Prachachat - ประชาชาติ
“คนอายุ
40 ปีขึ้นไปยังคิดถึงคุณทักษิณ
ซึ่งพรรคที่อยู่ในเครือข่ายคุณทักษิณเป็นรัฐบาล ทำให้เศรษฐกิจดีโดยตลอด
เพราะมีความเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ แต่ในช่วงประเทศชาติลำบาก
คนจะคิดถึงมากเป็นพิเศษ ยิ่งวิกฤต คนยิ่งนึกถึง ด้วยภาวะความเป็นผู้นำ
แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ต่างจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ที่แก้ปัญหาหนึ่งเพื่อไปสร้างปัญหาหนึ่ง ออกคำสั่งแบบทหาร” นายวัฒนา
เมืองสุข” อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อเพื่อไทย กล่าว
*** 10 ปีขายชินคอร์ป
คำแปลโทรเลขวิกิลีกส์ทักษิณเล่าความขัดแย้งกับในหลวงจากการขายนั้น
(และการ"ทำดีล"กับวัง กลางปี2551) https://goo.gl/UHTZGU
.............................................................................
.............................................................................
พูดให้เห็นว่าประเทศไทยมันชวนหมดหวังขนาดไหน ("มองโลกในแง่ร้ายอย่างมีสติ" ๕๕๕)
หลังจากพูดถึงการขาดคนรักเจ้าที่มองการณ์ไกลและกล้าหาญในสองกระทู้ก่อนหน้านี้ (ใครยังไม่อ่าน อยากให้อ่านนะ) ขอพูดถึงอีกข้าง
คือมันเป็น irony หรือตลกร้ายมากๆเหมือนกัน ที่พลังที่เหมือนจะเป็นตัวแทนของพลังใหม่ ค่ายทักษิณ-เพื่อไทย-เสื้อแดง ซึ่งในบางด้านมีลักษณะใหม่กว่าจริง (เช่นเข้าใจเรื่องความเป็นไปของโลกภายนอกมากกว่า พวกโครงการโน่นนี่ที่ฝายนี้เป็นฝ่ายริเริ่ม) เอาเข้าจริงในหลายๆด้าน มีลักษณะ "โบราณ" มากๆ
ความสัมพันธ์ภายในของฝ่ายนี้ ในลักษณะเหมือน "เจ้าพ่อ" ตั้งแต่ระดับสูงสุด (ในหมู่เสื้อแดง มีคำเรียกทักษิณแบบ "นิคเนม" ว่า "นายใหญ่" ความจริงมันสะท้อนอะไรที่ตรงมากกว่าที่เสื้อแดงคิดหรือยอมรับกัน) ถึงระดับล่างๆลงมา (มีลักษณะ "เจ้าพ่อ" เล็กๆตามลงมาในขบวน) ลักษณะพรรคการเมืองแบบครอบครัว ("บริษัทชินวัตรการเมืองจำกัด" - "ชิน-ดา-วงศ์") ไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างมวลชนกับผู้นำและนักการเมือง ที่มีลักษณะทีผมพูดตั้งแต่หลายปีก่อนว่ามัน unhealthy หรือสุขภาพไม่ดี ในลักษณะที่แย่กว่าความสัมพันธ์ระหว่างมวลชนอีกฝ่ายกับนักการเมืองของตน (เช่นในค่าย ปชป) แต่มีลักษณะเหมือนความสัมพันธ์แบบเดิมระหว่างเจ้ากับมวลชน - โดยรวมๆคือมีลักษณะ "ระบบอุปถัมภ์" แบบเก่าเยอะมากๆ ยังไม่ต้องพูดถึงลักษณะคอนเซอเวทีพทางความคิดความเชื่ออีกบางอย่างในระดับมวลชนเสื้อแดง (ที่ ดร.ไชยันต์ รัชกูล เรียกว่าเป็นพวก conservative radicals ในขณะที่ฝ่ายเหลืองเป็น radical conservatives) ฯลฯ ฯลฯ
คือเป็นพลัง"ใหม่"ที่ ไม่ได้ "ใหม่" จริงๆหลายอย่าง ...
Somsak Jeamteerasakul updated his status.
Sliding Doors* - ถ้าวันนั้น ไม่มี....?
(*ดูคำอธิบายเรื่อง Sliding Doors ท้ายกระทู้)
มี "มิตรสหายท่านหนึ่ง" ตั้งคำถามที่น่าสนใจมากว่า
"ถ้าวันนั้นสนธิกับทักษิณไม่แตกกัน ประวัติศาสตร์ไทยจะเป็นยังไงนะ?"
ก่อนที่ผมจะ "ตอบ" คำถามนี้ ผมขอเล่าอะไรให้ฟังนิด คือในช่วงใกล้ๆนี้ ผมนึกทบทวนถึงวิกฤติ 10 ปีนี้เยอะ (ส่วนหนึ่งเพราะวันที่ 19 นี้ ผมจะร่วมการสัมมนาเรื่องนี้ที่นี่) แล้วมีประเด็นหนึ่งที่สะดุดใจผมมาก
คือถ้าเราดูความพยายามของสนธิ ในการเคลื่อนไหวล้มทักษิณตั้งแต่ปลายปี 2548 จนถึงเดือนมกราคม 2549 จะเห็นว่า "จุดไม่ติด" (ยกเรื่องทักษิณละเมิดพระราชอำนาจ เช่นเรื่องสังฆราช, วัดพระแก้ว, เครื่องบินพระที่นั่ง และอื่นๆ ก็ยังไม่ติด) แม้แต่เมื่อสนธิพยายามจะทำให้เป็นกระแสใหญ่ด้วยการนำเดินขบวนจากสวนลุมไปทำเนียบ และมีการพยายามพังประตูทำเนียบเข้าไป ในกลางเดือนมกราคม ผลก็ออกมาว่าล้มเหลว แม้แต่คนเชียร์ก็ยอมรับว่าล้มเหลว และแย่ลงสำหรับขบวนสนธิด้วยซ้ำ ธีรยุทธถึงกับออกมาเสนอว่า ทักษิณคงอยู่ต่ออีกหลายปี และแนะนำให้สนธิเปลี่ยนไปเป็นกลุ่มกดดัน คอยเสนอ วิจารณ์รัฐบาล แทนที่จะพยายามออกมาเคลื่อนไหว
แต่แล้วก็มีข่าวขายชินคอร์ป-เทมาเส็กออกมา เมื่อวันที่ 23 มกราคม
เท่านั้นแหละ สถานการณ์เปลี่ยนไปชนิดมโหฬารเลย .....
ผมคิดมานานแล้ว (จริงๆตั้งแต่ตอนนั้น) ว่า ถ้าตอนนั้น ทักษิณ handle หรือจัดการกับกรณีขายชินคอร์ปแตกต่างออกไป เช่น สมมุติ ออกมาประกาศว่า แม้ตามกฎหมาย ครอบครัวเขาจะได้รับการยกเว้นภาษีจริงๆ แต่ว่า เขายินดี บริจาคเงินเท่ากับจำนวนภาษีที่ได้รับการยกเว้นนั้นให้สาธารณะ เช่น ตั้งเป็นกองทุนหรือมูลนิธิ ฯลฯ ผมว่าโอกาสที่จะหยุดกระแส ยังเป็นไปได้สูงมาก ฯลฯ
แต่ทักษิณมีจุดอ่อนสำคัญมากอย่างหนึ่ง (ตลอดช่วงที่เขาเป็นนายกฯลักษณะนี้ชัดมาก) คือ รับการวิจารณ์ไม่ได้ และยิ่งถูกวิจารณ์หนัก ยิ่งโกรธ ยิ่งฮึด (ทุกวันนี้เขาก็ยังมีจุดอ่อนนี้นะ คือไม่มีใครพูดให้เขาฟังได้จริงๆ ว่ากันว่า มีคนเดียวที่เขายอมฟัง หรือสามารถวิจารณ์เขาได้แล้วเขายอมฟังจริงๆ คือคุณหญิงอ้อ) ... ก็เลย handle ในลักษณะที่ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง....
ผมคิดถึงกรณีขายชินคอร์ป-เทมาเส็ก ในแง่ "ถ้าวันนั้น...." โดยโยงกับประเด็นที่กว้างกว่านั้นอีก คือ ถ้าเราดูสถานการณ์ปัจจุบัน ชนชั้นกลางในกรุงเทพส่วนใหญ่แอนตี้ทักษิณ แล้วเลยเป็นฐานให้กับ คสช หรืออำนาจอื่นๆที่แอนตี้ทักษิณ
แต่ถ้าลองคิดดู ชนชั้นกลางในกรุงเทพไม่ได้มีลักษณะแอนตี้ทักษิณอย่างรุนแรงขนาดนี้มาแต่แรก การที่สนธิไม่สามารถจุดกระแสได้ ก่อนกรณีขายชินคอร์ป เป็นตัวบ่งชี้อย่างหนึ่ง ยิ่งกว่านั้น การเลือกตั้งปี 2548 พรรคไทยรักไทย ยังสามารถชนะประชาธิปัตย์ในกรุงเทพอย่างถล่มทลายด้วย (ทรท ได้ 32 ที่นั่ง ปชป ได้เพียง 4 - เลือกตั้งปี 2544 ไทยรักไทยก็ชนะ ได้ 28 ขณะที่ ปชป ได้ 9)
และเรื่องนี้ นำไปสู่ปัญหาเชิงทฤษฎีและเชิงข้อเท็จจริงของการเข้าใจวิกฤติ 10 ปีนี้ ที่ผมสนใจมาก
นั่นคือ เรากล่าวได้แค่ไหนว่า ที่มันเกิดวิกฤติ จนเรามาอยู่ในสถานการณ์แบบทุกวันนี้ มันมาจากปัญหา "โครงสร้าง" บางอย่าง ที่ยังไง ก็ต้องเป็นแบบนี้ (นี่คือแนววิเคราะห์ของนักวิชาการส่วนใหญ่) หรือว่า ความจริง มันมีส่วนสำคัญมาจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้กระทำ ทั้งสองฝ่าย (พูดแบบภาษาวิชาการหน่อย คือปัญหา structure vs agency หรือ determinism vs voluntarism)
เช่น (ที่เพิ่งพูด) ถ้าทักษิณ ไม่ handle กรณีขายชินคอร์ปแบบนั้น หรือ ถ้า พระราชินี ไม่เสด็จงานศพน้องโบว์, ถ้าพันธมิตรไม่ยึดทำเนียบ-สนามบิน, ถ้า นปช ไม่ตัดสินใจยึดราชประสงค์ (ซึ่งผมยืนยันว่าเป็นการตัดสินใจที่พลาดมาก) หรือรับโร้ดแม็พอภิสิทธิ์แล้วเลิกชุมนุม (นี่เป็นอีกความผิดพลาดหนึ่งของทักษิณ) หรือ ถ้าทักษิณไม่ดันเหมาเข่ง ฯลฯ ฯลฯ
ในความรู้สึกผมนะ วิกฤติครั้งนี้ มันมีส่วนมาจากการตัดสินใจผิดพลาดของผู้กระทำสำคัญของทั้งสองฝ่ายในแต่ละจังหวะตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เยอะมาก
..............
*Sliding Doors เป็นชื่อหนังฝรั่งที่ผมชอบมาก และผมเห็นว่าน่าสนใจมากด้วย ผมแนะนำนักศึกษาประวัติศาสตร์ของผมเสมอว่า ถ้ามีโอกาส ควรหามาดู เนื้อเรื่องย่อๆคือ ตัวนางเอก (เล่นโดย เกวนเน็ธ พาโทรล) วันหนึ่งถูกไล่ออกจากงาน แล้วเลยกลับบ้านเร็ว มาเจอแฟนกำลังมีเซ็กซ์กับกิ๊ก แล้วเลยทะเลาะเลิกกับแฟน... แต่หนัง ได้ "สมมุติ" หรือ "นำเสนอ" อีก "ทางเลือก" หนึ่งของชีวิตนางเอก คือตอนที่นางเอกพยายามขึ้นรถไฟกลับบ้านหลังโดนไล่ออก ถ้าสมมุตินางเอก ขึ้นไม่ทัน ประตูรถไฟมันปิดก่อน (นี่คือที่มาของชื่อหนัง Sliding Doors) นางเอกเลยกลับไปบ้าน หลังจากกิ๊กของแฟนกลับไปแล้ว ก็เพียงแต่ไปเจอแฟนคนเดียว ก็เลยยังอยู่กับแฟนต่อไป .... แล้วตลอดทั้งเรื่องของหนัง ก็เดินเรื่องสลับกัน ระหว่างชีวิตนางเอกที่ไม่เหมือนกัน จากการขึ้นรถไฟทันกลับไปเจอกิ๊กแฟน กับ ขึ้นรถไฟไม่ทัน กลับไปไม่ได้เจอกิ๊กแฟน ชีวิตนางเอกจะดำเนินไปคนละอย่าง ลงเอยคนละอย่างเลย
ประเด็นคือ "ประวัติศาสตร์" มันจะเปลี่ยนไปเพียงใด "จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า..." บางเหตุการณ์ ไม่ได้เกิดแบบที่เกิด ซึ่งมันมีความเป็นไปได้แน่ ที่จะไม่เกิดแบบที่เกิด ในทางวิชาการ มันมีการพูดเรื่องนี้เยอะ เรียกว่า counter-factual history เช่น สมมุติว่า ถ้าฮิตเล่อร์ เกิดเอาชนะโซเวียตได้ (แทนที่จะไปแพ้ยับเยิน) ฯลฯ
*** "พวกคุณอยากทำก็ทำไป พวกผมไม่ทำด้วย แต่ถ้าพวกคุณทำสำเร็จ พวกผมก็เอา"
(กระทู้นี้จะว่าไปเชื่อมโยงกับกระทู้ที่แล้วนะ แต่พูดถึงประเด็นที่ใหญ่ที่สุดของการเมืองขณะนี้ - กระทู้ที่แล้วยกประเด็นย่อยลงไป - ดังนั้น ใครยังไม่ได้อ่านกระทู้ที่แล้ว แนะนำให้อ่านก่อน)
ในวงสนทนากับ "มิตรสหาย" หลายท่าน เมื่อไม่กี่วันก่อน มี "มิตรสหายท่านหนึ่ง" สรุปแบบรวบยอดฟันธงเป็นคำพูดทำนองนี้ ซึ่งผมเห็นด้วยว่าสรุปได้ถูกต้อง
ถ้าถามว่า คุณทักษิณ-เพื่อไทย-นปช และบรรดานักการเมืองสังกัดค่ายนี้ พวกเขาคิดจะ "ล้มอำนาจเจ้า-เปลี่ยนระบอบ" ไหม? - คำตอบคือไม่
แต่ถ้ามีคนอื่นๆทำ จนเกิดการ "ล้มอำนาจเจ้า-เปลี่ยนระบอบ" พวกเขาเอาไหม? - คำตอบคือ เอา
(พูดอีกอย่างประมาณว่า "พวกคุณอยากทำก็ทำไป พวกผมไม่ทำด้วย แต่ถ้าพวกคุณทำสำเร็จ พวกผมก็เอา")
นี่แหละคือ "ความพิลึกพิลั่น" ของการเมืองไทยในหลายปีนี้
Somsak Jeamteerasakul updated his status.
ทักษิณ กับการ "เปลี่ยนระบอบ"
(ช่วงท้ายของกระทู้จะเรสปัญหาเชิงทฤษฎีบางอย่าง เรื่อง democratization, bourgeois revolution ซึ่งอาจจะยากนิด ถ้าใครไม่สนใจก็ผ่านไปได้)
เมื่อเร็วๆนี้ ในวงสนทนากับมิตรสหายจำนวนหนึ่งที่นี่ ผมเสนอขึ้นว่า
ความจริง ทักษิณ ถ้าได้ไปเป็นนายกฯของประเทศอย่างจีนหรือสิงคโปร์ คง "ไปได้สวย"
นั่นคือ เขา "เหมาะ" หรือสอดคล้องที่จะไปเป็นผู้นำในประเทศที่ระบบการเมืองมัน settled หรือ "ลงตัว" แล้ว
เพราะในบรรดาอีลึตไทยทั้งหลาย ต้องยอมรับว่า เขามีวิสัยทัศน์หรือเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาในแง่เศรษฐกิจของประเทศในปริบทของเศรษฐกิจโลกมากกว่าคนอื่นๆ
แต่ - และนี่เป็นประเด็นสำคัญมาก - โดยที่ประเทศที่ระบบต่างๆ "ลงตัว" แล้วที่ว่า (จีน สิงคโปร์) ไม่จำเป็นต้องเป็นประชาธิปไตย
อันที่จริง เขาอาจจะเหมาะกว่าด้วยซ้ำ กับประเทศดังกล่าว ที่มีลักษณะไปในทาง authoritarian อย่างจีน สิงคโปร์
เพราะเอาเข้าจริง ทักษิณไม่ได้มีวิสัยทัศน์ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยอะไร วิสัยทัศน์ทางการเมืองของทักษิณ (ยิ่งโดยเปรียบเทียบกับเรื่องวิสัยทัศน์การพัฒนาเศรษฐกิจที่กล่าวข้างต้น) ต้องนับว่าเป็น "ศูนย์" เลย ทักษิณไม่มีความเข้าใจหรือไม่มีไอเดียว่า ถ้าจะ "สร้างระบอบประชาธิปไตย" ต้องทำอย่างไรบ้าง หรือ "ระบอบประชาธิปไตย" จะต้องมีลักษณะอย่างไรบ้าง (นอกเหนือจากไอเดียประเภทที่เรียกว่า populism คือ เรื่องเลือกมาจากเสียงส่วนใหญ่ - จบ)
เอาเข้าจริง ทักษิณสามารถ fit in หรือเข้าได้กับ (เคยเข้าได้มาแล้วกับ) สิ่งที่เรียกว่า "ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" ปัญหาว่า ทำไม ทักษิณจึงเกิดปัญหากับ "ระบอบ" ที่ว่านี้ เป็นประเด็นใหญ่ที่ไม่สามารถพูดได้ในทีนี้ นี่เป็นประเด็นสำคัญที่ผมนำเสนอในการสัมมนาที่นี่เมื่อเดือนก่อน ภายใต้หัวข้อ "แฝดสยามแยกร่าง" Siamese Twin Separated ไอเดียคือทักษิณกับกษัตริย์นิยมนั้น ความจริงเป็น "แฝดสยาม" ที่ติดกันมาอย่างแนบแน่นมาก่อน จนถึงปี 2006
เรื่องนี้นำไปสู่ประเด็นสำคัญอีกเรื่องคือ เอาเข้าจริง ประชาชนส่วนใหญ่ที่เลือกหรือสนับสนุนทักษิณ ("เสื้อแดง") แท้จริงแล้วสนับสนุนด้วยเหตุผลในเชิงวิสัยทัศน์ในแง่การพัฒนาเศรษฐกิจดังกล่าว ไม่ใช่ด้วยเหตุผลในเชิงความเป็นประชาธิปไตยหรือการมีวิสัยทัศน์หรือข้อเสนอเกี่ยวกับการสร้างระบอบประชาธิปไตย เพราะเอาเข้าจริงทักษิณไม่มี ไม่เคยเสนอ หรือมีท่าทีจะมี หรือจะเสนอว่าจะ "เปลี่ยนระบอบ" ในแง่ทำให้เป็นประชาธิปไตยอย่างไร (ตั้งแต่ปัญหาสถานะสถาบันกษัตริย์ กองทัพ ไปถึงเรื่องกฎหมายต่างๆ เช่น ๑๑๒ เรื่องสิทธิ เสรีภาพ ไปจนกระทั่งแม้แต่เรื่องทำให้ศาสนาสอดคล้องประชาธิปไตย ด้วยการเอาออกจากรัฐ (อันที่จริง เสื้อแดงเป็นขบวนการเมืองเดียวที่เคยเสนอข้อเสนอลักษณะถอยหลังเข้าคลองเรื่องทำให้ศาสนาพุทธเป็น "ศาสนาประจำชาติ" ด้วยซ้ำ)
ในแง่นี้ ความเป็นขบวนการเมืองที่เรียกร้องประชาธิปไตยของผู้สนับสนุนทักษิณ ("เสื้อแดง") มีลักษณะจำกัดอย่างมาก คือจุดสำคัญแทบจะจุดเดียวที่โฟกัสคือเรื่องว่า ขอให้คนที่เลือกจากเสียงส่วนใหญ่เป็นรัฐบาล - นี่คือเนื้อหาของ "ประชาธิปไตยในความหมายของคนเสื้อแดง" - "เป้าหมายประชาธิปไตย" ในแง่นี้ เป็นอะไรที่ขึ้นต่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น คือต้องการให้ได้รัฐบาลทักษิณ (ด้วยเหตุที่เชื่อในเชิงวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจ)
...............
เรื่องนี้ (ที่ประชาชนสนับสนุนทักษิณมาจากเรื่อง "วิสัยทัศน์เศรษฐกิจ" เป็นหลัก ไม่ใช่มาจากเรื่องทางหลักการประชาธิปไตย หรือการจะสร้างให้ระบอบประชาธิปไตยออกมาแบบไหน) ยังเรสปัญหาสำคัญในเชิงทฤษฎีที่น่าสนใจ
คือถ้ามองให้กว้างออกไป เอาเข้าจริง สิ่งที่เรียกว่า "คลื่นลูกที่สาม" (และสี่) ของการเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย (Third Wave Democracy) คือการที่ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่ตะวันตก เป็นอดีตประเทศ "โลกที่สาม" หรือ "ค่ายคอมมิวนิสต์" เริ่มเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยในทศวรรษ 1980 และ 1990 เป็นต้นมา โดยเปรียบเทียบกับสิ่งที่เรียกว่า "การปฏิวัติประชาธิปไตย" (หรือ "การปฏิวัติกระฎุมพี") สมัย "คลาสสิค" จากศตวรรษที่ 16 ถึงศตวรรษที่ 19 ถึงครึ่่งแรกของศตวรรษที่ 20 - จะเห็นว่า "คลื่นลูกที่สามประชาธิปไตย" ที่ว่านี้ (ซึ่งรวมถึงกรณีประเทศไทย) แรงผลักดันแทบจะทั้งหมดมาจากเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ในความหมายที่คล้ายๆกับที่เราเห็นในไทยนี้ คือ ประชาชนต้องการผู้นำหรือการเมืองที่มีวิสัยทัศน์ในแง่จะพัฒนาเศรษฐกิจที่แข่งกับความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก (ความล้มเหลวของผู้นำเผด็จการ ไม่ว่าจะลาตินอเมริกา มาถึงอินโดนีเซีย หรือกระทั่งล่าสุดพม่า ล้วนมาจากเรื่องนี้เป็นสำคัญ) .... คือไม่ใช่ปัญหาเชิงหลักการการเมืองหรืออุดมการแบบ "เสรีนิยม" ในแบบที่เราเห็นในช่วง "การปฏิวัติกระฎุมพีคลาสสิค"* (เรื่องใหญ่สุดคือเสรีภาพส่วนบุคคล ความเสมอภาค และ ระบบการเมืองที่มี check and balance) และผู้นำที่กลายมาได้รับความสนับสนุนจาก "ประชาธิปไตยเกิดใหม่-ประชาธิปไตยคลื่นลูกที่สาม" ในประเทศเหล่านี้ ก็เป็นผู้นำที่ดูเหมือนจะสนองความต้องการเรื่องวิสัยทัศน์เศรษฐกิจมากกว่าเรื่องในเชิงอุดมการหรือวิสัยทัศน์เรื่องเสรีภาพประชาธิปไตยเหมือนในสมัยคลาสสิคของตะวันตก
[* อันที่จริง ตามข้อเสนอของ Perry Anderson ในซีรีส์ของสิ่งที่เรียกว่า "การปฏิวัติกระฎุมพี" เอง ก็มีลักษณะแบ่งเป็นสอง "วงจร" วงจรแรก จากการปฏิวัติดัชท์ อังกฤษ อเมริกัน ถึงฝรั่งเศส ที่เน้นเรื่องไอเดีย "เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ" กับวงจรหลัง จากการปฏิวัติเยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น ที่เน้นเรื่องชาตินิยมและอุตสาหกรรม]
Somsak Jeamteerasakul updated his status.
ปัญหาใหญ่อยู่ที่ว่า จะแทนที่ระบอบ คสช หรือการเมืองแบบกษัตริย์นิยม-ทหารนิยม ด้วยอะไร? - "การเมืองแบบทักษิณ"?
ผู้ที่เรียกกันว่า "ฝ่ายประชาธิปไตย" คงตอบทำนองว่า ก็แทนที่ด้วย "ประชาธิปไตย"
แต่ "ประชาธิปไตย" ในหมู่คนที่คัดค้านรัฐประหาร คัดค้านระบอบ คสช มีความแตกต่างกันไม่น้อย และจริงๆแล้วก็เป็นอะไรที่นามธรรมเกินไป ปัญหายังอยู่ที่ว่าในทางรูปธรรม "ประชาธิปไตย" ที่ต้องการให้มาแทนที่ มีลักษณะหรือความหมายอย่างไรบ้าง?
หลายคนคงตอบเพิ่มเติมว่า ก็ให้มีการเลือกตั้ง และรัฐบาลเลือกตั้งมีอำนาจนำ
แต่อันนี้ ก็มีปัญหาต่อว่า - ยังไง? เหมือนก่อน 2549 ใช่หรือไม่? พูดอีกอย่างคือ เหมือนสมัยยุคทักษิณ นันคือแทนที่ด้วยการเมืองแบบสมัยทักษิณ?
แต่การเมืองแบบก่อน 2549 หรือ "การเมืองแบบทักษิณ" (ผมจงใจหลีกเลี่ยงใช้คำว่า "ระบอบทักษิณ" แต่ขณะเดียวกัน ผมเห็นว่า การเมืองช่วงนั้น มีลักษณะพิเศษบางอย่างที่กำลังจะกล่าว ที่มีคาแร็กเตอร์สำคัญบางอย่างเกี่ยวกับทักษิณ-ไทยรักไทย จริง)
มีลักษณะบางอย่างที่ควรตั้งคำถามว่า สมควรกลับไปจริงหรือ?
"การเมืองแบบทักษิณ-ไทยรักไทย ก่อน 2549" (ที่แม้แต่ช่วงยิ่งลักษณ์หรือปัจจุบัน ก็ยังมีลักษณะดังกล่าวบางอย่างอยู่) เป็นการเมืองแบบที่ฝ่ายบริหารสามารถควบคุมกลไกต่างๆได้ในระดับที่การถ่วงดุลย์-ตรวจสอบ ไม่อาจมีประสิทธิภาพอะไร (ทีสำคัญคือคุมทั้งสภาล่าง-สภาสูง ... แม้แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็คุมทั้งสภาล่าง-สภาสูง) ผลคือ ในทีสุด เมื่อระบบตรวจสอบ-ถ่วงดุลย์ ตามระบบมีปัญหา ฝ่ายที่ต่อต้านเลย "จุดชนวน" หรือ "เปิดสวิช" activate ให้กลไกส่วนอื่นๆ ออกมาทำการ "ควบคุม" หรือจริงๆคือ "ล้ม" เลย
(อันนี้ ยังไม่พูดถึงว่า เอาเข้าจริง การเมืองแบบทักษิณก่อน 2549 ไม่ได้แตะต้องหมวดกษัตริย์ในรัฐธรรมนูญ ไม่แตะต้อง 112 ไม่แตะต้องเรื่องทรัพย์สินฯ เป็นต้น ไม่ได้แตะต้องบรรดาระบบการอบรมเรื่องสถาบันฯ ฯลฯ)
ปัญหาใหญ่ในขณะนี้คือ กลุ่มการเมืองที่ต่อต้านรัฐประหารใหญ่ทีสุด คือ พรรคเพื่อไทย-เสื้อแดง ยังคงตั้งเป้าหมายอยู่ที่การแทนที่ระบอบ คสช ด้วย "การเมืองแบบทักษิณ ก่อน 2549" (เรื่องนี้มีรายละเอียดซับซ้อนลงไป ที่ไม่สามารถอภิปรายละเอียดในที่นี้ คือในหมู่ผู้สนับสนุน ทักษิณ-เพื่อไทย-เสื้อแดง นั้น มีส่วนที่เพียงต้องการกลับไปที่ "การเมืองแบบทักษิณ ก่อน 2549" ที่ไม่แตะเรื่องสถาบันฯ - ที่ผมเขียนในวงเล็บย่อหน้าก่อน - กับพวกทีเรียกว่า "เปลี่ยนระบอบ" คือต้องการให้จัดการเรื่องสถาบันฯด้วย #แต่ทั้งสองฝ่ายมีจุดร่วม #ตรงที่ยังไงก็ไม่ได้คิดอะไรหรือเสนออะไรที่ไกลเกินกว่าการเมืองแบบทักษิณ คือการเมืองที่พรรคการเมืองที่จะเป็นรัฐบาล คือพรรคทักษิณ ยังอยู่ในการควบคุมของทักษิณ-ครอบครัว ในลักษณะที่ผมเรียกว่า "บริษัทชินวัตรการเมืองจำกัด" อยู่ และในระดับกลไกรัฐส่วนกลาง ไม่มีการตรวจสอบ-ถ่วงดุลย์ที่มีประสิทธิภาพ)
ในความเห็นผม ที่เคยเข้าไปเถียงกับพวก "ใต้ดิน" หลายครั้งว่า ตราบใดที่พวกเขาและผู้สนับสนุนทักษิณ-เพื่อไทย ("เสื้อแดง") ในวงกว้างออกไป ยังมีเป้าหมายเพียงแค่กลับไปสู่การเมืองแบบทักษิณ (ก) โอกาสที่จะ "ชนะ" เป็นไปได้ยากมากๆ และ
(ข) สมมุติว่า เกิด "ชนะ" ขึ้นมาจริงๆ #ก็เป็นอะไรที่ไม่ดีต่อการเมืองแบบประชาธิปไตยที่แท้จริง
ปล. และถึงจุดนี้ ผมก็ยังมองไม่เห็นว่า ฝ่ายต้านระบอบ คสช ที่เรียกกันว่า "เสรีนิยม" หน่อย - คือไม่ใช่ฝ่ายที่เชียร์ทักษิณ-เพื่อไทยโดยตรง - ซึ่งเป็นกำลังรองมากๆในกำลังต่อต้าน คสช มีข้อเสนออะไรชัดเจนว่า ต้องการเอาอะไรมาแทนที่ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมากเหมือนกัน กลุ่มที่ว่านี้ ซึ่งมีนักวิชาการและแอ๊คติวิสต์ปัญญาชนหลายคน ควรจะสามารถ "ทำการบ้าน" หรือมีข้อเสนอเรื่องนี้ได้ดีกว่านี้
ผู้ที่เรียกกันว่า "ฝ่ายประชาธิปไตย" คงตอบทำนองว่า ก็แทนที่ด้วย "ประชาธิปไตย"
แต่ "ประชาธิปไตย" ในหมู่คนที่คัดค้านรัฐประหาร คัดค้านระบอบ คสช มีความแตกต่างกันไม่น้อย และจริงๆแล้วก็เป็นอะไรที่นามธรรมเกินไป ปัญหายังอยู่ที่ว่าในทางรูปธรรม "ประชาธิปไตย" ที่ต้องการให้มาแทนที่ มีลักษณะหรือความหมายอย่างไรบ้าง?
หลายคนคงตอบเพิ่มเติมว่า ก็ให้มีการเลือกตั้ง และรัฐบาลเลือกตั้งมีอำนาจนำ
แต่อันนี้ ก็มีปัญหาต่อว่า - ยังไง? เหมือนก่อน 2549 ใช่หรือไม่? พูดอีกอย่างคือ เหมือนสมัยยุคทักษิณ นันคือแทนที่ด้วยการเมืองแบบสมัยทักษิณ?
แต่การเมืองแบบก่อน 2549 หรือ "การเมืองแบบทักษิณ" (ผมจงใจหลีกเลี่ยงใช้คำว่า "ระบอบทักษิณ" แต่ขณะเดียวกัน ผมเห็นว่า การเมืองช่วงนั้น มีลักษณะพิเศษบางอย่างที่กำลังจะกล่าว ที่มีคาแร็กเตอร์สำคัญบางอย่างเกี่ยวกับทักษิณ-ไทยรักไทย จริง)
มีลักษณะบางอย่างที่ควรตั้งคำถามว่า สมควรกลับไปจริงหรือ?
"การเมืองแบบทักษิณ-ไทยรักไทย ก่อน 2549" (ที่แม้แต่ช่วงยิ่งลักษณ์หรือปัจจุบัน ก็ยังมีลักษณะดังกล่าวบางอย่างอยู่) เป็นการเมืองแบบที่ฝ่ายบริหารสามารถควบคุมกลไกต่างๆได้ในระดับที่การถ่วงดุลย์-ตรวจสอบ ไม่อาจมีประสิทธิภาพอะไร (ทีสำคัญคือคุมทั้งสภาล่าง-สภาสูง ... แม้แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็คุมทั้งสภาล่าง-สภาสูง) ผลคือ ในทีสุด เมื่อระบบตรวจสอบ-ถ่วงดุลย์ ตามระบบมีปัญหา ฝ่ายที่ต่อต้านเลย "จุดชนวน" หรือ "เปิดสวิช" activate ให้กลไกส่วนอื่นๆ ออกมาทำการ "ควบคุม" หรือจริงๆคือ "ล้ม" เลย
(อันนี้ ยังไม่พูดถึงว่า เอาเข้าจริง การเมืองแบบทักษิณก่อน 2549 ไม่ได้แตะต้องหมวดกษัตริย์ในรัฐธรรมนูญ ไม่แตะต้อง 112 ไม่แตะต้องเรื่องทรัพย์สินฯ เป็นต้น ไม่ได้แตะต้องบรรดาระบบการอบรมเรื่องสถาบันฯ ฯลฯ)
ปัญหาใหญ่ในขณะนี้คือ กลุ่มการเมืองที่ต่อต้านรัฐประหารใหญ่ทีสุด คือ พรรคเพื่อไทย-เสื้อแดง ยังคงตั้งเป้าหมายอยู่ที่การแทนที่ระบอบ คสช ด้วย "การเมืองแบบทักษิณ ก่อน 2549" (เรื่องนี้มีรายละเอียดซับซ้อนลงไป ที่ไม่สามารถอภิปรายละเอียดในที่นี้ คือในหมู่ผู้สนับสนุน ทักษิณ-เพื่อไทย-เสื้อแดง นั้น มีส่วนที่เพียงต้องการกลับไปที่ "การเมืองแบบทักษิณ ก่อน 2549" ที่ไม่แตะเรื่องสถาบันฯ - ที่ผมเขียนในวงเล็บย่อหน้าก่อน - กับพวกทีเรียกว่า "เปลี่ยนระบอบ" คือต้องการให้จัดการเรื่องสถาบันฯด้วย #แต่ทั้งสองฝ่ายมีจุดร่วม #ตรงที่ยังไงก็ไม่ได้คิดอะไรหรือเสนออะไรที่ไกลเกินกว่าการเมืองแบบทักษิณ คือการเมืองที่พรรคการเมืองที่จะเป็นรัฐบาล คือพรรคทักษิณ ยังอยู่ในการควบคุมของทักษิณ-ครอบครัว ในลักษณะที่ผมเรียกว่า "บริษัทชินวัตรการเมืองจำกัด" อยู่ และในระดับกลไกรัฐส่วนกลาง ไม่มีการตรวจสอบ-ถ่วงดุลย์ที่มีประสิทธิภาพ)
ในความเห็นผม ที่เคยเข้าไปเถียงกับพวก "ใต้ดิน" หลายครั้งว่า ตราบใดที่พวกเขาและผู้สนับสนุนทักษิณ-เพื่อไทย ("เสื้อแดง") ในวงกว้างออกไป ยังมีเป้าหมายเพียงแค่กลับไปสู่การเมืองแบบทักษิณ (ก) โอกาสที่จะ "ชนะ" เป็นไปได้ยากมากๆ และ
(ข) สมมุติว่า เกิด "ชนะ" ขึ้นมาจริงๆ #ก็เป็นอะไรที่ไม่ดีต่อการเมืองแบบประชาธิปไตยที่แท้จริง
ปล. และถึงจุดนี้ ผมก็ยังมองไม่เห็นว่า ฝ่ายต้านระบอบ คสช ที่เรียกกันว่า "เสรีนิยม" หน่อย - คือไม่ใช่ฝ่ายที่เชียร์ทักษิณ-เพื่อไทยโดยตรง - ซึ่งเป็นกำลังรองมากๆในกำลังต่อต้าน คสช มีข้อเสนออะไรชัดเจนว่า ต้องการเอาอะไรมาแทนที่ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมากเหมือนกัน กลุ่มที่ว่านี้ ซึ่งมีนักวิชาการและแอ๊คติวิสต์ปัญญาชนหลายคน ควรจะสามารถ "ทำการบ้าน" หรือมีข้อเสนอเรื่องนี้ได้ดีกว่านี้
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar