lördag 21 augusti 2021

ประเด็น ! เรื่อง “ตาบอดข้างเดียว” ว่าเป็น “กฏแห่งกรรมรุนแรงและรวดเร็ว”

Thai E-News

ดอกเต้อนิด้า 'อานนท์' โพสต์ไม่พ้นคอ / สปป.ลาวแก้โควิดดีกว่าไทย


 

ดอก. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ นี่ขว้างงูไม่พ้นคอเลยละ ทำตัวเป็นอัลตร้ารอยัลลิสต์ ดันโพสต์ออกมาได้ไงเรื่อง “ตาบอดข้างเดียว” ว่าเป็น “กฏแห่งกรรมรุนแรงและรวดเร็ว” มันดูเหมือน ตีวัวกระทบคราดเพียงแต่ของจริงกลายเป็น ซัดราชาธิราชกระทบขื่อแป

ก็พวกที่เขาหมั่นไส้ไอ้หมอนี่มานานแล้ว ฐานที่ห้อนโหยเสียจนกลายเป็นสถุล หมดสิ้นวุฒิภาวะ พอหลุดอย่างนี้เลยเจอสิ จากเบาๆ อย่าง ข่าวสดถาม “พูดถึงใคร” ที่ว่าตาบอดข้างเดียว โดยไม่ระบุว่าข้างขวา กูKult’ ที่ ตลาดหลวงได้ทีสิ

“ดวงตาหนึ่งข้างที่ดับไปตลอดกาล ก็เพราะซิ่ง Fiat 500 Topolino ชนท้ายรถบรรทุกที่โลซานน์” เท่านั้นละ อาธร นวทิพย์สกุล เอาไปถามกลับที่โพสต์ต้นเรื่อง ว่า “ร. 9 โดนกรรมอะไรให้ตาบอดครับ” มันขอดเกล็ดอาจารย์นิด้าคนนี้เสียเปิดเปิง

เรียนมาสูงแต่ปัญญาต่ำ คงจงใจซ้ำเติมไฮโซกลับตาลปัตรมาเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ที่โดนกระสุนแก๊สน้ำตาจากตำรวจ คฝ. ขณะไปร่วมชุมนุมไล่ประยุทธ์กับเยาวชนทะลุฟ้า กระแทกตาข้างขวาเสียหายไม่สามารถใช้การได้ต่อไป


 

เจ้าตัวยังอุตส่าห์ประกาศว่าถึงแม้ “ดวงตาหนึ่งข้างดับไปตลอดการ แต่ผมไม่เคยเห็นชัดเจนขนาดนี้มาตลอดชีวิต” ปาวารณาตัวจะสู้เพื่อความยุติธรรมในสังคมต่อไป ให้ปลอดจากเหลือร้ายในคราบขุนศึก และบริวารนักห้อยนักโหนทั้งหลาย

ในใจอานนท์ ศักดิ์ฯ น่าจะมุ่งแช่งชักต่อ ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย แต่ด้วยความเขลาบวกด้วยนิสัยมุ่งร้ายจนกลายเป็นสันดาน ทำให้พลั้งไปเลือกใช้ประเด็นที่เข้าเนื้อตนเอง ในฐานะที่พยายามนำเอาพระสมัญญานามรัชกาลที่ ๙ มาใช้สร้างความเขื่องแก่ตน

นำความหมองหมางมาสู่ราชตระกูล แม้นว่าราชโอรสผู้สืบสันตติวงศ์ จะไม่ทรงหักพล้าซึ่งทำการถากถางต้นหญ้าอันกระจายทั่วแผ่นดิน และโตวันโตคืนเสียจนคุกคามต่อความเฟื่องฟูของไม้พุ่มริมรั้ว ก็ยังมีราชธิดาที่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งพยายามนำเสนอมาบนหลังม้าขาว

โพสต์ของ Prakarn Kamenkarntai สะท้อนความเป็นจริงอย่างหนึ่งภายใต้ข้อสังเกตุดังกล่าว “ให้ท่านหญิงผู้นี้เป็นผู้นำชั่วคราวก่อน ให้นำรัฐธรรมนูญปี ๔๐ มาใช้ชั่วคราว แล้วให้ทักษิณเป็นปรึกษาใหญ่ กำจัดพวกเหี้ยออกไปให้หมด” เขาว่า

แต่ทางการเมือง จมปลักอยู่กับ อัศวิน จนเกือบจะเป็นเพียงเพ้อฝันมานานกว่าทศวรรษ น้ำเต้าน้อยเลยถอยลง นับแต่นักฉวยโอกาสรัฐประหารเข้ามาครองบ้านผ่านเมือง ครั้นมีโรคห่าลงยิ่งเป็นผีซ้ำดั้มพลอยกันไปใหญ่ แม้แต่ เมืองน้องก็ยังล้ำหน้า

ในวิกฤตโควิด-๑๙ ซึ่งไม้พุ่มริมรั้วใกล้จะหมดปัญญาแก้ ไม่เคยมีเช่นนี้ซึ่งคนตายรายวันกว่า ๒๐๐ มาเป็นแรมเดือน ขณะที่ สปป.ลาว ซึ่งจำนวนการระบาดและความเสียหายของไวรัสร้ายน้อยกว่าไทย มีผู้ป่วยสะสมหมื่นกว่าราย เทียบกับไทยไปถึงล้านแล้ว

จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดในลาวล่าสุดเมื่อวันก่อน อยู่ที่ ๑๑ ราย เสียชีวิตเพิ่มวันนี้ ๒ ราย ปรากฏว่าผู้เสียชีวิต ๑ ใน ๒ คนนั้นไปจากประเทศไทย “ผู้ป่วยเสียชีวิตรายที่ ๑๑ เป็นหญิงอายุ ๒๖ ปี จากแขวงคำม่วน ซึ่งเดินทางกลับจากไทยเมื่อวันที่ ๓ ส.ค.” (ข่าว กรุงเทพธุรกิจ)

การระดมฉีดวัคซีน อันเป็นหนทางเดียวที่จะยับยั้งการแพร่ระบาดและคร่าชีวิตประชากรให้ได้ผล เทียบกันระหว่างไทยกับลาว “ไทยมีการฉีดวัคซีนสะสมเพียง ๒๔,๘๓๘,๖๑๕ โด๊สเซส โดยผู้ที่ได้รับวัคซีน๒ เข็มแล้วมีเพียง ๕,๔๒๒,๐๖๒ ราย หรือคิดเป็น ๗.๕๓% ของประชากร”

way magazine เอาข้อมูลจาก ศบค. เมื่อ ๑๙ สิงหา ไปเทียบกับลาวซึ่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนของเขาครบสองโด๊สเซสแล้วถึง ๒๔.๖% หรือจำนวนกว่า ๑ ล้าน ๕ แสนราย รัฐบาลยืนยันว่าเป้าหมายฉีดวัคซีนให้ได้ครบถึง ๕๐% สิ้นปีนี้มีหวังเป็นจริงมากกว่าไทยซึ่งคุยไว้ว่าจะได้ ๘๐%

เมื่อเดือนที่แล้วมีเสียงซุบซิบเฮฮาสัพยอกรัฐบาลประยุทธ์ว่า ชาวไทยจะแห่กันไปลักลอบข้ามเขตแดน เพื่อจะได้ฉีดวัคซีนไฟ้เซอร์ที่มีเหลือเฟือ หลังจากที่มีข่าวว่าชาวบ้านไทยสามคนเข้าเก็บเห็ดในเขต สปป.ลาว แล้วถูกจับ โดนฉีดไฟแซอร์ให้ก่อนส่งกลับ

ทำให้ เจษฎา กตเวทิน ทูตไทยประจำลาวต้องเตือน ผ่านทางบทสัมภาษณ์กับนิตยสาร เวย์อย่าแห่กันลักลอบเข้าเมืองลาว สุ่มสี่สุ่มห้า เพื่อจะฉีดวัคซีน ความจริงเบื้องหลังมีว่า ถ้าเป็นประชากรและชาวต่างชาติที่ไปอาศัยทำมาหากินกัน

คนเข้าประเทศประเภทอื่นๆ ต้องดูตาม้าตาเรือ ไม่ใช่ว่าลาวมีวัคซีนไฟ้เซอร์เหลือเฟือแล้ว ใครไปฉีดให้หมด “คุณต้องไปขอวีซ่าก่อนนะ...แม้ในสถานการณ์ปกติธรรมดา ไม่ต้องขอ แต่ตอนนี้ต้องแล้ว “ดังนั้นคนที่จะเข้ามาฉีดวัคซีน หรือลักลอบเข้ามา”

ท่านทูตว่า “ถึงเวลาเขาไม่ฉีดให้ คุณก็ติดคุกนะ”

(https://waymagazine.org/thai-laos-covid-19/, https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1142650886223290&id=100014351685862)

........................................................
 

อันนี้อ่านเอาขำๆ เอามาจาก The Revolutionary King ของ William Stevenson หนังสือประวัติในหลวงภูมิพล ที่เล่าถึงตอนที่ในหลวงภูมิพลอารมณ์เสียขึ้นมา เมื่อสตีเวนสันเอ่ยถึงตาข้างขวาที่เสียไป..... facebook.com/somsakjeam/pos

Bild 

.................................................................................

4 ต.ค.2491 อุบัติเหตุรถยนต์ ทรงประทับขับ จากเหตุคาดไม่ถึง

 

เปิดภาพพระราชรถ ร.9 ครั้งประสบอุบัติเหตุ สูญเสียพระเนตรขวา
S! News

สนับสนุนเนื้อหา

เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2491 เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อรถยนต์ตอนเดียวเล็กๆ คันหนึ่ง แล่นอย่างรวดเร็วตามถนนผ่านเมืองมอร์จมุ่งสู่นครเจนีวา โดยผู้ขับมิได้คาดการณ์ว่า รถบรรทุกที่อยู่ข้างหน้าจะหยุดอย่างกะทันหันเพื่อมิให้ชนผู้ขี่จักรยานสองคนบนถนน แม้ผู้ขับรถยนต์คันเล็กจะเหยียบห้ามล้อทันควันก็ช่วยอะไรไม่ได้ เสียงห้ามล้อดังสนั่น แล้วรถยนต์คันเล็กก็ปะทะท้ายรถบรรทุกเข้าอย่างจัง ผู้ขับรถยนต์คันเล็กนั้นคือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งทรงได้รับบาดแผลฉกรรจ์ที่พระเนตรข้างขวา ผู้โดยเสด็จในรถพระที่นั่งคือ นายอร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ได้รับบาดเจ็บกะโหลกศีรษะร้าว

เช้าวันที่ 18 พฤศจิกายน 2491 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้แพทย์ทำการผ่าพระเนตรข้างขวา หลังจากนั้นพระองค์ท่านทรง มีพระอาการแทรกซ้อนเรื่อง พระเนตรขวา ซึ่งแพทย์ที่ถวายการรักษาอีกหลายครั้งก็ไม่ดีขึ้น จึงได้ถวายการแนะนำให้พระองค์ทรงพระเนตรปลอมในที่สุด

จากอุบัติเหตุครั้งนั้น แม้พระองค์จะทรงมีพระเนตรเพียงข้างเดียว แต่สายพระเนตรของพระองค์นั้นกว้างไกลนัก ทรงงานอย่างไม่ย่อท้อ ทั้งพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่วางแผนในระยะยาวเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของพสกนิกร ไม่ว่าเราจะอยู่ภาคใด จังหวัดใด ความทุกข์ของประชาชน พระองค์จะทอดพระเนตรเห็นเสมอ

อนึ่ง รถยนต์ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงใช้ประทับขับก็คือ Fiat 500 Topolino ซึ่งมีความเร็วสูงสุด 85 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์ที่เล็กจิ๋วเพียง 500 cc และยังเป็นที่นิยมกันจนถึงปัจจุบัน

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :หนังสือ พลังแห่งแผ่นดิน นวมินทรมหาราชา

ภาพ :หนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส LE TEMPS

 

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar