ใบตองแห้ง
“นิ้วไหนร้ายตัดนิ้วนั้นทิ้ง” ผบ.ตร.กล่าวหลังคลิปคลุมถุงดำทำให้ “ผู้กำกับโจ้” นายตำรวจดาวรุ่ง หนุ่มหล่อโปรไฟล์ดี กลายเป็นผู้ร้ายอำมหิต
ตัดนิ้วเดียวหรือตัดทั้งสิบนิ้ว? ไม่ใช่ตำรวจดีไม่มีเลย แต่นี่เป็นปัญหาเชิงระบบไม่ใช่ตัวบุคคล
อย่าใช้คำว่า “โจรในเครื่องแบบตำรวจ” มันฟังคุ้นๆ “ทันทีที่ยิงประชาชนก็ไม่ใช่ทหารอีกต่อไป” ตัดนิ้วร้ายแล้วองค์กรตำรวจไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย? คนมันชั่วเอง นายกฯ กลายเป็นพระเอก ผบ.ตร.กลายเป็นพระเอก ไอ้โจ้เลวชั่วโกง ตัดนิ้วร้ายแล้วองค์กรตำรวจสูงส่งขึ้นทันตา?
ข่าวผู้กำกับโจ้เป็นดราม่า “วาระแห่งชาติ” ไปแล้ว สื่อขุดคุ้ยเบื้องหลังบ้านหรูรถหรู ชีวิตส่วนตัว เป็นอดีตสามีไฮโซ แฟนดารา ลูกสาวผู้บัญชาการ ยิ่งทำให้เป็นสีสัน คนระดับนั้นเอาถุงดำคลุมหัวรีดเงิน 2 ล้านได้อย่างไร รวยมาจากไหน ทำไมไม่เคยมีใครตรวจสอบ
พอคลิปเดียวดังแห่มาเป็นโขลง ป.ป.ช.จะยึดทรัพย์ DSI ตรวจรถหรู ศุลกากรตรวจย้อนหลัง ได้รางวัลนำจับรถ 363 คัน!
นายตำรวจระดับสารวัตร จับรถหรูได้รางวัลเป็นร้อยๆ ล้าน ไม่มีใครสงสัยบ้างหรือ หรือว่าร่วมมือกัน มีใครทำอย่างนี้อีกบ้าง ไม่ได้ทำคนเดียวแหงๆ ไม่ใช่แค่นำจับรถ ประชาชนรู้ไหมว่าจับยาเสพติดก็ได้รางวัล ใช้กฎหมายฟอกเงินยึดทรัพย์ก็ได้รับส่วนแบ่งมหาศาล
คนทำหน้าที่ก็มี แต่คนซิกแซ็กก็มี และไม่ใช่ผู้กำกับโจ้คนเดียวแน่ๆ ตำรวจสีเทารู้วิธี บางครั้งก็จับยาเสพติดเอาผลงาน แถลงข่าว “จับใหญ่” เอายาบ้ามาเรียงเป็นตัวอักษร บางครั้งก็จับเพื่อรีดไถ เหมือนตำรวจคุมบ่อน ปีหนึ่งๆ จัดฉากจับสักทีสองที
สิ่งที่สังคมไทยควรใคร่ครวญ มากกว่าเห่อตามดราม่า ซึ่งเดี๋ยวถ้าจับโจ้ได้ก็จบ คือหนึ่ง ถ้าไม่มีคลิป มีแต่คำร้องเรียนของลูกน้อง เรื่องนี้จะเงียบไหม (ลูกน้องจะซวยไหม)
สอง นี่เป็นข่าวดังเพราะเป็นตำรวจไฮโปรไฟล์แฟนดารา หรือเพราะปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
สาม สังคมประณามเพราะสะเทือนใจที่ซ้อมทรมานผู้ต้องหาจนตาย หรือเพราะต้องการรีดไถ
สมมติ พ.ต.อ.บ้านทุ่งขับรถกระบะซ้อมผู้ต้องหาตาย เพราะต้องการรีดข้อมูลขบวนการค้ายา สังคมจะดราม่าขนาดนี้ไหม ไม่แน่นะ อาจมีคนเถียงแทนก็ได้ ไอ้นั่นมันเลวมันคนค้ายา
เหมือนวิสามัญ 6 ศพ “โจ ด่านช้าง” ผู้ต้องหามอบตัว ตำรวจพาเดินออกมาครึ่งทาง แล้วพาย้อนกลับเข้าบ้าน อ้างว่าพาไปค้นอาวุธแล้วมันต่อสู้ ยิงปุปุปุ ตายเรียบ สังคมตอนนั้นพิพากษา “สมควรตาย”
ถามจริง ที่แห่ตามกันนี่เพราะมันเป็นข่าวดาราคนดัง หรือเป็นข่าวตำรวจปฏิบัติหน้าที่มิชอบ แล้วที่ว่ามิชอบ เป็นเพราะรีดไถ หรือเพราะซ้อมทรมาน ละเมิดสิทธิผู้ต้องหา
สังคมไทยตระหนักไหมในข้อหลัง เพราะที่ผ่านมามีคดีวิสามัญ ซ้อมทรมาน จำนวนมาก เช่น ชัยภูมิ ป่าแส (ทหารอ้างว่ามีคลิปแต่ไม่เผยแพร่) บิลลี่ พอละจี (อุ้มหาย), อับดุลเลาะ อีซอมูเซอ (ตายในค่ายทหาร) และกรณีตำรวจยัดยาเสพติดแล้วซ้อมทรมานอีกหลายราย
สังคมไทยตระหนักหรือไม่ว่า การปล่อยให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจมาก ใช้อำนาจเกินเลย ใช้กฎหมายตามอำเภอใจ ใช้กำลังรุนแรง นั่นแหละคือช่องทางให้รีดไถ
ผู้กำกับโจ้คลุมถุงดำ คสช.ก็คลุมถุงดำ วัฒนา เมืองสุข, ประวิตร โรจนพฤกษ์ ฯลฯ ตอนโดนจับหลังรัฐประหาร
ผู้กำกับโจ้ใช้กำลังกับผู้ต้องหา คฝ.ก็ยิงแก๊สน้ำตาใส่ลูกนัท ซัลโวกระสุนยางใส่เยาวรุ่นทะลุแก๊ส ไม่เว้นชาวแฟลต คนผ่านทาง ถีบรถจักรยานยนต์ล้ม จับได้รุมกระทืบ ฯลฯ
ต่างกันตรงไหน คฝ.ไม่ได้รีดทรัพย์ แต่การส่งเสริมให้ตำรวจใช้กำลังใช้อำนาจเกินขอบเขต กับ “ผู้ร้าย” ก็เอื้อให้ใช้อำนาจมิชอบ แบบเดียวกับการตั้งข้อหาเหวี่ยงแห ไผ่ ดาวดิน กับเพื่อน ไปเรียกร้องให้ปล่อยเพื่อน โดนตั้งข้อหาข่มขืนใจตำรวจให้ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ขึ้นศาลทุจริต ต้องใช้เงินประกันตัว 3 ล้าน
การปฏิรูปตำรวจที่พูดกันซ้ำซาก ไม่เคยประสบความสำเร็จ เพราะอยู่ใต้ทัศนะ “คนดี” อยากได้ตำรวจดีแล้วให้มีอำนาจมาก ทั้งที่อำนาจมากเป็นช่องทางฉ้อฉล
รัฐประหาร 2 ครั้งไม่เคยปฏิรูปตำรวจ เพราะต้องการให้ตำรวจมีอำนาจมาก รับใช้อำนาจนิยม พอมีข่าวตำรวจใช้อำนาจเกินขอบเขต ก็หาว่า “เฟกนิวส์” จับคนให้ข่าว แต่พอมีคลิปคาหนังคาเขา ก็พลิกเป็นพระเอก นายกฯ สั่งกำจัดคนเลวชั่วโกง
สังคมควรตระหนักว่า เมื่อไหร่ที่เกิดดราม่าออนไลน์เป็น “วาระแห่งชาติ” อำนาจรัฐก็จะ “โหนกระแส” สั่งเฉียบขาด ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ ใช้อำนาจล้นเกินเพื่อเอาใจ เพื่อให้เห็นว่า “กฎหมายศักดิ์สิทธิ์”
หน่วยงานต่างๆ ที่ปกติเช้าชามเย็นชาม เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ก็จะแห่มารุมกินโต๊ะ เอาให้ตาย
นี่คือภาพลวงตา หลอกสังคมให้เชื่อว่าอำนาจนิยมศักดิ์สิทธิ์ ขอเพียงตัดนิ้วร้าย ประยุทธ์เป็นคนดี ผบ.ตร. เป็นคนดี บิ๊กใหม่เป็นคนดี ฯลฯ
แล้วก็ใช้ตำรวจทุบม็อบ ยัดข้อหาคนไล่รัฐบาล จับแกนนำขังไม่ให้ประกัน เป็นตำรวจของคนดี ที่ใช้อำนาจได้ตามอำเภอใจ
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/hot-topics/news_6585989
ใบตองแห้ง
สื่อฝรั่งตีข่าวผู้กำกับโจ้คลุมถุงดำ บอกตำรวจทุจริต ซ้อมผู้ต้องหา เป็นธรรมดาประเทศไทย สื่อเกาหลีซ้ำเติม คอร์รัปชั่นทำให้เศรษฐกิจถดถอย แหม พูดเรื่อยเปื่อย ประเทศไทยอุตส่าห์ทำรัฐประหาร 2 ครั้งเพื่อปราบนักการเมืองโกง
ไม่รู้หรือ ประเทศนี้ขยันปราบโกง กระทั่งจ้างเอเยนซี่ออกแคมเปญ “พูดหยุดโกง” จัดงานอีเวนต์ นิทรรศการ พิพิธภัณฑ์ต้านโกง จัดประกวดคำขวัญ ให้เด็กท่องอาขยาน ค่านิยม 12 ประการ โตไปไม่โกง
เพื่อให้คนดีปกครองบ้านเมือง ก็ต้องยึดอำนาจ จับนักการเมืองคลุมถุงดำ เพื่อให้คนดีสืบทอดอำนาจ ก็ต้องโกงอำนาจ ตั้ง 250 ส.ว.มาโหวตตัวเอง แล้วย้อนไปผสมพันธุ์นักการเมือง
ไม่กี่วันก่อน ส.ว.สูงวัยเพิ่งเสนอตั้ง “องค์กรคนดี” เน้นคุณธรรมที่เป็นอัตลักษณ์คนไทย กตัญญู มีวินัย สุจริต พอเพียง และจิตอาสา ทั้ง 5 ข้อ เกิดจากความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ถามจริง ถ้าตั้งองค์กรคนดี ผู้กำกับโจ้ติดอันดับไหม แถวหน้าเลยละ ไม่งั้นไม่ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งเร็วขนาดนี้หรอก จำไม่ได้เหรอ เขาเคยสั่งสอนผู้ต้องหา ทำอะไรต้องใจเย็นๆ คิดหน้าคิดหลัง ให้คิดถึงลูกคิดถึงพ่อแม่
ต่อให้ทำผิดก็ยังมีคนเห็นเป็นคนดี เซฟผู้กำกับโจ้ ปราบยาเสพติด ทำผิดแล้วกล้ารับผิด เป็นลูกผู้ชาย แอ่นอกรับคนเดียว ลูกน้องไม่เกี่ยว อโหสิกรรมให้คนถ่ายคลิป ฯลฯ
นี่คือสังคมไทย หมอฉีดไฟเซอร์ให้แม่ ขอโทษประชาชน ทุกคนก็ซาบซึ้งใจ ลูกกตัญญู ผู้กำกับโจ้ขับเฟอร์รารี่ก็ไม่เห็นเป็นไร “เมธ เฟอร์รารี่” ยังสอนคนอื่นพอเพียงได้
ยิ่งไปกว่านั้น การซ้อมทรมาน ถ้าทำเพื่อรีดข้อมูล ถ้าอ้างว่าทำกับคนชั่ว เมืองไทยเมืองพุทธก็ไม่ว่าอะไร เช่นซ้อมทรมานโจรใต้ เหมือนฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป ออกใบอนุญาตฆ่าปี 53
ถามจริง คนดีในสายตา ส.ว. ในสายตาผู้ยกตนมีศีลธรรม คือคนแบบไหน ก็คือคนมีสัมมาคารวะ เคารพผู้ใหญ่ ว่านอนสอนง่าย แต่คนแบบนี้จำนวนไม่น้อย กลายเป็นพวกโอนอ่อนผ่อนตาม รับใช้นาย เพื่อจะได้อุปถัมภ์ค้ำชู
คนโกงในยุคปัจจุบันมันไม่ได้มีแต่พวกปากห้อย ถ่อยสถุล มูมมาม พวกหล่อสวยเรียบร้อย ปากหวาน มีคอนเน็กชั่น รู้จักจัดสรรผลประโยชน์ หรือถ้าเป็นพี่ใหญ่ก็ “พี่มีแต่ให้” นั่นแหละตัวดี
คนหัวแข็งไม่ยอมใครต่างหาก ที่มีโอกาสสูงกว่าว่าไม่คล้อยตามระบบ “กตัญญู มีวินัย” ซึ่งก็เป็นนิมิตหมายอันดี ว่าหลังคุณป้า ส.ว.พูดเรื่องนี้ ก็โดน “ทัวร์ลง” แทบทุกเพจข่าว
แบบเดียวกับกรณีผู้กำกับโจ้ หลังแถลงข่าว โดนด่าขรม คนรู้ทันว่าองค์กรตำรวจช่วยกันสร้างภาพ หาทางลง ก่อนที่จะโดนขุดแผลเหวอะหวะ
ค่านิยมคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่เชื่อตาม “ผู้ใหญ่” แบบง่ายๆ เขาเห็นแล้วว่าปัญหาสังคมไทยคือระบบอุปถัมภ์ ที่เที่ยวสั่งสอนให้เคารพเชื่อฟัง แต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยการวิ่งเต้นเส้นสาย เอื้อผลประโยชน์ ใช้อำนาจอภิสิทธิ์ เป็นปรสิตสังคม
คนรุ่นใหม่ไม่ยอมรับโครงสร้างศีลธรรมเดิม คำสอนแบบเดิมๆ ยึดติดกับรูปเคารพ ไหว้พระ ท่องคาถา คนรุ่นสลิ่มก็คลั่งบ้า จะเป็นจะตาย โลกแตกสลาย ทั้งที่มันสำคัญที่สารัตถะ เช่นในโลกนี้คนไม่มีศาสนามีเยอะไป ไม่นับถือศาสนาก็เป็นคนดีได้ ดีกว่าพวกงมงายด้วยซ้ำ ประเทศอื่นๆ ที่เขาไม่มีรูปเคารพ เขาก็มีจริยธรรมสังคม จากการวางระบบการปกครองให้โปร่งใส
ระบอบเผด็จการแบบไทยๆ หัวใจคือ “คนดีปกครองบ้านเมือง” คนดีที่ไม่มาจากเลือกตั้ง คนดีที่อภิสิทธิ์ชนหนุนหลัง แล้วก็ให้อำนาจเบ็ดเสร็จ เพิ่มอำนาจ อ้างว่าปราบโกงได้
ฝรั่งเกาหลีที่ว่าประเทศไทยเต็มไปด้วยคอร์รัปชั่น มาดูของจริงจะตกใจ เรามีกลไกปราบโกงมากมาย กกต.กำจัดนักการเมืองโกงด้วยสูตรเศษมนุษย์ ป.ป.ช. ป.ป.ท. ไล่จับเทศบาล อบจ.อบต. ไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สิน ข้าราชการทำผิดระเบียบ ขึ้นศาลทุจริต (แต่เปิดบัญชีทรัพย์สินประยุทธ์ไม่ได้ เสาไฟกินรีก็หลงหูหลงตาไป) สตง.ไล่จับท้องถิ่นฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้า เพราะทำผิดหน้าที่
แล้วอย่าบอกว่ากฎหมายไทยไม่ศักดิ์สิทธิ์ เคยมีประเทศไหน เจ้าสัวติดอันดับโลกเอาที่ดิน 300 ไร่มาทำเกษตรผสมผสาน เพื่อไม่ต้องเสียภาษีที่ดินรกร้างว่างเปล่า เคยมีประเทศไหน ศาลเคร่งครัดสั่งถอนใบอนุญาตก่อสร้างตึกสามพันล้าน หลังสร้างเสร็จแล้ว
ปราบโกงแบบไทยๆ หัวใจคือ “พูดหยุดโกง” มาจากพื้นฐานความคิดอนุรักษนิยมไทย ที่คิดว่าการสั่งสอนอบรมยัดเยียด โดยผู้มีอำนาจไม่เป็นแบบอย่าง โดยระบอบการปกครองไม่โปร่งใส จะทำให้เด็กเชื่อฟังได้ เหมือน ผอ.โรงเรียน เจ้ายศเจ้าอย่าง เจ้าขุนมูลนาย วิ่งเต้นเส้นสาย บังคับเด็กกราบไหว้ ทั้งที่เด็กจะรักก็ด้วยการดูแลเอาใจใส่ จะเคารพก็ด้วยการทำตัวให้เป็นแบบอย่าง
พูดอีกอย่าง หัวใจของศีลธรรมอนุรักษนิยมคือตัวแบบ รูปเคารพ ที่ทำให้คนเคารพได้จริงๆ ไม่ใช่ด้วยการบังคับ หรือ propaganda ภายใต้ระบอบอภิสิทธิ์ชน
เศรษฐกิจไทยไม่ได้ถดถอยเพราะคอร์รัปชั่นหรอก มันมากกว่านั้น มันเป็นทั้งโกงและคลั่งปราบโกง ภายใต้อำนาจนิยม ผนง.
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/hot-topics/news_6587806
ใบตองแห้ง
หลายโรงพยาบาลที่เปิดรับบริจาคอุปกรณ์การแพทย์ ที่จริงมีเงิน แต่ให้ชาวบ้านซื้อของมาบริจาค ง่ายกว่าเร็วกว่าทำ TOR ตั้งกรรมการประมูลตรวจรับ
ป.ป.ช.ใช้งบพีอาร์ “โครงการสื่อรณรงค์ต้านโกง” ให้ดาราคนดังออกมา “พูดหยุดโกง” เป็นที่ขบขันเย้ยหยันทั่วไป
ประการแรก มันพ้นยุคสมัยแล้วที่ใช้งบพีอาร์ทำป้ายจัดงานอีเวนท์ “จงทำดี ๆ” แล้วคิดว่าจะล้างสมองครอบงำคนได้ เรื่องอย่างนี้ เอเยนซี PR ภาคเอกชนรู้กันทั่วไป จะทำโฆษณาให้จับใจต้องมี content ไม่ใช่นกแก้วนกขุนทอง ซ้ำโดนจับได้ “จ้างทำดี”
ประการที่สอง “หยุดโกง” ไม่มีทางสำเร็จได้ด้วยการสั่งสอนประชาชน ถ้าระบอบการปกครองไม่โปร่งใส ผู้มีอำนาจตรวจสอบไม่ได้ เหมือนยัดเยียดให้เด็กท่องค่านิยม 12 ประการ เด็กยิ่งต่อต้าน เมื่อเห็นการโกงอำนาจ ผูกขาดอำนาจ โดยเครือข่ายชนชั้นนำที่อ้างตน “คนดีย์”
ประการที่สาม ป.ป.ช.นั่นแหละตัวดี แต่งตั้งจากรัฐประหาร เครือข่ายขุนนางอำมาตย์ เป็นเครื่องมือกำจัดฝ่ายตรงข้าม แต่ละเว้น “นาฬิกาเพื่อน” ยังเอางบพีอาร์ 78.8 ล้านมาละลายน้ำ
“หยุดโกง” วันนี้จึงเป็นเรื่องตอแหล ดัดจริต หัวร่ออ้วกแตก หลอกใครไม่ได้ สังคมสมัยใหม่ไม่เชื่อองค์กรเทวดาลอยมาปราบโกงอีกแล้ว
แนวคิดปราบโกงมี 2 แนว แนวอนุรักษ์นิยม คือเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สาปแช่ง นรกสวรรค์ ท่องศีลธรรม ให้คนดีปกครองบ้านเมือง (แต่มาจากรัฐประหาร) แล้วก็ตั้งองค์กรศักดิ์สิทธิ์ ให้อิทธิฤทธิ์อำนาจเบ็ดเสร็จ โดยเชื่อว่าจะมีเปาบุ้นจิ้น ลอยลงมา ทั้งที่เป็นมนุษย์ธรรมดา กินปี้ขี้นอน มีอคติ มีรักโลภโกรธหลง ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าศาล องค์กรอิสระ
แนวคิดลิเบอรัล เสรีประชาธิปไตย คือใครมีอำนาจมีโอกาสก็ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้นแหละ ทุกอำนาจจึงต้องตรวจสอบได้ ต้องถูกถ่วงดุล การสอนคนท่องศีลธรรมเชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ พอเข้าระบบไปก็คล้อยตามหมด ต้องสอนให้คนเป็นกบฏ กล้าต่อต้านอำนาจอภิสิทธิ์ชน
องค์กรศักดิ์สิทธิ์เป็นพิษร้ายแทรกอยู่ในรัฐธรรมนูญ 2540 พอปลุกเกลียดชังนักการเมืองโกง รัฐธรรมนูญ 2550, 2560 ยิ่งเพิ่มเขี้ยวเล็บศาลองค์กรอิสระ ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไล่ “จับโกง” ด้วยการตีความ ทำผิดกฎหมายผิดระเบียบ ละเว้น “ปล่อยปละละเลย” ไม่เคยจับได้เส้นทางการเงิน มีแต่ฝรั่งจับให้ เช่นอดีตผู้ว่า ททท.
หลังรัฐประหาร 2557 อาการ “บ้าจี้” ปราบโกง (ที่หนุนส่งโดยองค์กรภาคเอกชน) ยิ่งกำเริบหนัก นอกจากสองมาตรฐาน ใช้เล่นงานฝ่ายตรงข้าม ยังย้อนกลับมามัดมือมัดเท้าคนทำงานภาครัฐ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง กับการจัดตั้งศาลทุจริต ซึ่งน่ากลัวมาก เพราะเป็นศาลพิเศษที่ให้ถือเอาสำนวน ป.ป.ช.เป็น “หลักในการแสวงหาความจริง” จำเลยต้องเป็นฝ่ายพิสูจน์ตัวเอง ต่างจากคดีอาญาทั่วไปที่อัยการต้องเป็นฝ่ายพิสูจน์
ข้าราชการจึงต้องเคร่งครัดระเบียบราชการจุกจิก แม้แต่ฉุกเฉินโควิด การจัดซื้อจัดจ้างยังเต่าคลาน หลายโรงพยาบาลที่เปิดรับบริจาคอุปกรณ์การแพทย์ ที่จริงมีเงิน แต่ให้ชาวบ้านซื้อของมาบริจาค ง่ายกว่าเร็วกว่าทำ TOR ตั้งกรรมการประมูลตรวจรับ
ที่แพทย์ชนบทเปิดศึกกับองค์การเภสัชเรื่องจัดซื้อชุดตรวจ ATK ก็เหมือนกัน เมื่อก่อน สปสช.ซื้อยาเอง ซื้อของดีมีคุณภาพ ราคาถูก เพราะรวมมาซื้อที่ละมาก ๆ มีอำนาจต่อรอง แต่โดน สตง. (ซึ่งหลังรัฐประหารไล่เอาผิด อปท.ซื้อวัคซีนพิษสุนัขบ้า) หาว่าทำไม่ได้ กฎหมายห้าม ต้องโอนเงินให้ รพ.ราชวิถีไปสั่งซื้อจาก อภ. ซึ่งก็เปิดประมูลได้ชุดตรวจที่ WHO ไม่รับรอง แต่ราคาต่ำสุด ถูกต้องตามระเบียบทุกประการ
ทีทหารซื้อรถถัง เครื่องบินไม่ยักเปิดประมูลอย่างนี้บ้าง
อันที่จริง ความหมายของการ “โกง” ในปัจจุบัน ไม่จำกัดแค่คอร์รัปชั่นเท่านั้น แต่รวมถึงการถลุงงบประมาณไปในทางที่ไม่จำเป็น เช่นงบ 2565 แทนที่จะกอบกู้โควิด ราชการกลับเอางบไปทำรั้ว ทำประตู ซื้อตู้แช่ไวน์ ฯลฯ แม้ไม่โกงสักบาท คนรุ่นใหม่ก็ตั้งฉายาให้แล้วว่า “รัฐปรสิต”
ใครเอาเงินภาษีไปถลุงอย่างมีอภิสิทธิ์ ก็โกงสิทธิของประชาชนโดยตรง
ที่มา: ข่าวหุ้นธุรกิจ www.kaohoon.com/column/471589
ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เทิดภูมิ ใจดี และอมร อมรรัตนานนท์ (ชื่อเดิม) ถูกคุมตัวไปยังเรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพฯ หลังศาลฎีกาตัดสินว่ามีความผิดจากการเป็นแกนนำชุมนุมขับไล่รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช เมื่อ 13 ปีที่แล้ว
ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) 3 คนในคดีชุมนุม "ดาวกระจาย" ขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ปี 2551 ส่วนจำเลยอีก 6 คน เช่น นายสนธิ ลิ้มทองกุลและ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง ศาลยกฟ้องเนื่องจากเห็นว่าเป็นความผิดเดียวกับในคดีอื่นที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว จึงนำมาฟ้องซ้ำอีกไม่ได้
วันนี้ (31 ส.ค.) ศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.3973/2558 ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ชุมนุมปิดถนนแบบ "ดาวกระจาย" เมื่อปี 2551 เพื่อขับไล่นายสมัคร สุนทรเวชนายกรัฐมนตรีขณะนั้น โดยในคดีมีจำเลยเป็นแกนนำ พธม. ทั้งหมด 9 คน คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายพิภพ ธงไชย, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, นายสุริยะใส กตะศิลา, นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, นายอมร อมรรัตนานนท์ หรือรัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี และนายเทิดภูมิ ใจดี เป็นจำเลยที่ 1-9
คดีนี้อัยการฟ้องว่าจำเลยทั้ง 9 คนมีความผิดฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาหรือวิธีอื่นใด เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนในหมู่ประชาชนและก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการโดยผู้กระทำคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิก แต่ไม่เลิก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 , 215 , 216
คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2560 ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1-6 เนื่องจากเป็นการฟ้องจำเลยซ้ำกับคดี พธม. บุกรุกทำเนียบรัฐบาล หมายเลขดำ อ.4925/2555 ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อเดือน ก.พ. 2562 ให้จำคุกจำเลยทั้ง 6 เป็นเวลา 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญา ดังนั้นอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องซ้ำ
ส่วนจำเลยที่ 7-9 คือ นายไชยวัฒน์ นายอมรหรือนายรัชต์ยุตม์ และนายเทิดภูมินั้น ศาลเห็นว่าการกระทำเป็นความผิดฐานมั่วสุม 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองตามมาตรา 215 วรรคหนึ่ง แต่เห็นควรให้รอการกำหนดโทษจำเลยที่ 7-9 ไว้ก่อนมีกำหนด 2 ปี
ต่อมาในวันที่ 30 ม.ค. 2562 ศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาในคดีนี้ ยกฟ้องจำเลยทั้ง 9 คน โดยให้เหตุผลว่าจำเลยที่ 1-6 เป็นการฟ้องซ้ำ ส่วนจำเลยที่ 7-9 ศาลเห็นว่าไม่มีความผิดเนื่องจากการชุมนุมกลุ่ม พธม. เป็นการชุมนุมโดยสงบ ใช้สิทธิของประชาชนตามสิทธิรัฐธรรมนูญ อัยการโจทก์จึงยื่นฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย
วันนี้ (31 ส.ค.) ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาโดยจำเลยทั้ง 9 คนเดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยตัวเอง
ทั้งนี้ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1-6 เพราะเป็นการฟ้องซ้ำในคดีที่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดไปแล้ว แต่ในส่วนของจำเลยที่ 7-9 นั้น ศาลเห็นว่าได้ขึ้นปราศรัยเชิญชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมขับไล่รัฐบาล นอกจากนี้จำเลยยังเดินทางไปชุมนุมปิดถนนมิตรภาพ จ.นครราชสีมา และนำผู้ชุมนุมไปปิดล้อมที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 7-9 มีความผิดฐานมั่วสุมก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตามมาตรา 66 ให้จำคุกคนละ 1 ปี แต่มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1ใน 3 คงจำคุกคนละ 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
ฝ่ายค้านใช้ 33 ชม. อภิปรายไม่ไว้วางใจ ประยุทธ์-อนุทิน ด้านนายกฯ พร้อมชี้แจงด้วยเจตนาบริสุทธิ์
.
กลืนน้ำลายตัวเอง แอบอ้างว่ามีวัคซีนของบริษัทในพระปรมาภิไธย
ไร้ภูมิปัญญาและความสามารถ มีพฤติการณ์คุยโม้โอ้อวด
ประพฤติตัวเสเพลเข้าไปในแหล่งอบายมุข บุกรุกครอบครองที่ดินของรัฐ
แสวงหาผลประโยชน์จากโครงการขนาดใหญ่ รู้เห็นทุจริตในการประมูล
.
นี่คือส่วนหนึ่งของข้อกล่าวหาที่ปรากฏในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลของฝ่ายค้านที่จะเริ่มขึ้นในวันนี้
(31 ส.ค.)
.
ผู้ที่มีรายชื่อถูกซักฟอกนอกจาก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.
กลาโหมแล้ว ยังมีรัฐมนตรีอีก 5 คน คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ
รมว. สาธารณสุข, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว. คมนาคม, นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน
รมว. เกษตรฯ, นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว. แรงงาน, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.
ดีอีเอส
.
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
กล่าววานนี้ (30 ส.ค.) ว่า พล.อ.
ประยุทธ์พร้อมชี้แจงด้วยข้อเท็จจริงและด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์
เพราะการทำงานทุกอย่างโดยเฉพาะการแก้ปัญหาการระบาดของโควิด-19
รัฐบาลก็ดำเนินการตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอและได้หารือกับทุกฝ่าย
ดังนั้นเขาจึงเห็นว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งนี้ “ไม่น่าห่วงอะไร”
.
การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ส.ค.-3 ก.ย.
ก่อนลงมติในวันที่ 4 ก.ย. โดยถือเป็นศึกซักฟอกครั้งที่ 3 ของรัฐบาล
“ประยุทธ์ 2” หลังบริหารราชการแผ่นดินมาได้ 2 ปีเศษ
.
ภายใต้เวลาที่ฝ่ายค้านได้รับการจัดสรรให้อภิปราย 40 ชม. พวกเขาจะใช้เวลา 33
ชม. ในการอภิปราย พล.อ. ประยุทธ์ และนายอนุทิน ตามการเปิดเผยของนายสุทิน
คลังแสง ประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน)
ส่วนรัฐมนตรีอีก 4 คน จะใช้เวลาคนละ ชม. เศษ
.
นอกจากนี้หัวหน้าพรรคเพื่อไทยยังออกจดหมายถึง ส.ส.
ให้ปฏิบัติตามแนวทางและนโยบายของพรรค
ด้วยการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีทุกคนที่ถูกอภิปราย หาก ส.ส. รายใดฝ่าฝืน
“พรรคถือว่าสมาชิกผู้นั้นกระทำการอันเป็นการผิดวินัยและจริยธรรมของการเป็นสมาชิกพรรคอย่างร้ายแรง
ซึ่งมีโทษถึงขั้นให้พ้นจากสมาชิก”
สำรวจสถานการณ์การระบาด ความคืบหน้าซื้อวัคซีน-ชุดตรวจ ATK และข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางข้ามจังหวัด ก่อนถึงดีเดย์ผ่อนคลายล็อกดาวน์ 1 ก.ย.
นับถอยหลังสู่การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ครั้งแรกในรอบเกือบ 2 เดือนในวันที่ 1 ก.ย. นี้ ผู้ประกอบการธุรกิจที่อนุญาตให้กลับมาเปิดให้บริการบางส่วน เช่น ร้านอาหาร ร้านเสริมสวย ร้านนวด รวมทั้งสายการบินเริ่มเตรียมความพร้อม ขณะที่หลายรายสะท้อนว่าจะทำตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) กำหนดได้ ต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยเฉพาะการฉีดวัคซีนและการจัดหาชุดตรวจหาเชื้อ
หากนับจากวันที่ 12 ก.ค. ที่ ศบค. ประกาศล็อกดาวน์ 10 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ก่อนจะเพิ่มมาเป็น 13 และ 29 จังหวัด ก็เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนแล้วที่คนใน "จังหวัดสีแดงเข้ม" ต้องอยู่กับการล็อกดาวน์และเคอร์ฟิว หลายคนจึงจับตาว่าการผ่อนคลายมาตรการบางอย่างในครั้งนี้ โดยเฉพาะการเปิดให้นั่งรับประทานอาหารในร้านอาหาร การเปิดห้างสรรพสินค้า และการเดินทางออกนอกพื้นที่สีแดงเข้มจะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโควิด-19 อย่างที่ ศบค. คาดหวังหรือไม่
บีบีซีไทยรวบรวมความเคลื่อนไหวและสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ก่อนที่การผ่อนล็อกดาวน์จะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 1 ก.ย. นี้
การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เกิดขึ้นในขณะที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันของไทยอยู่ที่ประมาณ 20,000 รายต่อวัน ผู้เสียชีวิตต่อวันอยู่ที่ราว 200-300 ราย แม้ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่จะลดลงบ้างเล็กน้อยมาอยู่ที่ 15,972 ในวันนี้ (30 ส.ค.) แต่หากเทียบดูในระดับโลกแล้วสถานการณ์ของไทยไม่ได้อยู่ในระดับที่น่าวางใจนัก
บีบีซีไทยตรวจสอบข้อมูลจากเว็บไซต์ worldometers.info ที่รายงานสถานการณ์โควิด-19 รายประเทศ ไทยอยู่ในอันดับต่าง ๆ ดังนี้
สำหรับสถานการณ์การติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในไทยในรอบ 24 ชั่วโมง จากการรายงานของ ศบค. มีดังนี้
นอกจากภาพรวมการแพร่ระบาดที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ ผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยอาการหนักที่ยังกดลงได้ไม่มากนัก ยังมีคลัสเตอร์การระบาดใหม่เกิดขึ้นด้วย
นพ. สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าววันนี้ (30 ส.ค.) ถึงกรณีการติดเชื้อโควิด-19 ในคลัสเตอร์ที่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลขึ่ง อ.เวียงสา จ.น่าน โดยการติดและแพร่ระบาดครั้งนี้มาจากผู้ดูแลเด็ก ซึ่งเบื้องต้นพบเด็กในศูนย์แห่งนี้เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงกว่า 70 คน พบผู้ป่วยเป็นเด็กเล็ก 11 คน อายุต่ำสุด 4 เดือน ทำให้ประเด็นการติดเชื้อในกลุ่มเด็กเล็กเป็นอีกกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากพบการระบาดในกลุ่มนี้มากขึ้น
จากรายงานสถานการณ์โควิด-19 เด็กปฐมวัย อายุตั้งแต่ 0-5 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2564 จนถึง ณ วันที่ 21 ส.ค. ที่ผ่านมา มีเด็กติดเชื้อ จำนวน 31,811 คน เป็นคนไทย 27,755 คน ต่างชาติ 4,056 คน เสียชีวิตรวม 9 คน โดยกรุงเทพมหานครพบมีการติดเชื้อสูงสุด 5,806 คน รองลงมาคือ สมุทรสาคร 2,324 คน และชลบุรี 1,993 คน
กรมอนามัยเปิดเผยสถิติด้วยว่า จากช่วงเวลาตั้งแต่ 14-21 ส.ค. หรือราว 1 สัปดาห์มีเด็กติดเชื้อเพิ่มขึ้น 5,298 คน คิดเป็น 3.7% และเสียชีวิตเพิ่ม 4 คน
อธิบดีกรมอนามัยกล่าวว่า การติดและแพร่เชื้อในเด็กเล็กที่ผ่านมามักไม่ต่างไปจากการติดเชื้อในผู้ใหญ่ แต่เด็กอาจจะมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ หากผู้ป่วยเด็กคนนั้นมีภาวะอ้วน เป็นโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก เบาหวาน หอบหืด หัวใจพิการแต่กำเนิด หรือภาวะผิดปกติทางระบบประสาทในบางรายส่งผลให้อันตรายถึงชีวิต
แม้ในการผ่อนคลายมาตรการครั้งนี้ ศบค. จะอนุญาตให้ประชาชนใน 29 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม เดินทางออกนอกพื้นที่ได้หรือข้ามจังหวัดได้ แต่ย้ำว่าให้เดินทางเฉพาะที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ออกประกาศเมื่อวันที่ 28 ส.ค. อนุญาตให้สายการบินทำการบินรับส่งผู้โดยสารเข้าหรือออกพื้นที่ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. เป็นต้นไป
ทั้งนี้ กพท. กำหนดมาตรการสำหรับจำนวนผู้โดยสารในเที่ยวบิน ให้มีผู้โดยสารได้ไม่เกินร้อยละ 75 ของขีดความสามารถในการรับผู้โดยสารของเครื่องบินที่ใช้ในเที่ยวบินนั้น ๆ และสายการบินจะจัดที่นั่งในเครื่องบิน โดยเว้นระยะห่าง แต่หากผู้โดยสารเดินทางมาด้วยกัน สายการบินอาจให้นั่งใกล้กันได้ แต่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมด้วย
นอกจากนี้ผู้โดยสารจะต้องปฏิบัติตามมาตรการการควบคุมโรคของจังหวัดจุดหมายปลายทาง ที่ต้องการเดินทางไปอย่างเคร่งครัด โดยทาง กพท. ได้ระบุเอาไว้ในเว็บไซต์ว่าสายการบินจะดำเนินการตรวจสอบเอกสารเพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ของมาตรการการเข้าออกจังหวัดพื้นที่ปลายทาง พร้อมระบุว่าผู้ที่มีความจำเป็นต้องเดินทาง โดยสามารถตรวจสอบมาตรการของแต่ละจังหวัดได้จากเว็บไซต์ moicovid.com
สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องเดินทางข้ามจังหวัด กพท. กำหนดเอาไว้ว่าต้องเตรียมเอกสารเพื่อใช้ประกอบการเดินทางซึ่งจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละจังหวัด แต่เอกสารเบื้องต้นที่ทุกจังหวัดร้องขอให้แสดงต่อเจ้าหน้าที่สายการบินก่อนขึ้นเครื่องมีดังนี้
สำหรับเอกสารยืนยันการได้รับวัคซีน ให้แสดงผลการฉีดวัคซีนที่ได้รับจากโรงพยาบาลหรืออาจใช้หลักฐานจากแอปพลิเคชันหมอพร้อมเพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้
บีบีซีไทยได้ตรวจสอบมาตรการเข้าจังหวัดในบางพื้นที่โดยพบว่าส่วนมากยังคงใช้มาตรการควบคุมเดิม และจะร้องขอให้ผู้เดินทางต้องแสดงหลักฐานการได้รับวัคซีน (ซิโนแวค 2 เข็ม หรือแอสตร้าเซนเนก้า 1 เข็ม) อย่างน้อย 14 วันก่อนการเดินทาง หรือมีผลตรวจเป็นลบ โดยแต่ละจังหวัดมีมาตรการที่ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น
หนึ่งในข้อกำหนดของ ศบค. สำหรับกิจการที่จะกลับมาให้บริการคือพนักงานจะต้องได้รับการตรวจหาเชื้อเป็นประจำทุกสัปดาห์โดยใช้ชุดตรวจแอนติเจนแบบรู้ผลเร็วหรือ ATK ทำให้คาดว่าความต้องการชุดตรวจ ATK จะเพิ่มขึ้นสูงอย่างมากหลังผ่อนคลายมาตรการในวันที่ 1 ก.ย.
นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผอ.องค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า วันนี้ (30 ส.ค.) ได้ลงนามสัญญากับบริษัท เวิลด์ เมดิคอล อัลไลแอนซ์ ประเทศไทย จำกัด เพื่อจัดซื้อ ATK แบบตรวจด้วยตนเอง จำนวน 8.5 ล้านชุด ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และโรงพยาบาลราชวิถี ภายหลังคณะอนุกรรมการจัดทำแผนการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น ของ สปสช. เห็นชอบราคาชุดตรวจตามที่ อภ. ได้เสนอ
ผอ. องค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า ชุดตรวจ ATK ทั้งหมด บริษัทจะนำเข้ามา และจัดส่งให้หน่วยบริการกว่า 1,000 แห่ง ตามที่ สปสช.กำหนด ภายใน 14 วันหลังจากลงนามสัญญา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างที่ สปสช. กำหนดสถานที่จัดส่งที่ชัดเจน
ทั้งนี้ ก่อนการจัดส่ง จะมีคณะกรรมการตรวจรับสินค้าตาม TOR โดยตรวจประเมินจากใบตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ หรือเอกสารรับรองผลิตภัณฑ์ว่ามีคุณภาพเป็นไปตาม TOR ของผู้สั่งซื้อ และการสุ่มตัวอย่างไปทดสอบคุณภาพที่ห้องปฏิบัติการของคณะแพทย์ศาสตร์ รพ.รามาธิบดี นอกจากนี้ อภ. จะสุ่มตัวอย่างเพื่อเก็บตัวอย่างในการตรวจวิเคราะห์หลังจากการนำไปใช้งานควบคู่กันไป
เอกสารข่าวจากองค์การเภสัชกรรม ระบุด้วยว่า กรณีที่มีการร้องเรียนจากผู้บริโภค บริษัทผู้จำหน่ายต้องสืบหาสาเหตุ และการป้องกัน กรณีที่มีปัญหาคุณภาพจนต้องเรียกคืนสินค้า บริษัทผู้จำหน่ายต้องเรียกเก็บคืน พร้อมชดใช้และแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้กับผู้บริโภค และทำรายงานผลการเรียกเก็บผลิตภัณฑ์คืน ส่งให้องค์การฯ ทำการประเมินประสิทธิผลของการเรียกคืนทุกครั้ง
ด้าน นางศิริญา เทพเจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท ณุศาศิริ (มหาชน) จำกัด และ กรรมการบริหาร บริษัท เวิลด์ เมดิคอล อัลไลแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ตัวแทนจำหน่าย ATK ของ บริษัท ออสท์แลนด์ แคปปิตอล และเป็นผู้ชนะการประมูล กล่าวว่า ด้วยกำลังการผลิตของบริษัทผู้ผลิตซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่มากระดับรัฐวิสาหกิจของประเทศจีน จึงมั่นใจได้ว่าโรงงานจะสามารถผลิต ATK พร้อมส่งมอบทั้งหมดได้ทันกับเวลาที่กำหนดไว้แน่นอน โดย ATK ทั้งหมดจะจัดส่งทางเครื่องบินเช่าเหมาลำ
คาดว่าล็อตแรกจะจัดส่งมาในวันที่ 6 ก.ย. 2564 โดยภายใน 14 วัน หลังจากลงนามสัญญาจะทยอยส่งมอบและจัดส่งครบ 8.5 ล้านชุด ถึงหน่วยบริการกว่า 1,000 แห่ง ตามที่ อภ. และ สปสช.กำหนด
"บริษัทมีความมั่นใจในคุณภาพ ATK ของ Lepu ว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพที่ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ ด้วยหลักฐานที่ชัดเจนสามารถพิสูจน์ได้ หากยังมีการด้อยค่าผลิตภัณฑ์แบบไม่เป็นธรรมกับบริษัททำให้มีผลต่อการดำเนินธุรกิจ ทางบริษัทฯ จะให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินการขั้นต่อไปอย่างเด็ดขาด..." เอกสารข่าว อภ. อ้างคำพูดของนางศิริญา
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ (30 ส.ค.) อนุมัติงบประมาณ 4,745 ล้านบาท จัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 9,998,820 โดส
โฆษกรัฐบาลกล่าวว่าด้วยจำนวนวัคซีนไฟเซอร์ที่สั่งซื้ออีกเกือบ 10 ล้านโดสนี้ ทำให้รัฐบาลมั่นใจว่าจะบรรลุเป้าหมายการจัดหาวัคซีนจำนวน 100 ล้านโดสภายในปี 2564
ทั้งนี้กลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับวัคซีนของไฟเซอร์ล็อตนี้มีจำนวน 6 กลุ่ม ได้แก่ เด็กอายุ 12 - 17 ปี, หญิงมีครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป, บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า, กลุ่มผู้สูงอายุ และ 7 โรคเสี่ยง, ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย, ผู้ที่มีความจำเป็นจะต้องฉีดวัคซีนไฟเซอร์ก่อนเดินทางไปต่างประเทศทั้งนักเรียนนักศึกษาหรือนักการทูต
ที่ผ่านมา ครม. ได้อนุมัติจัดซื้อวัคซีนไปแล้วจำนวน 80 ล้านโดส วงเงิน 22,990 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น การจัดซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 61 ล้านโดส ซิโนแวค 19 ล้านโดส และไฟเซอร์ 20 ล้านโดส
สำหรับการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ที่จะเริ่มในวันที่ 1 ก.ย. นี้ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ออกประกาศอนุญาตให้สื่อมวลชนเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ภายในพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลได้โดยจำกัดจำนวน
สื่อมวลชนสถานีโทรทัศน์ สังกัดละ 2 ทีม ทีมละ 2 คน หนังสือพิมพ์และสำนักข่าว สังกัดละ 2 คน
เงื่อนไขสำหรับการเปิดกิจการบางประเภทในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัดหลังจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. มีดังนี้