fredag 29 oktober 2021

ใบตองแห้ง: ระบอบขาใหญ่รักชาติ, : คู่แข่ง พท.-กก.

การเมืองในพรรคพลังประชารัฐกลับมาร้อนแรง หลังประยุทธ์ปิดห้องถก 6 รัฐมนตรี แล้วมีข่าวสะพัดจะให้กรรมการบริหารพรรคลาออกปรับโครงสร้างใหม่ เพื่อไล่ ธรรมนัส พรหมเผ่า พ้นเลขาธิการพรรค

อดีต กกต.สมชัย ศรีสุทธิยากร ฟังแล้วก็งง ทำไมต้องอ้อมไปใช้วิธีนั้น ถ้า 3 ป.คุยกันได้จริง ให้ประวิตรลาออกจากหัวหน้าพรรคก็จบ

ไม่ทราบเหมือนกันทำไมต้องซับซ้อน แต่นักวิเคราะห์ทุกสำนักฟันธง ประยุทธ์-ธรรมนัส ไม่มีทางอยู่ร่วมโลก-เอ๊ย ร่วมพรรค เลือกตั้งครั้งหน้าถ้า พปชร.ยังเสนอชื่อตู่เป็นนายกฯ ก็ไม่มีเลขาธิการพรรคชื่อแป้ง โดยตู่จะรีบกวาดแป้งก่อนเปิดสมัยประชุมด้วยซ้ำ

เปรียบมวยตามน้ำหนัก ธรรมนัสไม่มีอะไรสู้รบประยุทธ์ แต่ประหลาดไหม ธรรมนัสระดม ส.ส.ต้อนรับประวิตรได้มากกว่าทุกครั้ง ธรรมนัสกล้าทำโพลทั้งที่รู้ว่า ส.ส.ภาคใต้จะไม่พอใจ ธรรมนัสมีดีอะไร ไม่ใช่แค่กล้วยแน่นอน

ที่แน่ๆ ฝ่ายค้านโดยเฉพาะเพื่อไทย หัวเราะครึกครื้นตลอดทางไปประชุมใหญ่ขอนแก่น เพราะถ้าประยุทธ์-ธรรมนัส จูบปากกันได้ เพื่อไทยศึกหนักแน่นอน

ธรรมนัสมีแบ็ก? คงใช่ ถึงได้มั่นใจพอตัว แต่ธรรมนัสก็ถึงลูกถึงคน ลุยทุกพื้นที่ได้ใจ ส.ส. ได้ใจมวลชน ธรรมนัสชี้จุดอ่อน พปชร. ว่าถ้ายังชูตู่เป็นนายกฯ จะเสียคะแนนนิยม เพราะล้มเหลวตลอด 2 ปีกว่า

กระนั้น พปชร.ก็ dilemma เพราะต้องหาเสียงอิงประยุทธ์ว่ามี 250 ส.ว. “เราได้เป็นรัฐบาลแหงๆ”

มีคำแนะนำที่ไม่ทราบว่ากลุ่มก๊วนผู้ภักดีประยุทธ์จะทำหรือเปล่า คือในวันประชุมพรรค ควรจะระดมมวลชนคนดีมีศีลธรรม คนรักคลองโอ่งอ่างที่สนับสนุนประยุทธ์ มาชูป้ายไล่ “มันคือแป้ง” จะปล่อยให้คนมีมลทิน ที่เคยติดคุกออสเตรเลียในคดียาเสพติด เป็นเลขาธิการพรรคได้อย่างไร ไม่สง่างาม

ลองทำดูสิ อาจได้ผล แต่ชาวบ้านหัวร่อตายฝ่ายค้านหัวร่อกลิ้ง เพราะปัญหาจริยธรรมไม่ได้อยู่ที่ธรรมนัส อยู่ที่ประยุทธ์ต่างหาก ไม่ได้ปลดธรรมนัสเพราะมีมลทิน แต่ปลดเพราะแค้นจะโค่นตัวเอง

ถามจริงว่าหัวหน้ากลุ่มก๊วนต่างๆ ใน พปชร. สง่างามกว่าธรรมนัสแค่ไหนเชียว รากฐานของ ส.ส.พปชร. คือนักการเมืองขาใหญ่ประจำถิ่น หาเสียงด้วยระบบอุปถัมภ์ อิงอำนาจ ในยุคทักษิณตั้งพรรคไทยรักไทย ก็กระโจนไปเกาะ ได้อานิสงส์จากการหาเสียงด้วยนโยบาย แต่พอเกิดพรรคพลังประชารัฐ เป็นฐานรองรับประยุทธ์สืบทอดอำนาจ เห็นชัดๆ ว่าได้เป็นรัฐบาล ก็พากันย้ายพรรคเพื่ออำนาจผลประโยชน์ แล้วแย่งตำแหน่งกันวุ่นวาย

ภาพรวมการเมืองในวันนี้คือ เครือข่ายอำนาจที่มีประยุทธ์เป็นตัวแทน วางฐานอยู่บนการเมืองเก่า นักการเมืองน้ำเน่า ไม่ว่าพรรคแกนนำหรือพรรคร่วม ดูดกวาดพรรคเศษเล็กเศษน้อย มาเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้ตั้งอยู่ด้วยความชอบธรรมในสภา แต่อยู่ด้วยอำนาจรัฐราชการทหารตำรวจศาลองค์กรอิสระ แล้วท่องคาถารักชาติศาสน์กษัตริย์

ผู้บัญชาการทหารบกปลุกจิตสำนึกรักชาติ วิษณุให้ฟื้นเพลงปลุกใจ นักการเมืองเจ้าพ่อมาเฟียประจำถิ่นทั้งหลายก็ร้องเพลงปลุกใจ ประณามคนรุ่นใหม่ชูสามนิ้วให้รู้จักสำนึกบุญคุณแผ่นดิน

นี่เป็นเรื่องตลกของอุดมการณ์อนุรักษนิยมล่มสลาย คนชั้นกลางเก่าในอดีตเกลียดนักการเมืองยี้ แต่ตอนนี้เชียร์ยี้หนุนประยุทธ์ จนกระแสตีกลับ จากสองนคราในอดีต เงินบริจาคภาษีพรรคก้าวไกลพุ่งพรวดมากกว่าประชาธิปัตย์ 4 เท่า

อำนาจอนุรักษนิยมกำลังเสียพื้นที่คนในเมือง ฝากความหวังกับนักการเมืองระบบอุปถัมภ์ในต่างจังหวัด ระบบบ้านใหญ่ที่อยู่ด้วยอำนาจผลประโยชน์ บางคนยึดจังหวัดเป็นของตัวเอง ผู้ว่าฯ ตำรวจ อยู่ในโอวาท

ขนาดนั้นก็ยังแตกร้าว เพราะนักการเมืองไม่พอใจที่ถูกกดไว้ใต้อำนาจเก่า

ที่มา: ข่าวหุ้นธุรกิจ https://www.kaohoon.com/column/488287

2021-10-29 15:28

พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลเป็นคู่แข่ง ภายใต้ศัตรูตู่เดียวกัน แม้พูดให้สวยว่าไม่ใช่คู่ขัดแย้ง เป็นความแตกต่างหลากหลาย ก็ต้องแย่งคะแนนกันอยู่ดี

ฝ่ายประชาธิปไตยมาถึงจุดที่ต้องยอมรับและทำความเข้าใจว่า ภายใต้อุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างกว้างๆ (ไม่เอารัฐประหารสืบทอดอำนาจ) ทั้งสองพรรค (หรือ 3-4 พรรค เช่นเสรีรวมไทย ไทยสร้างไทย) มีแนวคิด นโยบาย เป้าหมายเชิงอุดมคติ องค์ประกอบ ส.ส. และฐานมวลชนที่แตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน

พูดง่ายๆ ว่าวันนี้แต่ละพรรคก็มี FC ของตัวเอง ซึ่งไม่ง่ายที่จะไปบอกให้เลือก ส.ส.เขตอีกพรรค เพื่อให้ฝ่ายประชาธิปไตย“แลนด์สไลด์” เอาชนะ พปชร.ไว้ก่อน (ไม่เลือกเราเขามาแน่)

ฉะนั้นต้องพูดกันให้เคลียร์ว่า ถ้าผลเลือกตั้ง ส.ส.เขต แพ้พรรครัฐบาล เพราะ 2 พรรคตัดคะแนนกันเอง FC ก็อย่าตีโพยตีพาย โทษว่าเป็นเพราะอีกฝ่าย ทำให้ไม่แลนด์สไลด์ ทำให้ประยุทธ์อยู่ยาวอีกสี่ปี (บลาๆๆ)

เป็นฝ่ายประชาธิปไตยต้องเคารพสิทธิเสรีภาพ เจตจำนงของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง อย่าบอกว่ายอมรับความแตกต่างหลากหลาย แต่บีบให้เลือกพรรคที่ตัวเองชอบเพื่อ “แลนด์สไลด์”

คิดแบบนี้คือไม่เข้าใจว่าพลังประชาธิปไตย พ.ศ.นี้มีแตกต่างหลากหลายจริงๆ แตกต่างจนไม่สามารถบอกให้เลือกใครก็ได้ “ประชาธิปไตยพรรคเดียว” เพื่อเอาชนะศัตรู คนรักประชาธิปไตยวันนี้มีความคิดหลากหลาย มีเป้าหมายต่างระดับกัน ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ไม่ใช่แค่เอาตู่ออกไปเท่านั้น

พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลแตกต่างกันตั้งแต่แรกที่เป็นพรรคอนาคตใหม่ ไม่ใช่แค่นโยบาย หรือแนวทางหาเสียง จุดแยกที่ชัดเจนคือ ธนาธร-ปิยบุตร ไม่เห็นด้วยกับการเสนอชื่อแคนดิเดตพรรคไทยรักษาชาติ

คะแนนพรรคอนาคตใหม่ส่วนหนึ่งมาจาก ทษช.ถูกยุบ แต่ บางเขตก็ชนะกระทั่งเพื่อไทย บางเขตทำให้เพื่อไทยแพ้ มองง่ายๆก็ว่าแย่งคะแนน แต่ไม่ใช่ คนเลือกอนาคตใหม่ส่วนหนึ่งมาจากคนเคยเลือกเพื่อไทย เคยร่วมสู้กับเพื่อไทย แต่อีกส่วนหนึ่งมาจากคนรุ่นใหม่ ซึ่งถ้าไม่มีอนาคตใหม่ก็ไม่แน่ว่าเลือกเพื่อไทย อีกส่วนหนึ่งมาจากคนชั้นกลางในเมือง ที่เคยไล่ทักษิณ แต่วันนี้ “กลับใจ” ไม่เอารัฐประหาร

ความแตกต่างระหว่างสองพรรค ยิ่งมายิ่งเห็นชัด เช่น พรรคก้าวไกลเสนอแก้ 112 แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับไม่เว้นหมวดไหน ขณะที่พรรคเพื่อไทยเว้นหมวด 1 หมวด 2 แล้วหันไปขายความเชื่อมั่น “พี่โทนี่” ว่าถ้าเพื่อไทยแลนด์สไลด์จะทำให้เศรษฐกิจดี

ภาพตัดกันชัดเจน ก้าวไกลห้าวเป้งท้าชน ถูกใจคนชั้นกลางในเมืองรุ่นใหม่ เพื่อไทยเป็นพรรค Mass หาเสียงวงกว้าง มุ่งคนชนบทที่เชื่อทักษิณแก้ปากท้อง ไปจนคนค้าขาย นักธุรกิจใหญ่ไม่เอาตู่แน่นอน แต่พยายามหลีกเลี่ยงไม่เผชิญหน้าโครงสร้างอำนาจอนุรักษนิยม

มิตรสหายรายหนึ่งเปรียบไว้ว่า พรรคก้าวไกลวางตัวเหมือนพรรคการเมืองในยุโรป ที่ชัดเจนทางอุดมการณ์ พยายาม Democratise ผ่านระบบรัฐสภา (ด้วย ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่มีคุณภาพ) พรรคเพื่อไทยพยายามตอบสนองผลประโยชน์ประชาชนในระบอบกึ่งเผด็จการ และทำได้ดีที่สุดเท่าที่เคยมีพรรคการเมืองมา แต่ก็หลีกเลี่ยงโครงสร้าง พยายามประคองตัวอยู่กับรัฐกึ่งเผด็จการ

ใครถูกใครผิดฟันธงได้ยาก ต่างก็มีข้อจำกัดของตัวเอง ก้าวไกลใช้ “การเมืองใหม่” แต่อ่อนหัด คัดเลือกผู้สมัครพลาดหลายจุด ไพรมารีทีไรแตกกันทุกที การเมืองใหม่ยากจะประสานกับความเป็นจริงของการเมืองไทย ที่อยู่ในระบบอุปถัมภ์ แต่ก้าวไกลก็ได้ใจคนรุ่นใหม่ และคนชั้นกลางที่ผิดหวังประชาธิปัตย์เห็นได้จากยอดเงินบริจาคภาษี

ส.ส.เพื่อไทยก้ำกึ่งอยู่ในระบบอุปถัมภ์ แต่เอาชนะด้วยนโยบายด้วยความนิยมทักษิณ ด้วยการอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย กระนั้นก็ทำให้มีข้อจำกัด เหมือนยกตัวอย่างขำๆ ถ้าเพื่อไทยชูป้ายแก้ 112 หันมาข้างหลังอาจเหลือ ส.ส.แค่ 2-3 คน ไม่ใช่ขลาดแต่พวกเขาจำเป็นต้องรักษาพันธะกับฐานเสียงที่ก้ำกึ่งหลากหลาย

เพื่อไทยกับก้าวไกลจึงเป็นคู่แข่ง ที่ทั้งผลักดันและขัดแย้งกันในขั้วเดียวกัน เป็น dialectic เช่นการเกิดอนาคตใหม่ ก้าวไกล ทำให้เพื่อไทยต้องปรับใหญ่ การยุบพรรคอนาคตใหม่ทำให้เกิดม็อบคนรุ่นใหม่ ชูสามนิ้ว แม้เพื่อไทยมีข้อจำกัด ก็ยกระดับตัวเองให้ใหม่ขึ้นหลายด้าน

ก้าวไกลมุ่งเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่แหลมคม ช่วงชิงคนชั้นกลางในเมือง (ดึงสลิ่มกลับใจ สร้างแนวร่วม NGO) เพื่อไทยมุ่งเป็นพรรคของประชาชนวงกว้าง มุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง แก้เงื่อนไขการเมืองที่เป็นอุปสรรค

พูดกันจริงๆ ฝ่ายประชาธิปไตยต้องการทั้งสองพรรค ต่อสู้ผลักดัน แข่งขัน พลังหนึ่งเป็นหัวหอก พลังหนึ่งเป็น Mass มีความขัดแย้งบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ขอเพียง “ติ่ง” อย่าเป็น Ultra ยิ่งกว่าพรรค จุดไหนร่วมกันได้ก็ร่วม จุดไหนต้องชนก็ชน โดยเคารพเจตจำนงซึ่งกันและกัน

คิดเสียใหม่ว่าบางทีแลนด์สไลด์ก็อาจเปลี่ยนอะไรไม่ได้ ได้แค่ยับยั้งเฉพาะหน้า ความแหลมคมและความหลากหลายต่างหากที่จะเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยได้ถึงโครงสร้างจริงๆ

ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/hot-topics/news_6691904

 

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar