måndag 25 januari 2021

ใบตองแห้ง: 112 ก้องโลก


2021-01-24 21:41

สื่อต่างชาติประโคมข่าว “อัญชัญ” อดีตข้าราชการสรรพากรวัย 64 ถูกตัดสินจำคุก 87 ปี จากความผิด 112 รวมทั้งสิ้น 29 กรรม ศาลลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือ 29 ปี 174 เดือน

สื่อฝรั่งตกตะลึงพรึงเพริด เพราะไม่เคยเห็นความผิดหมิ่นประมาทมีโทษหนักขนาดนี้ แม้เป็นความผิดต่อองค์ประมุข ที่รัฐไทยอ้างว่าประเทศไหนๆ ก็มี แต่อังกฤษญี่ปุ่นเลิกใช้ไปนานแล้ว ประเทศที่ยังมีใช้อยู่เช่นซาอุฯ บรูไน ที่ปกครองด้วยราชาธิปไตย ก็ไม่ได้ใช้จนเป็นแชมป์อย่างประเทศไทย

ซึ่งชาชินเสียจนสื่อไทยไม่สนใจ ประเด็นใหญ่ที่สุดในโลกต้องปกป้องเสรีภาพสื่อถูกลุงพลทำร้าย

น่าเสียดายไม่มีใครอธิบายให้ฝรั่งฟังว่า คดีนี้อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ศาล ซึ่งลงโทษต่ำที่สุดแล้ว เพราะมาตรา 112 กำหนดโทษ 3-15 ปี แปลว่า 3 ปีคือโทษขั้นต่ำ ศาลตัดสินจำคุกน้อยกว่านี้ไม่ได้ 3 ปี 29 กรรมเป็น 87 ปี ศาลยังปรานีลดให้เหลือ 43 ปีครึ่ง ซึ่งลดได้มากที่สุดแค่นั้น

คดีนี้ยังมีปัญหาความลักลั่น ผิดเพี้ยน ของการบังคับใช้กฎหมาย “อัญชัญ ถูกฟ้อง 39 กรรม จากการช่วยเผยแพร่คลิป “บรรพต” นักจัดรายการวิทยุใต้ดิน เจ้าทฤษฎี Conspiracy ที่เชื่อว่าทักษิณจะได้กลับบ้านด้วยวิธีพิเศษ ได้รับความนิยมจาก FC สูงวัย เพราะพูดเรื่องสุขภาพ สมุนไพรต้านมะเร็ง ไข่ดอง น้ำส้มสายชูหมัก ฯลฯ พร้อมกับขายสินค้า

อัญชัญถูกทหารบุกจับเป็นคนแรกเมื่อปี 58 แล้วกลุ่มแฟนคลับที่เชื่อมโยงในการขายสินค้าหาทุนให้บรรพต รวมทั้งตัวบรรพตและภรรยา 16 คน ก็ถูกจับในเวลาต่อมา ทุกคนรับสารภาพ ถูกศาลทหารตัดสินจำคุก 10 ปี ลดเหลือ 5 ปี แต่หลังจากถูกขังอยู่ 1 ปี 10 เดือน 19 วัน บรรพตก็ได้ปล่อยตัว

คงเหลือแต่อัญชัญ ซึ่งเป็นคนเดียวที่ถูกฟ้อง 29 กรรม ฐานช่วยแพร่คลิป 29 ครั้ง จึงสู้คดี ถูกขังอยู่ 3 ปี 9 เดือน 9 วัน จนวันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 ได้ประกัน แล้วหลังหมด ม.44 คดีก็โอนมาศาลพลเรือน

สถานการณ์ช่วงนั้นเริ่มมี “ความหวัง” กับ 112 หลายคดียกฟ้อง ศาลลงโทษความผิดอื่นที่เบากว่า ผู้ต้องขังบางคนก็ได้อภัย อัญชัญจึงตัดสินใจรับสารภาพ โดยคิดไม่ถึงว่าเท่ากับรับผิด

อัญชัญคร่ำครวญว่า ทำไมคนพูดเป็นพันคลิปถูกฟ้องกรรมเดียว คนเผยแพร่ถูกฟ้อง 29 กรรม มาตรฐานการบังคับใช้กฎหมายอยู่ตรงไหน

ถ้าไปถาม "สลิ่ม" คงตอบได้ง่ายมาก งั้นไปจับบรรพตมาฟ้องใหม่ 1,000 กรรม ติดคุกขั้นต่ำ 3,000 ปี ถือว่ายุติธรรม

ทั้งที่นั่นคือภาพสะท้อนปัญหาบังคับใช้ 112 เพราะไล่ดูย้อนหลัง หน่วยงานที่ส่งฟ้องเป็นคนละหน่วยกัน ในช่วงหนึ่งอัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งให้รวบคดีมาสั่งฟ้องผู้เดียว ป้องกันการใช้ 112 กลั่นแกล้งกัน หรือการสั่งคดีโดยไม่มีมาตรฐาน มองการเอาผิดเป็นผลงานแสดงความจงรักภักดี

112 โดยตัวมันเองจึงมีปัญหาทั้งตัวบทกฎหมายและการบังคับใช้ เริ่มจากการไม่ยกเว้นความผิดแม้แสดงความเห็นโดยสุจริตหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ นำไปสู่การตีความเอาผิดได้อย่างกว้างขวาง บางคดีเกินตัวบทกฎหมายกันเห็นๆ เช่นโดน 112 ฐานหมิ่นประธานองคมนตรี

การเพิ่มโทษสูงลิ่ว ที่ตั้งแต่หลัง 6 ตุลา 2519 มีโทษจำคุก 3-15 ปี (สูงกว่าสมัยรัชกาลที่ 5 จำคุกไม่เกิน 7 ปี) ก็ส่งผลต่อความยุติธรรม เช่นตั้งแต่ถูกจับก็ไม่ได้ประกันเพราะอ้างว่าโทษสูงเกรงจะหลบหนี ซึ่งมีผลบีบคั้นให้จำใจรับสารภาพ เพราะหากสู้คดีกว่าจะถึงฎีกาก็ติดคุกยาวอยู่ดี รีบๆ สารภาพดีกว่าจะได้ลดโทษ และยังมีหวังได้ปล่อยตัว

ยกตัวอย่าง "รุ่งศิลา" ศาลตัดสินจำคุก 6 ปี ให้การเป็นประโยชน์ลดเหลือ 4 ปี 6 เดือน แต่สู้คดีในเรือนจำมาแล้ว 4 ปี 11 เดือน 18 วัน ถ้ารับสารภาพตั้งแต่แรก ก็อาจลดโทษเหลือ 3 ปี ติดคุกจริงอาจไม่ถึง 2 ปีประพฤติดีได้ปล่อยตัว

112 จึงเป็นอันตรายต่อทุกฝ่ายในการนำกลับมาใช้ ทั้งที่ประยุทธ์เคยพูดไว้อีกอย่าง แม้ฝ่ายอนุรักษนิยมอาจมองว่าสถานการณ์เปลี่ยนไป เพราะคนรุ่นใหม่เป็นภัยคุกคาม บังอาจท้าทายกันโต้งๆ จำเป็นต้องใช้เพื่อสยบ โดยลดวิธีการบังคับใช้ เช่นออกหมายเรียกแล้วปล่อยตัว และยังให้ประกัน โดยหวังว่าจะจำกัดการท้าทายลงได้

แต่ก็ไม่ประเมินอีกนั่นแหละว่า สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปคือคนรุ่นใหม่ทะลุเพดานความกลัวแล้ว และใช้การท้าทายเป็นอาวุธ รณรงค์ยกเลิก 112 ยิ่งโดนมากยิ่งมีเพื่อน โดนกันเป็นร้อยๆ คน (ล่าสุด ได้ธนาธรไปเป็นเพื่อนอีกคน) ยิ่งโดนหนักยิ่งไม่มีผล เช่น เพนกวิน รุ้ง โดนคนละสิบกว่าคดี ยังไงๆ ก็คุกห้าสิบหกสิบปี ฉะนั้นเอาอีกๆ ยิ่งไม่เกรงใจ

รัฐไทยอาจไม่แยแสโลก ปิดประเทศก็ได้ แต่นึกภาพดูถ้า 112 ขยาย โดนกันเยอะไปหมด ท้าทายเต็มไปหมด จะหาจุดลงเอยอย่างไร

ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/hot-topics/news_5788750

 
2021-01-24 21:56

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ตั้งคำถามการจัดซื้อวัคซีนแอสตราเซเนกา ผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ (SBS) ประยุทธ์เดือดแค้นประกาศเอาผิด แล้วพุทธิพงษ์ กปปส. ก็ตอบสนองทันใจ ส่งคนไปแจ้ง ปอท.ทั้ง พ.ร.บ.คอมพ์ และ 112 โทษร้ายแรง

ได้ผลไหม ได้สิ สื่อต่างชาติเพิ่งประโคมข่าวคุก “อัญชัญ” 87 ปี ก็ตีข่าว 112 อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ต่อเนื่องกันไป ในประเทศก็เปลี่ยนประเด็น แทนที่จะถกเถียงกันว่าเรื่องที่ธนาธรพูดกับที่รัฐบาลชี้แจง ใครมีน้ำหนักกว่า ก็กลายเป็นถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เรื่องนี้พูดไม่ได้ ตรวจสอบไม่ได้?

ว่าที่จริง ถ้าแหวกคำพูดเฟ้อๆ ของฝ่ายรัฐ เอาเนื้อหาสาระมาจัดลำดับใหม่ ก็พอเข้าใจได้ ถึงที่มาที่ไป เจตจำนง ในการสนับสนุนให้ SBS ได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี

ผอ.สถาบันวัคซีนชี้แจงว่า รัฐบาลไม่ได้เป็นผู้เลือก SBS แอสตราเซเนกาเลือกเอง ผ่านความสัมพันธ์ระหว่าง SCG กับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดกว่าสิบปี แต่การที่ SBS จะได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี เป็นผู้ผลิตวัคซีนปีละ 200 ล้านโดสจำหน่ายในภูมิภาคนี้ ก็ต้องทำงานร่วมกันเป็น “ทีมไทยแลนด์” โดยรัฐต้องสนับสนุน 2 ข้อคือ ซื้อวัคซีนแอสตราฯ 26 ล้านโดส และสนับสนุนงบ 595 ล้านพัฒนาศักยภาพ SBS (SCG ให้อีก 100 ล้าน) โดย 595 ล้านนี้จะได้คืนเป็นวัคซีน

พอเข้าใจได้ในมุมมองของรัฐว่า ถ้าบริษัทไทยจะได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี เป็นผู้ผลิตวัคซีนในอาเซียน ก็ถือเป็นความอุ่นใจ เป็นความมั่นคงทางสาธารณสุข ควรสนับสนุน ไหนๆ เราก็ต้องซื้อวัคซีนอยู่แล้ว

แต่ปัญหาของรัฐบาลคือ ไม่ได้ชี้แจงอย่างนี้เสียตั้งแต่ต้น ตั้งแต่การแถลงข่าวในเดือน พ.ย. รัฐพูดแต่ด้านชื่นชม ไม่ตระหนักว่าในมุมมองของคนจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เมื่อใช้เงินภาษีไปทำสัญญากับบริษัทเอกชน ก็จะต้องชี้แจงให้โปร่งใสถึงที่มาที่ไป ไม่มีสิทธิพิเศษ

รัฐบาลไม่ได้เลือก เขามี connection กันเอง ไม่เกี่ยวขาดทุนกำไร รัฐบาลขอเปลี่ยนเป็นโรงงานองค์การเภสัชไม่ได้ รัฐบาลก็เลยสนับสนุนเพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์กับประเทศในระยะยาว ฯลฯ ไม่ยักพูดอย่างนี้ แม้แต่กรณีเงินสนับสนุน 595 ล้านจะได้คืนเป็นวัคซีน ประชาชนก็เพิ่งรู้หลังจาก “ไอ้ทอน” ทวงถาม (ทั้งที่มีมติ ครม.ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563)

ที่น่าขำคือพอโดนทักเรื่องล่าช้า วัคซีนแอสตราฯ ก็เหาะมาจากอิตาลีในทันใด 50,000 โดส ผ่าน อย.อย่างฉับไว

นี่ยังไม่รู้เลยว่าอีก 35 ล้านโดสจะมาจากไหน ทั้งที่เมื่อเราสนับสนุนให้ SBS ผลิตในประเทศ ก็ควรรอที่ SBS ผลิตสิ ไปเอาของที่อื่นมาตัดหน้าของไทยได้อย่างไร

รัฐคงไม่คิดใช่ไหมล่ะว่าโควิดจะระบาดรอบใหม่ คิดว่ารอได้ถึงเดือนมิถุนายน พอระบาดก็ตื่นตูมสั่งวัคซีนซิโนแวค 2 ล้านโดส แอสตราฯ 35 ล้านโดส

นี่เป็นปัญหาบริหารจัดการ ผสมโรงกับการไม่ทำให้เคลียร์เสียแต่ต้น ดังนั้นจะโทษใคร ตอนนี้ยิ่งลามไปใหญ่ เรียกร้องให้เปิดเผยเอกสาร รัฐมนตรีก็บอกให้ไปหาในเว็บไซต์ ทำให้เรื่องที่ควรจะเปิดได้กลายเป็นถูกปิด

อย่าลืมว่าโควิดรอบใหม่ทำให้เครดิตรัฐบาลติดลบลงไปไม่มีขีดจำกัด จากที่ลบอยู่แล้ว ทั้งปัญหาบ่อนพนัน แรงงานข้ามชาติ บริหารจัดการสับสน ชาวบ้านก่นด่ารัฐราชการ จ่ายเงินเยียวยาก็กลายเป็น “สมาร์ตโฟนชนะ” คนยากคนจนต้องเอา 3,500 ไปซื้อสมาร์ตโฟนก่อน

พลังคนรุ่นใหม่ที่เรียกร้องปฏิรูปสุดเพดานก็ไม่ได้หายไปไหน แค่เรียกร้องจนสุดแล้วรอเงื่อนไขจุดม็อบครั้งใหม่ ใช้เวลานี้จัดขบวน ทำงานมวลชนสัมพันธ์ พร้อมทั้งจรยุทธ์ทำสงครามป้าย “ยกเลิก 112” พอตำรวจขี่ช้างใช้กำลังหลายร้อยไล่จับ ก็ถูกเย้ยหยัน เกียรติตำรวจของไทย บ่อนอยู่ตรงไหนรู้หรือยัง

อ.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ชี้ว่าการดำเนินคดีธนาธรเป็นความผิดพลาดสำคัญอีกครั้ง หลังจากไม่ยอมให้เข้าสภา ยุบพรรคอนาคตใหม่ ทำให้เกิดแฟลชม็อบทุกมหาวิทยาลัย ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ม็อบคนรุ่นใหม่ยกระดับขึ้นไล่ประยุทธ์ เรียกร้องปฏิรูปสถาบัน ธนาธรที่ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลัง ความจริงก็มัวแต่ไปยุ่งกับเลือกตั้งท้องถิ่น

วันนี้ธนาธรกลับมายืนแถวหน้าแล้ว เพราะโดน 112 เช่นเดียวกับเพนกวิน, รุ้ง, อานนท์ นำภา และคนรุ่นใหม่รวม 55 คน แม้จะมาในอีกแนวรบหนึ่ง แยกกันเดิน พูดได้ว่าการแจ้งจับธนาธร เท่ากับเตรียมความพร้อมให้การเมืองหลังโควิด ยิ่งร้อนระอุไปใหญ่

สลิ่มปรามาสว่า คณะก้าวหน้าแพ้เลือกตั้ง ทั้งที่ได้ 2.67 ล้านใน 42 จังหวัด การเมืองปัจจุบันเห็นชัดว่า อุดมการณ์อนุรักษนิยมเหลือมวลชนน้อยนิด ผู้ชนะเลือกตั้งตัวจริงคือระบบอุปถัมภ์ “บ้านใหญ่” ขณะที่การเมืองใหม่ อุดมการณ์ปฏิรูป กำลังขยายอย่างเข้มแข็ง

ผู้มีอำนาจไม่ตระหนักว่า กระแสการเมืองกำลังเปลี่ยนจากเอาประยุทธ์-ไม่เอาประยุทธ์ ไปสู่เอาปฏิรูป-ไม่ปฏิรูป แล้วยังลากธนาธรมายืนแถวหน้า ไม่รู้ว่าตัวเองขาดทุน ยังคิดว่าได้กำไร 

ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/hot-topics/news_5795940

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar