tisdag 31 december 2019

วชิราลงกรณ์ทำตัวเรียนแบบพ่อทั้งทรงผมและแว่นตาในวันกล่าวปราศรัยถึงประชาชนในวันปีใหม่ ... ( คำปราศรัยที่ไร้คุณค่าของกษัตริย์ที่ประชาชนไทยเกลียดที่สุดเพราะเป็นกษัตริย์หนักแผ่นดิน นี่คือสาสน์ที่ประชาชนไทยให้พรกษัตริย์ ...)


King Vajiralongkorn’s New Year message was staged to make him look like his father. The glasses, the hairstyle... Look at the photo of Bhumibol at the top left. Rama X is trying to channel Rama IX.

ประวัติศาสตร์ของชาติไทยที่กำลังจะถูกทำลายโดยกษัตริย์ทรราช

Alongkorn Cheurkit
för 17 timmar sedan
เรื่องเล่าที่กำลังจะเป็นจริง 🤔
เจ้าคุณพหลฯ เจ้าคุณแปลก ทั้ง2ท่านนี้เป็นทหารปืนใหญ่ที่มีเกียรติยศปรากฏเป็นที่เลื่องลือ เป็นที่เคารพนับถือในหมู่ทหารปืนใหญ่ไทยไม่ต่างอะไรกับบุพการีของหมู่ทหารปืนใหญ่ของกองทัพไทย
ค่ายพหลโยธิน เป็นค่ายใหญ่ของทหารปืนใหญ่ เป็นศูนย์กลางของยุทธศึกษาของทหารปืนใหญ่ ชื่อค่ายตั้งขึ้นตามนามสกุลของท่านเจ้าคุณพหลฯ นายกฯคนที่2ของประเทศเรา และจากชีวประวัติของเจ้าคุณทั้ง2ท่านนั้น ล้วนมีส่วนสำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของประเทศเราในอดีตเป็นอย่างมาก
... Visa merเรื่องเล่าที่กำลังจะเป็นจริง 🤔

เจ้าคุณพหลฯ เจ้าคุณแปลก ทั้ง2ท่านนี้เป็นทหารปืนใหญ่ที่มีเกียรติยศปรากฏเป็นที่เลื่องลือ เป็นที่เคารพนับถือในหมู่ทหารปืนใหญ่ไทยไม่ต่างอะไรกับบุพการีของหมู่ทหารปืนใหญ่ของกองทัพไทย

ค่ายพหลโยธิน เป็นค่ายใหญ่ของทหารปืนใหญ่ เป็นศูนย์กลางของยุทธศึกษาของทหารปืนใหญ่ ชื่อค่ายตั้งขึ้นตามนามสกุลของท่านเจ้าคุณพหลฯ นายกฯคนที่2ของประเทศเรา และจากชีวประวัติของเจ้าคุณทั้ง2ท่านนั้น ล้วนมีส่วนสำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของประเทศเราในอดีตเป็นอย่างมาก

เจ้าคุณพหลฯนั้นเป็นหัวหน้าคณะราษฏร์ #สายทหารบกชั้นผู้ใหญ่ ที่ร่วมทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศ จากสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็น ประชาธิปไตย ต่อมาท่านก็ได้เป็น นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของประเทศเราในระบอบประชาธิปไตย

เจ้าคุณแปลกฯนั้นเป็นหัวหน้าคณะราษฏร์ #สายทหารบกชั้นผู้น้อย ที่ร่วมทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศ จากสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็น ประชาธิปไตย ต่อมา ท่านก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 11 ของประเทศเราในระบอบประชาธิปไตย และดำรงตำแหน่งอยู่นานถึง 14 ปี 11เดือน

ทั้ง2เจ้าคุณ เป็นนายทหารหัวสมัยใหม่ ที่จบนายร้อยจากต่างประเทศ เจ้าคุณพหลฯจบนายร้อยเยอรมันเหล่าปืนใหญ่ เจ้าคุณแปลกจบนายร้อยฝรั่งเศสเหล่าปืนใหญ่(ได้ทุนไปเรียนต่อ) เจ้าคุณพหลฯนั้นมีแนวคิดทางการเมืองการปกครองค่อนข้างเอียงไปทางสากลตะวันตก แต่ เจ้าคุณแปลกนั้น มีแนวคิดค่อนข้างสากลและโน้มเอียงไปทางชาตินิยม

หลังทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศเราได้สำเร็จ เจ้าคุณพหลฯค่อนข้างเกรงใจและพยายามประณีประนอมกับฝ่ายเจ้า แต่เจ้าคุณแปลกนั้น #ทำตรงกันข้าม กับเจ้าคุณพหลฯทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง ..

กาลล่วงมาเกือบร้อยปี จนมาถึงยุคเราๆท่านๆนี้ อนุสาวรีย์เจ้าคุณพหลฯ และ อนุสาวรีย์เจ้าคุณแปลก ซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ที่ค่ายพหลโยธิน ศูนย์การทหารปืนใหญ่ ลพบุรี #กำลังจะ ถูกย้ายออกไปตั้งไว้ที่พิพิธภัณฑ์ ของทั้ง2ท่านภายในค่ายนั้น โดยจะมีการอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์ในหลวงรัชกาลที่9มาประดิษฐานไว้แทน และจะเปลี่ยนชื่อค่ายพหลโยธิน เป็น ค่ายภูมิพล แทนนับแต่นั้น ..

ไม่มีอะไรครับ เล่าให้ฟังเฉยๆ แม้นผมไม่เล่าวันนี้ แต่หากเมื่อวันนั้นมาถึงเมื่อไร สื่อต่างๆในประเทศเรา ก็ต้องเล่าแบบที่ผมเล่าวันนี้อยู่ดี ..

จริงๆนะ พูดกันตามจริง ผมตั้งใจเล่าเรื่องนี้ เพื่อให้ผู้คนในพรรคอนาคตใหม่ได้อ่าน ตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ 🙄











Bilden kan innehålla: hus, träd och utomhus
Bilden kan innehålla: natt


2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ผลของการปิดจุดท่องเที่ยว

 

(พวกสัตว์เดียรสารที่มีชีวิตอยู่บนความทุกข์ยากของประชาชนที่ทำมาหากินเพื่อปากท้อง ชนพวกนี้จะอาศรัยอำนาจคุ้มครองจากพ่อที่เป็นกษัตริย์วิกลจริตแต่มีอำนาจสูงสุดทีครอบงำสังคมไทยอยู่ในเวลานี้ ...)

ลูกสาวกษัตริย์กำลังรื่นเริงอยู่บนความทุกข์ยากของประชาชนที่ทำมาหากินเพื่อปากท้อง ...

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

Princess Sinivannavari and her friends are staying at the luxury Sri Panwa resort in Phuket. ฟ้าหญิงและสหายกำลังพำนักอยู่ที่ ศรีพันวา 

Princess Sirivannavari and friends including Songlak “Fame” Svasti on holiday in Phuket

måndag 30 december 2019

บิดเบือน.. ลบล้างประวัติศาสตร์ ???

บุตรชายคนที่ 4 ของพระยาพหลพลพยุหเสนา สมาชิกคนสำคัญของคณะราษฎร เผยว่าอนุสาวรีย์ของบิดาที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ ค่ายพหลโยธิน จ.ลพบุรี จะต้องถูกย้ายออกไปตั้ง ณ ที่ พิพิธภัณฑ์พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา #BBCไทย

............................................................

คอลัมน์ ชกไม่มีมุม : ลบล้างประวัติศาสตร์ - ข่าวสด (Update)



คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน

มีนักวิชาการขวาจัด ได้สร้างกระแสรื้อหมุดคณะราษฎรมาก่อนหน้านี้ระยะหนึ่งแล้ว จนกระทั่งก่อนจะถึงวันเปลี่ยนหมุดใหม่จริงๆ ก็มีการเน้นย้ำอย่างดีใจออกนอกหน้า เหล่านี้น่าจะพอเห็นที่มาของกระบวนการทำให้หมุดก่อเกิดรัฐธรรมนูญหายไปได้เป็นอย่างดี

กลุ่มความคิดอนุรักษนิยมทางการเมืองในสังคมไทยเรานั้น หวาดกลัวการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่
กลัวการเติบโตทางการเมืองของประชาชนในสังคม
ต้องการให้สังคมไทยเต็มไปด้วยประชาชนที่ว่านอนสอนง่าย

ประวัติศาสตร์ 24 มิถุนายน 2475 จึงต้องลบเลือนให้ได้ ก็เลยต้องทำให้หมุดหายไป

เหมือนกับประวัติศาสตร์ 14 ตุลาคม 2516 ที่ไม่เคยได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการ ไม่เคยได้รับการเผยแพร่ในหลักสูตรการเรียนการสอนของรัฐ
ไม่เคยกำหนดเป็นวันสำคัญของประเทศ
เช่นเดียวกับประวัติศาสตร์ 6 ตุลาคม 2519
ประวัติศาสตร์พฤษภาคม 2535

ทั้งที่คือความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย แต่มันแสลงใจคนบางกลุ่ม!
มื่อประชาชนลุกขึ้นขับไล่รัฐบาลทหาร จนนำมาสู่เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ลงเอยได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพและการนำประเทศชาติไปสู่ยุคประชาธิปไตย

จนกระทั่งต้องเกิดเหตุ 6 ตุลาคม 2519 ฆ่าหมู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เพื่อหยุดการเติบโตของประชาชนที่เริ่มมาจาก 14 ตุลาฯ
แต่แล้วก็พบว่า ยิ่งทำให้การต่อสู้ของนักศึกษาประชาชนไปสู่ทิศทางรุนแรง จนต้องมีคำสั่งที่ 66/2523 ยอมรับความผิดพลาดของวันที่ 6 ตุลาฯ เพื่อหยุดสงครามทางอุดมการณ์

แทนที่จะบันทึกประวัติศาสตร์หน้านี้ ไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังเรียนรู้

ไม่จุดชนวนฆ่าคนกลางเมืองกันอีก อันจะทำให้ความรุนแรงยิ่งไปกันใหญ่ แต่กลับพยายามลบเลือน
เช่นเดียวกับการลุกขึ้นต่อสู้ของประชาชน ในเดือนพฤษภาคม 2535 ขับไล่รัฐบาลทหารกันอีกครั้ง ส่งผลให้ได้รัฐธรรมนูญที่กำหนดให้นายกฯต้องมาจากผู้ได้รับเลือกตั้งโดยประชาชนเท่านั้น

ความเป็นจริงเหล่านี้ ต้องโดนลบไปให้ได้!

เพราะเป็นความจริงที่ฝ่ายอนุรักษนิยมการเมืองยอมรับไม่ได้
แม้แต่กระบวนการที่นำมาสู่เหตุการณ์ 22 พฤษภาคม 2557 ก็เถอะ
ก็คือการฉุดให้สังคมไทยถอยหลังย้อนยุค เพื่อหยุดความคิดอำนาจการเมืองต้องกระจายสู่ชาวบ้าน

ทุกวันนี้จึงถอยหลังทุกด้าน กระทั่งหมุดคณะราษฎรก็ยังหายได้!

ใบตองแห้ง: ปีแห่งสิ่งที่ไม่เคยเห็น


“อะไรที่ไม่เคยเห็น ก็จะได้มาเห็น และอะไรที่เคยเห็น ก็อาจจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว”
อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ กล่าวไว้ตั้งแต่หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 แต่ปรากฏการณ์ทางการเมืองมาพีกสุดในปีเลือกตั้ง ซึ่งไม่แน่ ปีต่อๆ ไปยังอาจได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นกว่านี้ก็ได้
แต่มองย้อนไป ใครจะคิดว่าจะได้เห็นปรากฏการณ์เหล่านี้บ้าง

8 ก.พ.2562 พรรคไทยรักษาชาติเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ปฏิกิริยาจากฝ่ายต่างๆ ตั้งแต่เช้าจนดึก กลายเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ แม้ตามมาด้วยพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ
16 ก.ค.2562 คณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจออกอากาศให้ประชาชนเห็นกันทั้งประเทศ ในสิ่งที่ไม่เคยเห็น คือประยุทธ์นำกล่าวถวายสัตย์ไม่ครบ

เป็นครั้งแรกตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2492 บัญญัติไว้ 70 ปี ที่นายกฯ นำ ครม.ถวายสัตย์ไม่ครบ ไม่มีข้อความตามมาตรา 161 “จะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
เพราะอะไร ไม่มีคำอธิบายจนบัดนี้ แม้ฝ่ายค้านตามจี้จนเปิดอภิปรายทั่วไป รัฐบาลไม่เคยมีคำตอบ มีแต่คำกล่าวของวิษณุ เครืองาม “อย่าไปอยากรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้”

การเลือกตั้ง 24 มี.ค.2562 เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ ปรากฏการณ์อนาคตใหม่ “ฟ้ารักพ่อ” กวาดคะแนนนิยมถล่มทลาย ปรากฏการณ์ไบก้อน แมลงพันธุ์ที่เชื่อกันว่าตายยาก กลับตายเกลื่อน หวิดสูญพันธุ์
แต่อะไรก็ไม่เท่าความกังขา กกต. นับคะแนนอยู่ดีๆ ก็หยุดไปเฉยๆ มีปัญหาทั้งบัตรงอกบัตรเขย่ง จนคนล่าชื่อไล่ใน change.org เกือบล้าน
ซ้ำร้าย ผลการเลือกตั้งไม่ได้คิดจำนวน ส.ส.ตามคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากประชาชน แต่กลับใช้สูตรปัดเศษทศนิยม เศษคนสอบได้ จำนวนเต็มปัดทิ้ง พรรคอนาคตใหม่ควรจะได้ ส.ส. 87 คนกลับเหลือ 80 คน คะแนนประชาชน 5.8 แสนคนถูกเททิ้งน้ำ เพื่อให้พรรคที่ได้ 3-4 หมื่นเสียงได้ ส.ส.พรรคละ 1 คน

นี่คือสูตรคณิตศาสตร์ที่ไม่เคยพบเคยเห็น อย่าว่าแต่คนไทย นักคณิตศาสตร์ทั่วโลกตั้งแต่ครู ป.4 ไปถึง ดร.รางวัลโนเบล ก็ตกตะลึง ว่าคิดออกมาได้อย่างไร

สูตร ส.ส.เศษคนส่งผลให้ 7 พรรคฝ่ายค้านได้ ส.ส.น้อยลงจาก 253 เหลือ 246 พรรคพลังประชารัฐรวบรวม ส.ส.19 พรรค 250 คน+250 ส.ว. โหวต “ตู่ห้าร้อย” เป็นนายกฯ โดยบังเอิญเลขสวย สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย งดออกเสียงรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน
ผลการเลือกตั้ง เลือกรัฐบาล ไม่เป็นไปตามความต้องการของประชาชน เพราะ “รัฐธรรมนูญนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” ตั้ง 250 ส.ว.มาโหวตตัวเองเป็นนายกฯ นี่เป็นกติกาที่ชาวโลกไม่เคยเห็นก็ได้เห็นเช่นกัน ประชาธิปไตยครึ่งใบในอดีตล้วนหน้าบางกว่านี้
อนุรักษนิยมในอดีตก็หน้าบาง รัฐธรรมนูญเขียนให้ตั้งกรรมการสรรหา ส.ว. จากผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีความรู้และประสบการณ์ด้านต่างๆ มีความเป็นกลางทางการเมือง ถ้าเป็นอดีต ก็คงตั้งคนนอกคนดีมีชื่อเสียงภาพลักษณ์มาสรรหาวงกว้าง
แต่นี่กลับตั้งพวกเป็นกรรมการสรรหา ชงเองกินเอง เสนอชื่อตัวเองกับญาติพี่น้อง

แต่ร้องศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ ศาลไม่สามารถวินิจฉัย เพราะคำสั่ง คสช.ตั้งกรรมการสรรหา ส.ว.ไม่ถือเป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

ก็เข้าใจได้ ศาลต้องยึดตัวบทกฎหมาย เหมือนถามว่าประยุทธ์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าไม่ใช่ เพราะประยุทธ์มาจากการยึดอำนาจ เป็นรัฏฐาธิปัตย์ อยู่เหนือรัฐเหนือกฎหมาย จะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างไร
ประยุทธ์จึงทำอะไรไม่ผิดกฎหมาย ทั้งที่ได้อำนาจโดยไม่ชอบธรรม แล้วเครือข่ายอำนาจอนุรักษนิยมก็ใช้กฎหมาย ใช้องค์กรอิสระ ทำลายคู่แข่ง พร้อมกับใช้สื่อที่ส่งเมียไปเป็น ส.ส. ปลุกความเกลียดชัง
ผู้ร้ายแห่งปี จึงได้แก่อิลลูมินาติ ทฤษฎีสมคบคิดจิตป่วย ความผิดร้ายแรงแห่งปี จึงไม่ใช่การซื้อเสียง ใช้อำนาจรัฐ อิทธิพล แทรกแซงเลือกตั้ง แต่กลายเป็น “หุ้นสื่อ” ถือหุ้นนิตยสารแฟชั่นที่ปิดไปแล้ว
ขณะที่ฝั่งรัฐบาล “เทาเพื่อชาติ” ไม่เป็นไร คืนที่ดินให้รัฐแล้วไม่ผิด

กฎหมายจึงล้มละลาย เมื่อไหร่ที่วิษณุอธิบายกฎหมาย แค่อ้าปากคนก็รู้ทันถึงไส้ติ่ง ฉายาศรีธนญชัยยังน้อยไป

ปี 2562 เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่เคยพบเห็นในศาลยุติธรรม ผู้พิพากษาไลฟ์สดยิงตัวตาย ไม่ว่าใครถูกใครผิดอย่างไรในคดี ประชาชนก็แซ่ซ้องเพราะโดนใจ มีอารมณ์ร่วมในความคับข้อง “คืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษา คืนความยุติธรรมให้ประชาชน”

ภาพสะท้อนในรอบปี คือภาวะวิบัติของอำนาจอนุรักษนิยม ที่เคยอ้างศีลธรรมความเป็นไทยชี้นำสังคม แต่วันนี้ต้องโกงกติกา ต้องใช้อำนาจยุติธรรมทำลายการเมืองใสสะอาด ปกป้องการเมืองสีเทา เพื่อรักษาอำนาจ

เผยแพร่ครั้งแรกใน: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/hot-topics/news_3273798 
.........................................

ใบตองแห้ง: ประชาชนชินชา?


ถ้ายุบอนาคตใหม่แล้วธนาธรจะนำประชาชนลงถนนโค่น คสช.ไหม ทำไม่ได้หรอก เพราะไม่ใช่ม็อบมีเส้น ปิดเมืองขัดขวางเลือกตั้ง ปูทางรัฐประหาร แล้วกลับมาสังวาสกันเห็นๆ

ยุคนี้สมัยนี้เป็นไปได้ยากที่จะเกิด 14 ตุลาหรือพฤษภา 35 เพราะอำนาจระดับบนเป็นปึกแผ่น ประชาชนก็แตกแยก สลิ่มดักดานยังปกป้องอำนาจสามานย์

อุดมการณ์ประชาธิปไตยในปัจจุบันก็ลดความร้อนแรง เลิกคิดเรื่องเปลี่ยนแปลงฉับพลัน โค่นล้มมันแล้วฟ้าสีทองผ่องอำไพ คนรักประชาธิปไตยแค่อยากมีสิทธิเสรีภาพ ในระบอบที่ดีกว่า ไม่ใช่พวกหน้ามืดยอมตายทำลายทุกอย่างเพื่อความเคารพบูชา แบบม็อบจารีตหรือนักรบศาสนา
 
เมื่อประชาธิปไตยไม่สามารถต่อสู้ด้วยอาวุธ ด้วยความรุนแรง หรือเห็นว่าลุกฮือก็ไม่คุ้มค่า 5 ปีที่ผ่านมา เผด็จการจึงได้ใจ วางระบอบเบ็ดเสร็จ กระชับอำนาจ ยึดพื้นที่สิทธิเสรีภาพทีละส่วนๆ แต่ยังทำให้คนรู้สึก “พออยู่ได้” ยังหวังจะต่อสู้ทางความคิดเพื่อเปลี่ยนแปลงในระยะยาว

กระนั้นก็น่าสงสัยว่า เมื่อผ่านการสืบทอดอำนาจด้วยกติกาเอาเปรียบ อย่างหนา อย่างโจ๋งครึ่ม แล้วยังใช้กฎหมายทำลายฝ่ายตรงข้าม อุ้มตัวเองและพวกพ้อง ระบอบอำนาจนี้ก็จะคงอยู่ไปได้เรื่อยๆ หรือ
หรือยังเชื่อว่าจะใช้อำนาจอย่างไรก็ได้ สองมาตรฐาน อยุติธรรมแค่ไหน ประชาชนก็ไม่กล้าลุกฮือ ต้องจำยอมเรื่อยไป

เช่นถ้ายุบพรรคอนาคตใหม่ ก็ไม่เป็นไรหรอก ประชาชนชินชาซะแล้ว ยุบมาตั้งหลายพรรค เดี๋ยวก็ย้าย ส.ส.ไปพรรคใหม่ ไม่อยากเสียเก้าอี้ กรรมการบริหารรีบลาออกจาก ส.ส. เลื่อนปาร์ตี้ลิสต์ขึ้นมาแทนได้

คงใช่มั้ง ถ้าไม่มองว่าเกิดอะไรขึ้นนับแต่เลือกตั้ง
เลือกตั้งทุกครั้ง 2544,2548,2550,2554 พรรคทักษิณชนะเป็นรัฐบาล แล้วถูกโค่นล้มด้วยรัฐประหาร 2549 ยุบพรรค 2551 รัฐประหาร 2557 บนความเกลียดชังของคนชั้นกลางในเมือง ที่มองเป็นแหล่งสุมหัวนักการเมืองสามานย์ อีกข้างเป็นคนดีดัดจริต แพ้เพราะถูกซื้อ
แต่เลือกตั้ง 2562 กลับข้าง นักการเมืองที่คนชั้นกลางเคยเกลียดชัง ย้ายข้างกันครึกครื้น “รัฐธรรมนูญนี้ร่างมาเพื่อพวกเรา” ได้อานิสงส์จากอำนาจ กติกาเอาเปรียบ 244 ส.ว.ตู่ตั้ง+6 ผบ.เหล่าทัพ ไม่ใช่โหวตให้ตู่คนเดียว แต่โหวตนักการเมืองมาร่วมเสวยอำนาจด้วย

นี่ต่างกับรัฐบาลรัฐประหารที่ยังพอสร้างภาพ ตั้งคนดีคนเก่ง แม้ทำอะไรกันงุบงิบ แต่หลังเลือกตั้ง เครือข่ายอนุรักษนิยมจำเป็นต้องอุ้มนักการเมืองที่ผู้สนับสนุนตนเคยยี้ แม้มีข้อครหา แม้มีคดีความ มีชนักเต็มหลัง จนถูกด่าสองมาตรฐาน

หันไปดูฝ่ายค้าน แม้พรรคเพื่อไทยประคองตัวเข้ามาอย่างยากลำบาก แต่แสดงความเหนียวแน่นของฐานมวลชน ขณะที่อนาคตใหม่พรวดขึ้นมาโดดเด่น ทั้งด้วยฐานเสียงเพื่อไทยในเขต ทษช.ถูกยุบ ด้วยคะแนนคนรุ่นใหม่ แบบยกมหาวิทยาลัย และคะแนนคนชั้นกลางในเมืองที่ส่วนหนึ่งก็เคยไล่ทักษิณ
เอาเข้าจริง อนาคตใหม่คือพรรคในอุดมคติของคนชั้นกลางในเมือง ไม่ใช่แค่ไม่ซื้อเสียง แต่หาเสียงด้วยวิธีใหม่หมด แต่อนาคตใหม่ถูกจ้องทำลาย เพราะเป็นพรรคที่มุ่งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอย่างถึงรากถึงโคน จนโดนข้อหา “ชังชาติ”

Lawfare หลังเลือกตั้ง 2562 จึงต่างกับหลังเลือกตั้ง 2550,2554 เพราะเกิดกับพรรคฝ่ายค้าน ที่ได้ใจคนรุ่นใหม่ ได้ฐานเสียงคนชั้นกลาง ขณะที่รัฐบาลซึ่งรวมนักการเมืองสารพัดยี้ ทำอะไรก็ไม่ผิด เอาเปรียบทุกอย่าง ตั้ง ส.ว.โหวตตัวเอง สูตร ส.ส.เศษคน มาจนใช้งูเห่า แล้วยังลอยหน้าลอยตาว่าการทำผิดศีลธรรมทางการเมืองเป็นเรื่องธรรมดา

พูดง่ายๆ ว่า การเมืองปกติ ใครเป็นรัฐบาลก็เป็นเป้า แก้ปัญหาไม่ได้ดังใจก็ถูกด่า ฉะนั้นการใช้ Lawfare กับรัฐบาลจึงง่ายกว่า แต่ถ้ารัฐบาลเอาเปรียบกติกาแล้วลอยนวล ฝ่ายค้านทำอะไรก็ผิด ปฏิกิริยาที่สะท้อนออกมาจะตรงกันข้าม

แม้แน่ละ ถ้ายุบพรรคอนาคตใหม่ไม่มีม็อบออกมาต้านหรอก ปัดโธ่ คนรุ่นใหม่ก็แค่นักเลงคีย์บอร์ด ใครไม่ยอมรับอำนาจศาลก็ถูกปราบ

แต่ความโกรธแค้นชิงชังจะระบายไปที่รัฐบาล ซึ่งมีแผลเหวอะหวะ แถมปัญหาเศรษฐกิจปากท้องจะรุนแรงขึ้นในปีหน้า เทียบง่ายๆ แค่ปรากฏการณ์ปารีณา ยังโดนสังคมขึงพืด อย่าคิดว่าจะไม่เจอหนักหนากว่านี้

การตอบโต้สามารถรวมศูนย์ไปที่รัฐบาล ซึ่งอาจไม่ต้องรอให้เปิดแผล ใช้มาตรการแอนตี้ บอยคอต ทีละระดับ โดยไม่สามารถเอาผิดทางกฎหมาย นี่ง่ายกว่ายุคสมัคร ยิ่งลักษณ์ รบกับ Lawfare เพราะแค่ประยุทธ์สะดุดอะไรแล้วพัง ก็เละทั้งระบอบ
ม็อบฮ่องกงไม่ได้จู่ๆ ก็โผล่มาเรียกร้องประชาธิปไตย แต่สั่งสมความไม่พอใจ ความเหลื่อมล้ำ แล้วกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนมาจุดไฟ อย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

ความเปลี่ยนแปลงในโลก เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เหมือนจู่ๆ ก็บังเอิญ 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/hot-topics/news_3183595

หลังจากกลับจากเมืองไทยครั้งหลังสุดวชิราลงกรณ์ได้พักอยู่ที Hotel Waldegg in Engelberg, Switzerland. แต่ก่อนนี้เขาเคยพักอยู่กับก้อยนางสนมเอกและนางบำเลอคนอื่นๆที่ ฮาเรมของเขาที่Grand Hotel Sonnenbichl in the German resort of Garmisch-Partenkirchen หลังจากจัดการกับเมียนอ้ย " ก้อย " เสร็จชีวิตของเขาเปลี่ยนไป เขาจะพักอยู่ที่ Hotel Waldegg until March จนถึงเดือนมีนาคม ...


Swiss media — you may want to check this out. DM me for details.

ขุมทรัพย์ที่ดินทำเลทองที่กษัตริย์ ร.10 ปล้นไปจากแผ่นดินไทย, สุกิจ ทรัพย์เอนกสันติ, นสสท., 21 พ.ย. 62


37,8 tn prenumeranter
ดาวน์โหลดคลิปเสียง (mp3) ได้จากลิ้งนี้ครับ https://bit.ly/2slWbgz ดาวน์โหลดคลิปวีดีโอ (mp4) ได้จากลิ้งนี้ครับ https://bit.ly/2Dpe4Nv เชิญฟังคลิปอื่นๆของ “นสสท.” ได้จากที่นี่ครับ https://www.youtube.com/channel/UCRkH... หัวข้อ: ขุมทรัพย์ที่ดินทำเลทองที่กษัตริย์ ร.10 ปล้นไปจากแผ่นดินไทย วิทยากร: สุกิจ ทรัพย์เอนกสันติ องค์กร: นสสท., (แนวร่าวมสหพันธ์สาธารณรัฐไท) - FRTA, (Federal Republic of Thailand Alliance) 21 พ.ย. 62

ความเป็นมาของวงค์จักรี ตอนที่ ๑

พระเจ้าตาก : กษัตริย์ผู้กอบกู้บ้านเมือง

หลังกรุงศรีอยุธยาเสียกรุงแก่พม่าในปี พ.ศ.๒๓๑๐ พระเจ้าตากสินได้รวบรวมผู้คนและนักรบต่อสู้ขับไล่พม่าอย่างเด็ดเดี่ยวจนกอบกู้บ้านเมืองได้สำเร็จ จากนั้นก็ใช้เวลาอีก ๑๕ ปี กรำศึกสงครามรวบรวมหัวเมืองต่างๆที่กระจัดกระจาย ขณะเดียวก็ต้องทำศึกใหญ่กับพม่าหลายครั้ง จนสร้างความเป็นปึกแผ่นแก่บ้านเมือง พร้อมกับทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างขนานใหญ่ พระองค์เป็นพุทธบริษัทที่ดี เมื่อว่างเว้นจากราชการแผ่นดิน พระองค์จะไปทรงศีลบำเพ็ญพระกรรมฐานที่วัดบางยี่เรือเป็นนิจ (๑)

ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๒๓ ทางเมืองเขมรเกิดกบฏขึ้นโดยการยุยง แทรกแซงของญวนฝ่ายองเชียงสือ เป็นการหากำลังและเสบียงขององเชียงสือ เพื่อทำสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่กับญวนฝ่ายราชวงศ์ไต้เชิง(เล้) ขณะเดียวกันในกรุงธนบุรีเอง องเชียงชุน(พระยาราชาเศรษฐี)ซึ่งเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าตาก ได้ก่อกบฏขึ้นในเดือนอ้าย พ.ศ.๒๓๒๔ หลังจากทำการปราบปรามกบฏสำเร็จในเดือนยี่ พระเจ้าตากได้พิจารณาเหตุการณ์ต่างๆ และทรงตัดสินพระทัยให้กองทัพไทยยกไปตีเมืองเขมรและไปรับมือญวนให้เด็ดขาดลงไป จึงทรงแต่งตั้งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระมหาอุปราช องค์รัชทายาทเป็นแม่ทัพใหญ่ (๒) เจ้าพระยาจักรี(ด้วง) (๓) เจ้าพระยานครสวรรค์ เจ้าพระยาสาศรี(บุญมา น้องชายเจ้าพระยาจักรี)เป็นแม่ทัพรองๆลงมา ในครั้งนั้นแม่ทัพใหญ่พยายามรุดหน้าไปตามพระราชโองการ แต่ติดขัดที่แม่ทัพรองบางนายพยายามยับยั้ง เพื่อคอยฟังเหตุการณ์ทางกรุงธนบุรี ส่วนทางญวนซึ่งไม่ต้องการเผชิญศึก ๒ ด้าน ทั้งไทยและญวนราชวงศ์เล้ ได้แต่งทูตมาเจรจาลับกับแม่ทัพรองฝ่ายไทย ทางแม่ทัพรองตกลงจะช่วยเหลือองเชียงสือในอนาคต หากงานที่เตรียมไว้สำเร็จ ทางญวนได้ทำตามสัญญาด้วยการล้อมกองทัพมหาอุปราชองค์รัชทายาทอย่างหนาแน่น เปิดโอกาสให้แม่ทัพรองฝ่ายไทยยกกำลังกลับกรุงธนบุรี (๔)

เหตุการณ์ในกรุงธนบุรี เกิดมีผู้ยุยงชาวกรุงเก่าให้เกิดความเข้าใจผิดในพระเจ้าตากและชักชวนกบฏย่อยๆขึ้น จากนั้นก็ยกพลมาล้อมยิงพระนคร ขณะเดียวกันภายในกรุงธนบุรีเองก็มีคนก่อจลาจลขึ้นรับกับกบฏ พระเจ้าตากทรงบัญชาการรบจนถึงรุ่งเช้า จึงทราบว่าพวกกบฏเป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น ก็สลดสังเวชใจ เพราะพระทัยทรงตั้งอยู่ในธรรมปฏิบัติมุ่งโพธิญาณเป็นสำคัญ และทรงเห็นว่าหากการเปลี่ยนแปลงอำนาจนั้นไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ชาวไทย พระองค์จะทรงหลีกทางให้ พวกกบฏจึงทูลให้ออกบวชสะเดาะเคราะห์สัก ๓ เดือนแล้วค่อยกลับสู่ราชบัลลังก์ ขณะนั้นพระยาสรรคบุรี พระยารามัญวงศ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ยังอยู่ในกรุงและมีความภักดีต่อพระเจ้าตาก เห็นเป็นการคับขัน จำต้องผ่อนคลายไปตามสถานการณ์
หลังจากบวชได้ ๑๒ วัน พระยาสุริยอภัยหลานเจ้าพระยาจักรี ยกทัพมาโดยมิได้รับพระบรมราชานุญาต เกิดการรบพุ่งกับกำลังของกรุงธนบุรีและได้รับชัยชนะ จากนั้นอีก ๓ วันคือเข้าวันที่ ๖ เมษายน เจ้าพระยาจักรี(ด้วง)ซึ่งเลี่ยงทัพจากสงครามเขมรมาถึงกรุงธนบุรี ได้มีการสอบถามความเห็นกัน ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ยังจงรักภักดีและเชื่อในปรีชาสามารถของพระเจ้าตาก ต่างยืนยันให้อัญเชิญพระองค์มาครองราชย์ต่อไป แต่ข้าราชการเหล่านี้กลับถูกคุมตัวไปประหารชีวิต เช่น เจ้าพระยานครราชสีมา(บุญคง ต้นตระกูลกาญจนาคม), พระยาสวรรค์ (ต้นตระกูลแพ่งสภา), พระยาพิชัยดาบหัก (ต้นตระกูลพิชัยกุลและวิชัยขัทคะ), พระยารามัญวงศ์ (ต้นตระกูลศรีเพ็ญ) เป็นต้น จำนวนกว่า ๕๐ นาย

พระเจ้าตากก็ถูกปลงพระชนม์ทั้งที่ทรงเพศพระภิกษุในวันนั้นเอง ณ พระวิหารที่ประทับในวัดแจ้งและอัญเชิญพระศพไปฝังที่วัดอินทรารามบางยี่เรือ ใกล้ตลาดพลู คลองบางหลวง ส่วนราชวงศ์ที่เป็นชายและเจริญวัยทั้งหมดถูกจับปลงพระชนม์หมด นอกนั้นให้ถอดพระยศ แม้กระทั่งสมเด็จพระราชินีและสมเด็จพระน้านาง เป็นการถอดอย่างที่ไม่เคยมีมา (๕) เมื่อข่าวนี้ทราบไปถึงเจ้าพระยาอินทวงศา อัครมหาเสนาบดีฝ่ายกลาโหมซึ่งตั้งบัญชาการทัพอยู่ที่ปากพระใกล้เมืองถลาง ก็ได้ฆ่าตัวตายตามเสด็จ เพราะไม่ยอมเป็นข้าคนอื่น

เมื่อข่าวการปลงพระชนม์พระเจ้าตากแพร่ออกไป เมืองตะนาวศรีและเมืองมะริดอันเป็นเมืองสำคัญทางตะวันตก ก็ตกไปเป็นของพม่าในปีนั้นเอง และเนื่องจากพันธะสัญญาที่ทำไว้กับญวนอย่างลับๆ ไทยจึงต้องช่วยญวนฝ่ายองเชียงสือรบกับญวนฝ่ายราชวงศ์เล้ถึง ๒ ครั้ง รวมทั้งการช่วยอาวุธยุทธภัณฑ์อีกนับไม่ถ้วน พอครั้นญวนฝ่ายองเชียงสือมีกำลังกล้าแข็งขึ้น ไทยกลับต้องเสียเมืองพุทไธมาศและผลประโยชน์อีกมากมายแก่ญวนไป (๖)  โอ้อนิจจา .... เรื่องนี้ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ

ด้วยความเหิมเกริมทะยานอยากได้อำนาจสูงสุด เจ้าพระยาจักรีจึงเป็นกบฏ ทรยศต่อพระเจ้าตาก กษัตริย์ผู้กู้ชาติไทย กระทำการเข่นฆ่าล้างโคตรอย่างโหดเหี้ยม อำมหิตที่สุด ซ้ำยังเสริมแต่งใส่ร้ายพระเจ้าตาก ว่าวิปลาสบ้าง (๗) กระทำการมิบังควรแก่สงฆ์บ้าง วิกลจริตในการบริหารราชการบ้าง จากนั้นก็ตั้งตนเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ และเริ่มสร้างพระราชวังใหม่ที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นจุดเริ่มต้นของการสถาปนาราชวงศ์ใหม่ “ราชวงศ์จักรี”
และด้วยความโหดร้ายบนเลือดเนื้อและชีวิตของกษัตริย์ในเพศพระภิกษุ กษัตริย์องค์ต่อๆมาในราชวงศ์จักรีจึงเต็มไปด้วยความบาดหมาง แก่งแย่งชิงราชสมบัติกันทุกรัชกาล ลูกฆ่าพ่อ พี่ฆ่าน้อง น้องฆ่าพี่อย่างไม่ว่างเว้นแม้กระทั่งในรัชกาลองค์ปัจจุบัน

๑. กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประชุมพงศาวดารเล่ม ๓ เรื่องไทยรบพม่า
๒. ตามพงศาวดารกล่าวว่า “ให้พระยาจักรีเป็นแม่ทัพใหญ่” (ตามประเพณีสงคราม กษัตริย์จะเป็นจอมทัพและจะแต่งตั้งผู้ที่ไว้วางพระทัยที่สุดเป็นแม่ทัพใหญ่ ซึ่งน่าจะเป็นองค์รัชทายาทมากกว่าพระยาจักรี...ผู้เขียน)
๓. ตามพงศาวดารบางฉบับอ้างว่าได้ยศเป็น “เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก” ชื่อนี้เกิดเป็นปัญหาขัดแย้งกันจนถึงปัจจุบัน
๔. นายตันหยงทหารปืนใหญ่ พงศาวดารญวน เล่ม ๒ หน้า๓๗๘-๓๘๒
๕. กรมศิลปากร หนังสือไทยต้องจำ และลำดับสกุลเก่า ภาค ๔ พิมพ์ครั้งที่ ๒
๖. นายหยงทหารปืนใหญ่ พงศาวดารญวนเล่ม ๒ หน้า ๒๙๔, ๕๑๘ และกรมศิลปากร หนังสือไทยต้องจำ พิมพ์ครั้งที่ ๒ หน้า ๑๑๓
๗. สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๓ เรื่องไทยรบพม่า
๘. ประเด็นวิกลจริต อาจารย์ขจร สุขพานิช ได้เคยสัมภาษณ์ในวิทยาสารปีที่ ๒๒ ฉบับที่ ๓๒,๒๒ สิงหาคม ๒๕๑๔ กล่าวว่า “มีหลักฐานเป็นเอกสารภาษาฝรั่งเศส ซึ่งบาทหลวงในสมัยนั้นเขียนไว้ว่า ท่านเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น เช่น เมื่อครั้งหนึ่งรับสั่งให้บาทหลวงเข้าเฝ้า แล้วตรัสว่า “นี่แก ฉันจะเหาะแล้วนะ” บาทหลวงทูลว่า “ไม่เชื่อ” ท่านก็ว่า “ฮื้อ ไอ้นี่ ขัดคอซะเรื่อย”(หัวเราะ) แล้วก็ไล่ออกไปไม่ได้เฆี่ยนตีอะไร คือบ้าทั้ง ๒๔ ชม.นั้นไม่ใช่ แค่เป็นบางครั้ง นี่เป็นข้อเท็จจริง แต่ผมไม่เขียน ถ้าเขียนแล้วเป็นผลร้ายต่ออนาคต ผมไม่เขียน”

ความเป็นมาของวงค์จักรี ตอนที่ ๒

รัชกาลที่ ๑ : ความเป็นมาของวงค์จักรี ตอนที่ ๒

 
เมื่อรัชกาลที่ ๑ ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงเทพแล้ว ก็พยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเองไม่มีข้อบกพร่อง ไม่เคยกระทำสิ่งใดผิดพลาด เป็นเอกบุรุษที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยบุญญาบารมีและบริสุทธิ์กว่าผู้อื่นทั้งแผ่นดิน เพื่อให้สมกับที่ตนเองได้เป็นพระโพธิสัตว์และเทวดาแล้ว โดยเสแสร้งทำเป็นลืมไปว่า ในโลกแห่งความเป็นจริงพระองค์มิได้วิเศษกว่าบุคคลอื่น ตรงที่เป็นมนุษย์เดินดินกินข้าวแกงเหมือนกัน และที่สำคัญทำเป็นจำไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้พระองค์ก็เป็นสามัญชน ที่มิได้มีเลือดสีน้ำเงิน แม้พ่อจะได้ชื่อว่าเป็นขุนนาง ก็จัดอยู่ในชั้นปลายแถว แม่ก็เป็นเพียงหญิงเชื้อสายจีนพ่อค้า(๑) มิได้เลิศเลอไปกว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่ตนเหยียดหยามเป็นไพร่ราบพลเลวเลย
 
จุดบอดที่รัชกาลที่ ๑ เห็นว่าสร้างความอัปยศให้แก่ตนเองมากคือ ความปราชัยในการรบกับอะแซหวุ่นกี้ที่พิษณุโลก ในรัชกาลพระเจ้าตากสิน การรบคราวนั้นศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช สรุปจากพงศาวดารที่แต่งโดย Sir Arthur Phayre และจากจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี น้องสาวรัชกาลที่ ๑ เอง ได้ความว่า แม้อะแซหวุ่นกี้รบชนะเมืองพิษณุโลกที่มีรัชกาลที่ ๑ เป็นแม่ทัพฝ่ายไทย แต่ก็ถูกกองทัพของพระเจ้าตากสินหนุนเนื่องขึ้นมาโจมตีจนแตกพ่ายยับเยิน จดหมายเหตุความทรงจำกรมหลวงนรินทรเทวี (เพิ่งถูกค้นพบสมัยร.๕) บันทึกว่าฝ่ายไทยสามารถ “จับได้พม่าแม่ทัพใหญ่ ได้พม่าหลายหมื่น พม่าแตกเลิกทัพหนีไป” หลักฐานฝ่ายพม่าก็ปรากฏว่า อะแซหวุ่นกี้ถึงกับถูกกษัตริย์พม่าถอดจากยศ “หวุ่นกี้” และเนรเทศไปอยู่ที่เมืองจักกายด้วยความอัปยศอดสู(๒) ทั้งที่อะแซหวุ่นกี้เคยได้รับการยกย่องในฐานะวีรบุรุษที่รบชนะกองทัพจีนมาแล้วก็ตาม
 
หลังจากที่ปราบดาภิเษกสำเร็จและปลงพระชนม์พระเจ้าตากสินรวมทั้งขุนนางฝ่ายตรงข้ามไปกว่า ๕๐ ชีวิตแล้ว คราใดที่ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เมืองพิษณุโลก หัวใจก็เหมือนถูกชโลมด้วยยาพิษ ใจหนึ่งนั้นแสนจะอัปยศอดสูที่ต้องล่าทัพหนีพม่า อีกด้านก็ริษยาพระเจ้าตากสินที่สามารถปราบกองทัพพม่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสมัยกรุงธนบุรี และกำหราบอะแซหวุ่นกี้ที่เอาชนะทั้งกองทัพจีนและพระองค์มาแล้ว พระองค์จึงใช้เล่ห์เพทุบายบังคับให้อาลักษณ์แก้ไขประวัติศาสตร์ทุกฉบับ บิดเบือนว่าอะแซหวุ่นกี้มิได้รบกับพระเจ้าตากสิน แต่ต้องถอยทัพไป เพราะกษัตริย์พม่ามีหมายเรียกตัวกลับบ้าน(๓) พงศาวดารฉบับราชหัตถเลขาถึงกับบิดเบือนว่า พออะแซหวุ่นกี้กลับพม่า ก็ได้รับบำเหน็จรางวัลจากกษัตริย์พม่าในฐานะที่ปราบหัวเมืองเหนือของไทยได้สำเร็จ(๔) เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าอะแซหวุ่นกี้นั้นมิใช่ย่อยๆ หาไม่แล้วที่ไหนเลยจะเอาชนะรัชกาลที่ ๑ ได้ จึงมิใช่เรื่องอับอายเลยที่รัชกาลที่ ๑ รบแพ้อะแซหวุ่นกี้
 
พงศาวดารฉบับพระนพรัตน์ถึงกับบันทึกไว้อย่างน่าขบขันว่า รัชกาลที่ ๑ ได้สำแดงความเป็นเสนาธิการชั้นเซียนเหยียบเมฆ ด้วยการแต่งอุบายให้เอาพิณพาทย์ขึ้นตีบนกำแพงลวงพม่าเหมือนขงเบ้ง ตีขิมลวงสุมาอี้ในเรื่องสามก๊ก แล้วรัชกาลที่ ๑ ก็ชิงโอกาสตีแหกทัพพม่าที่ล้อมเมืองพิษณุโลกหนีออกมาได้ ก็ขนาดเรื่องใหญ่เช่นนี้รัชกาลที่ ๑ ยังกล้าให้อาลักษณ์บิดเบือนกันถึงเพียงนี้ ทำนองเดียวกับเหตุการณ์ที่อะแซหวุ่นกี้ขอดูตัวเจ้าพระยาจักรีนั้น ก็กล่าวได้ว่าเป็นความเท็จอีกเช่นกัน เพราะจะมีแม่ทัพชาติไหนกันที่จะขอดูตัวแม่ทัพอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อสรรเสริญว่า เก่งกาจสามารถเป็นเยี่ยม เนื่องจากการทำเช่นนี้ย่อมทำลายขวัญสู้รบของทหารฝ่ายตนให้พังพินท์ไป อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์วิจารณ์ไว้ชัดเจนว่า
 
“ถ้าจะมองจากกฎหมายของไทยและพม่าแล้ว ถ้าพระยาจักรีและอะแซหวุ่นกี้เจรจากันดังที่ศักดินาจักรีอวดอ้างแล้ว ทั้ง ๒ ฝ่ายน่าจะมีความผิดถึงขั้นขบถเลยทีเดียว(๕) ทั้งนี้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล กฎหมายตราสามดวงที่ว่า อนึ่ง ผู้ใดไปคบหาxxxเมืองxxxxราชทูตเจรจาโทษถึงตาย”
 
สำหรับเรื่องที่มีผู้รู้เห็นมากมาย รัชกาลที่ ๑ ยังกล้าใช้ให้อาลักษณ์แต่งพงศาวดารกลับดำให้เป็นขาว ดังนั้นสิ่งที่เป็นเรื่องส่วนตัวไม่มีผู้อื่นรู้เห็นด้วย เช่น เรื่องของซินแสหัวร่อ ทำนายว่า พระยาจักรีกับพระยาตากสินจะได้เป็นกษัตริย์นั้นจึงวินิจฉัยได้ไม่ยากว่า เป็นสิ่งที่รัชกาลที่ ๑ เสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเอง ซึ่งพวกศักดินาจักรีจะอ้างไม่ได้ว่าเรื่องนี้เกิดจากคำเล่าลือของคนรุ่นหลัง เพราะรัชกาลที่ ๑ เองนั่นแหละที่เป็นผู้ออกปากเล่าความให้เจ้าเวียงจันทร์กับพระยานครศรีธรรมราชฟังในวัดพระแก้ว จนกระทั่งมีผู้ได้ยินได้ฟังด้วยกันหลายคน(๖) การที่รัชกาลที่ ๑ กล้าโป้ปดมดเท็จถึงเพียงนี้ ก็เพราะพระองค์กำลังอยู่บนบัลลังก์เลือดของกษัตริย์องค์ก่อน จึงต้องล่อลวงให้ผู้อื่นเข้าใจว่า พระองค์มีพระปรีชาสามารถเป็นเลิศ มีปัญญาอภินิหารกว่าผู้อื่นในแผ่นดินรวมทั้งพระเจ้าตากสินด้วย นี่เป็นการพยายามสร้างเหตุผลเพื่อรับรองว่า การปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์องค์ใหม่เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด
 
ภายในจิตใจลึกๆของสองพี่น้อง คือรัชกาลที่ ๑ กับกรมราชวังบวรมหาสุรสีหนาถ มีทั้งความพยาบาทชิงชังและความไม่พอใจในตัวพระเจ้าตากสินไม่น้อย ทั้งที่พระเจ้าตากสินได้ทำนุบำรุงให้พี่น้องคู่นี้มีอำนาจวาสนากว่าขุนนางทั้งหลายในกรุงธนบุรี ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากว่า กรมพระราชวังบวรฯนั้น เคยถูกพระเจ้าตากสินโบยถึง ๖๐ ทีเพราะมีพฤติกรรมซุ่มซ่าม คลานเข้าถึงตัวพระเจ้าตากสินขณะกรรมฐานอยู่ที่ตำหนักแพ กับสมเด็จพระวันรัตน์(ทองอยู่) โดยมิได้ตรัสเรียก(๗) กรมพระราชวังบวรฯจึงมีจิตอาฆาตแค้นเป็นหนักหนา ส่วนรัชกาลที่ ๑ ก็เคยถูกพระเจ้าตากสินโบยถึง ๒ ครั้ง คราวแรกในปี ๒๓๑๓ เพราะรัชกาลที่ ๑ รบกับเจ้าพระฝางด้วยความย่อหย่อนไม่สมกับที่เป็นขุนนางใหญ่ จึงถูกโบย ๓๐ ที(๘) และในปี ๒๓๑๘ รัชกาลที่ ๑ ได้รับคำสั่งให้ทำเมรุเผาชนนีของพระเจ้าตากสิน แต่เมรุนั้นถูกฝนชะเอากระดาษปิดทองที่ปิดเมรุร่วงหลุดลงหมดสิ้น พระเจ้าตากจึงว่า “เจ้าไม่เอาใจใส่ในราชการ ทำมักง่ายให้เมรุเป็นเช่นนี้ดีแล้วหรือ” ทำให้รัชกาลที่ ๑ ถูกโบยอีก ๕๐ ที
 
ความสัมพันธ์ระหว่างรัชกาลที่ ๑ กับพระเจ้าตากสิน มิได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ รัชกาลที่ ๑ ได้ถวายบุตรสาวเป็นสนมของพระเจ้าตากสิน ซึ่งศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช ตั้งข้อสังเกตว่า สนมพระเจ้าตากสินผู้หนึ่งที่ถูกประหารชีวิตเพราะมีชู้ ก็น่าจะเป็นบุตรสาวของรัชกาลที่ ๑ นี่เอง(๙) ด้วยเหตุนี้ รัชกาลที่ ๑ จึงเคียดแค้นพระเจ้าตากสินมาก เมื่อมีโอกาสคราใดก็จะประณามอย่างตรงไปตรงมา คราวหนึ่งถึงกับประณามไว้ในสารตราตั้งเจ้าพระยานครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ.๒๓๒๗ เพื่อประจานพระเจ้าตากสินว่าเป็นผู้ที่ “กอรปไปด้วย โมหะ โลภะ”(๑๐)
 
ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ยืนยันว่า พระเจ้าตากสินเป็นผู้นำในการรวบรวมผู้คนที่แตกระส่ำระสาย ในภาวะที่บ้านเมืองไม่มีขื่อแป อดอยาก และพม่าเข้ากวาดต้อนข่มเหงผู้คนไปทั่ว รวบรวมกำลังทีละน้อยรบกับพม่าและคนไทยขายชาติบางกลุ่ม รบกันหลายสิบครั้ง ผลัดแพ้ผลัดชนะ จนสุดท้ายมีกำลังปราบพวกพม่าและชิงกรุงศรีอยุธยากลับคืนมาได้ จากนั้นก็ปราบก๊กต่างๆจนสามารถรวบรวมเป็นประเทศได้อีกครั้งหนึ่ง นี่ย่อมหมายความว่า พระเจ้าตากสินต้องมีบุคลิกของความเป็นผู้นำ มีลักษณะรักชาติ กอรปด้วยจิตใจที่กล้าหาญดีงาม จึงจะสามารถเป็นศูนย์รวมของชาวไทยในภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด จนสามารถนำชาวไทยไปกอบกู้บ้านเมืองได้สำเร็จในช่วงเวลาเพียงปีเดียว
 
นอกจากนั้นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เช่น เอกสารของบาทหลวงสมัยนั้นกล่าวว่า พระเจ้าตากมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ แม้แต่ปราสาทราชวังหลังเดียวก็ไม่ปรากฏขึ้นในกรุงธนบุรี อนุสรณ์ที่พระเจ้าตากสินสร้างไว้เป็นเพียงท้องพระโรงที่พระราชวังเดิม ซึ่งดูๆไปก็ไม่วิจิตรพิสดารไปกว่าโบสถ์ขนาดย่อมหลังหนึ่ง จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะวินิจฉัยเอาเองว่า ใครกันแน่ที่กอรปด้วยโลภะ โมหะ
 
หลังจากรัชกาลที่ ๑ ได้ผลิตผลงานชิ้นเอกด้วยการปลอมแปลงประวัติศาสตร์ของชาติแล้ว พระองค์ก็หันมาฟื้นฟูพุทธศาสนาครั้งใหญ่ โดยการแสดงตนเป็นพระโพธิสัตว์ผู้รู้แจ้ง ด้วยการกล่าวร้ายคณะสงฆ์ไทยอย่างสาดเสียเทเสีย เช่น หาว่า”ทั้งสมณะและสมเณรมิได้รักษาพระจตุบาริยสุทธิศีล” (๑๑) บ้าง “มิได้กระทำตามพระวินัยปรนิบัติเห็นแต่จะเลี้ยงชีวิตผิดธรรม” (๑๒) บ้าง นอกจากนี้ยังโมเมว่าพระภิกษุ “มิได้ระวังตักเตือนสั่งสอนกำกับว่ากล่าวกัน” (๑๓) บ้าง ทั้งๆที่สมัยพระเจ้าตากสินเพิ่งมีการฟื้นฟูพุทธศาสนาหลังภาวะสงครามครั้งใหญ่ และพระองค์ทรงส่งเสริมการปฏิบัติธรรมอย่างกว้างขวาง ด้วยพระองค์เองก็ทรงมั่นในวิปัสสนาธุระ สภาพของสงฆ์จึงอยู่ในกรอบพระธรรมวินัยได้เคร่งครัด ดังนั้นการกล่าวร้ายจึงไม่อาจมองเป็นอื่นไปได้ นอกจากการสร้างเรื่องเพื่อหาช่องทางเข้าไปควบคุมศาสนจักร เพื่อเสริมอำนาจการครองราชย์ของพระองค์ให้เข้มแข็งขึ้น จึงมีการควบคุมจิตสำนึกของสังคมด้วยการบีบบังคับพระภิกษุสงฆ์ส่วนใหญ่ ไม่ให้มีโอกาสคัดค้านการนำเอาพระพุทธศาสนา ไปกระทำปู้ยี่ปู้ยำเพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของกษัตริย์จักรี
 
พระมหากรุณาธิคุณของพระมหาราชองค์นี้ ในด้านการฟื้นฟูพุทธศาสนาคือ ให้ตำรวจวังไปเอาสมเด็จพระวันรัต(ทองอยู่) วัดบางหว้าใหญ่ ซึ่งเป็นพระอาจารย์วิปัสสนาธุระของพระเจ้าตากสินและเป็นพระอาจารย์ของลูกฟ้าฉิม (รัชกาลที่ ๒) ให้สึกออกแล้วลงพระราชอาญาเฆี่ยน ๑๐๐ ที และมีดำรัสให้ประหารชีวิตเสีย(๑๔) เพราะแค้นพระทัยมานานแต่ครั้งสมเด็จพระวันรัต เคยทูลให้พระเจ้าตากสินลงโทษ พระองค์เคราะห์ดีที่ลูกฟ้าฉิมทรงทูลขอไว้ชีวิตอาจารย์ของตนไว้ พระแก่ๆที่เคร่งในธรรมจึงได้รอดชีวิตมาอย่างหวุดหวิด
 
การที่พระองค์ทรงบังอาจลงโทษด้วยการทำร้ายพระสงฆ์ชราผู้มั่นในโลกุตรธรรมอย่างรุนแรง นับเป็นพฤติกรรมที่ชั่วร้ายมาก อันชาวบ้านสามัญชนถือเป็นบาปมหันต์ ไม่น้อยกว่าการฆ่าบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้า แต่ด้วยโมหะจริตที่พยาบาทอาฆาตมานาน และด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน ทุกสิ่งที่พระองค์กระทำ จึงเป็นความถูกต้องชอบธรรมทุกประการ
แต่เดิมนั้นกษัตริย์จะควบคุมสงฆ์ไว้เพียงระดับหนึ่ง แต่ในรัชกาลนี้ การควบคุมกลับเข้มงวดกว่าเดิม กษัตริย์จะให้ขุนนางในกรมสังฆการีมีอำนาจปกครองสงฆ์และเป็นผู้คัดเถระแต่ละรูปว่าควรอยู่ในสมณะศักดิ์ขั้นใด นอกจากนี้ยังให้กรมสังฆการีดูแลความประพฤติของสงฆ์และคอยตัดสินปัญหาเวลาที่พระภิกษุต้องอธิกรณ์ โดยจะเป็นทั้งอัยการและตุลาการ สิ่งนี้ทำให้กษัตริย์และกลุ่มคนดังกล่าวมีอำนาจเหนือพระ(๑๕)
 
ในที่สุดคณะสงฆ์ไทยก็ต้องตกอยู่ภายใต้ภาวะที่น่าอเนจอนาถใจเพราะถูกครอบงำโดยพวกศักดินาจักรี อันเป็นฆราวาสซึ่งมีเพศที่ต่ำทรามกว่า บางครั้งถึงกับถูกควบคุมโดยพวกลักเพศ เช่นคราวหนึ่งคณะสงฆ์ทั้งอาณาจักร ต้องตกอยู่ใต้การปกครองของกรมหลวงรักษ์รณเรศ โอรสของรัชกาลที่ ๑ ซึ่งเป็นพวกลักเพศ ชอบมั่วสุมกับเด็กหนุ่มๆ แต่ได้รับการมอบหมายจากกษัตริย์ให้บังคับบัญชากรมสังฆการี
 
แม้ว่ารัชกาลที่ ๑ รวมทั้งศักดินาอื่นจะถือตนว่าเป็นพระโพธิสัตว์และหน่อพุทธางกูร จนก้าวก่ายเข้าไปในศาสนจักรอย่างน่าเกลียด ก็มิอาจปกปิดธาตุแท้ที่โลภโมโทสันได้ พวกเขาต่างก็ปัดแข้งปัดขากันเองอุตลุต เพื่อแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์ที่ได้มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
ความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างพวกศักดินาในรัชกาลที่ ๑ เกิดขึ้นระหว่างกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทหรือวังหน้ากับรัชกาลที่ ๑ หรือวังหลวง สองพี่น้องซึ่งต่างก็ไม่ยอมลดราวาศอกให้แก่กันและกัน คราวหนึ่งวังหน้าจะสร้างปราสาทมียอดขึ้นประดับเกียรติยศ ทั้งที่รู้ว่าปราสาทยอดเป็นของหวงห้ามไว้สำหรับกษัตริย์เท่านั้น ในปี ๒๓๒๖ จึงเกิดมีผู้ร้ายแปลกปลอมเข้าไปในวังหน้าจะฆ่ากรมพระราชวังบวรฯขณะทรงบาตร บังเอิญผู้ร้ายเหล่านี้ถูกจับได้เสียก่อน ซึ่งก็ปรากฏว่าเป็นคนในวังหลวงเป็นส่วนใหญ่(๑๖) วังหน้าจึงรู้ว่า “ที่พระองค์มาทรงสร้างปราสาทขึ้นในวังหน้า เห็นจะเกินวาสนาไป จึงมีเหตุ จึงโปรดให้งดการสร้างปราสาทนั้นเสีย” (๑๗)
เหตุการณ์ได้รุนแรงยิ่งขึ้นหลังจากที่วังหน้าขอให้วังหลวง เพิ่มผลประโยชน์จากภาษีอากรให้วังหน้ามากกว่าเดิม แต่วังหลวงไม่ยินยอม วังหน้าจึงโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง จนไม่เข้าเฝ้ารัชกาลที่ ๑ พอถึง พ.ศ.๒๓๓๙ พวกวังหน้าได้เห็นขุนนางวังหลวงขนปืนใหญ่ขึ้นป้อม จึงตั้งปืนใหญ่หันไปทางวังหลวงบ้าง จนเกือบเกิดสงครามกลางเมือง ทำให้พี่สาวรัชกาลที่ ๑ ต้องเล้าโลมวังหน้าให้เข้าเฝ้า เหตุการณ์จึงสงบลงได้(๑๘)
 
โดยพื้นฐานแล้วพวกวังหน้ามักดูถูกดูหมิ่นพวกวังหลวงว่าไม่เอาไหน สู้พวกตนไม่ได้ เมื่อคราวทำสงครามที่เชียงใหม่ในปี ๒๓๓๙-๒๓๔๕ พวกขุนนางวังหลวงจึงถูกวังหน้าซึ่งเป็นแม่ทัพบริภาษติเตียนว่า รบไม่ได้เรื่อง(๑๙)
 
พอถึงปี ๒๓๔๔ วังหน้าป่วยหนักด้วยโรคนิ่ว อาการกำเริบ จึงให้คนหามเสลี่ยงเดินรอบวังหน้า แล้วสาปแช่งว่า “ของใหญ่ของโตก็ดี ของกูสร้าง นานไป ใครไม่ใช่ลูกกู ถ้ามาเป็นเจ้าของเข้าครอบครอง ขอผีสางเทวดาจงดลบันดาล อย่าให้มีความสุข” (๒๐) เพราะทั้งนี้รู้อยู่เต็มอกว่าของเหล่านั้น “ต่อไปจะเป็นของท่านอื่น” (๒๑) ครั้นมาถึงวัดมหาธาตุ ทรงเรียกเทียนมาจุดxxxxxมาติดที่พระแสง แล้วเอาพระแสงจะแทงพระองค์ พระองค์เจ้าลำดวนและพระองค์เจ้าอินทปัต พระโอรสใหญ่ทั้งสองเข้าปลุกปล้ำแย่งชิงพระแสงไปได้ วังหน้าทรงกันแสงกับพื้นและตรัสว่า “สมบัติครั้งนี้ ข้าได้ทำสงครามกู้แผ่นดินขึ้นมาได้ก็เพราะข้านี่แหละ ไม่ควรให้สมบัติตกไปได้แก่ลูกหลานวังหลวง ใครมีสติปัญญาก็ให้เร่งคิดเอาเถิด”
 
พอวังหน้าสวรรคต พวกวังหน้าจึงตั้งกองเกลี้ยกล่อมหาคนที่มีวิชาความรู้ฝึกปรืออาวุธกัน ทำนองจะเป็นกบฏ โดยมีพระองค์เจ้าลำดวนและอินทปัตเป็นหัวหน้า แต่เป็นคราวเคราะห์ดีของรัชกาลที่ ๑ ที่ความแตกก่อน จึงสามารถจับคนเหล่านี้ไปฆ่าจนหมดสิ้น(๒๒) ราชบังลังก์ของรัชกาลที่ ๑ จึงยังคงตั้งอยู่ได้บนคราบเลือดและซากศพของหลานตนเอง
หลังจากนั้นไม่นาน จะมีการประกอบราชพิธีกรรมทางศาสนา เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับพระอนุชาร่วมพระอุทร แต่รัชกาลที่ ๑ ทรงไม่หายกริ้วเรื่องอดีตถึงกับตรัสว่า “บุญมา เขามันรักลูกยิ่งกว่าแผ่นดิน ให้สติปัญญา ให้ลูกกำเริบถึงคิดร้ายต่อแผ่นดิน ผู้ใหญ่ไม่ดี ไม่อยากเผาผีเสียแล้ว” (๒๓) พวกเจ้าศักดินาไม่ว่าจะอยู่ระดับสูงหรือต่ำไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือปัจจุบันต่างก็มีความคิดตื้นๆอยู่เสมอว่า”ใครก็ตามที่คิดร้ายต่อข้า เขาผู้นั้นคิดร้ายต่อแผ่นดิน” เพราะพวกเขาคิดว่า แก่นแท้ของความถูกต้องก็คือตัวเขานั่นเอง
 
จะอย่างไรก็ตาม เหตุการณ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ ซึ่งน่าจะหยิบยกขึ้นมากล่าวถึง เพื่อตัดสินว่ากษัตริย์เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินทั้งหลายนั้นมีศีลธรรมจรรยา สมกับที่ตั้งตนเองเป็นเทวดาและพระโพธิสัตว์ หรือไม่ ก็คือเรื่องคาวๆฉาวโฉ่ ที่สร้างรอยด่างให้กับราชสำนัก รัชกาลที่ ๑ ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากที่เจ้าฟ้าฉิม(ซึ่งต่อมาเป็นรัชกาลที่ ๒) เกิดมีจิตปฏิพัทธ์กับเจ้าฟ้าบุญรอดหลานสาวของรัชกาลที่ ๑ จนถึงขั้นลักลอบเสพสังวาสกันในพระบรมมหาราชวัง โดยไม่นึกถึงขนบธรรมเนียมของปู่ย่าตายาย ที่สั่งสอนให้สตรีไทยรักนวลสงวนตัว หนังสือขัตติยราชปฏิพัทธ์สมุดข่อยที่พวกศักดินาบันทึกไว้ ได้เปิดเผยว่าหลังจากที่เจ้าฟ้าบุญรอดท้องถึง ๔ เดือน ความจึงแตก เพราะเรื่องอย่างนี้ถึงอย่างไรก็ปิดไม่มิด(๒๔) เมื่อเหตุการณ์อันน่าอับอายขายหน้าของพวกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินถูกเปิดเผยขึ้นมา รัชกาลที่ ๑ ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่หน่อพุทธางกูรกระทำการอุกอาจถึงในรั้ววังหลวง ซึ่งพวกศักดินาถือว่าศักดิ์สิทธิ์ จึงขับไล่เจ้าฟ้าบุญรอดออกไปจากวังหลวงทันทีที่รู้เรื่อง และห้ามไม่ให้เจ้าฟ้าฉิมเข้าเฝ้าอีกเป็นเวลานาน(๒๕) นับเป็นบุญของเจ้าฟ้าฉิมที่ไม่ถูกลงโทษมากกว่านี้ เพราะโอรสของรัชกาลที่ 
๑ นี้เคยถูกราชอาญาของพ่อถึง ๓๐ ปี เพราะบังอาจไปหลงสวาทพี่สาวของตนเองเข้าให้(๒๖)
๑. เป็นคำอธิบายของรัชกาลที่ ๔ที่ให้ไว้แก่จอห์น เบาริ่ง ดู นิธิ เอียวศรีวงศ์ ประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารอยุธยา (สถาบันไทยคดีศึกษา ธรรมศาสตร์,๒๕๒๓) หน้า ๓๙
๒. ศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช ข้อมูลประวัติศาสตร์สมัยบางกอก (ภาควิชาประวัติศาสตร์ม.ศรีนครินทรวิโรฒน์ ประสานมิตร ๒๕๑๘) หน้า ๕๔-๕๗
๓. เรื่องเดิม หน้า ๓๘
๔. เรื่องเดิม หน้า ๕๔
๕. นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรื่องเดิม หน้า ๔๕
๖. ดู “อภินิหารบรรพบุรุษ” (เป็นสมุดข่อยพบในสมัยรัชกาลที่ ๗) อินทุจันทร์ยง เรียบเรียง (ประพันธ์สาสน์, ๒๕๑๗-๒๕๒๐) หน้า ๓๐
๗. เรื่องเดิม หน้า ๕๖-๕๘
๘. เรื่องเดิม หน้า ๔๙
๙. ขจร สุขพานิช เรื่องเดิม หน้า ๖๓
๑๐. นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรื่องเดิม หน้า ๔๓
๑๑. “กฎพระสงฆ์” กฎหมายตราสามดวง เล่ม ๔ (คุรุสภา,๒๕๐๕
๑๒. เรื่องเดิม หน้า ๑๙๓
๑๓. เรื่องเดิม หน้า ๑๗๘
๑๔. ประกอบ โชประการ, ประยุทธ สิทธิพันธ์, สมบูรณ์ คนฉลาด พระมหากษัตริย์ไทย หน้า ๕๕๖
๑๕. อัจฉรา กาญจโนมัย การฟื้นฟูพุทธศาสนาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ๒๕๒๕) หน้า ๒๑
๑๖. กรมหลวงนรินทรเทวี จดหมายเหตุความทรงจำ (คุรุสภา, ๒๕๐๗) หน้า ๗
๑๗. กรมดำรงราชานุภาพ ตำนานวังหน้า ประชุมพงศาวดารเล่ม ๑๑ (คุรุสภา, ๒๕๐๗) หน้า ๒๗
๑๘. เรื่องเดิม หน้า ๓๘
๑๙. เรื่องเดิม หน้า ๓๘-๕๑
๒๐. เรื่องเดิม หน้า ๔๗
๒๑. เรื่องเดิม หน้า ๔๖
๒๒. เรื่องเดิม หน้า ๔
๒๓. ประกอบ โชประการ, ประยุทธ สิทธิพันธ์, สมบูรณ์ คนฉลาด พระมหากษัตริย์ไทย หน้า ๕๕๑-๕๕๓
๒๔. บรรเจิด อินทจันทร์ยง (รวบรวม) ขัตติยราชปฏิพันธ์ พงศาวดารกระซิบ (ประพันธ์สาสน์ ๒๕๒๑) หน้า ๑๑๘
๒๕. เรื่องเดิม หน้า ๑๑๙
๒๖. เรื่องเดิม หน้า ๑๑๗
บีบีซีไทย - BBC Thai
Image may contain: 2 people, people sitting and text

3 ผลงานเด่นรัฐบาล "ประยุทธ์" เน้นประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ผ่านมาแล้ว 5 เดือนสำหรับรัฐบาลพลเรือนภายใต้การบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยในวันนี้ (30 ธ.ค.) ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีออกมาเปิดเผยผลงานเด่นของรัฐบาล แบ่งได้ 3 ด้าน ซึ่งแต่ละเรื่องรัฐบาลบอกว่าทำขึ้นเพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมีอะไรบ้างมาดูกัน...... See More

Image may contain: one or more people and text

จากภารกิจ "ขจัดระบอบทักษิณ" ในการก่อตั้งพรรค รปช. วันนี้ สุเทพบอก "วายร้ายตัวเก่าจบไปแล้ว มีวายร้ายตัวใหม่มาอีก"
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) และอดีตแกนนำ กปปส. กล่าวตอนหนึ่งในการบรรยายการอบรมหลักสูตร "อุดมการณ์และการสื่อสารทางการเมือง" ที่พรรค รปช.จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.
นายสุเทพกล่าวว่า ไม่เคยคิดจะกลับมาทำงานการเมืองเลย เพราะเดินขบวนบอกพี่น้องประชาชนแล้วว่าจะไม่สมัครผู้แทน จะไม่กลับไปมีตำแหน่งทางการเมืองแล้ว ...See More

บีบีซีไทย - BBC Thai เมื่อเดือน ก.ย. ปีที่แล้ว สุเทพ "หักเห" กลับมาที่การเมืองในระบบอีกครั้ง เปิดตัว เปิดหน้าเป็นผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) และประกาศผ่านบีบีซีไทยว่าการต่อสู้กับ "ระบอบทักษิณ" เป็นภารกิจภาคต่อ พร้อมกับภารกิจของพรรค รปช. ที่ประกาศในวันเปิดตัวว่าจะทำหน้าที่ "พรรคพลเมืองที่เป็นพสกนิกรปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์" https://www.bbc.com/thai/thailand-45420226
Exclusive: สุเทพปฏิญาณ “รับใช้กษัตริย์” และ “ขจัดระบอบทักษิณ” คือภารกิจ รปช.
Exclusive: สุเทพปฏิญาณ “รับใช้กษัตริย์” และ “ขจัดระบอบทักษิณ” คือภารกิจ รปช.

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่ถูก ราชวงค์จักรีโค่นลง

28 ธันวาคม วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช "ไม่มีท่าน ไม่มีเรา ไม่มีเงา ไม่มีแผ่นดิน"



.



สมเด็จท่านฯทรงสอนลูกหลานของท่านไว้แบบนี้ จากรุ่นสู่รุ่น

#การเป็นชาติ เริ่มที่ราษฏร์ ทาสและไพร่
การเป็นไท เริ่มที่ใจ ไม่ขลาดเขลา
การฮึกเหิม เริ่มที่ผู้ ไม่ดูเบา
การเป็นเรา เผ่าพันธุ์ไท จึงได้คืน

#การสร้างชาติ เริ่มจากราษฏร์ ทาสและไพร่
การเป็นไท เริ่มจากใจ ใช่ใครฝืน
การเป็นทัพ เริ่มจากนับ ลับดาบปืน
การกู้คืน ผืนดินนี้ จึงมีเรา

#การรักษ์ชาติ เริ่มจากราษฏร์ ทั้งชาติหนา
การรักษ์ไท เริ่มที่ใจ ใช่เทือกเถา
การรักษ์ชาติ ศาสนา อย่าดูเบา
ลูกหลานเรา เขาจะยาก หากกู้คืน

จเด็ด สิบเอ็ดทิศ
29 ธค.62