2020-06-30 21:15
ไม่ผิดคาดอีกเช่นกัน พล.อ.ประวิตร ประธานกรรมการสรรหาวุฒิสภา ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นการเข้ามาคุมพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการ ของพี่ใหญ่ คสช. ซึ่งเปรียบเสมือน 2 หัวหน้าพรรคใหญ่
แต่ช่างเถอะ ยุคนี้ไม่มีใครแยแสความชอบธรรม สนใจเรื่องทำมาหากินมากกว่า เช่นถ้าปรับ ครม.ใครจะมาเป็นทีมเศรษฐกิจชุดใหม่
เพราะกรรมการบริหาร พปชร. ประกาศชัดเจน ตั้งทีมเศรษฐกิจใหม่ นำโดยทั่น ศ.ดร. “บิ๊กอาย” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ความเชื่อมั่นคงพุ่งปรี๊ด ยิ่งกว่าไปทำหน้ามาใหม่ ส่งสัญญาณต้องการปรับ ครม.ไล่ทีมอุตตม
แม้ประยุทธยังกั๊ก บอกว่าต้องมีโควตากลาง แต่สี่กุมารคงรอดยาก แม้ทีมสมคิด–อุตตม ล้มเหลวมามาก แต่จะเอาใคร ถ้านักการเมืองได้นั่งคลัง นักลงทุนคงหัวร่อก๊าก ต่อให้หากูรูคนใหม่ แต่จะมีเทคโนแครตคนไหน อยากเอามือไปซุกหีบกับประยุทธ์ประวิตรในสถานการณ์อย่างนี้
เศรษฐกิจก็วิบัติ ยังต้องเข้าไปอยู่ในระบบโควตาพรรคการเมือง ไม่เล่นด้วยก็ถูกดดัน จูบปากการเมืองก็ชาวบ้านยี้ ถ้าเข้าไปในโควตาประวิตร ให้ดูตัวอย่าง แค่ปลูกป่ายังพาไลฟ์โค้ชไปตาย
รัฐบาลประยุทธ์จึงเหมือนนุ่งกางเกงตูดขาด หลังบ้านโหว่ พรรคการเมืองวุ่นวาย ต้องการปรับ ครม.ต่างตอบแทน ตั้งแต่พรรคแกนนำ พรรคแมลง ไปจนพรรคแมงหวี่ ที่เสนอชื่อ “เต้ พระรามเจ็ด” ความเชื่อถือของประชาชนต่อพรรคการเมืองตกต่ำสุด
ในขณะที่เบื้องหน้ากลับเสริมอำนาจ รัฐราชการเข้มแข็งควบคุมจับกุมปราบปราม ฉวยความกลัวโควิดมาปั่น ให้ประชาชนอยู่ใต้คำสั่งรัฐเวชกรรมอำนาจนิยม โดยอ้าง New Normal ควบคุมวิถีชีวิต ความมีอิสระเสรี มาตรการหลายเรื่องคนส่วนใหญ่เห็นว่าไร้สาระ แต่ก็จะมีสื่อหรือประชาชนที่อยากเป็น “เด็กดี” ไล่จี้ขี้ฟ้องจ้องจับผิดช่วยราชการ
เช่น ร้านสะดวกซื้อวันนี้ แทบไม่มีใครจดชื่อแล้ว เพราะตัวเลขเป็นศูนย์เกิน 28 วัน แต่ก็จะมีคนหยิบมือเอาไปตำหนิออกสื่อ การ์ดตก ๆ จะพากันตายหมด
อำนาจฉุกเฉินเสริมรัฐเป็นใหญ่ ผนึกทหารตำรวจฝ่ายปกครองสาธารณสุข พลเมืองอาสา ควบคุมประชาชน ทั้งทางการเมืองและการใช้ชีวิตโดยอ้างสุขภาพ ในระบบบริหารก็ฟื้นระบอบพ่อเมือง สดุดีผู้ว่าฯ แทนที่จะมุ่งสู่เลือกตั้งท้องถิ่น ใช้อำนาจจัดระเบียบสังคม ทั้งที่ไม่เกี่ยวโควิด เช่น ไล่จับเด็กแว้น รถซิ่ง เล่นการพนัน แล้วแถมข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งดูเหมือนจะทำให้คนพอใจกับการใช้ยาแรง
ในภาพกว้างคือรัฐประยุทธ์ ปีกที่เป็นรัฐราชการ ภาคจับกุมควบคุมปราบปราม ทหารตำรวจ เข้มแข็งขึ้น ฟื้นความนิยมให้ประยุทธ์ แต่รัฐราชการภาคเศรษฐกิจ ย่ำเท้าหรือถอยหลัง ไม่มีหัวคิดสร้างสรรค์ ปรับตัวไม่ทัน ซ้ำมาตรการควบคุมขัดขวางการกลับสู่ภาวะปกติ เช่นเปิดโรงเรียนก็ต้องสลับกันอยู่บ้าน เรียนออนไลน์ เพิ่มภาระใช้จ่าย เปิดผับบาร์ก็ให้ไปนั่งพับเพียบ ได้ผลทางศีลธรรม
ส่วนปีกการเมือง มีแต่ลงเหวไปเรื่อย ๆ ยิ่งมายิ่งเสื่อม โดยประยุทธ์ปัดความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะไม่ว่า พปชร.จะใส่หน้ากากอุตตม หรือหน้ากากป้อม ก็คือพรรคที่ตั้งมาเพื่อสืบทอดอำนาจ อย่าลอยตัวเป็นคนดีคนซื่อไม่เกี่ยวนักการเมือง
สถานะขัดกันอย่างน่าขันเช่นนี้ จะเอาอะไรมารับมือวิบัติเศรษฐกิจ “การระบาดรอบสอง” ของจริงที่ไม่ใช่ไวรัส ซึ่งจะระบาดเป็นโดมิโนในไตรมาส 3-4 ยาวถึงปีหน้า
ที่มา: ข่าวหุ้นธุรกิจ https://www.kaohoon.com/content/372561
ใบตองแห้ง: กฎหมายมีไว้ให้ตู่
2020-06-28 16:06
กฎหมายคืออะไร กฎหมายมีไว้เพื่อใคร
กฎหมายบังคับใช้โดยเจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจมีอำนาจตั้งข้อหาหนักเบา อัยการมีดุลพินิจสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ส่งศาลวินิจฉัย ผิดไม่ผิด ลงโทษหนักหรือเบา ลดโทษให้เพราะจำเลยมีเกียรติประวัติ เคยทำคุณงามความดีมาก่อน หรือเพิ่มโทษหนัก เพราะจำเลยมีเกียรติประวัติ ควรสำนึกผิดชอบชั่วดี ดันทำผิดเสียนี่
พูดอีกที กฎหมายคือการที่ตำรวจเดินรอบรถมอเตอร์ไซค์ แล้วเจอที่ผิดจนได้ โดยประชาชนเถียงไม่ได้ เพราะมันเป็นกฎหมายไง
กฎหมายก็คือใครต่อใครแปะป้ายรุงรังไปหมดในที่สาธารณะ แต่พอ สนนท.ไปผูกโบทวงความยุติธรรมให้วันเฉลิม กลับผิด พ.ร.บ.รักษาความสะอาด
พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีไว้รักษาระยะห่าง อ้างความปรารถนาดีกลัวติดโควิด แต่งัดมาใช้กับนักกิจกรรมตามหาคนหาย ข่มขู่การเคลื่อนไหว 24 มิถุนา 2475 ทั้งที่ความเป็นจริงคนขึ้นรถเมล์รถไฟฟ้าซื้อของในห้าง แออัดกว่าถมไป
กฎหมายจึงไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรเลย เพราะขึ้นกับใครมีอำนาจใช้ แล้วอำนาจนั้นประชาชนควบคุมได้หรือไม่ ไม่ต้องดูอื่นไกล กฎหมายอเมริกาเน้นสิทธิเสรีเสมอภาค ตำรวจยังเลือกปฏิบัติกับคนดำ เพียงแต่อเมริกา เมื่อสั่งสมความอยุติธรรมถึงจุด สามารถระเบิดออกมาเป็นม็อบ
ตรงข้ามกับประเทศนี้ ม็อบไม่ได้ “ชนชั้นใดร่างกฎหมาย” พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ ให้ขออนุญาตตำรวจก่อนวิ่งไล่ลุง แล้วตำรวจที่ไหนจะอนุญาตในเมื่อตำรวจอยู่ใต้ลุง
กฎหมายวันนี้จึงล็อก 2 ชั้น ตั้งแต่การยึดอำนาจมาออกคำสั่งเป็นกฎหมาย ตั้ง สนช.มาปั๊มตราเห็นชอบกฎหมาย ตั้ง กรธ.มาเขียนกติกาสูงสุด เอื้อให้ตัวเองสืบทอดอำนาจ พร้อมกับตั้งองค์กรตรวจสอบอำนาจที่มาจากพวกเดียวกัน
ทั้งออกกฎหมายเอง ทั้งมีอำนาจใช้กฎหมายแบบตู่ๆ แต่ยังอำพรางว่าประเทศนี้ปกครองด้วยกฎหมาย กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนต้องเคารพ
กฎหมายสามารถใช้ให้เกิด 2 มาตรฐานตั้งแต่ต้น เช่น ทำไม นปช.ม็อบหน้าบ้านพลเอกเปรม ติดคุก 2 ปี 8 เดือน ทำไม พธม.ยึดทำเนียบฯ ติดคุก 8 เดือน
ไม่พูดถึงคำพิพากษา ดูแค่การตั้งข้อหา ม็อบปิดถนนสี่เสาเทเวศร์ โดนส่งฟ้องฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ม็อบยึดทำเนียบ 193 วัน โดนข้อหาบุกรุก ทำให้สนามหญ้าไม้ประดับตาย สปริงเกลอร์ไฟสนามเสียหาย
ยกพวกเป็นหมื่นยึดทำเนียบรัฐบาล จงใจทำให้เกิดความวุ่นวาย ทำให้รัฐบาลบริหารประเทศไม่ได้ ตั้งข้อหาแค่เนี้ย ลองยกพวกบุกคฤหาสน์เศรษฐีสิ ยังโดนหนักกว่าเยอะเลย
หรือคดีธเนตร อนันตวงษ์ ศาลให้ความยุติธรรม แต่ติดคุกฟรี 1,396 วัน ใครรับผิดชอบการตั้งข้อหาร้ายแรง แค่โพสต์เฟซบุ๊กและขึ้นรถไฟไปราชภักดิ์ โดนทหารบุกจับถึงโรงพยาบาล จะย้อนเอาผิดใครก็ไม่ได้ เพราะทหารทำตามหน้าที่ รัฐธรรมนูญนิรโทษให้แล้ว
เรื่องแบบนี้ไม่ได้มีแค่ทางการเมือง คดีอาญาเยอะไปที่ศาลยกฟ้อง เพราะหลักฐานอ่อน แต่ตำรวจไม่ต้องรับผิด ทั้งที่จำเลยถูกขังฟรีหรือต้องวิ่งหาหลักทรัพย์ประกัน เสียค่าจ้างทนาย ถ้าฟ้องกลับ ก็มักจะลงท้ายว่า เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่มีเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน
เรื่องแบบนี้มีมากขึ้นๆ ในยุคอำนาจนิยม เจ้าหน้าที่รัฐเป็นใหญ่ ใช้อำนาจโดยไม่ต้องรับผิด ยึดทรัพย์บังคับคดี หนี้หมื่นกว่าบาท ยึดบ้านหลายล้านขายสามหมื่น ไม่ต้องคำนึงถึงความสมเหตุสมผล อ้างได้ว่าทำถูกกฎหมาย
ยิ่งใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินยิ่งซ้ำร้าย เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจเกินเหตุก็ไม่ต้องกลัวถูกฟ้องกลับ บางจังหวัดออกคำสั่งไร้เหตุผล ไม่ยอมให้ประชาชนของตัวเองกลับพื้นที่ ผลักภาระให้ตรวจโควิดก่อน ก็ฟ้องศาลปกครองไม่ได้
นับวันกฎหมายจึงยิ่งเป็นภัยกับประชาชน เพียงแต่เวลาใช้อำนาจก็รู้จักอำพรางตน เช่น ในเครื่องแบบท่าทีสุภาพ นอกเครื่องแบบไปขู่ถึงบ้าน หรือจะพาตัวไปเงียบๆ โดยอ้าง “นายขอพบ”
ในสังคมวงกว้าง กฎหมายก็เอาใจดราม่า คดีชาวบ้านออกสื่อ กระแสเฮโลสาระพาไปทางไหน กฎหมายก็ขึงขังเฉียบขาดไปทางนั้น เพื่ออำพรางความอยุติธรรมของระบบ
เราอยู่ในยุคกฎหมายวิบัติ เป็นเครื่องมือให้ผู้มีอำนาจใช้ “ตู่” ตั้งแต่กฎหมายสูงสุด ลงมาถึงกฎหมายชาวบ้าน รัฐและเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจเกินกว่าเหตุได้ เลือกใช้ได้ โดยไม่ต้องรับผิด
รัฐบาลไม่ต้องรับผิด ไม่ว่าทำอะไรผิดกติกา เพราะอำนาจตรวจสอบเป็นเครือข่ายเดียวกัน เจ้าหน้าที่ก็ไม่ต้องรับผิด เพราะรัฐราชการเป็นใหญ่ สั่งอะไรต้องเชื่อฟัง
ภายใต้ “กฎหมาย” อย่างนี้ สิทธิเสรีภาพและความยุติธรรมสำหรับประชาชน จะน้อยลงทุกวัน ไม่ใช่แค่ทางการเมืองเท่านั้น แต่รวมถึงวิถีชีวิต ใต้คำสั่ง ใต้การควบคุม New Normal อย่างไม่มีทางหวนกลับ
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/hot-topics/news_4391139