fredag 30 november 2018

ชนะใสๆ ใจต้องพร้อม

รายการสหพันธรัฐไท กับคุณธิดาแอลเอ ตอน : ชนะใสๆ ใจต้องพร้อม


รายการสหพันธรัฐไท กับคุณธิดาแอลเอ
ตอน : ชนะใสๆ ใจต้องพร้อม
วันเสาร์ ที่ 24 พฤศจิกายน 2561 เวลา 20.00 น. ประเทศไทย
https://youtu.be/OWo-lsUU4aE
(ยูทูบปลอดภัย กดไลค์/กดแชร์ ทุกคลิ้ปเพื่อสกัดเผด็จการทุกรูปแบบ)...
ดูเพิ่มเติม

torsdag 29 november 2018

อัพเดท.. ราชสำนักไทย เป็นแหล่งรวมความไม่โปร่งใส "ชั้นเทพ"

ราชสำนักไทย เป็นแหล่งรวมความไม่โปร่งใส "ชั้นเทพ" https://goo.gl/1oeSvM  

ราชสำนักไทย เป็นแหล่งรวมความไม่โปร่งใส "ชั้นเทพ" เลย ทั้งๆที่อยู่ได้จากเงินของสาธารณะ แถมยังควบคุมทรัพย์สินที่ควรเป็นของสาธารณะมูลค่ามหาศาลอีก (และเช่นเดียวกับทุกองค์กรหรือหน่วยงานที่ไม่โปร่งใสไม่มีการตรวจสอบ โอกาสที่จะเต็มไปด้วยการ "ใช้จ่ายเงินผิดประเภท" "คอร์รัปชัน" เล่นพรรคเล่นพวก ก็สูง - กองทัพเป็นอีกหน่วยงานสำคัญหนึ่งที่มีลักษณะแบบนี้)

เรื่องนี้ชนชั้นกลางในเมือง รวมไปถึงคนในวงการสื่อมวลชน (คนอย่างประเภทคุณ "เสริมสุข" ที่ผมพูดถึงในกระทู้ก่อน หรือพวกนักเขียน "ผู้จัดการ" ทั้งคณะเลย) รู้ไหม? รู้แน่นอน ถ้าพวกเขาตั้งสติ และมีความกล้าหาญที่จะคิดและยอมรับนะ

แต่ปัญหาคือ ในหลายปีทีผ่านมา พวกนี้หลงไปกับลัทธิ "รักในหลวง" และที่สำคัญ ก็ "เกลียดนักการเมือง" (ทักษิณ) อย่างไม่ลืมหูลืมตา จนไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับเรื่องนี้อีก

เป็นพักๆ ก็มีกรณี "เตือนใจ" เรื่องนี้ขึ้นมา อย่างปีกลายเรื่องการกวาดล้าง "อัครพงศ์ปรีชา" และการจ่าย "ค่าทำขวัญ" ๒๐๐ ล้านบาท (ใครที่ชอบยืนยันก่อนหน้านั้นว่า ทรัพย์สินฯ ไม่ใช่ของในหลวงๆๆ เป็นของแผ่นดิน บลาๆๆ ตอนนี้ยัง "หน้าแตก" เย็บไม่สนิทนะครับ งานนั้น ในหลวงเซ็นแกร็กเดียว จ่ายเลย ๒๐๐ ล้าน สำหรับทำขวัญเรื่องลูกชายหย่าลูกสะใภ้ เรียกว่าส่วนตั๊ว ส่วนตัว ไม่รู้จะส่วนตัวยังไงแล้ว - นึกภาพถ้าทักษิณหย่าพจมาน หรือ "เอม" หย่า "พงศ์" แล้วให้กระทรวงการคลังจ่ายค่า "ทำขวัญ" อะไรประมาณนั้นแหละ)

และล่าสุดก็กรณีหมอหยอง (หรือกว้างไปกว่านั้น กรณีเรื่องไล่ที่ของสำนักงานทรัพย์สินฯ เป็นต้น)
แล้วทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนี้ มีไหมที่จะออกมาโวยวายว่า "ไม่โปร่งใสๆๆ" "ลิดรอนเสรีภาพสื่อ" (ในการทำข่าว เสนอข่าว) ฯลฯ

ผมนี่เชียร์เลย การตรวจสอบ เอาผิดนักการเมืองคอร์รัปชั่น ฯลฯ ปัญหาคือ หลายปีที่ผ่านมา มัน "ดัดจริต" "สองมาตรฐาน" ชนิดที่ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว คือไอ้ที่ "คอร์รัป" ตั้งแต่ระดับกฎหมายและระเบียบการปฏิบัติ "ปกติ" เลย - กฎหมายทรัพย์สินพระมหากษัตริย์, งบประมาณเรื่องเจ้า ไปจนถึงอีกสารพัดเรื่อง เช่น การถวายเงิน ฯลฯ - คือต่อให้ไม่มีการ "กินเงิน-หักหัวคิว-ส่งส่วย" (ซึ่งมีแน่) เลยนะ ที่ทำกันปกติ ก็ต้องเรียกว่าเป็นการปฏิบัติและกฎหมายกฎระเบียบที่คอร์รัปแน่ๆ (มีหรือที่เราอนุญาตให้วงการที่เกี่ยวข้องกับรัฐที่ไหน ใช้จ่ายเงิน รับเงิน ควบคุมเงิน ได้ตามใจชอบแบบกรณีราชสำนัก?)

ผมพูดหลายครั้งแล้วว่า การตะโกนร้องแรกแหกกระเชอเรื่อง "คอร์รัปชั่นๆๆ" ของคนรักเจ้า ชนชั้นกลางในเมืองน่ะ มัน ไร้สาระโคตรๆๆ คือ แม้แต่ซีเรียสก็ไม่ซีเรียสเลย ไม่มีที่ไหนในโลกที่ผมเคยเห็นนะ ที่จะตะโกนโวยวายเรื่อง "คอร์รัปชั่นๆๆ" แต่เงียบกริบ และปล่อยให้การปฏิบัติและระเบียบที่คอร์รัป สุดๆ ("ชั้นเทพ") ปรากฏต่อหน้าต่อตาทุกเมื่อเชื่อวันเป็นสิบๆปีแบบนี้ - มัน "ไร้สาระ" และ "กระจอก" ชิบเลย

ตอนรักกัน (หรือรักคนไหน - เปลี่ยนมาหลายคน) ก็ใช้จ่ายเงินสาธารณะในการหาความสุขกัน และให้สาธารณชนมากราบไหว้คนที่ตัวเองรัก (ในขณะนั้นๆ) พอเลิกกัน เฉดหัวออกไป ก็เอาเงินสาธารณะไปทำขวัญกัน (แล้วยังระหว่างที่ไม่ได้เลิกทางการ ที่บินไปยุโรปกับกิ๊กนานๆ นี่เงินใครอีก?) .. ระบอบเจ้าของไทยยอดเยี่ยมแบบนี้แหละครับทั่น - ถ้าใครคิดจะตั้งคำถามความไม่ชอบมาพากลเรืองแบบนี้ "112 ไหมล่ะมึง"
เห็นข่าวหมอหยองเสียชีวิตด้วยความสลดใจ
อีกหนึ่ง "ข่าวลือ" ที่มาก่อน แล้วกลายเป็นข่าวจริง
การกวาดล้างในวังครั้งนี้กินชีวิตคนในแวดวงวังเองเป็นว่าเล่น
.........
ไม่อยากจะเปรียบเทียบ (ความจริงผมคิดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่วันแรกๆของการจับหมอหยองแล้ว แต่ไม่ได้เขียนไป) อดรู้สึกไม่ได้ว่า มันเหมือนตอนเปลี่ยนรัชกาลที่ 8 มารัชกาลที่ 9 ที่เริ่มต้นด้วยการเอาชีวิตมหาดเล็กในวัง 2 คน (และคุณเฉลียว) - แน่นอน ชีวิตรัชกาลที่ 8 เองด้วย
นี่ยังไม่ทัน "เปลี่ยนรัชกาล" จริงๆเลย กวาดล้าง 2 ครั้งในเวลาไม่ครบปี และที่พอจะรู้แน่ๆคือ 4 ศพแล้ว (ครั้งก่อน "โดดตึกตาย" 1 คน ครั้งนี้ตายแล้ว 3 คน) ไม่นับที่อยู่ในคุกอีกหลายคน (รวมทั้งอดีตพ่อตาแม่ยายว่าที่กษัตริย์องค์ใหม่ด้วย)
กว่าจะเเปลี่ยนจริงๆ จะอีกกี่ศพ?

(หมายเหตุ-กระทู้อ่านประกอบ)

***คนใกล้ชิดพระบรมฯ คอร์รัป แต่เรื่องนี้แบบนี้ก็เป็นกันมานานแล้วครับ-ดูกรณีสฤษดิ์กับในหลวงสิครับhttps://goo.gl/tGXD58


อัพเดท "Monarchy without a monarch"


 "Monarchy without a monarch"

"มิตรสหายนักวิชาการด้านกฎหมายท่านหนึ่ง" เขียนว่า
เมื่อรัฐธรรมนูญใหม่ถูกประกาศใช้ มีการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญจะกลายเป็น "องค์อธิปัตย์" ผู้ชี้ขาดว่า อะไรเป็นสถานการณ์ปกติ อะไรเป็นสถานการณ์พิเศษ แก้รัฐธรรมนูญได้หรือไม่ได้ เพราะ
กุมอำนาจการชี้ขาดว่า มาตรา ๗ ใช้ได้หรือไม่ ใช้อย่างไร
กุมอำนาจการตรวจสอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกครั้ง
กุมอำนาจในการ "ให้คำปรึกษา" ในทุกๆเรื่องๆ แม้จะยังไม่เกิดเป็นข้อพิพาท
ผมได้เขียนแสดงความเห็นเพิ่มเติม ดังนี้
ในแง่หนึ่ง ผมมองว่า ศาล รธน ใหม่ที่จะมีขึ้น มันสอดคล้องกับ "ยุทธศาสตร์" ความพยายามรับมือกับภาวะที่ผมเรียกว่า monarchy without a monarch (การปกครองโดยสถาบันกษัตริย์/กษัตริย์นิยม ที่ไม่มีองค์กษัตริย์)
กล่าวคือ มัน transfer (โยกย้าย) อำนาจ ultimate arbitration (การวินิจฉัยขั้นสุดท้าย / ขั้นสูงสุด) จากองค์กษัตริย์ ไปที่ศาลใหม่
.....
หมายเหตุ: ได้ยินว่า "มิตรสหายนักวิชาการอีกท่านหนึ่ง" กำลังเขียนงานวิจัยในประเด็นนี้อยู่
 
Somsak Jeamteerasakul

ในหลวงวชิราลงกรณ์ ("พระบรมฯ") กับประชาธิปไตย

แก่นหรือหัวใจของประชาธิปไตยคือ ประชาชน (สาธารณะ, สังคม) สามารถควบคุม ตรวจสอบ เอาผิด วิพากษ์วิจารณ์ และกำหนดทิศทางของรัฐและบุคคลากรผู้มีอำนาจรัฐได้
ปัญหาอำนาจทางการเมือง-กฎหมาย และทางวัฒนธรรม ของสถาบันกษัตริย์เป็นปัญหาใจกลางของประชาธิปไตยไทยมาโดยตลอด ก็เพราะอำนาจทุกด้านดังกล่าว เป็นสุดยอดสมบูรณ์ ของการ #ไม่สามารถ ควบคุม ตรวจสอบ เอาผิด วิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณะได้เลย

องค์กรอำนาจรัฐส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ ศาล องค์กรอิสระ ข้าราชการประจำ ฯลฯ ที่มีอำนาจที่ไม่สามารถตรวจสอบ ควบคุม เอาผิด วิพากษ์วิจารณ์ได้ ล้วนแต่อิงหรือขึ้นต่อ การมีสถานะที่ไม่สามารถตรวจสอบ ควบคุม เอาผิด วิพากษ์วิจารณ์ของสถาบันกษัตริย์ทั้งสิ้น
อันที่จริง แม้แต่นักการเมือง ก็ได้ประโยชน์จากสถานะควบคุม ตรวจสอบ เอาผิดไม่ได้ของสถาบันกษัตริย์ดังกล่าว

ประเด็นที่ "คนรักเจ้า-เกลียดนักการเมือง" ไม่เคยเข้าใจเลยคือ ถ้าไม่สามารถตรวจสอบ ควบคุม เอาผิด สถาบันกษัตริย์และส่วนอื่นๆของอำนาจรัฐที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯได้ ก็ไม่มีทางจะตรวจสอบ ควบคุม เอาผิด นักการเมืองได้เช่นกัน เพราะประชาชนที่สนับสนุนนักการเมืองไม่มีวันยอมให้มีการเอาผิด ตรวจสอบ ควบคุม ฝ่ายเดียว

(แม้แต่ข้ออ้างเรื่อง "กษัตริย์ทำงานหนัก" และ "ความจงรักภักดีของประชาชน" ถ้าไม่ผ่านให้มีการตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์แบบเดียวกับที่ทำได้กับนักการเมือง แต่ใช้วิธีโปรแกรมฝังหัวทั้งทางระบบการศึกษาและทางสังคมวงกว้างอื่นๆ ก็ไม่มีทางจะอ้างได้ว่า เป็นข้ออ้างที่ชอบธรรมและสามารถทำให้ได้รับการยอมรับโดยแท้จริงทั้งสังคมได้)

วิกฤติไทยสิบปีที่ผ่านมา รวมศูนย์ใจกลางอยู่ที่ปัญหานี้
พูดแบบง่ายๆคือ คุณไม่มีทางเอาผิดชินวัตรโดยปกติสงบสุขได้ ถ้าคุณไม่ยอมให้มีการเอาผิดสถาบันกษัตริย์และกองทัพ ฯลฯ การพยายามดันทุรังเอาผิดฝ่ายเดียว ยกสถานะฝ่ายเดียวให้อยู่นอกเหนือการควบคุมตรวจสอบเอาผิด ("สองมาตรฐาน") ก็นำไปสู่ทางตัน ความไม่สงบสุขอย่างยืดเยื้อที่เห็นกัน

ทีนี้ มาถึงกรณีพระบรมฯหรือ "ในหลวงวชิราลงกรณ์" กษัตริย์องค์ใหม่
มีแนวโน้มหรือสัญญาณอะไรที่ส่อให้เห็นว่ากษัตริย์องค์ใหม่จะเปลี่ยนแปลงสถานะของสถาบันฯ ให้ไปในทางที่ตรวจสอบ ควบคุม เอาผิด วิพากษ์วิจารณ์ได้?
ที่ผ่านมา ต้องเรียกว่าเป็นศูนย์เลย หรือติดลบด้วยซ้ำ
เอาง่ายๆ พระบรมฯมีแนวโน้มจะเปิดให้มีการควบคุมตรวจสอบเอาผิด วิพากษ์วิจารณ์ การใช้จ่ายเงินสาธารณะจำนวนมหาศาลเพื่อซัพพอร์ตหรือสนับสนุน "ไลฟ์สไตล์" ของพระองค์ในหลายปีที่ผ่านมาหรือ? หรือให้ตรวจสอบกรณีการกวาดล้างบุคคลใกล้ชิดเช่นกรณีหมอหยอง (ที่มีคนตาย 3 ศพในระหว่างการคุมตัว) หรือ? ที่ยกมานี้เป็นเพียงตัวอย่างรูปธรรม"เล็กๆ" ความจริง ยิ่งถ้าพูดไปให้ไกลถึงเรื่องสำนักงานทรัพย์สิน เรื่องกฎหมาย 112 เรื่องการยกเลิกการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับสถาบันฯ (ต่อพระราชบิดาที่สิ้นพระชนม์ ซึ่งพระองค์ได้ประโยชน์ และต่อพระองค์เองโดยตรงด้วย) ที่ทำอย่างระดับซึมลึกถึงอนุบาล ฯลฯ ยิ่งไม่มีวี่แววเลยแม้แต่น้อย (ติดลบด้วยซ้ำเช่นกัน)
กระแส "เชียร์พระบรมฯ" ที่เกิดขึ้นในหมู่คนที่คิดว่ากำลังต้องการต่อสู้เพื่อ "ประชาธิปไตย" จึงเป็นอะไรที่ถ้าไม่ชวนให้เศร้า ก็ชวนให้ตลก และเป็นเพียงภาพสะท้อนว่า ความเข้าใจเรื่อง อะไรคือ ประชาธิปไตย ของพวกเขา มีข้อจำกัดอย่างมาก

รายการสหพันธรัฐไท กับ คุณป้าอินเตอร์ ตอน : วันที่ห้า ข้าต้องมาเอง


รายการสหพันธรัฐไท กับ คุณป้าอินเตอร์
ตอน : วันที่ห้า ข้าต้องมาเอง
วันพฤหัส ที่ 29 พฤศจิกายน 2561 เวลา 20.00 น. ประเทศไทย
https://youtu.be/vjsAfEe6rNE
(ยูทูบปลอดภัย กดไลค์/กดแชร์ ทุกคลิ้ปเพื่อสกัดเผด็จการทุกรูปแบบ)...
ดูเพิ่มเติม

น่าสนใจ......

ประชาไท Prachatai.com
เปิด ร่าง พ.ร.บ.เทคโนโลยีป้องกันประเทศ หลัง สนช. มติรับหลักการวาระแรกวันนี้ มาเพื่อแทนที่สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พบกองทัพตบเท้าเข้าคุมนโยบายทั้ง รมว. - ปลัดกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ตัวสถาบันฯ ใหม่ยังคงสามารถกู้เงิน ร่วมทุน ถือหุ้นด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยไม่ต้องส่งรายได้กลับคลัง
https://prachatai.com/journal/2018/11/79842

ดีเอสไอ มีความเห็นทางคดีพิเศษกรณีการกล่าวโทษมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ในอุปถัมภ์พระธัมมชโย และกรรมการ ในข้อหาสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน พร้อมจ่อเสนออัยการสูงสุดขอให้ดำเนินการในทางแพ่ง โดยยื่นร้องต่อศาลให้มีคำสั่งยกเลิกมูลนิธิฯ และให้ทรัพย์สินของมูลนิธิฯ ตกเป็นของแผ่นดิน
https://prachatai.com/journal/2018/11/79843

โฉมหน้าหัวหน้าโจรที่ครอบงำสังคมไทยในเวลานี้!!!


ชมภาพ ร. 10 เดิน shoping ที่ มิวนิค

ข้อคิดเกี่ยวกับขอบเขตการใช้อำนาจของวชิราลงกรณ์จนถึงขณะนี้และในอนาคต

Somsak Jeamteerasakul
ข้อคิดเกี่ยวกับขอบเขตการใช้อำนาจของวชิราลงกรณ์จนถึงขณะนี้และในอนาคต กระทู้นี้จะอภิปรายปัญหาที่กว้างออกไปกว่าเรื่องทรงผม "เกรียนวชิราลงกรณ์" แต่ก่อนอื่น.....

ข้อคิดเกี่ยวกับขอบเขตการใช้อำนาจของวชิราลงกรณ์จนถึงขณะนี้และในอนาคต
กระทู้นี้จะอภิปรายปัญหาที่กว้างออกไปกว่าเรื่องทรงผม "เกรียนวชิราลงกรณ์" แต่ก่อนอื่น ขอให้ดูเอกสารประกอบ ซึ่ง "มิตรสหายท่านหนึ่ง" เพิ่งส่งมาให้
นี่เป็นเอกสารคำสั่งของกองทัพอากาศ ในลักษณะทำนองเดียวกับเอกสารที่โพสต์ให้ดูใน 2 กระทู้ก่อน
ถ้าเทียบกับเอกสารที่โพสต์ให้ดูก่อนหน้านี้ เอกสารของกองทัพอากาศนี้ เขียนแบบกว้างๆและไม่มีการบังคับโดยตรงมากที่สุด คือเพียงแต่บอกว่า ผู้บัญชาการกองทัพอากาศให้กวดขันกำลังพลทุกคน (รวมไปถึงลูกจ้างและนักเรียนทหาร) ให้ "เป็นผู้มีระเบียบวินัย" "...โดยเฉพาะการไว้ทรงผม [ที่] ยังไม่เป็นไปตามระเบียบราชการที่กำหนด"
ไม่มีปัญหาว่า นี่เป็นคำสั่งที่เป็นผลมาจากวชิราลงกรณ์เหมือนคำสั่งอื่นๆก่อนหน้านี้แน่
ประเด็นที่น่าคิดเฉพาะหน้าเกี่ยวกับการต่างของ "ระดับการบังคับ" ของหน่วยงานต่างๆ ตั้งแต่ระดับ full-blown หรือเต็มที่ กรณีสำนักพระราชวัง-องคมนตรี (ทั้่งชายหญิงต้อง "เกรียนวชิราลงกรณ์" หมด) ลงมาระดับที่บังคับทหารชายทั้งหมดของ บก.ทท. (คือยังยกเว้นหญิง) และบังคับน้อยลงไป (เขียนแบบกว้างๆมากขึ้น) กรณี ตำรวจ, กองทัพบก และกองทัพอากาศนี้ สะท้อนอะไรหรือไม่?
วชิราลงกรณ์คง "สั่ง / ขอ / ปรารภ" ให้ข้าราชการโดยเฉพาะทหารตำรวจไว้ "ทรงผมพระราชนิยม" แล้วหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อเขาโดยตรงอย่างสำนักพระราชวัง-องมนตรี ก็สั่งต่อแบบ full-blown บังคับทั้งหมดเลย ทีนี้ ระดับที่ต่างๆกันของหน่วยงานอื่นๆนี่ เพราะอะไร? เพราะตัวผู้บัญชาการ (ผบ.สส. ผบ.ตร. ผบ.ทบ. ผบ.ทอ.) รู้สึกถึง หรือยอมรับใน อำนาจวชิราลงกรณ์มาก-น้อยต่างกัน หรือมีวิจารณญาณมีสติต่างกัน? หรือทั้่งสองเหตุผล? หรือขึ้นกับ ผบ.คนไหนต้องการ "เลีย" วชิราลงกรณ์มากกว่า? ซึ่งคงสัมพันธ์กับประเด็นตั้งแต่ว่า วชิราลงกรณ์พูดออกมาในระดับไหน วชิราลงกรณ์อาจจะเพียงแต่ "ปรารภ" คือเปรยๆ ("ข้าพเจ้าเห็นว่าถ้าข้าราชการทุกคนไว้ผมแบบราชวัลลภก็ดีนะ เป็นระเบียบเรียบร้อยดี") หรือ "ขอ" ("ข้าพเจ้าอยากขอให้พวกท่านลองไปพิจารณาว่า จะทำกันได้ไหม ให้ทุกคนในสังกัดไว้ผมแบบนี้น่ะ") อะไรประมาณนี้ แล้ว ผบ.แต่ละคนก็มี response หรือตอบสนองในระดับที่ต่างๆกัน ขึ้นกับระดับการรับอำนาจ-อยากเลีย-หรือมีสติ มากน้อยต่างกันดังกล่าว
................
แต่ประเด็นที่น่าคิดและคอยจับตาสังเกตต่อ คือประเด็นที่กว้างออกไป ซึ่งผมเคยพูดไปก่อนหน้านี้บ้าง นั่นคือ จากนี้ไป วชิราลงกรณ์จะเข้าแทรกแซงหรือยุ่งเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมืองหรือการเมืองแค่ไหนอย่างไร
ผมเคยพูดไปก่อนหน้านี้ว่า ที่มีหลายคนพูดถึงการใช้อำนาจแบบสมบูรณาญาสิทธิ์ (หรือการปกครองด้วยความกลัว) ของวชิราลงกรณ์นั้น เป็นความจริงแต่ยังมีความจำกัด คือที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ จะเห็นว่า ลักษณะการใช้อำนาจดังกล่าว ยังจำกัดอยู่กับเรื่องที่เกี่ยวกับกษัตริย์โดยตรง ตั้งแต่กรณีมาตราในรัฐธรรมนูญที่ให้แก้, การขโมยหมุดคณะราษฎร-วางหมุดหน้าใส มาถึงการสร้างอาณาจักร "ราชการในพระองค์", การกินรวบ ("ปล้น") ทรัพย์สินแผ่นดินมูลค่าล้านล้านบาท (กรณีทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์), และเรื่องการลงโทษคนที่ทำงานเกี่ยวกับกษัตริย์โดยตรง (จุมพล ถึง ดิสธร และกรณีเล็กๆลงไปอีกนับไม่ถ้วน)
แน่นอน เรื่องทุกเรื่องที่เพิ่งพูด เป็นเรื่องสาธารณะแน่ เป็นผลประโยชน์และควรเป็นอำนาจของประชาชนที่จะตรวจสอบควบคุมการใช้อำนาจแบบสมบูรณาญาสิทธิ์ตามใจชอบของวชิราลงกรณ์แน่
อาณาจักร "ราชการในพระองค์" วชิราลงกรณ์จ่ายเงินเดือนเองเสียเมื่อไหร่ ใช้งบประมาณแผ่นดินทั้งนั้น แต่(ดัน)ไม่ยอมให้ใครมายุ่ง ไม่ต้องพูดถึงทรัพย์สินแผ่นดินมูลค่าล้านล้านบาทที่ปล้นไปเป็นของตัวเองทั้่งหมด หรือแม้แต่การสั่งลงโทษใครโดยไม่ต้องมีกระบวนการตามบรรทัดฐานการพิจารณาลงโทษข้าราชการ
แต่ประเด็นคือ ตราบเท่าที่วชิราลงกรณ์ยังจำกัด ไม่เอ๊กเซอร์ไซส์อำนาจออกมา "เกินรั้่ววัง" มากนัก ผลกระทบที่จะทำให้คนทั่วไป (แม้แต่ในหมู่ข้าราชการ ถ้าไม่ได้สังกัดวังโดยตรง) รู้สึกไม่พอใจหรือมีปฏิกิริยาต่อต้าน ก็จะจำกัดตามไปด้วย
อย่างว่า คนไทยเป็นคนที่ถูกสร้างให้ "เชื่อง" อยู่แล้ว แม้แต่กรณีคนรักเจ้าที่ยืนกรานมาหลายปีว่า ทรัพย์สินส่วนกษัตริย์มูลค่าล้านล้านบาทเป็นทรัพย์สินแผ่นดิน พอวชิราลงกรณ์ปล้นไปเป็นของตัวเอง ก็ยังเฉยๆอยู่.....
ผมเคยเล่าแล้วว่า มีมิตรสหายที่ผมคุยด้วยหลายคนเชื่อว่า โดยนิสัยของวชิราลงกรณ์ และเพื่อรักษาสถานะของเขาด้วย ในที่สุด เขาจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวใช้อำนาจ "นอกรั้่ววัง" มากขึ้นๆแน่
กรณี silly งี่เง่า อย่าง "ยกอกอึ๊บ" หรือ "ทรงผมเกรียนวชิราลงกรณ์" มีผลกระทบกว้างออกมากว่ารั้ววัง คือเริ่มออกมาถึงข้าราชการทั่วไปมากขึ้น อาจจะเป็น sign หรือสัญญาณเล็กๆในทิศทางนี้ แม้จะยังจำกัด คือแม้แต่ระดับการบังคับก็ยังไม่ถึงกับเต็มที่กับทุกหน่วยงานดังกล่าวข้างต้น
ประเด็นใหญ่สุดที่ผู้ติดตามการเมืองกำลังสนใจคือ ปัญหาว่าวชิราลงกรณ์จะเข้าแทรกแซง กำหนดตัวคนที่จะเป็นนายกฯคนต่อไปหลัง คสช / หลังเลือกตั้ง หรือไม่ และจะเป็นใคร
เพื่อนผมหลายคนเชื่อว่า ยังไงเสีย อย่างน้อยที่สุดเพื่อประกันให้เขาเองสามารถใช้อำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์ในวังแบบตามใจชอบอย่างนี้ต่อไปได้ วชิราลงกรณ์จะต้อง "เม้กชัวร์" หรือทำให้แน่ใจว่า นายกฯคนต่อไป จะต้องเป็นคนที่ friendly หรือขึ้นต่อเขา ไม่ว่าจะยังเป็น "ตู่" ซึ่งทุกคนเบื่อเต็มทีต่อไป หรือเป็นคนอื่น
ทุกวันนี้ ผบ.ทบ. ทั้งคนนี้ และคนที่เป็นตัวเต็ง (อภิรักษ์ ซึ่งดังที่หลายคนเห็น "เลีย" วชิราลงกรณ์ด้วยการตัดผมเกรียนแล้ว) ก็ล้วนเป็นคนที่วชิราลงกรณ์โปรดปรานให้มาเป็นอยู่แล้ว ดังนั้น ตำแหน่งอย่าง นายกฯ ยังไงวชิราลงกรณ์ก็ต้องพยายามยื่นมือเข้ามามีส่วนกำหนดแน่ ไม่ปล่อยให้เป็นไปเองจากการกำหนด-แย่งชิงของ คสช เอง หรือระหว่าง คสช กับพรรคการเมือง
แล้วเรื่องนี้ จะมีผลกระทบต่อประชาชนหรือสังคมวงกว้างอย่างมากแน่ เช่น ถ้าวชิราลงกรณ์สนับสนุนยืนยันให้ "ตู่" อยู่ต่อทั้งๆที่ประชาชนทุกฝ่ายเบื่อเต็มที หรือกำหนดให้เอาคนอื่นที่ทุกฝ่าย "ยี้" พอๆกัน..... (วันก่อนผมเพิ่งคุยกับเพื่อนบางคนว่า สมัยนี้ ฝ่ายเจ้าไม่มีใครที่เด่นหรือมีความสามารถหรืออย่างน้อยพอมี "เครดิต" จริงๆ ไม่เหมือนสมัยก่อน กรณีอย่างสัญญา หรืออานันท์ ตอนนี้พยายามนึกหาคนแบบนี้ไม่ว่าในเครื่องแบบหรือนอกเครื่องแบบ ทหาร นักการเมือง หรือเทคโนแครต ที่วชิราลงกรณ์ หรือแม้แต่ คสช. จะหนุนขึ้นมาได้ นึกไม่ออก)

ไม่มีความปลอดภัยในชีวิตของคนภายใต้ระบอบเผด็จการกษัตริย์ทรราชย์

พ่อแม่นักเรียนเตรียมทหาร ร้องเรียนสื่อ ระบุลูกชายเสียชีวิตจากการฝึกนักเรียนเตรียมทหารเมื่อเดือนที่ผ่านมา มีเงื่อนงำ อวัยวะภายในหายเกลี้ยง-ทิชชู่ยัดแทนสมอง หอบหลักฐานแฉ





อวัยวะภายในหายเกลี้ยง-ทิชชู่ยัดแทนสมอง หอบหลักฐานแฉ (คลิป)



By kenny
2017-11-20
ที่มา Amarin TV

เหตุการณ์ที่เป็นข่าวครึกโครมเมื่อช่วงปลายเดือน ต.ค. 60 ที่ผ่านมา เมื่อนายพิเชษฐ และ นางสุกัลยา ตัญกาญจน์ 2 นักแข่งรถชื่อดังประเทศไทย ร้องสื่อมวลชนว่าบุตรชายคือ นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตในวันที่ 17 ต.ค. หลังกลับเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร เพียง 1 วัน และไม่ได้รับคำชี้แจงที่ละเอียดจากผู้เกี่ยวข้องของโรงเรียนเตรียมทหาร ได้รับเพียงใบมรณบัตรชี้แจงสาเหตุการตายจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน จึงข้องใจถึงสาเหตุการตาย ขณะที่ผลการชันสูตรชิ้นเนื้อจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ต้องใช้เวลานานถึง 2 เดือน





หลังเกิดเหตุ นายพิเชษฐ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาลูกไม่เคยบ่นหรือเล่าว่ามีปัญหากับใคร เพียงแต่รู้ว่าลูกมักถูกลงโทษและถูกเรียกไปซ่อมเดี่ยวอยู่บ่อยๆ แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ และก็เคยถูกลงโทษโดยรุ่นพี่ซึ่งเป็นหัวหน้าหมวด จนทำให้ชีพจรหยุดเต้นไปแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเท่าที่ทราบ รุ่นพี่นายนั้นก็ถูกปลดชั้นจากหัวหน้าหมวด แต่ก็ไม่เคยคิดว่าสาเหตุการเสียชีวิตในครั้งนี้จะมาจากเหตุการณ์ในครั้งก่อน จึงอยากทวงถามความกระจ่างจากทางโรงเรียนว่า สาเหตุที่แท้จริงคืออะไร ไม่ใช่เพียงคำบอกกล่าวที่ว่า เพราะลูกชายเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว

ขณะที่นางสุกัลยา กล่าวว่า ในครั้งแรกที่ลูกชายถูกทำโทษอย่างรุนแรงด้วยการให้ปักหัวลงที่พื้นห้องน้ำนายทหาร จนเกิดอาการช็อกเพราะเลือดตกที่หัวและความดันพุ่งต่ำลง ซึ่งในรายละเอียดไม่ทราบว่า ถูกทำโทษเพราะเหตุใดและถูกทำโทษนานเท่าใด แต่เมื่อบุตรชายถูกปั๊มหัวใจจนมีชีพจรอีกครั้งก็ไม่ติดใจเอาความ แต่ในครั้งล่าสุดที่ลูกชายหัวใจหยุดเต้น ไม่มีผู้ใดชี้แจงถึงรายละเอียดและสาเหตุการเสียชีวิต




แม้ว่าทั้งคู่จะเคลือบแคลงถึงสาเหตุการตายของลูกชาย แต่ครอบครัวก็ได้นำศพกลับมาตั้งบำเพ็ญกุศลทางศาสนา ที่วัดวิเวการาม ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดยมีพิธีฌาปนกิจในวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่า วันนั้นทางนายพิเชษฐ แอบนำศพลูกชายออกมา ก่อนที่จะมีการเผาศพ โดยไม่ได้บอกใครว่าไม่ได้เผาศพลูก เท่ากับพิธีวันนั้นเป็นการเผาหลอกไป ส่วนศพของ นายภคพงศ์ ทางนายพิเชษฐ ผู้เป็นพ่อ ได้นำศพไปชันสูตร ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ปรากฏว่า อวัยวะภายใน ทั้ง ตับ ไต ไส้ พุง หายไปหมด ซึ่งยิ่งทำให้เคลือบแคลงสงสัย

ต่อมา เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 20 พ.ย. 60 นายพิเชษฐ และนางสุกัลยา พร้อมด้วย น.ส.สุพิชชา ตัญกาญจน์ ลูกสาวคนโต ได้แถลงข่าวถึงกรณีนี้ โดย น.ส.สุพิชชา ระบุว่า จากการชันสูตรพบว่า อวัยวะภายใน ทั้ง ตับ ไต ไส้ พุง หายไปหมด ส่วนที่กะโหลกศีรษะ มีกระดาษทิชชู่ยัดไว้ แต่สมองหายไป นอกจากนี้ยังตรวจพบกระดูกซี่โครงซี่ที่ 4 หัก และมีรอยช้ำภายในช่องท้องด้านขวาขนาดเท่ากำปั้น และส่วนด้านหลังภายในซีกซ้ายมีรอยช้ำ และที่ไหปลาร้าหักทั้ง 2 ข้าง ซึ่งแพทย์ที่ชันสูตรระบุว่า ซี่โครงที่หักไม่น่าจะเกิดจากการปั๊มหัวใจ เพราะหักต้องหักทั้งแถบ และรอยช้ำน่าจะเกิดจากการถูกกระแทกอย่างแรง





นอกจากนี้ ทางครอบครัวตัญกาญจน์ ยังนำคลิปเสียงที่อ้างว่าได้พูดคุยกับ ผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร หลังจาก รู้ว่าอวัยวะหายไป มาเปิดให้สื่อมวลชนฟังด้วย และหลังจากการแถลงข่าวทางครอบครัวกล่าวว่า อยากได้คำชี้แจงว่า อวัยวะลูกชายหายไป เกิดจากสาเหตุอะไร และชิ้นส่วนอวัยวะที่หายไป ก็อยากจะขอคืน เพื่อนำมาพิสูจน์หาสาเหตุการเสียชีวิตอีกครั้ง





นอกจากนี้ ทางครอบครัวตัญกาญจน์ ยังนำคลิปเสียงที่อ้างว่าได้พูดคุยกับ ผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร หลังจาก รู้ว่าอวัยวะหายไป มาเปิดให้สื่อมวลชนฟังด้วย และหลังจากการแถลงข่าวทางครอบครัวกล่าวว่า อยากได้คำชี้แจงว่า อวัยวะลูกชายหายไป เกิดจากสาเหตุอะไร และชิ้นส่วนอวัยวะที่หายไป ก็อยากจะขอคืน เพื่อนำมาพิสูจน์หาสาเหตุการเสียชีวิตอีกครั้ง


นายพิเชษฐ และนางสุกัลยา ตัญกาญจน์ สองนักแข่งรถชื่อดังของประเทศไทย บิดาและมารดาของ นตท. ภคพงศ์ หรือ น้องเมยเปิดเผยว่า “ที่ผ่านมาลูกไม่เคยบ่นหรือเล่าว่ามีปัญหากับใคร เพียงแต่รู้ว่าลูกมักถูกลงโทษและถูกเรียกไปซ่อมเดี่ยวอยู่บ่อยๆ แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ และก็เคยถูกลงโทษโดยรุ่นพี่ซึ่งเป็นหัวหน้าหมวด จนทำให้ชีพจรหยุดเต้นไปแล้วครั้งหนึ่ง”
นางสุกัลยาเล่าว่าเมื่อลูกชายหัวใจหยุดเต้นครั้งก่อนนั้น “ถูกทำโทษอย่างรุนแรงด้วยการให้ปักหัวลงที่พื้นห้องน้ำนายทหาร จนเกิดอาการช็อกเพราะเลือดตกที่หัวและความดันพุ่งต่ำลง” ซึ่งไม่มีการชี้แจงรายละเอียดของสาเหตุที่หัวใจหยุดเต้นจากทางโรงเรียนเตรียมทหารเช่นกัน
ความโหดเหี้ยมของการกำกับระเบียบวินัยในวงการทหารไทย จนทำให้ผู้ถูก ซ่อม และ ซ้อม ถึงตายนี้ มิใช่เพิ่งมีครั้งเดียว คราวก่อนเมื่อเดือยพฤศจิกายน ๒๕๕๙ มีพลทหารสังกัดศูนย์การทหารม้าถูกครูฝึกกระทำรุนแรงถึงตาย เป็นข่าวคึกโครมเมื่อมีคลิปการซ้อมปรากฏออกมา
ทว่าคำตอบที่ได้จากกองทัพเพียงว่า ผู้บังคับบัญชาสั่งให้สอบสวน “ถ้าผลการตรวจสอบมีความชัดเจนแล้ว กำลังพลที่ปฏิบัติพฤติกรรมไม่เหมาะสมดังกล่าวจะต้องได้รับโทษสถานหนักอย่างแน่นอน” พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกแถลงในตอนนั้น
เหตุการณ์อันน่าสพรึงกลัวเช่นนี้ แม้จะเกิดในแวดวงทหาร ก็มิใช่เรื่องชวนหัวเหมือนกรณีคำสั่งของกองทัพให้กำลังพลและข้าราชการในสังกัดตัดผมสั้นเกรียนที่เป็นข่าวฮือฮาขณะนี้ กระทั่งมีคลิปเด็กหญิงเล็กๆ ลูกสาวของทหารคนหนึ่ง ร้องห่มร้องไห้เป็นวักเป็นเวร เสียใจที่คุณพ่อมีผมสั้นเกือบโกร๋น

"หลักสูตรการฝึกทหาร" ของThe Mad King นายสิบจาก Dun Troon ออสเตรเลีย

‘ปรัชญาการตุ๋นไข่พะโล้’ กับ ‘ปรัชญาซิกู้’ พระราชทานโดยรัชกาลที่ ๑๐

Rises to the occasion. ท่ามกลางความอื้ออึงของการ ธำรงวินัยโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งมีอันให้นักเรียนชั้นปีหนึ่งคนหนึ่งเสียชีวิต หลังจากถูกรุ่นพี่ ซ่อม หนักติดต่อกันหลายครั้งหลายหน
ได้มีคำสั่ง ด่วนมาก จาก กพ.ทหาร ให้ส่วนราชการในกองบัญชาการกองทัพไทย ทั้งหน่วยฝึก หน่วยการศึกษา และหน่วยขึ้นตรง บก.ทท. ทำการฝึกทหารใหม่ นักเรียนทหาร และกำลังพลประจำการ ตาม คู่มือการฝึก/แบบฝึก พระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลกงรณ์ บดินทรเทพยวรางกูร ตั้งแต่ผลัด ๒/๖๐ เป็นต้นไป
คู่มือเหล่านั้นประกอบด้วย หลักปรัชญาของพระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่ กับ คู่มือการฝึกพระราชทาน ว่าด้วยแบบฝึกบุคคลท่ามือเปล่า และ คู่มือการฝึกพระราชทาน ว่าด้วยแบบฝึกบุคคลท่าอาวุธ
สำหรับสองคู่มือหลังนั้นจะขอละเว้นไม่กล่าวถึง ทิ้งไว้ให้ท่านทั้งหลายที่มีความสนใจเป็นพิเศษ และ/หรือช่ำชองเรื่องทำนองนั้น ดาวน์โหลดเพื่อศึกษาหรือชื่นชมรายละเอียดกันได้จาก ที่นี่ http://j1.rtarf.mi.th/new/download/hand.pdf และที่นี่ http://j1.rtarf.mi.th/new/download/armor.pdf ตามลำดับ
การนี้ขอขอบคุณ Somsak Jeamteerasakul นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกิจแห่งราชวงศ์ ที่นำมาเล่าสู่กันให้พสกนิกรได้ซาบซึ้งความเป็นไปในต้นสมัยแห่งรัชกาลที่ ๑๐ นี้ โดยเฉพาะเกี่ยวกับหลัก ปรัชญาพระราชทานอันเกิดจาก “พระราชวิริยะอุตสาหะในการฝึกฝนพระองค์เอง จนเกิดเป็นความรู้อย่างแท้จริง”
ในเอกสารพระราชประวัติ และพระราโชบายด้านการฝึก นั้นกล่าวถึงหลักปรัชญาของพระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่ไว้ ๕ อย่างซึ่งจะได้รับความนิยมชมชอบในหมู่พสกนิกรท่วมท้นจนมาแทน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระราชบิดาดังที่ สศจ. ตั้งปุจฉาไว้ไหม ต้องดูต่อไปในภายภาคหน้า
ในบรรดาปรัชญาทั้งห้าของพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๑๐ ดูเหมือนว่ามีสองอย่างที่โดดเด่น น่าที่จะได้ทำความรู้จักกันไว้โดยถ้วนหน้า นั่นคือ ปรัชญาการตุ๋นไข่พะโล้ กับ ปรัชญาซิกู้
กรณีหลังนี้ปรับปรุงมาจากพระราชกรณีกิจที่ทรงปฏิบัติต่อรถ SIKU อันเป็นยี่ห้อรถยนต์ของเล่นจำลองขนาดเล็กที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โปรดตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์
ส่วนกรณี ปรัชญาการตุ๋นไข่พะโล้ หรือ การ Simmer นั้น “ทรงเปรียบเทียบลักษณะการฝึกอบรมทหารเหมือนกับการตุ๋นไข่พะโล้ให้มีรสชาติอร่อย” นั่นคือ “ใช้ความร้อนและเวลาที่เหมาะสม น้ำพะโล้จึงจะค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปยังเนื้อไข่
เปรียบเสมือนกับการฝึก หากฝึกอบรมแบบไม่จริงจัง ปฏิบัติแบบยวบยาบ เน้นแต่ภาพลักษณ์ที่ดูสวยงาม แต่ไม่เน้นเนื้อหาสาระ ไม่เคี่ยว ไม่อบ ไม่กลั่นให้ผู้รับการฝึกได้มีความรู้อย่างแท้จริง ก็จะไม่สามารถนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้”
ทางด้าน ปรัชญารถซิกู้นั้นเกิดจากเมื่อยังทรงพระเยาว์ ได้ทรง “ทดสอบทุกคันด้วยพระองค์เอง หากรถ SIKU คันใดมิได้มาตรฐาน ระบบขับเคลื่อนยังไม่ดี เข็นรถแล้ววิ่งไม่ตรงทิศทาง เอียงซ้ายเอียงขวา ก็จะทรงถอดชิ้นส่วนนำมาปรับแต่ง”
คู่มือพระราชทานระบุว่า “เปรียบเสมือนการที่ครูผู้ฝึกสอนจะต้องหมั่นสังเกตุ ให้คำแนะนำเคี่ยวเข็ญ ให้ผู้รับการฝึกสามารถเรียนรู้และปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง”
ปรัชญาอื่นๆ อีกสามอย่างที่พระราชทานลงมาให้บุคคลากรในแวดวงทหารทุกหน่วยเหล่าถือปฏิบัติ นั่นก็แสดงถึงความเป็นอัจฉริยะของพระองค์ในกิจการทหารอย่างแม่นมั่น ดังที่ระบุในอีกตอนของปรัชญาพระราชทานว่า
“จะไม่ทรงโปรดความหย่อนยาน ความยวบยาบ หรือความไร้ระเบียบวินัย” ดังเช่นเรื่อง ปรัชญาทหารมหาดเล็กฯกล่าวถึงการตั้งเป้าหมาย หรือ objective ในการฝึก ทรงโปรดให้ตั้งมาตรฐาน “เพิ่มขึ้นไปเสมอ เกินกว่า ๑๐๐%
ในด้านปรัชญามาตรฐานหน่วย ทม.รอ. (มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์) กำหนดให้ต้องรักษามาตรฐานระดับสูงไว้เสมอ ประดุจดังสินค้าแบรนด์เนมฉันนั้น
ปรัชญา ร.๑๐ ประการสุดท้ายเรียกว่า ปรัชญารากหญ้าพระเจ้าอยู่หัววชิราลงกรณ์ฯ ทรงกำชับข้าราชบริพารให้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งในรายละเอียดเกี่ยวกับ “ระดับพื้นฐานหรือระดับล่าง ที่ทรงเปรียบเทียบกับคำว่ารากหญ้า”
เพื่อที่เมื่อได้เป็นใหญ่เป็นโตแล้วจะได้เข้าใจผู้ใต้บังคับบัญชา สามารถให้คำแนะนำและให้ความช่วยเหลือ “ร่วมทุกข์ร่วมสุข พร้อมทั้งดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นที่เลื่อมใสศรัทธา” ต่อไป
หลังจากได้อ่านเนื้อหาปรัชญาพระราชทานของรัชกาลที่ ๑๐ เหล่านี้แล้ว บ่องตงว่าสามารถทำความเข้าใจได้โดยง่าย ไม่ต้องขบมาก ไม่ซับซ้อนหลากหลายความหมายจนต้องตั้งเป็นหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมก็ได้
ทรงมีพระราชประสงค์ให้ข้าราชบริพารปฏิบัติการให้ “เป็นไปตามพระราชประเพณี พระราโชบาย และพระราชนิยม” อย่างเคร่งครัดและเกินกว่าที่มุ่งหวังเสมอ 

และหากทรงทอดพระเนตรเห็นข้าราชบริพารผู้ใดประพฤติไม่เหมาะสม ก็จะมิทรงนิ่งเฉยเป็นเด็ดขาด
ณ บัดนี้พระราชปรัชญาดังกล่าวมาได้ถูกประกาศบังคับใช้แต่ในแวดวงทหารผู้พิทักษ์ราชบัลลังก์ และหากคณะทหารที่ยึดอำนาจแล้วทำการปกครองประเทศมาเป็นเวลาเกือบจะสี่ปี ยังคงอำนาจกว้างขวางต่อไปอีก ๕-๒๐ ปีตามยุทธศาสตร์ชาติแล้วไซร้

Going forward ในระยะเวลาอันไม่ไกลนัก พสกนิกรโดยทั่วไปอาจได้สัมผัสผลแห่งปรัชญาพระราชทานอันแข็งแกร่งเหล่านั้นด้วยบ้างก็ได้