måndag 30 december 2019

ใบตองแห้ง: ปีแห่งสิ่งที่ไม่เคยเห็น


“อะไรที่ไม่เคยเห็น ก็จะได้มาเห็น และอะไรที่เคยเห็น ก็อาจจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว”
อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ กล่าวไว้ตั้งแต่หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 แต่ปรากฏการณ์ทางการเมืองมาพีกสุดในปีเลือกตั้ง ซึ่งไม่แน่ ปีต่อๆ ไปยังอาจได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นกว่านี้ก็ได้
แต่มองย้อนไป ใครจะคิดว่าจะได้เห็นปรากฏการณ์เหล่านี้บ้าง

8 ก.พ.2562 พรรคไทยรักษาชาติเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ปฏิกิริยาจากฝ่ายต่างๆ ตั้งแต่เช้าจนดึก กลายเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ แม้ตามมาด้วยพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ
16 ก.ค.2562 คณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจออกอากาศให้ประชาชนเห็นกันทั้งประเทศ ในสิ่งที่ไม่เคยเห็น คือประยุทธ์นำกล่าวถวายสัตย์ไม่ครบ

เป็นครั้งแรกตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2492 บัญญัติไว้ 70 ปี ที่นายกฯ นำ ครม.ถวายสัตย์ไม่ครบ ไม่มีข้อความตามมาตรา 161 “จะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
เพราะอะไร ไม่มีคำอธิบายจนบัดนี้ แม้ฝ่ายค้านตามจี้จนเปิดอภิปรายทั่วไป รัฐบาลไม่เคยมีคำตอบ มีแต่คำกล่าวของวิษณุ เครืองาม “อย่าไปอยากรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้”

การเลือกตั้ง 24 มี.ค.2562 เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ ปรากฏการณ์อนาคตใหม่ “ฟ้ารักพ่อ” กวาดคะแนนนิยมถล่มทลาย ปรากฏการณ์ไบก้อน แมลงพันธุ์ที่เชื่อกันว่าตายยาก กลับตายเกลื่อน หวิดสูญพันธุ์
แต่อะไรก็ไม่เท่าความกังขา กกต. นับคะแนนอยู่ดีๆ ก็หยุดไปเฉยๆ มีปัญหาทั้งบัตรงอกบัตรเขย่ง จนคนล่าชื่อไล่ใน change.org เกือบล้าน
ซ้ำร้าย ผลการเลือกตั้งไม่ได้คิดจำนวน ส.ส.ตามคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากประชาชน แต่กลับใช้สูตรปัดเศษทศนิยม เศษคนสอบได้ จำนวนเต็มปัดทิ้ง พรรคอนาคตใหม่ควรจะได้ ส.ส. 87 คนกลับเหลือ 80 คน คะแนนประชาชน 5.8 แสนคนถูกเททิ้งน้ำ เพื่อให้พรรคที่ได้ 3-4 หมื่นเสียงได้ ส.ส.พรรคละ 1 คน

นี่คือสูตรคณิตศาสตร์ที่ไม่เคยพบเคยเห็น อย่าว่าแต่คนไทย นักคณิตศาสตร์ทั่วโลกตั้งแต่ครู ป.4 ไปถึง ดร.รางวัลโนเบล ก็ตกตะลึง ว่าคิดออกมาได้อย่างไร

สูตร ส.ส.เศษคนส่งผลให้ 7 พรรคฝ่ายค้านได้ ส.ส.น้อยลงจาก 253 เหลือ 246 พรรคพลังประชารัฐรวบรวม ส.ส.19 พรรค 250 คน+250 ส.ว. โหวต “ตู่ห้าร้อย” เป็นนายกฯ โดยบังเอิญเลขสวย สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย งดออกเสียงรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน
ผลการเลือกตั้ง เลือกรัฐบาล ไม่เป็นไปตามความต้องการของประชาชน เพราะ “รัฐธรรมนูญนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” ตั้ง 250 ส.ว.มาโหวตตัวเองเป็นนายกฯ นี่เป็นกติกาที่ชาวโลกไม่เคยเห็นก็ได้เห็นเช่นกัน ประชาธิปไตยครึ่งใบในอดีตล้วนหน้าบางกว่านี้
อนุรักษนิยมในอดีตก็หน้าบาง รัฐธรรมนูญเขียนให้ตั้งกรรมการสรรหา ส.ว. จากผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีความรู้และประสบการณ์ด้านต่างๆ มีความเป็นกลางทางการเมือง ถ้าเป็นอดีต ก็คงตั้งคนนอกคนดีมีชื่อเสียงภาพลักษณ์มาสรรหาวงกว้าง
แต่นี่กลับตั้งพวกเป็นกรรมการสรรหา ชงเองกินเอง เสนอชื่อตัวเองกับญาติพี่น้อง

แต่ร้องศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ ศาลไม่สามารถวินิจฉัย เพราะคำสั่ง คสช.ตั้งกรรมการสรรหา ส.ว.ไม่ถือเป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

ก็เข้าใจได้ ศาลต้องยึดตัวบทกฎหมาย เหมือนถามว่าประยุทธ์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าไม่ใช่ เพราะประยุทธ์มาจากการยึดอำนาจ เป็นรัฏฐาธิปัตย์ อยู่เหนือรัฐเหนือกฎหมาย จะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างไร
ประยุทธ์จึงทำอะไรไม่ผิดกฎหมาย ทั้งที่ได้อำนาจโดยไม่ชอบธรรม แล้วเครือข่ายอำนาจอนุรักษนิยมก็ใช้กฎหมาย ใช้องค์กรอิสระ ทำลายคู่แข่ง พร้อมกับใช้สื่อที่ส่งเมียไปเป็น ส.ส. ปลุกความเกลียดชัง
ผู้ร้ายแห่งปี จึงได้แก่อิลลูมินาติ ทฤษฎีสมคบคิดจิตป่วย ความผิดร้ายแรงแห่งปี จึงไม่ใช่การซื้อเสียง ใช้อำนาจรัฐ อิทธิพล แทรกแซงเลือกตั้ง แต่กลายเป็น “หุ้นสื่อ” ถือหุ้นนิตยสารแฟชั่นที่ปิดไปแล้ว
ขณะที่ฝั่งรัฐบาล “เทาเพื่อชาติ” ไม่เป็นไร คืนที่ดินให้รัฐแล้วไม่ผิด

กฎหมายจึงล้มละลาย เมื่อไหร่ที่วิษณุอธิบายกฎหมาย แค่อ้าปากคนก็รู้ทันถึงไส้ติ่ง ฉายาศรีธนญชัยยังน้อยไป

ปี 2562 เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่เคยพบเห็นในศาลยุติธรรม ผู้พิพากษาไลฟ์สดยิงตัวตาย ไม่ว่าใครถูกใครผิดอย่างไรในคดี ประชาชนก็แซ่ซ้องเพราะโดนใจ มีอารมณ์ร่วมในความคับข้อง “คืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษา คืนความยุติธรรมให้ประชาชน”

ภาพสะท้อนในรอบปี คือภาวะวิบัติของอำนาจอนุรักษนิยม ที่เคยอ้างศีลธรรมความเป็นไทยชี้นำสังคม แต่วันนี้ต้องโกงกติกา ต้องใช้อำนาจยุติธรรมทำลายการเมืองใสสะอาด ปกป้องการเมืองสีเทา เพื่อรักษาอำนาจ

เผยแพร่ครั้งแรกใน: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/hot-topics/news_3273798 
.........................................

ใบตองแห้ง: ประชาชนชินชา?


ถ้ายุบอนาคตใหม่แล้วธนาธรจะนำประชาชนลงถนนโค่น คสช.ไหม ทำไม่ได้หรอก เพราะไม่ใช่ม็อบมีเส้น ปิดเมืองขัดขวางเลือกตั้ง ปูทางรัฐประหาร แล้วกลับมาสังวาสกันเห็นๆ

ยุคนี้สมัยนี้เป็นไปได้ยากที่จะเกิด 14 ตุลาหรือพฤษภา 35 เพราะอำนาจระดับบนเป็นปึกแผ่น ประชาชนก็แตกแยก สลิ่มดักดานยังปกป้องอำนาจสามานย์

อุดมการณ์ประชาธิปไตยในปัจจุบันก็ลดความร้อนแรง เลิกคิดเรื่องเปลี่ยนแปลงฉับพลัน โค่นล้มมันแล้วฟ้าสีทองผ่องอำไพ คนรักประชาธิปไตยแค่อยากมีสิทธิเสรีภาพ ในระบอบที่ดีกว่า ไม่ใช่พวกหน้ามืดยอมตายทำลายทุกอย่างเพื่อความเคารพบูชา แบบม็อบจารีตหรือนักรบศาสนา
 
เมื่อประชาธิปไตยไม่สามารถต่อสู้ด้วยอาวุธ ด้วยความรุนแรง หรือเห็นว่าลุกฮือก็ไม่คุ้มค่า 5 ปีที่ผ่านมา เผด็จการจึงได้ใจ วางระบอบเบ็ดเสร็จ กระชับอำนาจ ยึดพื้นที่สิทธิเสรีภาพทีละส่วนๆ แต่ยังทำให้คนรู้สึก “พออยู่ได้” ยังหวังจะต่อสู้ทางความคิดเพื่อเปลี่ยนแปลงในระยะยาว

กระนั้นก็น่าสงสัยว่า เมื่อผ่านการสืบทอดอำนาจด้วยกติกาเอาเปรียบ อย่างหนา อย่างโจ๋งครึ่ม แล้วยังใช้กฎหมายทำลายฝ่ายตรงข้าม อุ้มตัวเองและพวกพ้อง ระบอบอำนาจนี้ก็จะคงอยู่ไปได้เรื่อยๆ หรือ
หรือยังเชื่อว่าจะใช้อำนาจอย่างไรก็ได้ สองมาตรฐาน อยุติธรรมแค่ไหน ประชาชนก็ไม่กล้าลุกฮือ ต้องจำยอมเรื่อยไป

เช่นถ้ายุบพรรคอนาคตใหม่ ก็ไม่เป็นไรหรอก ประชาชนชินชาซะแล้ว ยุบมาตั้งหลายพรรค เดี๋ยวก็ย้าย ส.ส.ไปพรรคใหม่ ไม่อยากเสียเก้าอี้ กรรมการบริหารรีบลาออกจาก ส.ส. เลื่อนปาร์ตี้ลิสต์ขึ้นมาแทนได้

คงใช่มั้ง ถ้าไม่มองว่าเกิดอะไรขึ้นนับแต่เลือกตั้ง
เลือกตั้งทุกครั้ง 2544,2548,2550,2554 พรรคทักษิณชนะเป็นรัฐบาล แล้วถูกโค่นล้มด้วยรัฐประหาร 2549 ยุบพรรค 2551 รัฐประหาร 2557 บนความเกลียดชังของคนชั้นกลางในเมือง ที่มองเป็นแหล่งสุมหัวนักการเมืองสามานย์ อีกข้างเป็นคนดีดัดจริต แพ้เพราะถูกซื้อ
แต่เลือกตั้ง 2562 กลับข้าง นักการเมืองที่คนชั้นกลางเคยเกลียดชัง ย้ายข้างกันครึกครื้น “รัฐธรรมนูญนี้ร่างมาเพื่อพวกเรา” ได้อานิสงส์จากอำนาจ กติกาเอาเปรียบ 244 ส.ว.ตู่ตั้ง+6 ผบ.เหล่าทัพ ไม่ใช่โหวตให้ตู่คนเดียว แต่โหวตนักการเมืองมาร่วมเสวยอำนาจด้วย

นี่ต่างกับรัฐบาลรัฐประหารที่ยังพอสร้างภาพ ตั้งคนดีคนเก่ง แม้ทำอะไรกันงุบงิบ แต่หลังเลือกตั้ง เครือข่ายอนุรักษนิยมจำเป็นต้องอุ้มนักการเมืองที่ผู้สนับสนุนตนเคยยี้ แม้มีข้อครหา แม้มีคดีความ มีชนักเต็มหลัง จนถูกด่าสองมาตรฐาน

หันไปดูฝ่ายค้าน แม้พรรคเพื่อไทยประคองตัวเข้ามาอย่างยากลำบาก แต่แสดงความเหนียวแน่นของฐานมวลชน ขณะที่อนาคตใหม่พรวดขึ้นมาโดดเด่น ทั้งด้วยฐานเสียงเพื่อไทยในเขต ทษช.ถูกยุบ ด้วยคะแนนคนรุ่นใหม่ แบบยกมหาวิทยาลัย และคะแนนคนชั้นกลางในเมืองที่ส่วนหนึ่งก็เคยไล่ทักษิณ
เอาเข้าจริง อนาคตใหม่คือพรรคในอุดมคติของคนชั้นกลางในเมือง ไม่ใช่แค่ไม่ซื้อเสียง แต่หาเสียงด้วยวิธีใหม่หมด แต่อนาคตใหม่ถูกจ้องทำลาย เพราะเป็นพรรคที่มุ่งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอย่างถึงรากถึงโคน จนโดนข้อหา “ชังชาติ”

Lawfare หลังเลือกตั้ง 2562 จึงต่างกับหลังเลือกตั้ง 2550,2554 เพราะเกิดกับพรรคฝ่ายค้าน ที่ได้ใจคนรุ่นใหม่ ได้ฐานเสียงคนชั้นกลาง ขณะที่รัฐบาลซึ่งรวมนักการเมืองสารพัดยี้ ทำอะไรก็ไม่ผิด เอาเปรียบทุกอย่าง ตั้ง ส.ว.โหวตตัวเอง สูตร ส.ส.เศษคน มาจนใช้งูเห่า แล้วยังลอยหน้าลอยตาว่าการทำผิดศีลธรรมทางการเมืองเป็นเรื่องธรรมดา

พูดง่ายๆ ว่า การเมืองปกติ ใครเป็นรัฐบาลก็เป็นเป้า แก้ปัญหาไม่ได้ดังใจก็ถูกด่า ฉะนั้นการใช้ Lawfare กับรัฐบาลจึงง่ายกว่า แต่ถ้ารัฐบาลเอาเปรียบกติกาแล้วลอยนวล ฝ่ายค้านทำอะไรก็ผิด ปฏิกิริยาที่สะท้อนออกมาจะตรงกันข้าม

แม้แน่ละ ถ้ายุบพรรคอนาคตใหม่ไม่มีม็อบออกมาต้านหรอก ปัดโธ่ คนรุ่นใหม่ก็แค่นักเลงคีย์บอร์ด ใครไม่ยอมรับอำนาจศาลก็ถูกปราบ

แต่ความโกรธแค้นชิงชังจะระบายไปที่รัฐบาล ซึ่งมีแผลเหวอะหวะ แถมปัญหาเศรษฐกิจปากท้องจะรุนแรงขึ้นในปีหน้า เทียบง่ายๆ แค่ปรากฏการณ์ปารีณา ยังโดนสังคมขึงพืด อย่าคิดว่าจะไม่เจอหนักหนากว่านี้

การตอบโต้สามารถรวมศูนย์ไปที่รัฐบาล ซึ่งอาจไม่ต้องรอให้เปิดแผล ใช้มาตรการแอนตี้ บอยคอต ทีละระดับ โดยไม่สามารถเอาผิดทางกฎหมาย นี่ง่ายกว่ายุคสมัคร ยิ่งลักษณ์ รบกับ Lawfare เพราะแค่ประยุทธ์สะดุดอะไรแล้วพัง ก็เละทั้งระบอบ
ม็อบฮ่องกงไม่ได้จู่ๆ ก็โผล่มาเรียกร้องประชาธิปไตย แต่สั่งสมความไม่พอใจ ความเหลื่อมล้ำ แล้วกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนมาจุดไฟ อย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

ความเปลี่ยนแปลงในโลก เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เหมือนจู่ๆ ก็บังเอิญ 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/hot-topics/news_3183595

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar