเป็นที่จะต้องใช้งบประมาณเดิมที่นายอภิสิทธิ์ทำไว้อีก หลายเดือนกว่าจะได้ตั้งงบประมาณของตนเอง

อดคิดไม่ได้ว่านี่คือแผนการ ที่ถูกกำหนดไว้โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้พรรคเพื่อไทย เสื่อมความนิยมลงจากความเดือดร้อนของประชาชนทั่วประเทศและการที่รัฐบาลไม่ สามารถทำตามนโยบายต่างๆได้เนื่องจากอุปสรรคจากปัญหาภัยพิบัติ ปัญหาการเมืองทั้งในและนอกสภา ปัญหาจากงบประมาณที่มีเหลืออยู่อย่างจำกัด จะเห็นได้ว่ารัฐบาลชุดที่แล้วเร่งผลาญงบประมาณกันจนหมดทุกกระทรวง รวมถึงงบกลางที่มีการโยกไปยังกระทรวงต่างๆที่ผลาญจนงบประมาณเหลือไม่พอที่จะ จ่ายเงินเดือนข้าราชการ เช่นกระทรวงศึกษานั้นโยกงบกว่า 20,000 ล้านเพื่อจ่ายเงินเดือนครูในช่วงรัฐบาลรักษาการเป็นต้น




เรื่องนํ้าท่วม เราขอเสนอให้ถามไปยังกษัตริย์ภูมิพล เพราะท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญโครงการเขื่อนกั้นนํ้า ท่านคงมีแผนอะไรอยู่ในใจ ท่านบอกลูกสาวคนเล็กว่าปีนี้นํ้าจะท่วมแต่ปีหน้านํ้าจะไม่ท่วม

ขออนุญาตตั้งกระทู้เล่าเรื่องน้ำท่วม ที่ห้องนี้นะครับ

เพราะไปตั้งที่ห้องสังคม เกรงว่ากระทู้จะตกไปก่อนที่ "คุณปุ้ย" จะทันได้เห็น

--------

จากการตระเวณดูน้ำท่วมในเขต จ. ลพบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง ชัยนาท และอยุธยา
อยากบอกผ่านคุณปุ้ยไปยังพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลว่า น้ำท่วมครานี้ "หนักหนาสาหัสมาก"

วันนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดถึงสาเหตุ หรือแนวทางแก้ไขปัญหาระยะยาวในอนาคต
เพราะวันนี้เราคงทำได้แค่เร่งคิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้ผู้ที่ประสบภัยน้ำท่วมมีทุกข์เหลือน้อยที่สุด


เท่าที่ตระเวณดูเหตุการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ดังกล่าว

ปัญหาหนักมาก....ยอมรับ

แต่ปัญหาไม่น่าจะหนักเหมือนทุกวันนี้ (ถ้าหน่วยงานที่รับผิดชอบและข้าราชการในพื้นที่ทุ่มเทให้กับการแก้ปํญหามากกว่านี้)

จนผมไม่แน่ใจว่ารัฐบาลถูกข้าราชการวางยา หรือ ซ้ำเติมปัญหาด้วยการไม่พยายามร่วมมือในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหรือไม่


ผมดูเหตุการณ์แล้วผมก็สงสัย
เมื่อประตูน้ำบางโฉมศรี (อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี) แตก
ผู้รับผิดชอบทุกฝ่ายทำได้แค่บอกกับประชาชนว่า ประตูน้ำแตกแล้ว ....เท่านั้นหรือ

วิศวกรเต็มเมือง แต่ประเทศนี้ไม่สามารถซ่อมแซมประตูน้ำที่แตกได้... อย่างนั้นหรือ
ถึงได้ปล่อยให้น้ำไหลบ่าเข้าท่วมเมืองแล้วเมืองเล่าจนเสียหายยับเยิน


ผมยืนมองน้ำเชี่ยวกรากที่ไหลลอดผ่านสะพานเชียงราก ซึ่งเชื่อมถนนจาก อ.ตากฟ้า -อินทร์บุรี
ชาวบ้านบอกว่า มีจนท. มาดูแล้ว แต่ยังไม่เห็นทำอะไร

ผลก็คือวันนี้ ถนนสายนี้ถูกปิดเนื่องจากสะพานดังกล่าวทรุดตัว


บ่ายวันนี้ ผมขับรถกลับจากสิงห์บุรีเข้าตัวเมืองลพบุรีทางด้านเหนือของเมือง ซึ่งน้ำกำลังทะลักเข้าท่วมอย่างน่ากลัว
รถติดยาวเหยียดหลายกิโลเมตรทั้งด้านเข้าและออก
เหตุเพราะ ถนนสี่เลน + ไหล่ทาง เหลือเพียงด้านละเลน เนื่องจากมีชาวบ้านอพยพหนีน้ำขึ้นมาพักอาศัยสองข้างทาง

ซ้าร้ายก่อนถึงสะพานข้ามเข้าสู่ตัวเมือง (บริเวณวัดมณีชลขันธ์)
น้ำจากทุ่งด้านตะวันออกกำลังไหลบ่าข้ามถนน เพื่อลงไปหาแม่น้ำลพบุรีสูงราวสัก 1 ฟุต ทำให้รถต้องชลอความเร็วลง
ผลก็คือ เกิดรถติดสะสมจนยาวเหยียดดังกล่าว

ผมนึกในใจแบบคนโง่ ๆ ว่า นี่ถ้าผมมีอำนาจหน้าที่
ผมจะควบคุมให้เดินรถทางเดียว โดยให้รถออกจากเมืองใช้เส้นทางสายดังกล่าวนี้
ส่วนผู้ต้องการเข้าเมือง หรือผ่านเมือง ก็ให้ใช้ถนนเลี่ยงเมืองซึ่งอยู่เหนือจุดวิกฤตินี้ไปราว 5 ก.ม.

แต่แปลก ....คนเก่ง ๆ บ่าเต็มไปด้วยขีด กลับไม่มีใครคิด หรือสั่งการแก้ไขปํญหา (ทั้งที่ปัญหาเกิดมาทั้งวัน)


ที่ผมยกตัวอย่างมาค่อนข้างละเอียดนี้
เพราะผมสงสัยว่า ชาวบ้านระดับรากหญ้ายังพูดถึงแนวทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบเดียวกับที่ผมเขียนเล่าให้ฟัง
แล้วข้าราชการซีสูง ๆ ในจังหวัดที่มีเหตุการณ์ มีหรือจะไม่รู้

ถ้ารู้ทำไมไม่ทำ
ถ้าเกินความสามารถ หรือเกินกำลัง ทำไมไม่ร้องขอการสนับสนุนจากส่วนกลาง


ผมยังไม่อยากคิดว่า พวกคุณกำลัง "ทำงาน" ที่มีเป้าหมายในการล้มรัฐบาลชุดนี้
และขออย่าให้ต้องเลยเถิดไปว่า เพื่อบรรลุเป้าหมาย พวกคุณต้องช่วยกันทำทุกทางให้ชาวบ้านเดือดร้อนแสนสาหัสมากกว่านี้

ระวังนะครับ เดือดร้อนกันมากเข้า จนชาวบ้านลุกฮือขึ้นก่อจลาจล

อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นนะครับ

*

ปัญหาอุทกภัยนํ้าท่วมกลายมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกษัตริย์ภูมิพลใช้กดดันรัฐบาลยิ่งลักษณ์

ปัญหาอุทกภัยน้ำท่วม
ปัญหา น้ำท่วมเป็นปัญหาใหญ่ในบ้านเมืองเรา แต่ละปีจะมีอุทกภัยน้ำท่วมเกิดขึ้นทำให้ประชาชนล้มตาย  บ้านเมืองเสียหายไม่มีที่ทำมาหากิน เขื่อนต่างๆที่สร้างขึ้นสำหรับเก็บน้ำและระบายน้ำก็สร้างขึ้นตามโครงการหลวง หรือในหลวงเป็นผู้กำหนดตามโครงการของพระองค์จะผิดหรือถูกอย่างไรไม่มีใคร สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ ส่วนเงินที่สร้างโครงการเหล่านั้นก็มาจากเงินภาษีของราษฎร เมื่อสร้างเขื่อนต่างๆนั้นเสร็จ ก็ตั้งชื่อเขื่อนไปตามชื่อของตัวเองและลูกเมีย  เช่น เขื่อน “ภูมิพล “ เขื่อน “ สิริกิต” เขื่อน  “ อุบลรัตน์ “  ฯลฯ เป็นต้น คล้ายๆกับว่าเขื่อนต่างๆเหล่านั้นเป็นของกษัตริย์  ที่จริงแล้วเรื่องโครงการเหล่านี้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่บริหารประเทศไม่ ใช่หน้าที่ของกษัตริย์
เมื่อ กษัตริย์สามารถควบคุมโครงการต่างๆในการสร้างเขื่อนไปทั่วประเทศก็มีอำนาจที่ จะบรรดาลหรือสั่งให้เจ้าหน้าที่บริหารเขื่อนเหล่านั้นทำตามความประสงค์ของตน ในการปิดหรือเปิดเพื่อระบายน้ำ  จะเห็นได้ว่ามีบางปีที่ฝนตกไม่มากแต่กลับมีน้ำท่วมนั้นก็เป็นเพราะกษัตริย์ ภูมิพล ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เปิดเขื่อนระบายน้ำจะด้วยเหตุผลอันใดก็แล้วแต่ ผลปรากฏว่ามีประชาชนล้มตายจากภัยน้ำท่วมและบ้านเมืองเสียหายทางภาคเหนือ ภาคอิสาน ไปจนถึงภาคใต้ทั่วประเทศ เป็นอันว่ากษัตริย์สามารถบรรดาลได้ว่าจะให้น้ำท่วมหรือไม่ท่วมทางภาคไหนของ ประเทศ โดยจะสามารถสั่งให้เจ้าหน้าที่ ที่ดูแลเขื่อนเปิดและปิดเขื่อนได้ตามอำเภอใจ
ปัญหา ภัยน้ำท่วมจึงกลายมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างหนึ่งของภูมิพลที่นำมา ใช้เพื่อเป็นการกดดันแก่รัฐบาลที่ตนเองไม่ได้แต่งตั้งขึ้น เช่นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ประชาชนเลือกขึ้นมาโดยเสียงข้างมาก 
จะ เห็นได้จากการที่ภูมิพลได้ให้ลูกสาวคนเล็ก นาง “ ถั่วปากอ้า “ ออกมาพูดว่า  “ ปีนี้พ่อฉันว่าน้ำจะท่วมแต่ปีหน้าน้ำจะไม่ท่วม”  การให้ลูกสาวออกมาพูดเช่นนี้เป็นการสื่อสารอะไรถึงปวงชนชาวไทย  มันเป็นการสื่อสารว่า ปีนี้พ่อฉันจะสั่งให้เจ้าหน้าที่เขาเปิดเขื่อนระบายน้ำทั้งหมดในทั่วประเทศ เพื่อระบายน้ำ ส่วนน้ำจะท่วม ประชาชนจะเดือดร้อนล้มตาย  บ้านเมืองจะเสียหายอย่างไรปล่อยให้เป็นเรื่องของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นผู้ แก้ไข  ข้าไม่เกี่ยวเพราะข้าอยู่เหนือการเมืองอยู่แล้ว  ถ้าประชาชนชาวไทยไม่ยอมอยู่ใต้ตีนของข้าแล้วน้ำจะท่วมตายสักเท่าไหร่ก็ไม่ เป็นไร  เพราะกษัตริย์และราชินีเคยพูดเสมอว่า  “ ประชาชนจะตายเป็นหมื่นเป็นแสนก็ยอม ขอให้ราชบัลลังก์ปลอดภัยก็ใช้ได้ “
กษัตริย์ ภูมิพลจึงให้ นาง “ ถั่วปากอ้า “ ลูกสาวคนเล็กออกมากล่าวเป็นการเตือนให้ประชาชนไทยทราบ  ซึ่งความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของเธอที่จะออกมาพูดเช่นนั้น  เพราะประชาชนได้เลือกรัฐบาลของเขาขึ้นมาเพื่อบริหารประเทศอยู่แล้วจึงมี หน้าที่ในการแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมไม่ใช่หน้าที่ของนาง “ ถั่วปากอ้า “
ถ้า กษัตริย์ ภูมิพลเป็นตัวปัญหาที่ทำให้เกิดอุทกภัยน้ำท่วมขึ้นทั่วประเทศ ทำให้มีผู้คนล้มตายบ้านเมืองเสียหายมาทุกๆปีเช่นนี้  เมื่อไหร่ที่ไม่มีกษัตริย์ภูมิพลอยู่ในโลกนี้อีกแล้ว เมื่อนั้นปัญหาต่างๆเหล่านี้ก็คงจะหมดไปจากประเทศไทย  ปวงชนชาวไทยคงจะอยู่เย็นเป็นสุขไม่มีอุทกภัยน้ำท่วมมาเบียดเบียนอีกต่อไป.

โดย ดารา

tisdag 27 september 2011

มาอีกแล้วผู้เผด็จการ จอมสร้างภาพ หัวหน้าคณะลิเกลวงโลก ที่ทำให้ประเทศชาติวุ่นวาย เศรษฐกิจเสียหาย สังคมแตกแยก และบงการสั่งฆ่าประชาชนมาอย่างต่อเนื่องจนถึงเวลาปัจจุบัน โดยปรกติ การบริหารประเทศเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ประชาชนเลือกมา ไม่ใช่หน้าที่ของกษัตริย์ที่จะออกมานั่งสั่งสอนคน ทั้งๆที่พูดคนฟังไม่รู้เรื่อง การกระทำเช่นนี้ของกษัตริย์ภูมิพล แสดงให้เห็นได้อย่างโจ่งแจ้งเลยว่ากษัตริย์ภูมิพลใช้อำนาจและบทบาดของตนที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญเข้าแซกแซงการเมืองการบริหารของประเทศ ซึ่งกษัตริย์ไม่ควรกระทำ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของกษัติย์ ถ้าต้องการเล่นการเมืองก็ควรลาออกจากการเป็นกษัตริย์เสียก่อนจึงมาสมัคร สส. แข่งกับขบวนการเสื้อแดง

แสดงอภินิหาร เหนือรัฐธรรมนูญ หรือเจรจาสงบศึก นายกฯคุยรู้เรื่องรึ?!?

รูปภาพ
 นายกปูผมเป็นคนเลือกมา..ส่วนอีกคนผมไม่ได้เลือก!!!
:cry: :cry: :cry:

söndag 25 september 2011

นาย อันเดอร์ส บอย ปฏิเสธ ข้อเสนอของกษัตริย์กุสตาฟ
.กษัตริย์สวีเดนต้องการเงินงบประมาณเพิ่มอีกเกือบ ๕ ล้าน โครน สำหรับการดูแลความปลอดภัยให้แก่ครอบครัวกษัตริย์ ( คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ ๒๐ ล้านบาท )  แต่นายอันเดอร์ บอย รัฐมนตรีกระทรวงการคลังปฏิเสธ  
ความแตกต่างระหว่างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงกับระบอบเศรษฐกิจพอเพียงของภูมิพล
นายอันเดอร์ บอย  เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของประเทศสวีเดนซึ่งเป็นรัฐบาลฝ่ายขวาโดยมีนายฟีเดอริค เรนท์เฟลร์ เป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดปัจจุบัน ตามข่าวของหนังสือพิมพ์อัปตอนบลาด ลงเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๔ นี้ว่า  กษัตริย์กุสตาฟ  แห่งประเทศสวีเดนได้เสนอต่อรัฐบาลขอเพิ่มเงินงบประมาณค่าดูแลด้านความปลอดภัยให้แก่ครอบครัวของกษัตริย์เป็นเงิน ๕ ล้านโครน (คิดเป็นเงินไทยประมาณ ๒๐ ล้านบาท)  แต่ถูกนายอันเดอร์ บอย รัฐมนตรีกระทรวงการคลังปฏิเสธ  โดยไม่ให้เหตุผลใดๆทั้งสิ้น  หลังจากนั้นมีคนเป็นจำนวนมากเห็นด้วยกับรัฐมนตรีกระทรวงการคลังโดยให้ความเห็นว่ากษัตริย์กุสตาฟควรจะออกมาทำมาหาเลี้ยงชีพกินเองอย่างคนธรรมดาไม่จำเป็นต้องให้รัฐบาลจ่ายค่าเลี้ยงดูจากเงินภาษีของประชาชน  บางรายยังบอกว่ากษัตริย์เองต้องรู้จักคำว่าพอเพียงกับฐานะความเป็นอยู่ของตัวเองเพราะกษัตริย์และครอบครัวไม่ได้ทำงานอะไร แต่มีพระราชวังอยู่อย่างใหญ่โต กินฟรี อยู่ฟรีทั้งหมด  ลูกๆของกษัตริย์เองยังต้องให้รัฐบาลจัดงบประมาณค่าใช้จ่ายให้อีกต่างหาก
นี่คือกษัตริย์ในประเทศที่มีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ  เรียกการปกครองแบบนี้ว่าระบอบการปกครองที่ประชาชนมีอำนาจสูงสุดโดยให้รํฐบาลที่เป็นตัวแทนของ ประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจนั้น  ไม่ใช่กษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจเหมือนในเมืองไทย
ถ้าเปรียบเทียบกับกษัตริย์ของไทย  คือกษัตริย์ภูมิพลและครอบครัวโดยต้องใช้ทหารถึง ๓๐๐๐๐ คนเพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่ตนเองและครอบครัว อีกทั้ง ค่าเลี้ยงดูกษัตริย์และครอบครัวปีละ ๒๐๐๐ กว่าล้าน บาท  ค่าจัดงานวันเกิดอีกทุกๆปี ประมาณ ๔๐๐ ๕๐๐ ล้านบาท นอกจากนั้นกษัตริย์ภูมิพลยังมีรายได้จากการบริจาคอื่นๆอีกแต่ละวันมีมูลค่ามากมายมหาศาลโดยไม่ต้องเสียภาษีและไม่ต้องชี้แจงว่าจะนำไปใช้อย่างไร  กษัตริย์ภูมิพลยังมีรถราคาแพงคันละ ๑๐๐ ล้านบาทตั้งหลายคัน มีเฮรี่คอปเตอร์ชนิดพิเศษใช้ส่วนตัวราคาแพงเครื่องละประมาณ ๒๐๐- ๓๐๐ ล้านบาท หลายเครื่องมีเครื่องบินส่วนตัวอีกคิดเป็นเงินหลายพันล้านบาท มีสระว่ายน้ำให้หมาอีกด้วย  ในขณะเดียวกันกษัตริย์ภูมิพลได้ออกมาพูดสั่งสอนให้ประชาชนใช้เศรษฐกิจอย่างพอเพียง  ซึ่งมันเป็นการสวนทางกับการดำรงชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของกษัตริย์และครอบครัวที่อยู่อย่างหรูหราฟุ่มเฟือย ต่างกับประชาชนที่ไม่มีจะกิน
ฉนั้นกษัตริย์ภูมิพลควรจะได้เรียนรู้ทฤษฎีพอเพียงเสียใหม่จากนายอันเดอร์ส  บอย รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของประเทศที่เขาเจริญแล้วอย่างสวีเดนเสียบ้าง



หลังจากความฝันร้ายระหว่างไทยกัมพูชาที่รัฐบาลทรราชอภิสิทธิ์ได้กระทำขึ้นเพื่อให้ทั้งสองประเทศทะเลาะกันตามนโยบายของภูมิพล แต่ภายใต้รัฐบาลของประชาชน สัมพันธไมตรีของสองประเทศกลับดีขึ้นมีการเตะบอลสามัคคีกัน

torsdag 22 september 2011

เราขอแสดงความยินดีกับผลิตผลบองประชาธิปไตยรุ่นแรกของไทย


 
โพสต์เมื่อ: กันยายน 21st, 2011, 8:57 pm 


,

รูปภาพ

รูปภาพบนกระดาน

‎....นี่คือผลผลิตจากเงิน"บาป"กระนั้นหรือ?...

นาย สุนทร เมืองมนประเสริฐ
การศึกษา
ปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเมจิ (ประเทศญี่ปุ่น)
คณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์
เอกวิชา เคมีประยุกต์
เป็น นร.ในโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนของ"ทักษิณ"
ซึ่งระหว่างที่เรียนอยู่ญี่ปุ่น ก็ทำงานเป็นล่ามให้ผู้ขายสินค้าโอท็อป
ในงานแสดงสินค้าที่ญี่ปุ่น...
สำหรับโครงการนี้ ฝ่ายตรงข้ามนำมาโจมตีว่าเป็นการเอาเงิน"บาป"มาใช้ผิดวัตถุประสงค์

และเมื่อวานนี้เอง ทางทำเนียบฯได้เปิดให้นร.ทุนจำนวน 100 คน
เข้ารับฟังโอวาทจาก"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"...

จาก นั้น นายสุนทร เมืองมนประเสริฐ นักเรียนทุนจากจ.นครปฐม ที่ได้รับทุนไปศึกษาปริญญาตรีที่ญี่ปุ่น รุ่นที่ 1 ปี 2547 กล่าวตอนหนึ่งว่า พวกตนทุกคนมีความดีใจที่รัฐบาลสนับสนุนโครงการนี้ต่อเนื่อง โดยไม่ลืมเยาวชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ บางคนยากจน ขาดโอกาส แต่ยังได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาล ในฐานะตัวแทนนักเรียนต้องขอขอบคุณ และยืนยันว่าจะนำโอกาสที่ได้รับครั้งนี้ กลับไปพัฒนาท้องถิ่น ให้สมกับความตั้งใจของโครงการดังกล่าว ตนเป็นนักเรียนรุ่นแรก ปี 2547 ยังจำคำกล่าวของพ.ต.ท.ทักษิณ และพร้อมนำมาปฏิบัติอย่างขึ้นใจ ในประโยคที่ว่า "ให้ไปเรียนมาให้จบ และกลับมาพัฒนาชาติ" คำๆนี้ทุกคนยึดมั่น และจะกลับมาสานต่อให้กับสังคมและประเทศชาติ เพื่อที่การให้ครั้งนี้จะได้ไม่มีที่สิ้นสุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายสุนทรกล่าวถึงพ.ต.ท.ทักษิณ และยืนยันจะทำตามคำสอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ถึงกับน้ำตาคลออีกครั้ง และพยายามกลั้นน้ำตาไว้ ....

ทั้ง นี้โครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน เริ่มสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ เมื่อปี 2547 แต่ถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีอย่างหนักว่านำเงินบาปจากหวยบนดินมาใช้ผิดประเภท

โดย: หน่วยงานลับ แดงใต้ดิน

http://www.facebook.com/photo.php?fbid= ... =1&theater

_________________

tisdag 20 september 2011

เมื่อท่านอ่านบทความนีัแล้วก็จะเข้าใจว่าใครคือปีศาจตัวจริงที่ขัดขวางระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยมากว่า ๖๐ ปี

๕ ปีที่เห็น “มือ” โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ๕ ปีที่เห็น มือ
โดย กาหลิบ

๑๙ กันยายนของทุกปีจากนี้ไป คือวันการเมืองที่ต้องนำมาตีความทางประวัติศาสตร์การเมืองกันอย่างจริงจัง แต่ละปีที่มวลชนไทยร่วมต่อสู้และได้รับอิสรภาพและความเป็นธรรมเพิ่มขึ้น ก็จะเกิดข้อมูลและหลักฐานที่ชัดเจนขึ้น ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของมวลชนก็จะกระจ่างใสขึ้นโดยลำดับ
ความเข้าใจ หรือโดยศัพท์ปัจจุบันคือ ตาสว่างจะ เกิดรวดเร็วกว่าเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ โศกนาฏกรรม ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ และพฤษภาทมิฬเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕ ด้วยซ้ำ เพราะอำนาจควบคุมความเข้าใจทางสังคมกำลังค่อยๆ หลุดมือจากผู้เผด็จการเบ็ดเสร็จของไทยมาสู่สาธารณชน การทำให้คิดไปในทางเดียวกันโดยไม่กล้าคิดแย้ง หรือมีปัญญาก็ไม่กล้าใช้ เริ่มลดลง
หลาย ท่านได้เขียนหรือพูดเพื่อตีความเหตุการณ์รัฐประหารไปแล้ว และควรสนับสนุนให้อีกหลายท่านออกมาแสดงความเห็นอีก เวลาผ่านมาแล้ว ๕ ปีแต่มวลชนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับ อนุญาตให้ รู้ว่าการปล้นอำนาจอธิปไตยเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๙ เกิดจากปมใดเป็นหลัก ได้ยินแต่บทละครเรื่องเดิมว่าต้องยึดอำนาจก่อนที่รัฐบาลของประชาชนจะกลาย เป็น เผด็จการเท่านั้น
หลักคิดนี้ก็แปลกดี เพราะผู้ที่ออกมายึดอำนาจรัฐประหารรัฐบาลของประชาชนได้ คงไม่ถือว่าตัวเป็นประชาชน แล้วคนเหล่านี้คือใคร ในหมู่ พวกเขาใครเป็นนาย ใครเป็นบ่าว ใครเป็นนาย ใครเป็นพล เขาแบ่งหน้าที่และจัดสรรผลประโยชน์เพื่อป้องกันความขัดแย้งกันเองอย่างไร
คำว่า อำมาตย์จึงถูกนำมาใช้งานอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เพื่อเป็นตัวแทนของความรู้สึกที่มวลชนมีต่อชนชั้นที่อยู่เหนือกว่าตน
ส่วน อำมาตย์มีชนชั้นภายในระบอบอันฉ้อฉลของตนอย่างไร มวลชนก็ค่อยๆ เรียนรู้เพิ่มและทำความเข้าใจมาโดยลำดับ
สิ่ง นี้คือวุฒิภาวะทางประชาธิปไตยของไทย ซึ่งจะเกิดช้ามากหรือไม่เกิดเลยหากไม่มีรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เพราะองค์ประกอบอื่นๆ ของการยึดอำนาจนั้นซับซ้อนและมองยากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการโหมโรงของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การข่มขู่คณะกรรมการการเลือกตั้งทั้งสามจนต้องติดคุกโทษฐานที่ไม่รับคำสั่ง ตน การกดดันให้นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นลาออกหรือพักงานของตัวเองไปช่วงหนึ่ง การยกเลิกผลการเลือกตั้งที่มวลชนแสดงเจตนารมณ์แล้ว การทำลายอย่างมีระบบโดยฝีมือตุลาการและองค์กรอิสระ
แต่ทหารที่เคลื่อนพลและอาวุธออกมายึดอำนาจนั้นมองเห็นได้ชัดกว่ามาก
โดย ภาพรวมแล้ว ภาพอำพรางของระบอบการปกครองที่เป็นจริงของไทย ใช้เวลานานหลายสิบปีเชื่อมต่อชิ้นส่วนต่างๆ เข้าเป็นระบบเดียวกัน และยังทดลองใช้แบบลองผิดลองถูกมาตลอดกว่าจะลงตัวและนำมาใช้ซ้ำได้อย่างมั่น ใจ แต่มวลชนใช้เวลาเพียงห้าปีในการถอดรหัส
จะเกลียดชังการรัฐประหารอย่างไรก็ตาม แต่ปิศาจตนนี้เป็นเหตุให้มวลชนไทยยกระดับความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
เรียกอย่างฝรั่งว่า “necessary evil” หรือ ปิศาจที่จำเป็นก็ยังได้
อรรถ ประโยชน์ของการรัฐประหารที่เกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ จึงเกี่ยวพันกับองค์ความรู้ทางประชาธิปไตย ถึงตัวการรัฐประหารจะเป็นเพียงเครื่องมือหรือกลไกอีกชิ้นหนึ่งก็จริง แต่ทำให้ผู้สังเกตการณ์อย่างเราๆ ท่านๆ มองเห็นเครื่องจักรใหญ่หรือโรงงานทั้งโรงได้อย่างกระจะตา
แล้วดูสิว่า เมื่อมวลชนรู้ทันและตาสว่างแล้วการพัฒนาประชาธิปไตยไทยเกิดขึ้นได้รวดเร็วขนาดไหน
เอา ห้าปีมาสู้กับหลายสิบปีอย่างไรก็สู้ได้ แล้วยังอีกห้าปีหรือสิบปีต่อไปอีกเล่า ระดับความรู้และความเข้าใจจะเพิ่มขึ้นไปถึงไหน ถึงผู้คนที่วางแผนโฆษณาชวนเชื่ออยู่ในขณะนี้ จนสื่อโฆษณาล้นทะลักไปทั้งจอเงิน จอแก้ว สิ่งพิมพ์ จนถึงข้างตึก จะทำงานเต็มที่ (และโกยเงินกันเต็มที่) แต่ลึกๆ ต่างก็กลัวอยู่ในใจว่าจะสู้ความเร็วของการเรียนรู้ภาคประชาชนไม่ไหว
ข้อเสนอ ปรองดองถึง ได้เกิดขึ้น ในฐานะยุทธวิธีเพื่อดำรงสถานภาพ ไม่ใช่เพื่อแก้ไขปัญหาอันแท้จริงของประเทศ และเมื่อเกิดขึ้นแล้วมวลชนส่วนใหญ่เขาก็ยังเคลือบแคลงสงสัยว่าจะเป็นไปได้ จริงหรือ ก็เห็นฆ่าฟันกันโครมๆ อย่างไม่เห็นแก่ชีวิตเลือดเนื้อของประชาชนอย่างนี้แล้ว
จะให้เขาเชื่อได้ ผู้เผด็จการไทยจะต้องลงทุนและเสียสละมากกว่าเงื่อนไขในกรอบ ปรองดอง
โดยเฉพาะเมื่อยุทธศาสตร์ มือที่มองไม่เห็นมันพังพินาศไปแล้ว.
-----------------------------------------

måndag 19 september 2011

นิ่มแต่เคี้ยวไม่ง่าย ! วิเคราะห์ข่าว เป็นการวิเคราะห์ที่ค่อนข้างตรงประเด็น !

นิ่มแต่เคี้ยวไม่ง่าย!
รูปภาพ

วัน เวลา เวียนบรรจบครบรอบ 5 ปีเต็ม เหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549

ตามจังหวะบังเอิญจงใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในสถานะ “อดีตผู้นำพลัดถิ่น” ที่ถูกปฏิวัติโค่นล้มอำนาจ นั่งเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว บินโฉบมาปักหลักอยู่ที่ประเทศกัมพูชา ป้วนเปี้ยนๆห่างชายแดนประเทศไทย ใกล้บ้านเกิดเมืองนอนแค่คืบ

โดยบรรยากาศที่กรุงพนมเปญเหมือนที่จัดงานชุมนุม “คนรักทักษิณ” เต็มไปด้วยหัวขบวนกลุ่ม นปช. แกนนำ และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย รวมถึง ส.ว.ในเครือข่าย ตบเท้าต้อนรับกันคึกคัก

“นายใหญ่” ยังเดินเกมการตลาดช่วงชิงพื้นที่ข่าว รักษามวลชนเสื้อแดงไว้อย่างเหนียวแน่น

ที่แน่ๆตั้งท่าแลกหมัด กั๊กเกมกับพวกที่จ้องล้มกระดานอีกรอบ

ตามจังหวะที่ “สารวัตรเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ส่งสัญญาณให้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งคืนสำนวนคดีการเสียชีวิตของแนวร่วมคนเสื้อแดง นปช. 13 ศพ ที่ยังมีเหตุสงสัยมาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ คืนให้กับกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ดำเนินการต่อ ตามขั้นตอนตำรวจจะส่งสำนวนให้อัยการ เพื่อนำสู่กระบวนการศาล

โดยการเกาะติดของสื่อต่างประเทศ ทั้งเอเอฟพีที่รายงานบทสัมภาษณ์ของนายธาริต รวมทั้งสำนักข่าวรอยเตอร์ ต้นสังกัดของช่างภาพญี่ปุ่นที่เป็น 1 ใน 13 ศพ ได้แสดงความยินดีต่อความคืบหน้าในคดี เพราะจะได้รับรู้ถึงสาเหตุของโศกนาฏกรรมและใครอยู่เบื้องหลัง

ตีปี๊บไล่ล่า “คนสั่งฆ่าประชาชน”

“ทักษิณ” เน้นอิงกระแสนานาชาติ บี้กับฝ่ายคุมเกมอำนาจในเมืองไทย

ในเกมที่ลูกไหลเข้าบาทาอีกต่างหาก กับเหลี่ยมหักลูกเขี้ยวของพรรคประชาธิปัตย์ ที่โหมตะโกนดักคอผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่าง “ทักษิณ” กับรัฐบาลกัมพูชา ก็เป็นหน้าที่ของนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ และทีม ส.ส.พรรคเพื่อไทย เดินหน้าไล่บี้ประจาน “ปฏิญญาแกงเลียง” เบื้องหลังการเจรจาลับที่รัฐบาลก่อน ส่ง “เทพเทือก” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ หอบแผนที่บล็อกน้ำมันไปคุยกับนายกฯฮุน เซน เจรจากันเรื่องการแบ่งผลประโยชน์พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล

พลิกจังหวะหักลำกันจนดูไม่ทัน ใครเป็นฝ่ายรุกไล่ ใครเป็นฝ่ายตั้งรับกันแน่

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มาถึงวันนี้ “แยกบทกันเล่น” ชัดเจน ระหว่างพี่ชายกับน้องสาว ตัดฉากไปที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นับวันยิ่งโชว์ให้เห็นอาการนิ่ง ไม่ตกอกตกใจกับแรงเสียดทานที่พุ่งเข้าใส่ ตามเกม “แทงพี่ชายทะลุถึงน้องสาว” ที่ประชาธิปัตย์และเครือข่ายเดินหน้า “จัดหนัก” ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มบริหาร จนผ่านเกือบ 1 เดือนของรัฐบาลก็ยัง “จัดเต็ม”

กับเสียงกระแนะกระแหน มุ่งช่วยพี่ชายไม่สนใจชาวบ้านผจญน้ำท่วม ก็เบาลงไป

ภายหลังรายการสดทางโทรทัศน์ระดมทุนบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยนายกฯยิ่งลักษณ์นั่งรับโทรศัพท์ด้วยตัวเอง ปั่นยอดบริจาคได้กว่า 360 ล้านบาท ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

ต่อเนื่องกับช็อตที่นายกฯเรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ในการเคลียร์วิกฤติน้ำท่วมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ประชุมกันไม่เว้นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ พร้อมสั่งรัฐมนตรีแบ่งงานลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมแบบรายจังหวัด กระจายกำลังเพื่อให้เกิดความรวดเร็วและทั่วถึง

และล่าสุดกับภาพข่าวนายกฯโดดขึ้นรถปิกอัพออฟโรด ลุยตรวจสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดอุทัยธานี คู่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ได้รับมอบหมายจากนายกฯให้เป็นหน่วยหน้าในการบัญชาการช่วยเหลือผู้ประสบภัย

อย่างน้อยก็ต้องได้ไปกับบท “ให้ใจ” ไม่ใช่แค่ลุยน้ำสร้างภาพแค่ 1–2 วัน

หรือเสียงบลัฟเย้ยหยันว่า ไม่ทำตามสัญญาที่หาเสียง เปลี่ยน “ยิ่งลักษณ์” เป็น “ยิ่งหลอก” ก็ “ศอกกลับ” ด้วยคิวเดินหน้านโยบายประชานิยม ครม.ลุยอนุมัติกันแบบรายสัปดาห์ ล่าสุดโครงการรถยนต์คันแรกได้คืนภาษีให้ไม่เกิน 1 แสนบาท รวมถึงโครงการรับจำนำข้าว

รักษาฐาน 15 ล้านเสียงที่เทแต้มให้เพื่อไทย แถมบวกเพิ่มพวกที่นิยมรัฐบาล “คิดไว ทำจริง”

ยังไม่นับโปรเจกต์ที่ตั้งใจ “ปั่นแต้ม” การลุยล้างยาเสพติดให้ได้อย่างน้อย 80 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 1 ปี ที่เพิ่งเปิดแคมเปญคิกออฟกันไปไม่กี่วัน ล่าสุดสวนดุสิตโพลสะท้อนตัวเลขประชาชนเกินครึ่ง คือร้อยละ 56.03 มีความพึงพอใจกับข่าวการลุยปราบยาเสพติด ณ วันนี้ของรัฐบาล

“ยิ่งลักษณ์” เดินงานตลอดเวลา ไม่เสียสมาธิกับเสียงตอดเล็กตอดน้อยทางการเมือง

เรื่องของเรื่องที่ว่า นิ่มๆ เคี้ยวง่ายๆ ไม่ใช่ซะแล้ว.



ทีมข่าวการเมือง รายงาน

//////////////////////////////////////////////////////////////

จดหมายเปิดผนึกจาก กลุ่มแดงนานาชาติ ( Thai Red International ) ถึงนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์


ตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่มีประชาธิปไตยที่แท้จริงและยัง มีประชาชนตกเป็นเหยื่อของการปราบปรามและกลั่นแกล้งกันทางการเมือง ตราบนั้นการเคลื่อนไหวของคนไทยทั้งในประเทศไทยและในต่างแดนก็ยังคงต้อง ดำเนินต่อไป
โดย กลุ่มแดงนานาชาติ
19 กันยายน 2554

จดหมายเปิดผนึก

เรียน พรรคเพื่อไทย, รัฐบาลไทยและคุณ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ใน ฐานะประชาชนไทยผู้สนับสนุนประชาธิปไตยที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ ขอส่งจดหมายเปิดผนึกมายังท่าน เพื่อการต้อนรับและแสดงความยินดีต่อพรรคเพื่อไทย คณะรัฐบาลชุดใหม่และคุณ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ที่ได้รับฉันทานุมัติจากมติร่วมของประชาชนอย่างท่วมท้น รวมทั้งการแสดงความยอมรับอย่างกว้างขวางในสังคมโลก ซึ่งเป็นประจักพยานร่วมรับรู้ให้ขึ้นมาบริหารประเทศ
อนึ่ง เพื่อเป็นการประกาศจุดยืนของคนไทยที่เคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยในต่าง ประเทศ (ตามรายชื่อท้ายจดหมาย) ที่พร้อมยืนยันให้การสนับสนุนและร่วมต่อสู้กับพรรคการเมือง ซึ่งยืนหยัดในหลักการประชาธิปไตย และยึดมันอย่างแท้จริงต่อผลประโยชน์ของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ โอกาสนี้ กลุ่มแดงนาๆชาติ( Thai Red International ) จึงใคร่ขอเสนอความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นวัตถุประสงค์และความต้องการ ของประชาชนชาวไทย ต่อพรรคเพื่อไทย คณะรัฐบาล และคุณ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการ ที่จะนำไปสู่การแก้วิกฤตและเกิดความปรองดองโดยแท้จริง
1. จากสาเหตุปัญหาทางการเมืองที่ผ่านมา ( 2548 ก่อนการรัฐประหาร - ปัจจบัน ) ได้มีการกล่าวหา กล่าวโทษ สร้างข้อมูลเท็จ จับกุมคุมขังบุคลด้วยกฏหมายที่ไม่เที่ยงธรรม สร้างการระเมิด การริดรอนสิทธิเสรีภาพและหลักสิทธิมนุษย์ชนที่ขัดต่อกฎหมายและต่อสนธิสัญญา ระหว่างประเทศเป็นจำนวนมาก
เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม รัฐบาลต้องดำเนินการโดยทันทีคือ
1.1 ต้องไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อการใช้กฎหมายหรือพระราชกำหนดให้เกิดการนิรโทษกรรมทุกคดีความ
1.2 คดีความทุกคดีที่ฟ้องร้องและยังไม่สิ้นสุด จะต้องดำเนินการพิจารณาตามขบวนการยุติธรรมจนกว่าจะสิ้นสุด ซึ่งผู้เกี่ยวข้องในคดีทั้งหมดต้องได้รับสิทธิการปล่อยตัวหรือการประกันตัว เพื่อต่อสู้คดีในศาล
2. จากเหตุการณ์สังหารหมู่ประชาชน 91 ศพ ( 10 เมษายน - 19 พฤษภาคม 2553 ) ซึ่งยังไม่มีการพิจารณาหาข้อเท็จจริงเพื่อประกาศให้สังคมรับรู้ และ/หรือนำเอาคนผิดมาลงโทษ
เพื่อการดำเนินการให้เกิดการรับผิดชอบ รัฐบาลต้องดำเนินการโดยทันทีคือ
2.1 ต้องลงสัตยาบันในสนธิสัญญาเพื่อเปิดให้ศาลอาญาระหว่างประเทศมีสิทธิในการพิจารณาคดี
2.2 ต้องไม่ดำเนินการใดๆเพื่อให้เกิดการหยุดยั้งในการหาคนผิดมาลงโทษ หรือใช้กฎหมายและ/หรือพระราชกำหนดเพื่อนิรโทษกรรมยกเว้นความผิด
2.3 เนื่องจากขบวนการยุติธรรมที่ผ่านมาไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน เพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้งและการไม่ยอบรับในขบวนการการตัดสินจากทุกฝ่าย จะต้องไม่ดำเนินการใช้ขบวนการยุติธรรมในประเทศเป็นผู้พิจารณาคดี
3. รัฐบาลต้องดำเนินการให้มีขบวนการสร้างรัฐธรรมนูญใหม่ที่ประชาชนยอมรับและมี ส่วนร่วม ทั้งนี้ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จเพื่อประกาศใช้ภายใน 365 วัน
3.1 ระหว่างการดำเนินการ ให้ประกาศระงับการใช้รัฐธรรมนูญที่มาจากการรัฐประหารฉบับปี 2550 และนำรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 มาใช้แทนชั่วคราวจนกว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลใช้บังคับ
3.2 การระงับการใช้รัฐธรรมนูญรัฐประหารฉบับปี 2550 ย่อมมีผลให้องค์กรอิสระ องค์กรอื่นและหน่วยงานของรัฐที่เกิดขึ้นโดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนี้ ต้องสิ้นสุดลงโดยทันที
3.3 รัฐธรรมนูณฉบับใหม่ อย่างน้อยจะต้องให้มีการแก้ไขหรือบัญญัติข้อกำหนดคือ
3.3.1 การเปลี่ยนแปลง ล้มล้างอำนาจรัฐที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตยกำหนด หรือการล้มล้างรัฐธรรมนูญ คือความผิดที่ไม่มีอายุความสำหรับการฟ้องร้องกล่าวโทษ และต้องไม่มีอำนาจอื่นใดสามารถยกเว้นหรือล้มล้างความผิด
3.3.2 ต้องมีบทบัญญัติที่มิให้สถาบันกษัตริย์ถูกนำมาใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ทางเศรษฐกิจและสังคม
3.3.3 ยกเลิกกฎหมายหมิ่น ม.112
3.3.4 ยกเลิกหมวดองคมนตรีในมาตราที่เกี่ยวกับอำนาจและการดำรงสิทธิในการเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระมหากษัตริย์
4. ปฎิรุปขบวนการยุติธรรมทั้งระบบ โดยตุลาการและศาลต้องมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน และนำระบบลูกขุนมาใช้เพื่อการพิจารณาคดี
5. ปฎิรุปกองทัพให้เป็นองค์กรของประชาชนและใช้ปกป้องประเทศ
กลุ่ม แดงนาๆชาติ ( Thai Red International ) ตระหนักดีว่า ภาระหน้าที่และความรับผิดชอบในทุกด้านของรัฐบาลที่จะต้องแก้ไขในการขึ้น มาบริหารประเทศครั้งนี้ เป็นภาระที่ต้องใช้ขบวนการทางวิสัยทัศน์อย่างกว้างไกล รวมทั้งยังต้องฟันฝ่าอุปสรรคการต่อต้าน ขัดขวางจากอำนาจเก่า ฉะนั้น การนำพาประเทศให้พ้นวิกฤตและสร้างประชาธิปไตยเพื่อตอบสนองความต้องการแท้ จริงของประชาชน จึงไม่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จโดยง่ายด้วยการไม่กล้าเผชิญกับปัญหาและทำความ จริงให้ปรากฎ การมุ่งแก้เศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว โดยไม่นำเอาหลักนิติรัฐ นิติธรรม แก้ไขโครงสร้างการบริหาร การปกครองและการตุลาการควบคู่พร้อมกันไป คงไม่สามารถนำประชาธิปไตยมาสู่ประชาชนได้เช่นกัน ดังนั้น ข้อเสนอตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด จึงเป็นทางออกของวิกฤตที่แท้จริง ซึ่งหวังว่าพรรคเพื่อไทย คณะรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี จะเห็นด้วยและนำไปพิจารณาถึงแนวทางเพื่อการปฎิบัติ
สุด ท้ายนี้ กลุ่ม Thai Red International ขอเป็นกำลังใจและแรงสนับสนุน ให้พรรคเพื่อไทย คณะรัฐบาล ท่านนายก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำเนินการบริหารประเทศไปสู่ความสำเร็จตามที่ประชาชนมุ่งหวัง

ด้วยจิตคารวะและศรัทธา
กลุ่มแดงนาๆชาติ
(THAI RED INTERNATIONAL)
21 สิงหาคม 2554
Thai Red Australia
Thai Red USA
Thai Red Japan
Thai Red in Japan
Thai Red Taiwan
Share

söndag 18 september 2011

บทความนี้เป็นคำพูดของท่านสมัคร สุนทรเวช ( พูดเมื่อ ๑๗ กย ๒๕๔๙ ) ก่อนการปฏิวัติ ๒ วัน ผู้ใหญ่ที่ท่านสมัครพูดถึงคือ นาง จรุงจิ ต คนรับใช้ ราชินีสิริกิต

ผู้ใหญ่ท่านนี้เป็นใคร ?..ถึงได้รู้แผน ลับ ลวง พราง !!! .
วันนี้ 17 กันยายน 2554..ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว..ครับ

2 วัน..ก่อนการก่อกบฏ 19 กันยา
.....................................................................................

" .....ผมมารู้วันที่ 8 มิถุนายน รุ่งขึ้นวันที่ 9 ผมต้องแต่งเต็มยศ
เฝ้าพระเจ้าอยู่หัวอีกครั้งหนึ่ง ออกสีหบัญชร ผู้ใหญ่คนหนึ่งบอกว่า

คุณสมัคร คุณมานี่ หากคุณยังมีชีวิตอยู่คุณต้องรู้ ตื้นลึกหนาบาง
ว่าเป็นอย่างไร

ท่านบอกผมว่า เขาจะโชว์ดาวน์ ( showdown )
หลังวันที่ 13 มิถุนายน พระราชทานเลี้ยงเสร็จ พวกที่เขาขับไล่
เขาบอกวันที่ 14 ทักษิณและเมีย จะต้องออกไปจากประเทศไทย

ถ้าไปตามนี้ได้ ทรัพย์สินเงินทองจะไม่แตะต้อง
ขอให้ออกไปจากการเมืองไทยเท่านั้น ถ้าไม่ไปจะต้องปฏิวัติ
เปลี่ยนแปลงการปกครอง

ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงการปกครอง เขาจะต้องจัดการปลุกระดม
และถ้ายังอยู่ได้อีก ต้องเอาให้ถึงตาย
ผมฟังแล้ว ผมกินข้าวไม่ได้ 2 วัน...."

............สมัคร สุนทรเวช ( พูดเมื่อ 17 กันยายน 2549 )

ที่มา: หนังสือ ปาก..สมัคร ( สำนักพิมพ์ นสพ.โลกวันนี้ )
............................................

ชมภาพนายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีลาวรำวงสามัคคี ตามลิงค์ได้เลยครับ

http://www.youtube.com/watch?v=oGcfcKOkB10&feature=player_embedded

อดีตนายกทักษิณเยี่ยมประเทศกัมพูชา เปิดดูได้ตามลิงค์นี้

http://www.youtube.com/watch?v=g_MKQAxnO9Y&feature=player_embedded

นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ เยี่ยมประเทศพี่น้องลาว เมื่อวันที่ ๑๗ กย ๒๕๕๔

รูปภาพ
[ภาพ: A11080738-88.jpg]

lördag 17 september 2011

อริสมันต์และจักรภพร่วมงานเลี้ยงต้อนรับอดีตนานก ทักษิณที่ประเทศกัมพูชา

ปัดไม่ให้สัมภาษณ์สื่อ ส่วนบรรยากาศงานเลี้ยงสุดเหวี่ยง เจ๋ง ดอกจิก แรมโบ้อีสาน ขึ้นเวทีครวญเพลงครื้นเครง

วันนี้(17ก.ย.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศงานเลื้ยง ที่โรงแรมพนมเปญ สมเด็จฮุนเซน พร้อมพล.ท.ฮุน มาเนต บุตรชายเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำให้แก่พ.ต.ท.ทักษิณ ส.ส.พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรี แกนนำนปช.และกลุ่มคนเสื้อแดง ประมาณ 500คน ทั้งนี้บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำ นปช. ที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดีก่อการร้าย และนายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ที่หลบหนีคดีหมิ่นเบื้องสูง ได้เดินทางมาร่วมงานเลี้ยงด้วย และได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ

แต่ทั้งนายอริสมันต์และนายจักรภพต่างปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใด ๆ สำหรับบรรยากาศบนเวทีนั้นมีแกนนำเสื้อแดงสลับกันขึ้นร้องเพลงอย่างครื้นเครง อาทิ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ผู้ช่วยเลขานุการ รมว.มหาดไทย นายสุภรณ์ อัตตาวงศ์ เป็นต้น ส่วนอาหารที่สมเด็จฮุนเซนจัดเลี้ยงนอกจากจะมีโต๊ะจีน แต่ยังต้องเพิ่มอาหารบุฟเฟต์ด้านนอกเพื่อให้เพียงพอต่อกลุ่มผู้สนับสนุนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มากันเป็นจำนวนมาก

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=561&contentId=164111

fredag 16 september 2011

เมื่อหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว ทรราชฟันนํัานมผู้มีฉายาฆาตกร ๙๑ ศพก็วิ่งเข้าหาพระ ประเภทที่เป็น แพะนอกศาสนา เพื่อให้กำลังใจ โดยคำพูดเลวๆชั่วๆ ถ้าเป็นพระที่ดีมีศิลธรรมก็คงไม่พูดเช่นนั้น

นายอภิสิทธิ์ นายกฯเงา พร้อมด้วย รมต.เงา และคณะผู้บริหารพรรคแมงสาป ได้ร่วมกัน"ขยัน"เดินทางลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยมน้ำท่วมที่ จ.สิงห์บุรี และได้เข้านมัสการพระธรรมสิงหบูราจารย์(หรือหลวงปู่่จรัญ ฐิตธมฺโม)ที่วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี


รูปภาพ

หลวงพ่อจรัญ ได้กล่าวกับนายอภิสิทธิ์ และกลุ่มสื่อมวลชนที่เข้ามากราบนมัสการตอนหนึ่งว่า "เคยได้อ่านคำทำนายของหลวงพ่อฤษีลิงดำกันหรือยัง รู้ใช่ไหมที่ท่านเคยทำนายว่า ถ้าประเทศไทยมีนายกเป็นผู้หญิง จะทำให้บ้านเมืองเสียหายมีปัญหา จึงขอให้นายอภิสิทธิ์รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี เพราะจะได้กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งแน่ ให้ดูแลทุกข์สุขชาวบ้านไว้"

onsdag 14 september 2011

เราเคยพูดเสมอว่า ทหาร ศาล สื่อมวลชน องค์กรอิสระ และพรรคประชาธิปัตย์ คือเครื่องมือของกษัติย์ภูมิพล เขาจะใช้เครื่องมือเหล่านี้เมือเขาต้องการ ดังตัวอย่างในบทความนี้

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ศาลปกครอง (รัฐบาล)
โดย กาหลิบ
ความ จริงเราต้องขอบคุณ นายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุงของพรรคประชาธิปัตย์ ที่รับงานมาสร้างข่าวเรื่อง นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพราะดูเหมือนจะพยายามให้เกิดความรู้สึกว่าโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรม กระตุ้นความคิดเคียดแค้นอาฆาตมาดร้าย สุดท้ายก็เอาวาทกรรมที่คงไปนอนคิดมาทั้งคืนออกมาใช้ นั่นคือสนับสนุนวิธีการยื่นฟ้องต่อตุลาการศาลปกครองว่าถูกกลั่นแกล้งรังแก โดยเรียกกลยุทธ์นี้ว่า ถวิลโมเดลยุให้ข้าราชการอื่นๆ ทำอย่างเดียวกันนี้อีก
เหตุ ที่ต้องขอบคุณ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่ฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เมื่อเขาหลุดปากออกมาว่าเขาพูดเพื่อใครหรือทำเพื่อใคร เราจะได้มองตามไปที่เขาชี้ แล้วก็ต้องช่วยฉายไฟให้มันสว่างไสวไปตรงนั้น
นาย นริศฯ ช่วยเอ่ยคำว่า ตุลาการศาลปกครอง ออกมา ทำให้เรานึกขึ้นได้ว่า ในกระท่อมไม้ไผ่ที่เราเรียกกันว่ารัฐบาลของประชาชนนั้น มันมีหอกข้างแคร่อยู่ที่ใดบ้าง
ไม่ต้องมาเจื้อยแจ้วอธิบายว่า ตุลาการศาลปกครองเกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.๒๕๔๐ อันเป็น ฉบับประชาชนเพื่อประกันความเป็นธรรมในการใช้อำนาจรัฐในกรณีที่ประชาชนคนธรรมดาถูกคนมีอำนาจในรัฐบาลกลั่นแกล้ง เพราะพูดอีกก็ถูกอีก
แน่จริงแลดูผลที่เกิดขึ้นจริงในช่วง ๔ ปีที่ผ่านมากันดีกว่าว่า มันเป็นไปตามหลักการที่ว่านั้น หรือมันชัดเจนว่าเป็น หลักกู
เพราะ ดูจะบังเอิญเสียเหลือหลาย ศาลปกครองโผล่ขึ้นมามีบทบาททีไร มักจะเป็นในช่วงรัฐบาลเสียงข้างมากที่ประชาชนเลือกขึ้นมาทุกทีไป แต่ในช่วงรัฐบาลศักดินา-อำมาตย์ ศาลกลับเงียบเฉยไม่เป็นข่าวโด่งดัง ราวกับลาไปพักร้อนเสวยสุขกันที่อื่นหมด ไม่ว่ารัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์หรือรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
แต่ในช่วงรัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็เกิดการขุดศพขึ้นมาใช้เป็นผีดิบซอมบี้กันอย่างรื่นเริง
ยุให้ทำเป็นสูตรเลยด้วยซ้ำ อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า โมเดล คือเอาเป็นตัวแบบหรือต้นแบบเลย
รัฐ ธรรมนูญฉบับ พ.ศ.๒๕๔๐ นั้น มีกลไกที่เรียกว่าก้าวหน้าหลายอย่าง เหนือกว่ารัฐธรรมนูญที่ผ่านมาทุกฉบับ รวมทั้งฉบับ พ.ศ.๒๕๑๗ หลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖ ที่เคยถือเป็นอันดับหนึ่งในความเป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน เรื่องนี้คงไม่ต้องถกเถียง และเราต้องนึกขอบคุณสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ชุดนั้นให้มาก
ปัญหากลับมาอยู่ที่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๔๐ เป็น ของดีที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือของระบอบการปกครองที่เลว
เสมือนให้ดาบคมๆ กับโจรก็ไม่ปาน
สุด ท้ายเมื่อฝ่ายประชาชนถูกหลอกล่อครั้งแล้วครั้งเล่าให้ยอมรับระบอบ ศักดินา-อำมาตย์ โดยไม่ได้อะไรกลับมาเลยแม้แต่เศษเนื้อข้างเขียง ฝ่ายตรงข้ามกับประชาชนเขาก็กะล่อนพอที่จะเอามรดกของมวลชนอย่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.๒๕๔๐ มาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ในมุมของเขา
ตามกลยุทธ์นี้ ศาลปกครองก็ไม่ต่างอะไรจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ตลอดจน องค์กรอิสระอื่นๆ ไปจนถึงวุฒิสภา
ก็ วุฒิสภาเดียวกับที่เลือกตัวแทนส่วนใหญ่ของฝ่ายศักดินา-อำมาตย์มานั่งจัดสรร ผลประโยชน์อันมหาศาลในกิจการสื่อสารมวลชนและโทรคมนาคมของชาติซึ่งจะส่งผล อย่างมากต่ออำนาจควบคุมทางสังคมใน กสทช. นั่นแล
เพราะฉะนั้น ถวิลโมเดลมันไม่มีดอก
แผ่นดินนี้มีแต่อำมาตย์โมเดลอย่างเดียวเท่านั้น
บางเวลาเขาเอากองทัพมารัฐประหาร บางครั้งเขาก็เอาองค์กรอิสระมาล้มรัฐบาล และบางคราวเขาก็เอาผู้พิพากษาเข้ามาช่วย
สรุปแล้วก็โมเดลเก่าแก่ลายคราม... เอาปืนของประชาชนมาฆ่าประชาชนนั่นเอง.
----------------------------------------------------------------

ความสกปรกเบื้องหลัง รัฐบาลอภิทธ์ที่พยายามจะหาผลประโยชน์ให้แก่ผู้เป็นพ่อคือ ภูมิพล โดยเอาชาติเป็นเดิมพัน

13 กันยายน 2554 เวลา 20:17 น. |


ฮุนเซนแฉมาร์คส่งสุเทพมาพบ3ครั้งเคยเจรจาลับน้ำมัน ประวิตรถือเอกสารคุยเตีย์บัญที่ตาเคมา

เว็บไซต์ ฟิฟทีนมูฟ เผยแพร่ข้อมูลหนังสือพิมพ์เกาะสันติภาพ และเว็บไซต์สำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่รายงานคำกล่าวของนายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เคยเจรจาลับเรื่องน้ำมัน โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรมว.กลาโหมของไทยเป็นผู้ถือเอกสารมาเจรจา


นายก รัฐมนตรีกัมพูชากล่าวว่า หลังองค์การปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา ได้ประกาศข่าวเกี่ยวกับการเจรจาลับ มีสมาชิกสภาของพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ พร้อมกับคนอีกจำนวนหนึ่ง โจมตีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่ามีการเจรจามีผลประโยชน์กับกัมพูชา ยืนยันว่ามีการเปิดการเจรจาอย่างเปิดเผย โดยมีคณะกรรมการร่วม 2คณะ คือ คณะหนึ่งสำหรับกำหนดเขตแดน และอีกคณะเกี่ยวกับพื้นที่พัฒนาร่วม แต่ยังไม่มีความเห็นชอบใดๆทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม ในการเจรจายอมรับว่า มีการแบ่งส่วนออกเป็น3 โซน ตรงกลางแบ่ง 50 เปอร์เซ็นต์ พื้นที่ที่อยู่ใกล้ไทยกว่า ตอนแรกแบ่ง 10-90 ต่อมาเอา20-80 ส่วนพื้นที่ข้างกัมพูชา 80-20 ส่วนกัมพูชาเสนอกลับไปว่าให้แบ่งเป็นบล็อค ๆ แล้วจับฉลากเลือกแต่ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ซ่อนเร้นตามที่พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหา แต่ต่างจากรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ขณะนั้น ไม่ได้เตรียมตัวหารือกับสุเทพ และรมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แต่อย่างใด

“นายสุเทพมากัมพูชาสามครั้ง ครั้งแรกในเดือนเมษายน มาไกล่เกลี่ยเพื่อรับรองให้ไปพัทยาร่วมการประชุมอาเซียน หลังจากมีเรื่องในสภาไทย ที่กษิต ภิรมย์ เรียกผมว่าเป็นนักเลง ภายหลังนายสุเทพก็มากัมพูชาอีกพร้อมกับรัฐมนตรีกลาโหมแต่ไม่ได้พูดถึงเรื่อง น้ำมัน วันที่ 27 มิถุนายน ภริยาผมทำอาหารเลี้ยงส่วนตัว คือทำแกงเลียง3 ให้เขารับประทาน หากแต่เรื่องที่แปลกคือนายสุเทพได้เอาเอกสารแผนที่ เกี่ยวกับบล็อคน้ำมันในทะเลมาด้วยและได้แจ้งว่านายอภิสิทธิ์ได้แต่งตั้งเขา ให้มาเจรจาให้เสร็จภายในสมัยของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ แต่ได้แจ้งกลับไปว่า ผมมีรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเจรจาเรื่องนี้ ไม่สามารถเป็นคู่เจรจากับ ฯพณฯได้”นายฮุนเซน กล่าว

ฮุน เซน กล่าวพาดพิงถึงนายอภิสิทธิ์ว่า ถ้าไม่ชัดเจนก็อย่าพูด นำคนต่อต้าน ผมไม่ต้องการพูดถึง หรือว่าผมต้องสอนอภิสิทธิ์อีก เมื่อตอนที่เป็นนายกรัฐมนตรีเหมือนกัน ผมก็สอนแล้วสอนอีก ตอนนี้ผมยังต้องสอนอีกหรือ ผมขอแนะนำไปถึงอภิสิทธิ์ และสุเทพที่กรุงเทพฯ ว่า ใครคนไหนหอบเอาเอกสารมาที่บ้านผมที่ตาเคมา สุเทพรับรู้เรื่องนี้ และกล่าวต่อว่า“ใครคนไหนหอบเอาเอกสารไปที่ตาเคมา ผมไม่รับรู้ด้วย ดังนั้น ขอให้ฝ่ายไทยไปดูไปตรวจสอบให้ถูกต้องถึงมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญไทย เรื่องที่มาลักลอบเจรจาลับอย่างนั้น

นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวอีกว่า “ตอนนี้ ตั้งแต่ออกจากตำแหน่ง อภิสิทธิ์ก็มาโจมตีว่าเนื่องจากรัฐบาลไทย (ยุคอภิสิทธิ์) ไม่สนองผลประโยชน์ของกัมพูชาทำให้ไม่ถูกกัน ผมก็จะแจ้งกลับไปที่อภิสิทธิ์ว่า ถ้ารัฐบาลก่อนไม่ถูกกันแล้ว ใครคนไหนที่ส่งคนมาเจรจาลับ ไอ้ที่ลับเป็นอะไร?” แล้วกล่าวต่อว่า “เขาต้องการรู้เรื่องลับนี้ไหม ถ้าต้องการรู้ว่าลับหรือไม่ลับ ต้องเริ่มต้นที่ตาเคมา จ.กัณดาล ฟังให้ชัดผู้นำเอกสารมา คือพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เตีย บัญ ลี ยงพัต และคำปูน ซท6 ได้เห็นเอกสารนี้”


%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

ไอ้มาร์ค ไอ้อ่อนหัด เกมส์การเมืองของมรึงมันคนชั้นกับฮุนเซน
บอกตามตรง ตรูอายแทน

จังหวัดจัดการตนเอง:ความเพ้อฝันหรือซ่อนเร้นของเหล่า “ขุนนางเอ็นจีโอ” ?

โดย ประสาท ศรีเกิด

คำว่า “จังหวัดจัดการตนเอง” ผู้เขียนได้ยินกระแสนี้ดังขึ้น ในช่วงภายหลังจากรัฐอภิสิทธิ์ชน ปราบปรามสังหารประชาชนคนเสื้อแดง เมื่อเดือนเมษา-พฤษภาอำมาหิต 53

ผู้เขียนในฐานะที่เคยมีบทบาทในการผลักดันองค์การบริหารส่วนตำบลหลังหตุการณ์ พฤษภา35 ให้มีบทบาทในท้องถิ่นในการแก้ไขปัญหาของท้องถิ่น รู้สึกสนใจประเด็นนี้ พร้อมๆมึนงง กับ “จังหวัดจัดการตนเอง” ที่มีนายประเวศ วะสี สนับสนุน มีนายสวิง ตันอุด และนายชัชวาล์ ทองดีเลิศ เป็นกำลังสำคัญ

ว่ามีความหมายเช่นใด จึงพยายามที่จะถอดรหัส “จังหวัดจัดการตนเอง” ซึ่งกำลังขับเคลื่อนและคงใช้งบประมาณจำนวนไม่น้อยเช่นกัน และผู้อ่านควรดูเวปไซค์นี้ www.จังหวัดจัดการตนเอง.net ประกอบด้วย

ผู้เขียน ขออนุญาตชวนร่วมกันวิวาทะ และผู้เขียนมีข้อวิจารณ์ ตั้งข้อสังเกตบางประการกับ “จังหวัดจัดการตนเอง” ในบริบทการเมืองไทยปัจจุบัน

ประการที่หนึ่ง ผู้มีบทบาทนำการขับเคลื่อน“จังหวัดจัดการตนเอง” ล้วนเป็น”ขุนนางเอ็นจีโอ” ที่นิยมการรัฐประหาร สนับสนุนรัฐธรรมนูญ 50 ฉบับอำมาตย์ ส่งเสริมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่แต่งตั้งโดยคมช.

เป็นไปได้หรือไม่? พวกเขามีเจตนาแฝง ต้องการเบี่ยงเบนประเด็นทางสังคมที่สำคัญๆ ว่า ต้องลงโทษคนสั่งฆ่าประชาชน ต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ต้องแก้ไขมาตรา 112 ต้องปฏิรูปกองทัพ เป็นต้น

ประการที่สอง บทวิเคราะห์ของพวกเขามองว่า ความขัดแย้งทางการเมือง ความเป็นเหลืองแดง รากเหง้ามาจากการรวมศูนย์อำนาจ จึงต้องมี “จังหวัดจัดการตนเอง” เป็นทางออกต่อปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองทั้งปวง

ผู้เขียนกลับเห็นว่าความขัดแย้งที่ผ่านมา เกิดจากการรัฐประหาร 49 เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายอำมาตยาธิปไตย เป็นการต่อสู้ระหว่างความคิดที่ว่าจะเอา “คนดีมีศีลธรรม” หรือ “นักการเมืองที่ประชาชนเลือกเอง” หรือความคิดที่ว่า “คนเราเท่ากัน” “หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียง” มิใช่ “ชาติกำเหนิด” “ฐานะทางชนชั้น” ต่างหาก

เป็นความขัดแย้งระหว่างอุดมการอนุรักษ์นิยม-อำมาตย์-คลั่งชาติ กับอุดมการเสรีนิยม-ประชาธิปไตย-รักชาติ

และบทวิเคราะห์ของพวกเขาทำตัวเสมือน “เป็นกลางทางการเมือง” ไม่แดง ไม่เหลือง แต่แท้จริงแล้วพวกเขา “เหลือง” “เหลืองอ่อน” “เหลืองเข้ม” “เหลืองเนียน” “เหลืองซ่อนรูป” และก็คือ”เหลือง” นั่นเอง ที่ไม่ยอมรับกติกาประชาธิปไตยดั่งอารยชนที่พึงมี

ประการที่สาม การขับเคลื่อนเรื่อง การรวมศูนย์อำนาจจากส่วนกลาง เป็นปัญหาสำคัญ และต้องยกเลิกส่วนภูมิภาค ต้องให้ประชาชนในจังหวัดเลือกตั้งผู้บริหารเอง เป็นมาตั้งแต่ช่วงหลังพฤษภา 35 ซึ่งต่างกับข้อเสนอของพวกเขาที่ผ่านมา เช่น ต้องมีสภาประชาชน สภาปราชญ์ที่ไม่ต้องมีการเลือกตั้ง หรือสภาองค์กรชุมชนที่เลือกกันเองภายในกลุ่มคนแวดวงขุนนางเอ็นจีโอ ซ้อนกับองค์กรปกครองท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้งของคนท้องถิ่นผู้มีสิทธิ์ เสียงเองทั้งหมด

ผู้เขียนรู้สึกมึนงงจึงมีคำถามว่า พวกเขาต้องการเมีการเลือกตั้ง หรือต้องการเลือกกันเอง อย่างไรกันแน่?

และทำไมปัจจุบันพวกเขาจึงเสนอ “จังหวัดจัดการตนเอง” หรือพวกเขาเพิ่งจะตกผลึก หรือพวกเขาสามารถเปลี่ยนประด็น เขียนโครงการ ได้เรื่อยๆตามแต่เงื่อนไขงบประมาณ และแหล่งทุน ?

ประการที่สี่ บทวิเคราะบทความหลายชิ้นในเวปไซต์ของพวกเขา ยังยึดติดโน้มเอียงกับ ความเป็นโรแมนติค ของคนชั้นกลางในการมองชนบท แบบหยุดนิ่ง ไม่เคลื่อนไหวไม่มีความขัดแย้ง ทั้งๆที่มีงานวิจัยจำนวนมากบอกว่า “ชนบทไม่เหมือนเดิม” อีกแล้ว แต่พวกเขายังจมปลักกับการมองปัญหาดิน น้ำ ป่า เกษตรอินทรีย์ เศรษฐกิจชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น แบบหยุดนิ่งตายตัวเช่นเดิม ทั้งๆที่พวกเขาล้วนมีชิวตอยู่ “ในเมือง” ที่ทันสมัย

ประการที่ ห้า ข้อเสนอให้มีการระดมหนึ่งหมื่นรายชื่อเพื่อออกพ.ร.บ. เชียงใหม่จัดการตนเอง เข้าสู่กระบวนการรัฐสภา นับว่าพวกเขายังไม่สรุปบทเรียนความผิดพลาดใหญ่หลวง จากกรณีพระราชบัญญัติป่าชุมชน ที่ขับเคลื่อนมาร่วม 20 กว่าปี และได้ออกพรบ.ป่าชุมชนอย่างรวดเร็วฉับไวสมัยสนช.ที่มีนางเตือนใจ ดีเทศน์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นสนช.ด้วย และสนช.ได้บิดเบือดสาระสำคัญ เช่น แทนที่จะให้อำนาจชุมชนท้องถิ่นกลับให้อำนาจรวมศูนย์ที่กรมป่าไม้เช่นเดิม

หรือแม้แต่กรณีการเลือกคณะกรรมการกสทก.ล่าสุดผู้ได้รับการเลือกมีทหารจำนวนถึง 5 คน

เนื่องเพราะ วุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งจำนวนมากจึงไม่ต่างจากสนช.ที่มาจากคมช. ซึ่งพวกเขาก็น่ารู้ดีว่า ข้าราชการวิธีคิดแบบรวมศูนย์อำนาจ ชอบสั่งการสูง ไม่ชอบการตรวจสอบ ไม่โปร่งใส และที่สำคัญไม่นิยมประชาธิปไตย

ฉะนั้นจึงควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ก่อน เพื่อมิให้อำนาจวุฒิสมาชิกลากตั้งครอบงำ

แต่พวกเขาอาจเหมือนเดิม “อุดมการอำตยาธิปไตยไม่เปลี่ยนแปลง” จักเข้าร่วมมือกับพันธมิตร พรรคประชาธิปัตย์ และอำมาตย์ ทำนอง “รัฐธรรมนูญข้าใครอย่าแตะ” เนื่องเพราะที่ผ่านมาพวกเขาเป็นจักรกลสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญ 50 และผลักดันให้รับร่างรัฐธรรมนูญ 50

เพราะพวกเขาจำนวนหนึ่งเป็น “ขุนนางเอ็นจีโอ”

ประการที่ หก งบประมาณจำนวนเท่าไร กี่ล้านบาทในการขับเคลื่อน “จังหวัดจัดการตนเอง” ล้วนเป็นภาษีของประชาชน มาจากองค์กรไหน ? พอช. สสส. สภม.? พวกเขาควรทำให้โปร่งใส เปิดเผย และตรวจสอบได้ด้วย เนื่องเพราะ พวกเขา ล้วนเป็น”คนดีมีศีลธรรม” และเป็นแบบอย่างตาม”หลักการธรรมาภิบาล” ให้แก่สังคมไทย

ใช่หรือไม่ ?
Share on Facebook

måndag 12 september 2011

เรียนพี่น้องที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทั้งหลายโปรดอ่านและศึกษาจากบทความนี้เพื่อจะมีสติระวังตัวในการต่อสู้ และมองเห็นถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตของระบอบเผด็จการ ภูมิพล ที่ใช้วิธีมารทุกอย่างในการข่มขู่และคุกคามชีวิตประชาชนไทย ที่ไม่เห็นด้วยกับระบอบเผด็จการของเขาไม่ว่าจะเป็นทางใต้ดินหรือบนดิน

คณะทำงานมารประเทศ โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง คณะทำงานมารประเทศ
โดย กาหลิบ
การจับกุม นายกิตติชัย เชิงชาญศิลปกุล กระทำอย่างเงียบกริบ คนที่สังคมทั่วไปรู้จักในนามของ พี่ชาย ดา ตอปิโดหายตัวไปจากการติดต่อสื่อสารกับญาติมิตรเพื่อนฝูงหลายวัน ก่อนที่จะรู้กันว่าเขาถูกจับกุมตัวโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เสียแล้ว
หนึ่ง ในคนที่ไม่รู้ว่าเขาถูกจับคือทนายความของเขาเอง นั่นแปลว่านายกิตติชัยฯ ไม่ได้รับสิทธิ์ในการปรึกษาหารือกับตัวแทนทางกฎหมายของตนเอง ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างชัดแจ้ง จนแทบไม่ต้องถามต่อเลยว่าเขามีความผิดตามที่ถูกกล่าวหาจริงหรือไม่ หากกระบวนการฉ้อฉลตั้งแต่ต้น เราจะสนใจใยดีต่อผลในขั้นสุดท้ายไปทำไมกัน?
ตั้งสติและมองภาพรวมสักนิด เราจะรู้ได้เองว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในบ้านเมืองนี้
นาย กิตติชัยฯ เป็นญาติคนเดียวที่เทียวขึ้นลงระหว่างกรุงเทพฯ และภูเก็ต เพื่อดูแลน้องสาวที่ถูกตราหน้าว่าเป็นนักโทษในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากการแสดงทัศนะกลางสนามหลวงว่าการยึดอำนาจเมื่อวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ เกิดจากใคร และเพราะอะไรแน่ โดยลำดับพฤติกรรมโดยละเอียดของคนที่ผู้พูดเชื่อว่าเป็นศูนย์กลางอันแท้จริง ของฝ่ายที่ต้องการทำลายประชาธิปไตยและอำนาจสูงสุดของประชาชน
ภาพ ของพี่ชายที่มาช่วยดูแลน้องสาวที่ป่วยและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จึงเป็นภาพที่ชัดเจนต่อผู้ที่อยู่ในฝ่ายประชาธิปไตยและฝ่ายเผด็จการตรงกัน ข้าม
บัดนี้คนๆ นั้นถูกจับกุมดำเนินคดีในเรื่องอะไรก็ไม่แน่ชัด และถูกปฏิเสธสิทธิที่จะมีทนายความอยู่ข้างกาย
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องของคดีความธรรมดา แต่เป็นการสื่อสารทางการเมืองจากฝ่ายตรงข้าม
ข้อ ความที่เขาต้องการสื่อสารนั่นคือ ใครก็ตามที่ช่วยเหลือดูแล หรือแม้กระทั่งแสดงน้ำใจต่อผู้ที่เขาตราหน้าว่าหมิ่นเบื้องสูง ย่อมอยู่ในข่ายที่จะถูกลากเข้าสู่ขุมนรกในกระบวนการ ยุติธรรมโดยไม่ต้องมีความผิดในฐานเดียวกันแต่อย่างใดเลย การติดคุกหรือรับโทษทัณฑ์ใดๆ จากรัฐในยุคนี้เป็นของง่าย เขาช่วยหาความผิดฐานใหม่ให้ได้เสมอ
ต่อ ไปความผิดว่าเลี่ยงภาษี ทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ แม้กระทั่งเมาแล้วขับ ก็อาจถูกนำมาใช้สงเคราะห์ผู้คนที่เขาเห็นว่ามีน้ำใจไมตรี หรือยอมรับอุดมการณ์ของคนที่ถูกกล่าวหาในความผิดอันเกี่ยวกับกษัตริย์และพระ ราชวงศ์ได้
การลงทัณฑ์กับตัวคนที่ถูกตราหน้าว่ากระทำผิดในเรื่องนี้ ดูจะไม่เพียงพออีกแล้ว บัดนี้ เขาส่ง สัญญาณลงมาตามสายแล้วว่า อำนาจราชศักดิ์นี้ต้องขยายไปกระทำชำเราเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง ผู้ร่วมงาน ผู้เป็นแนวร่วมทางอุดมการณ์และการเมือง และหน้าไหนที่มันบังอาจ ท้าทายอำนาจอันล้นพ้นนี้ของผู้ถูกกล่าวหาและลงโทษทั้งหมดด้วย
จุด ประสงค์ก็อันเก่าที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาหลายสิบปีแล้ว นั่นคือเพื่อข่มขู่ให้หวาดกลัว ไม่กล้าแม้กระทั่งจะคิดถึงความถูกผิด และสอนให้คนไทยทอดทิ้งกันและกันเพื่อเอาตัวรอดก่อน
ความ จงรักภักดีบางอย่างนั้น ต่อให้แลกมาด้วยการอกตัญญูต่อพ่อแม่ ทรยศหักหลังครอบครัวและเพื่อนฝูง หรือขายชาติเพื่อเอาประโยชน์เข้าตัว เขาก็ชอบและหิวโหยต่อพฤติกรรมเยี่ยงนั้น
สิ่งที่ เขาต้องการไม่ใช่ความรักนับถืออย่างจริงใจหรือความศรัทธาโดยบริสุทธิ์ แต่เป็นความกลัวจากขั้วหัวใจจนไม่กล้าเอ่ยปากว่าไม่รัก
จนสุดท้าย ความจงรักภักดีที่ใช้กฎหมายเถื่อนๆ บังคับเอา เขาก็ยังชอบ
ความ สอพลอตอแหลที่ปรากฏตามสื่อกระแสหลักต่างๆ จนทุกคนต้องวิ่งแข่งแสดงความรักใคร่อย่างชนิดหาที่ไหนไม่ได้ในโลกของคนหรือ สัตว์ ถึงจะพบว่าเสแสร้งขนาดไหนก็ยังพอใจและเรียกหา
แนวคิดข่มขู่คนรอบข้างของผู้ต้องหา คดีหมิ่นฯใน ลักษณะนี้ ไม่มีวันออกมาจากข้าราชการคนใดคนหนึ่งหรือหน่วยใดหน่วยหนึ่งเป็นแน่ เราจึงสืบค้นลงไปจนรู้ว่า บัดนี้ได้เกิดคณะทำงานที่ถูกตั้งขึ้นมาแล้วอย่างลับๆ ภายในระบอบศักดินา-อำมาตย์ โดยรัฐบาลยิ่งลักษณ์อาจจะไม่รู้และไม่ได้มอง คณะมีหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์ วางกลยุทธ์ และสร้างกิจกรรมภาคสนามที่หลากหลาย เพื่อทำลายมวลชน ตาสว่างโดยตรงและอย่างเบ็ดเสร็จ
งานลักษณะนี้ไหลออกมาจากมันสมองที่เฉียบแหลม แต่ด้วยทัศนะอันโบร่ำโบราณนี่เอง
คดี หมิ่นเบื้องสูงคดีที่สองภายใต้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้เกิดขึ้นมาก่อนกรณีนาย กิตติชัยฯ แล้วเพียงไม่กี่วัน และคดีนายกิตติชัยฯ อาจเป็นกรณีแรกๆ ของกลยุทธ์ใหม่ที่คณะทำงานชุดนี้กำหนดขึ้น
ขยันขันแข็งกันไม่น้อยทีเดียว
ต้องขอแรงท่านสาธุคุณทั้งหลาย ช่วยฉายไฟไปที่คณะทำงานมารประเทศชุดนี้กันสักหน่อยเถิด.
 
--------------------------------------------------------------------------------