torsdag 15 november 2018

กิจกรรมราชสำนัก"ลัทธิซาบซึ้ง"

การล้มเจ้าคือการทำบุญอย่างหนึ่งให้แก่ประเทศชาติ

การล้มเจ้าคือการทำบุญอย่างหนึ่งให้แก่ประเทศชาติ


โดย แสงตะวัน



การล้มเจ้าหรือการโค่นล้มระบอบเผด็จการกษัตริย์คือการทำบุญทำกุศลให้แก่สังคมและประเทศชาติเป็นการปลดปล่อยประชาชนออกจากระบอบป่าเถื่อนเหี้ยมโหดผิดมนุษย์ทำให้ประชาชนทั้งหลายที่ได้รับการกดขี่หลุดพ้นออกจากโซ่ตรวนในระบอบเผด็จการของษัตริย์ประหลาดวิกลจริตบ้ากามในเวลานี้ ระบอบเผด็จการกษัตริย์ทำให้ประเทศชาติหล้าหลังไม่ได้รับการพัฒนา  เศรษฐกิจพังทลาย ประชาชนยากจนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้  ศักดิ์ศรีของมนุษย์ถูกเหยียบย่ำมีค่าเพียงฝุ่นใต้ตีนของกษัตริย์ ไม่มีสิทธิ เสรีภาพ ความเป็นธรรมในสังคมไม่มี เพราะถูกครอบงำโดยระบอบเผด็จการของกษัตริย์
วันที่ 22 พฤษภาคม 2557  ขณะที่ภูมิพลนอนป่วยไม่รู้สึกตัวอยู่นั้น วชิราลงกรณ์ยังเป็นมกุฏราชกุมารอยู่ได้ร่วมมือกับพลเอกเปรมประธานองคมนตรี สั่งให้พลเอกประยุทธ์กับพวกยึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนแล้วเรียกตัวเองว่า " คณะรักษาความสงบแห่งชาติ " ( คสช. ) แล้วตั้งรัฐบาลเผด็จการทหารขึ้นเรียกว่ารัฐบาล คสช.
วันที่ 13 คุลาคม 2559 ได้มีการประกาศการตายของภูมิพลขึ้นอย่างเป็นทางการรัฐบาลประยุทธ์ก็ได้ประกาศอันเชิญให้  วชิราลงกรณ์ได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์สืบทอดอำนาจจากพ่อคือกษัตริย์ภูมิพลรัชกาลที่ 9 เจ้าของระบอบกษัตริย์เผด็จการมาจนถึงวันตายหลังจากป่วยมาเป็นเวลายาวนาน แม้แต่วันเวลาการตายที่แน่นอนก็ไม่เปิดเผยให้ชาวไทยและชาวโลกทราบ
วชิราลงกรณ์ จากเด็กที่เติบโตมาอย่างสปอยจากพ่อแม่ที่มีอำนาจอย่างล้นฟ้า ทำให้วชิราลงกรณ์กลายเป็นเพลย์บอย เป็นคนไม่เอาถ่านเรียนหนังสือไม่จบมียศแค่ สิบเอกจากโรงเรียนนายร้อย ดันทรูนประเทศออสเตเรีย มีนิสัยเกเร เป็นนักเลงหัวไม้ชอบเล่นการพนัน ชอบเสพสุขมีเมียและนางบำเรอมากมายมีฮาเรมอยู่ที่
มิวนิคประเทศเยอรมันนี มีวังที่ทำเป็นคุกส่วนตัว เป็นคนทีไร้ความรับผิดชอบไร้จิตสำนึก ต่อสังคมประเทศชาติ และเพื่อนมนุษย์
วชิราลงกรณ์มาจากครอบครัวที่พ่อเป็นมหาโจรปล้นประเทศ และแม่ที่มีจิตใจเหี้ยมโหดเคยสั่งฆ่าคนไทยด้วยกันมาแล้วอย่างมากมายในประวัติศาสตร์จนมีนักกวีที่มีชื่อคนหนึ่งเขียนว่า " พ่อเจ้าปล้นแม่เจ้าฆ่ายังกล้าทำ " หรือที่ประชาชนเรียก " ไอ้เหี้ยสั่งฆ่าอีห่าสั้งยิง "
วชิราลงกรณ์ไม่ได้รับการอบรมมาเพื่อให้เป็นกษัตริย์เพื่อปกครองประเทศตามระบอบประชาธืปไตยเขาเกิดมาจากระบอบเผด็จการของภูมิพลและสิริกิตย์ที่สืบทอดเป็นมรดกมาจาก " ระบอบเศรษฐกิจของสังคมศักดินา "
หลังจากวชิราลงกรณ์ได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ไม่นานก็ได้รวบอำนาจของชาติทุกอย่างไว้ในมือ " อำนาจและทรัพย์สินทุกอย่างเป็นของกูแต่ผู้เดียว " เอากลไกรัฐและทรัพย์สินส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์มาอยู่ใต้การควบคุมของตัวเองโดยสิ้นเชิงทั้ง " ราชการในพระองค์ " และ " ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์  ทุกอย่างเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์หลุดลอยออกจากฝ่ายบริหารนิติบัญญัติโดยสิ้นเชิง  " ยิ่งไปกว่านั้นกษัตริย์ใหม่ยังมีอภิสิทธิ์อันมหาศาลเหนือสังคมไทยทุกอย่าง ทั้งทางกฏหมาย และการเมืองทางเศรษฐกิจและทางวัฒนธรรมสังคม
สรุปแล้วกษัตริย์ ใหม่ มี อำนาจครอบคุมสังคมไทยทุกอย่างและใช้อำนาจนั้นอย่างไม่มีขอบเขต ไม่รับผิดชอบไม่เกรงอกเกรงใจประชาชนชาวไทยทั้งประเทศที่เลี้ยงดูราชวงค์นี้มาจนทุกวันนี้ ขูดรีดกดขี่ข่มเห็ง รังแกประชาชน เอารัดเอาเปรียบสังคม เหี้ยมโหด  รุณแรงอย่างไร้มนุษยธรรมมากยิ่งขึ้นไปกว่ายุคของภูมิพล
ม. 112  และ ม. 44ใช้ เป็นกฏหมายครอบจักรวาฬที่รัฐบาลของกษัตริย์จะใช้อย่างไรกับใครก็ได้ " ตามพระราชอัชญาศัย " 
ใช้อำนาจมืดกำจัดได้กับทุกคนที่ไม่พอใจไม่เว้นแม้แต่ลูกเมียและคนใกล้ชิดที่รับใช้และควบคุมอำนาจรัฐโดยผ่านรัฐบาล ค.ส.ช.ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ ดังนั้นประยุทธ์จึงเป็นเพียงหุ่นหรือสุนัขรับใช้ของกษัตริย์ที่ทำตามคำสั่งของกษัตริย์เหมือนเด็กว่านอนสอนง่ายทุกอย่าง ซึ่งกษัตริย์เองไม่ต้องอยู่ในประเทศนั่งสั่งงานจากเมืองมิวนิคประเทศเยอรมัน
ประยุทธ์ก็จะไปนั่งหมอบกราบต่อหน้ารูปของกษัตริย์เพื่อรับคำสั่งตามความประสงค์ของกษัตริย์  รัฐบาล คสช.จึงเป็นเพียงนอร์มินีของกษัตริย์ใหม่มีหน้าที่อย่างเดียวคือปล้นประเทศชาติปล้นประชาชนในรูปแบบต่างๆกันเพื่อหาเงินให้แก่ตัวเองและเพื่อไปถวายกษัตริย์มหาเพลย์บอยที่กำลังมัวเมาหลงระเริงในอำนาจเสพสุขและมีชีวิตฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกับบรรดานางสนมนางบำเรอทั้งหลายแหล่ที่เขาตั้งยศฐาบรรดาศักดิ์ให้เป็นนายร้อย นายพัน นายพลอยู่ในเวลานี้ พวก " ข้าราชการในพระองค์ " ที่กินเงินเดีอนจากภาษีประชาชนปีหนึ่งเป็นหมื่นกว่าล้านบาทโดยที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่ประเทศชาติและประชาชนแต่อย่างใดเลย
ส่วนประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศไม่มีอำนาจตรวจสอบหรือออกความเห็นคัดค้านใดๆทั้งสิ้น ทั้งที่กษัตริย์เองและรัฐบาล คสช.ก็กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชนปีละหลายหมื่นล้านบาท เราจึงเรียกระบอบการปกครองแบบนี้ว่าเป็น " การปกครองระบอบกษัตริย์เผด็จการ " ( King Dictatorship System ) ไม่ใช่ "การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุข " อย่างพวกนักวิชาการรับจ้างทั้งหลายเรียกเพื่อต้องการเอาใจกษัตริย์

ปัจจัยการผลิตของสังคม ( Means of Production )
การปกครองระบอบกษัตริย์เผด็จการ กษัตริย์เป็นผู้ถือครองปัจจัยการผลิตส่วนมากของสังคมหรือเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต (  Means of Production ) ซึ่งหมายถึงสื่งที่มนุษย์ใช้ผลิตวัตถุที่มีคุณค่าแก่มนุษย์ในการดำรงชีพและในการพัฒนาสังคม ปัจจัยการผลิตได้แก่ ที่ดิน แหล่งแร่ แหล่งน้ำ เครื่องมือการผลิต ( Instruments of Production ) การธนาคารและเครดิต การค้าและการคมนาคม โรงงานวิสาหกิจ โรงงานปูนชิเมนต์ กิจการโรงแรม ฯลฯ ซึ่งในตำราเศรษฐกิจวิทยาสมัยอาดัมสมิธเรียกว่า  " Constant Capital " ในตำราเศรษฐกิจสมัยใหม่เรียกว่า " ทุนของสังคม " ( Social Capital )
จากการประเมินของสำนักงานประเมินทรัพย์สิน ฟอบส์ ( Fobes ) ประเมินเมื่อปี 2559 ว่าทรัพย์สินส่วนตัวของกษัตริย์ภูมิพลมีมูลค่าถึง 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยมากที่สุดในโลก
เมื่อกษัตริย์เป็นเจ้าของทุนส่วนมากของสังคม และเป็นเจ้าของระบอบเศรษฐกิจผูกขาดที่เป็นพื้นฐานของสังคม ภูมิพล จึงกลายมาเป็นนายทุนสามานย์ผูกขาดที่ใหญ่ที่สุดในสังคม ระบอบเศรษฐกิจแบบนี้จึงเรียกว่า " ระบอบเศรษฐกิจทุนนิยมผูกขาด " ( Capitalist Monopoly System) เพื่อหลอกลวงตาชาวไทยและชาวโลกพวกนักวิชาการกากเดนศักดินาได้ให้นิยามระบอบเศรษฐกิจแบบนี้ว่า"เศรษฐกิจพอเพียง "
ทุนของสังคมส่วนใหญ่ไปรวมศูนย์อยู่ภายใต้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้บริหารและจัดการ เป็นองค์กรอิสระไม่ขึ้นกับรัฐ รัฐไม่สามารถตรวจสอบได้และได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี
เมื่อลูกชายภูมิพล ร. 10 ขึ้นครองราชย์ก็ได้โอนสำนักงานนี้มาเป็นของส่วนตัวโดยสิ้นเชิง  เป็นการปล้นทรัพย์สมบัติอันมหาศาลของชาติของแผ่นดินอย่างเลวทรามและเห็นแก่ตัวที่สุดของกษัตริย์ใหม่ ( ดูประกอบจากบทความ อ.สมศักดิ์  เจียมธีรสกุลอำนาจและสมบัติอยู่ในมือกูคนเดียว ชัดๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมอีกต่อไป : มาแล้วครับ พรบ.ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ฉบับใหม่ )

โครงสร้างส่วนบนของสังคม
โครงสร้างส่วนบนของสังคมได้แก่ รัฐ ศาล กฏหมาย การเมือง ศาสนา วัฒนธรรมและอุดมการณ์ รวมไปถึงสื่อสารมวลชน  เจ้าของปัจจัยการผลิตจะสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องรักษา "ระบอบเศรษฐกิจศักดินา " ที่เป็นพี้นฐานชั้นล่างของสังคม เหมือนกับบ้านจะต้องมีหลังคาซึ่งสอดคล้องกับหลักปรัชญาที่ว่า " รูปแบบต้องให้เหมาะสมกับเนิ้อหา "  ดังนั้นในระบอบกษัตริย์เผด็จการองค์คาพยพที่เป็นโครงสร้างส่วนบนของสังคมจึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกปักรักษาระบอบเศรษฐกิจนี้เอาไว้  กษัตริย์มีอำนาจเหนือสังคมทุกอย่าง เหนือ รัฐ เหนือศาล เหนือกฏหมายเป็นจอมทัพของสามเหล่าทัพมีอำนาจแต่งตั้งทหาร ตำรวจข้าราชการได้ทุกระดับ เขาจึงสั่งให้ทหารยึดอำนาจรัฐได้ทุกครั้งที่เขาต้องการเพื่อรักษาผลประโยชน์และระบอบเศรษฐกิจของเขา ทหารจึงเป็นเพียงเครื่องมือของกษัตริย์ที่ใช้ให้กุมอำนาจรัฐเพื่อกดขี่ขูดรีดเอากับประชาชน เหมือนพลเอก ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี หัวหน้ารัฐบาล คสช.ทำอยู่ในเวลานี้ที่ได้รับมอบหมาย ม. 44 จากกษัตริย์ทำหน้าที่แทนกษัตริย์ได้ทุกอย่างกับประชาชนไทยทุกคนในประเทศนี้แม้แต่สั่งยึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร นี่คือธาตุแท้ของระบอบกษัตริย์เผด็จการ

พลังการผลิตของสังคม ( Productive Forces ) ซึ่งประกอบไปด้วย " เครื่องมือการผลิต " ( Instruments of Production ) คือพื้นฐานชั้นล่างทางเศรษฐกิจ
ได้แก่ ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน กรรมกรผู้ใช้แรงงาน พ่อค้าแม่ค้า ที่เป็นผู้ผลิตเลี้ยงสังคม และเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ ประชาชนที่เป็นผู้ผลิตเลี้ยงสังคมเหล่านี้นอกจากจะไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากรัฐในเรื่องค่าแรง และสวัสดิการต่างๆแล้ว รัฐยังกดขี่ ขูดรีด ข่มเหงรังแก รีดไถ คตโกง เอารัดเอาเปรียบประชาชนฝ่ายที่เป็นพลังการผลิตทุกอย่างอย่างไร้ความเป็นธรรม ไม่มีสิทธิเสรีภาพ ไม่มีความเสมอภาคและประชาธิปไตย รัฐใช้อำนาจบังคับไม่ให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้แม้แต่ในวงการสงฆ์ โดยใช้ ม. 44 และ ม. 112  เป็นเครื่องมือในการปราบปรามประชาชน ประชาชนได้รับการดูถูกเหยียดหยามว่าเป็นไพร่ เป็นฝุ่นใต้ขี้ตีนของกษัตริย์
ชนส่วนใหญ่ที่เป็นพลังการผลิตของสังคม ( Productive Forces ) นอกจากจะผลิตเลี้ยงตัวเองและครอบครัวแล้วยังผลิตเลี้ยงกษัตริย์และครอบครัวพร้อมนางบำเรอทั้งหลายแหล่อีกด้วย ต้องส่งส่วยเป็นเงินปีละหลายหมื่นล้านบาท โดยที่กษัตริย์เองและครอบครัวไม่ต้องทำการผลิตอะไรนอกจากนอนอาศัยกินแรงงานของประชาชนที่เป็นฝ่ายผลิตเลี้ยงดูแบบเสือนอนกิน เราจึงเรียกพวกนี้ว่า " พวกกาฝากสังคม "
กาฝากสังคมเหล่านี้มีชีวิตเสพสุข อยู่อย่างฟุ้งเฟ้อทำตัว เป็นอภิสิทธ์ชน มีอำนาจเหนือสังคมเหนือกฏหมายทุกอย่าง มีวิธีเสพสุขแบบพิสดารเหมือนทากหรือปลิงที่สืบพันธ์กันเองและมีชีวิตอยู่ด้วยการดูดกินเลือดของคนไทยทั้งประเทศ
วชิราลงกรณ์เองมีฮาเรมส่วนตัวอยู่ที่เมืองมิวนิคประเทศเยอรมันนี มีนางบำเรอมากมายที่เขาสามารถแต่งตั้งให้เป็นยศฐาบรรดาศักดิ์อะไรก็ได้ มีวังหลายแห่ง บางแห่งก็ทำเป็นคุกส่วนตัว  มีเครื่องบินส่วนตัวใหม่เอี่ยม 2 - 3 ลำ สำหรับไว้ขี่เล่นในต่างประเทศ ทำตัวเป็นกุ้ยเสเพลอย่างไรก็ได้ซึ่งไม่มีกษัตริย์ในโลกที่ไหนเขาทำกัน
ตามหลักทฤษฏีที่ว่าในสังคมใดที่ความสัมพันธ์การผลิต ( Production Relation ) คือผู้ถือครองปัจจัยการผลิตกับกำลังการผลิตสอดคล้องต้องกันสังคมนั้นก็จะพัฒนาก้าวหน้า แต่ถ้าสังคมใดที่เจ้าของปัจจัยการผลิตกับกำลังการผลิตไม่สอดคล้องกันสังคมนั้นก็จะเกิดการขัดแย้งกันขึ้นเมี่อความขัดแย้งนี้ถึงขั้นรุนแรงที่สุดก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมใหม่ที่ดีกว่าซึ่งเป็นไปตามกฏเกณฑ์วิวัฒนาการของมนุษย์ชาตื ตามที่ Dr. Karl Marx ได้ค้นพบในวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงของสังคมมนุษย์ จากระบอบสังคมปฐมการ สู่สังคมทาส สังคมศักดินา สังคมทุนนิยม และสังคมนิยม
จากสภาพการณ์ของการเปลี่ยนแปลงสังคมแบบนี้เมื่อความสัมพันธ์การผลิต   คือผู้ถือครองปัจจัยการผลิตของสังคมไทย  ได้แก่ ฝ่ายกษัตริย์   กับฝ่ายที่เป็นพลังการผลิตของสังคม ที่กำลังเกิดการขัดแย้งกันอยู่ในเวลานี้  เนี่องจากฝ่ายเจ้าของปัจจัยการผลิตขัดขวางพลังการผลิตไม่ให้เจริญพัฒนาก้าวหน้า ทำให้เศรษฐกิจหล้าหลัง ประชาชนที่เป็นพลังการผลิตถูกกดขี่ขูดรีดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า เมื่อมนุษย์ในสังคมได้รับการกดขี่ได้รับความเดือดร้อนก็จะเป็นไปตามทฤษฏีที่ว่า
 " ความเป็นอยู่ปากท้องของมนุษย์เป็นเครื่องกำหนดจิตสำนึกของมนุษย์ "  คือเมื่อชนชั้นที่เป็นพลังการผลิตมีจิตสำนึกที่รู้ตัวว่าถูกกดขี่เบียดเบียน ทำให้เกิดหูตาสว่างตื่นตัว ก็จะเป็นพลังหลักขับเคลื่อนรวมตัวกันลุกขึ้นต่อสู้โค่นล้มระบอบกษัตริย์เผด็จการที่ป่าเถื่อนนั้นลงได้ 
อำนาจทุกอย่างก็จะเป็นของประชาชนและประชาชนจะเป็นผู้ใช้อำนาจนั้นทั้งทาง นิติบัญญัติ บริหาร และ ตุลาการ ประชาชนก็จะมีสิทธิ เสรีภาพ มีประชาธิปไตย เป็นเจ้าของประเทศ ไม่ต้องเสียค่าส่งส่วยให้แก่กษัตริย์บ้ากามและครอบครัวปีละหลายหมื่นล้านบาท ประชาชนทั้งประเทศก็จะได้รับการปลดปล่อยตนเองออกจากสังคมทาสภายใต้ ม. 112 และ ม. 44 ของระบอบเผด็จการกษัตริย์ที่จองจำเรามาเป็นเวลา 80 กว่าปีแล้ว  ประชาชนก็จะมีความสุขไปชั่วลูกชั่วหลานนี่คือการทำบุญอันยิ่งใหญ่ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนไทยทั้งประเทศร่วมกัน
 
Matichon Online - มติชนออนไลน์
สมเด็จพระเจ้าอยู่หอย เสด็จฯเปิดงานอุ่นไอรัก ครั้งที่ 2 พร้อมทรงปั่นจักรยาน 9 ธ.ค.




("9 ธ.ค.ปั่นจักรยาน"เปิดงานอุ่นไอรัก ครั้งที่ 2  .)


คลิกดู-สมเด็จพระเจ้าอยู่หอย เสด็จฯเปิดงานอุ่นไอรัก ครั้งที่ 2 พร้อมทรงปั่นจักรยาน 9 ธ.ค.

ปรัชญาในการต่อสู้กับระบอบกษัตริย์เผด็จการ

ปรัชญาในการต่อสู้กับระบอบกษัตริย์เผด็จการ

โดย ไชยอุดม.

12 ก.ค. 18

การต่อสู้กับระบอบกษัตริย์เผด็จการอันเหี้ยมโหดและป่าเถื่อนภายใต้กษัตริย์ทรราชย์คนปัจจุบันที่ใช้อำนาจทุกอย่างครอบงำสังคมไทยในเวลานี้ 
ก่อนอึ่นเราต้องเริ่มจากแนวความคิดหรือทำความเข้าใจในด้านปรัชญาเสียก่อนว่าความหมายของปรัชญานั้นคืออะไร...

ปรัชญาความหมายง่ายๆคือ โลกทัศน์ โลกทัศน์คือทัศนะของการมองโลก ว่าโลกนี้คืออะไร โลกนี้ก็คือวัตถุที่ดำรงคงอยู่ตามธรรมชาติ มีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา  การให้คำจำกัด
ความสั้นๆของโลกเช่นนี้เป็นการมองโลกแบบวัตถุนิยมที่เป็นจริงคือโลกนี้เกิดขึ้นมาเองและดำรงคงอยู่ตามธรรมชาติไม่มีใครสร้างขึ้น  โลกนี้เป็นสสารหรือวัตถุที่จับต้องสัมผัสได้ 

แต่ยังมีแนวความคิดอีกแนวหนึ่งที่เชื่อว่าโลกนี้พระเจ้าเป็นผู้สร้างขึ้นมา ซึ่งแนวคิดแบบนี้มีความเชื่อว่า มีพระเจ้าอยู่บนสรวงสวรรค์ดลบันดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของพระเจ้าแม้แต่มนุษย์ที่เกิดมาตลอดจนสัตว์สาวาสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้ากำหนดทั้งนั้น แนวความคิดแบบนี้คือแนวความคิดแบบจิตนิยม เป็นแนวคิดแบบเพ้อฝันไม่มีกฏเกณท์ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ผิดหลักของธรรมชาติ

ปรัชญาหรือทัศนะในการมองโลกก็มีสองแนวคิดนี้เองที่กำลังต่อสู้กันอยู่ในโลกของสังคมนุษย์ชาติในเวลานี้ คือแนวความคิดแบบวัตถุนิยมและแนวความคิดแบบจิตนิยม

สมัยก่อนมนุษย์เรายังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฏเกณฑ์ต่างๆของธรรมชาติ ไม่สามารถอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจักรภพนี้ได้   จึงเชื่อเอาอย่างงมงายว่าธรรมชาติและสรรพสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมีสิ่งบันดาลมาจากเบื้องบนเพื่อให้เป็นไปเช่นนั้น  ซึ่งอำนาจจากเบื้องบนนั้นเชื่อกันว่าเป็นอำนาจของพระเจ้า  หรืออำนาจของพวกเทวาอารักษ์  พวกเจ้าโคตรเจ้าตระกูลทั้งหลาย  ผู้ที่เป็นหัวหน้าสังคมที่ถูกเลือกขึ้นในยุคของสังคมบุพกาลเพื่อให้เป็นตัวแทนในการทำพิธีทางไสยศาสตร์นั้น   ต่อมาก็ได้ตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์  หรือจักรพรรดิ์ ปกครองอยู่ตามดินแดนหรือในแค้วนต่างๆ  บุคคล เหล่านี้ได้ตั้งตนเองขี้นเป็นตัวแทนของพระเจ้า  อ้างว่าพระเจ้าส่งตนลงมาจุติในโลกมนุษย์ หรือเป็นตัวแทนมาจากเบื้องบน ที่สวรรค์ส่งลงมาเพื่อโปรดมนุษย์ และอ้างว่าได้รับอำนาจมาจากสรวงสวรรค์ให้มาปกครองมนุษย์  เช่นจีนในสมัยโบราณมีความเชื่อกันว่าจักรพรรดิ์เป็นโอรสของพระเจ้าส่งลงมาจากสวรรค์  ประเทศญี่ปุ่นสมัยเก่าก็เชื่อกันว่าจักรพรรดิ์เป็นโอรสของพระอาทิตย์มาเกิดเป็นต้น

ความเชื่อเช่นนี้คือต้นเหตุของแนวความคิดที่ทำให้กษัตริย์หรือจักรพรรดิ์ในประเทศต่างๆคิดเอาเองว่า  สรรพสิ่งทั้งหลายทุกอย่างในโลกนี้เช่น ที่ดิน  คนและสัตว์เป็นสมบัติของตนทั้งหมด  
ในประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยายังปรากฏในกฏหมาย  “ ตราสามดวง“ว่า  “ ที่ดินทั้งหลายในแคว้นศรีอยุธยาเป็นของพระเจ้าอยู่หัวโดยพระบรมเดชานุภาพ “  ระบอบศักดินา จึงเกิดขึ้น  อำนาจการปกครองทุกอย่างอยู่ในมือของผู้เป็นหัวหน้าของสังคมแต่ผู้เดียว 
กษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ สามารถใช้อำนาจได้โดยไม่จำกัดขอบเขต  อำนาจเผด็จการโดยสมบูรณ์ของกษัตริย์ก็เกิดขึ้น   ต่อมากษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ ยังได้ตราเป็นกฏหมายขึ้นอีกว่า เมื่อตัวเองตายลงก็ให้ลูกหรือญาติที่สนิทของตนรับช่วงเป็นผู้สืบทอดวงศ์ตระกูลปกครองประเทศสืบต่อไป เป็นการสืบทอดราชสันติวงค์ต่อไปอีกเป็นทอดๆ ดังที่เห็นกันอยู่ในสังคมไทยในเวลานี้

สำหรับในต่างประเทศที่เจริญแล้วระบอบกษัตริย์ได้ถูกโค่นล้มลงไปหมดแล้ว เช่น จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส เยอรมันนี เวียตนาม ลาว พม่า หรือ เมียนม่า ฟีลแลนด์  ฯลฯ เป็นต้น ส่วนประเทศที่มีประชาธิปไตยที่ยังมีระบอบกษัตริย์เหลืออยู่กษัตริย์เหล่านั้้นก็อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ   โดยอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชนและปวงชนเป็นผู้ใชัอำนาจนั้นปกครองประเทศ เช่น เบลเยี่ยม อังกฤษ สวีเด็น นอรเวย์ เด็นมารค์
สำหรับประเทศไทยกษัตริย์อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ อำนาจทุกอย่างรวมศูนย์อยู่ที่กษัตริย์วชิราลงกรณ์แต่ผู้เดียว ดังนั้นวชิราลงกรณ์คือกษัตริย์เผด็จการ ไม่มีคุณงามความดีอะไรที่จะเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศ ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน

เพื่อความอยู่รอดเขาจึงดิ้นรนทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสร้างภาพให้ตัวเอง ด้วยการมอมเมาโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ โดยอาศัยสื่อสารมวลชนและเครือข่ายต่างๆของรัฐที่เขามีอำนาจครอบงำอยู่ในเมืองไทยโหมโฆษณาสร้างภาพด้านเดียวเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นจากความเลวทรามของตัวเองให้ประชาชนสนใจไปทางอื่นเช่นการสร้างภาพเด็ก 13 คนติดในถ้ำหลวง เป็นการก่อกระแสอย่างใหญ่โตที่เกินกว่าเหตุกระจายข่าวไปทั่วโลก   พวกเจ้าพยายามสร้างภาพให้กับตนเองว่าเขาคือพระเจ้าที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ธรรมดา   เป็นบุคคลพิเศษที่จะใช้อำนาจทำอะไรกับใครก็ได้แม้แต่กับลูกเมียตัวเอง

ซึ่งวิธีการหรือแนวความคิดแบบนี้  เป็นหลักวิธีคิดแบบจิตนิยมที่มีมาจากสังคมของระบบทาส   โดยเอาจิตของตนไปกำหนดเอากับวัตถุหรือสิ่งของอื่นตามใจชอบโดยไม่คำนึงถึงหลักความเป็นจริง เพราะความเป็นจริงนั้นคือ มนุษย์ในโลกนี้เกิดมาเหมือนกันหมดต่างกันเพียงแต่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชายแต่เนื้อหาหรือธาตุแท้ของมันก็คือมนุษย์ธรรมดา เป็นวัตถุหรือสสารที่เคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงได้   มนุษย์เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติไม่ใช่พระเจ้าเป็นผู้สร้างมา สิ่งแวดล้อมและสภาพการเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งกำหนดความคิดของมนุษย์  ไม่ใช่เทวดาหรือเทวาอาลักษ์ที่ใหนอย่างที่พวกเจ้าเขาคิดหรือสร้างภาพให้คนเชื่อ  แนวความคิดของพวกเจ้าคือแนวความคิดแบบจิตนิยม  โดยสร้างภาพสมมุติตนเองเป็นเทวดาให้คนเคารพกราบไหว้บูชา   ทำตัวเป็นตัวแทนของพระเจ้า เพื่อตัวเองจะได้ปกครองคนอื่นได้

ดังนั้นกษัตริย์และครอบครัวของเขาจึงไม่ใช่พวกเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไร การใช้ศรรพนามเรียกบุคคลเหล่านั้นว่า "พระเทพฯ ฟ้าหญิง  ฟ้าชาย" เป็นเพียงการสร้างภาพให้แก่พวกเขาเองเป็นการสมมุติให้ดูว่าพวกเขาเป็นคนพิเศษเท่านั้น   ถ้าเราไม่เอาจิตไปกำหนดโดยคิดไปเอง หรือเชื่ออย่างงมงายว่าพวกคนเหล่านั้นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว  พวกเขาเหล่านั้นก็เป็นเพียงคนปกติธรรมดาและไม่มีอะไรเกิดขึ้น    ทุกอย่างอยู่ที่จิตของเรา ธาตุแท้ของมนุษย์ก็คือวัตถุหรือสสารที่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้ มีการเกิด การพัฒนา และดับสูญไปตามกฏของธรรมชาติเท่านั้น

เราอย่าเอาจิตไปกำหนดวัตถุโดยคิดไปเองตามการโฆษณาชวนเชื่อของพวกเขา เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าโลกนี้คือวัตถุเราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้   เช่นถ้าเราต้องการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเราก็ต้องศึกษาหรือค้นขว้าหาข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับแม่น้ำเสียก่อนจึงลงมือสร้างไม่ใช่เอาจิตไปกำหนดหรือคิดไปเองให้เกิดสะพานขึ้นมา ถ้าเราต้องการเปลี่ยนสังคมเราก็ต้องศึกษาให้เข้าใจสังคมนั้นเสียก่อนว่าเป็นสังคมอะไร เช่นสังคมไทยเป็นสังคมกษัตริย์เผด็จการ ถ้าเราต้องการเปลี่ยนให้เป็นสังคมประชาธิปไตยก็ต้องโค่นล้มระบอบกษัตริย์เผด็จการนั้นลงแล้วสร้างระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาแทนซึ่งนี้คือหลักความจริงตามธรรมชาติที่มนุษย์เรามีสิทธิ์จะกระทำได้ซึ่งในหลายประเทศได้ทำสำเร็จมาแล้ว

ดังนั้นทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองเราต้องปลดปล่อยตัวเราเองก่อนโดยเริ่มจากแนวความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์มองโลกจากหลักของความเป็นจริงตามหลักของธรรมชาติ มีสติเริ่มต้นจากจิตของเราว่าเราจะสู้หรือไม่สู้ถ้าเราตัดสินใจจะสู้ก็ต้องศึกษาค้นหาวิธีการต่อสู้ และต้องรู้ว่าสู้กับใคร ใครคือศัตรูใครคือมิตร  อย่าลืมว่าประชาชนที่ถูกกดขี่เป็นพลังส่วนมากของสังคมถ้าเราตัดสินใจได้และพร้อมใจกันลุกขึ้นสู้โดยการปฏิเสธไม่ยอมรับระบอบกษัตริย์เผด็จการเท่านั้นพวกมันก็อยู่ไม่ได้.
..........................................
Image may contain: 3 people

เจ้าของไอเดีย(คำสั่ง)จัดงาน "คลายความหนาว" ให้ กทม.เมื่ออุณหภูมิ 30 ไม่โผล่มานะครับ และโทษของการ "เกรียนไม่พอ" (เกรียนแล้ว แต่ผมมันขึ้นน่ะ)
วันนี้เป็นวันเริ่มงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว" ที่วชิราลงกรณ์เกิด "ไอเดียบรรเจิด" ให้จัด ปรากฏว่า เขาเองไม่ได้กลับมานะครับ เปรมไปเปิดงานแทน (2 ภาพประกอบแรก ดูข่าวที่นี่ https://goo.gl/3fBAou)
ก็เป็นไปตามฟอร์ม ไม่ได้ผิดคาดอะไร
(ผมดูอากาศกรุงเทพจากนี้ไป 30 ต้นๆ ไปถึง 30 กลางๆเมื่องานจบเดือนหน้า - ความจริง น่ามาจัดปารีสนะครัช หลายวันนี้ หนาวฉิบ หิมะเต็มไปหมด)
..............
ไหนๆพูดเรื่อง "แอ๊บเซ็นที คิง" (absentee king กษัตริย์ผู้ไม่อยู่) ก็ขอถือโอกาสพูดถึงข่าวเมื่อ 3-4 วันก่อน เรื่องการลงโทษตำรวจ เพราะทำผิดเรื่องทรงผม "เกรียนวชิราลงกรณ์"
เริ่มจาก มีข่าวออกมาว่า จักรทิพย์ "ยัวะ" ที่ "ตำรวจบางนายยังประพฤติปฏิบัติไม่เป็นผู้เคร่งครัดในระเบียบวินัยตามแนวทางที่กำหนด ปล่อยให้ผมยาวไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย" (ภาพประกอบที่สาม ดูข่าวที่นี่ https://goo.gl/ncnD9z)
สองวันต่อมา ก็มีคำสั่ง "เด้ง" ช่วยราชการ ตำรวจ 40 นาย ตาม สน.ต่างๆ ที่ทำผิดเรื่อง "ผมยาว" (ภาพประกอบที่สี่ ดูข่าวที่นี่ https://goo.gl/HDs4FT)
ที่น่าสนใจคือ Khaosod English ดูเหมือนเป็นฉบับเดียว (ผมไม่เห็นในฉบับอื่น โดยเฉพาะในภาษาไทย) ที่ไปตามข่าวเรื่องนี้
คือได้ไปถามผู้กำกับสถานีตำรวจที่มีตำรวจถูก "เด้ง" ซึ่งได้คำตอบมาน่าสนใจมาก (ภาพประกอบที่ห้า ดูข่าวที่นี่ https://goo.gl/Umeoqw)
ข้างล่างนี้ ผมสรุป-แปล มาให้ (เนื่องจากแปลจากภาษาอังกฤษ ดังนั้น จึงอาจจะไม่ตรงเป๊ะๆกับคำภาษาไทย ที่แต่ละคนใช้)
ก่อนอื่น ทรงผมที่ว่า มีการเรียกกันในหมู่ตำรวจว่า "ขาว สาม ด้าน"
ผู้กำกับ สน.ปทุมวัน พูดถึงตำรวจที่ถูกเด้งไป "ช่วยราชการ" ว่า
"ความจริง พวกเขาไปตัดมาแล้ว แต่มันไม่ขาวพอ ด้านข้างต้องขาวด้วย"
"ลูกน้องผมไปตัดมาแล้ว แต่มันงอกขึ้นมาอีก แล้วพอดีมีคนมาตรวจ"
ผู้กำกับ สน.สตูล กล่าวว่า
"พวกที่โดนลงโทษ ปรับตัวช้า ผมก็เข้าใจนะ บางคนต้องเข้าเวร ผมเข้าใจว่าตำรวจต้องเข้าผลัดสลับกันตลอด 24 ชั่วโมง [ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาไปตัด - สศจ.] แต่ตอนนี้ มีระเบียบเข้มงวดขึ้น"
พล.ต.ต.ทรงพล วัธนะชัย อดีตรองโฆษก ตร. กล่าวว่า
"นี่เป็นพระราชปฏิบัติ พูดอย่างนี้ก็แล้วกัน เราล้วนแต่ทำงานรับใช้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตอนนี้ก็ต้องทำไปในทางเดียวกัน ยังไงทรงผมก็ดูสวย ดีแล้วที่ใช้ทรงนี้ มันไม่ได้เป็นการทำร้ายใคร"
ก็ไม่รู้นายตำรวจแต่ละท่าน (และโดยเฉพาะตำรวจระดับผู้น้อยที่ต้องคอยตัดผมบ่อยๆ) รู้สึกจริงๆยังไงนะครับ
แต่ตามประสาคนนอก ผมก็มองว่า น่าสมเพชดี
เจ้าตัวที่บังคับคนอื่นมีวินัยแบบนี้ ...ไม่ "ขาว" เลยไม่ได้... ตัวเองไม่มีวินัยขนาดไหน ก็รู้กันอยู่ ขนาดงานแจกปริญญาเขาอุตส่าห์จัดเวลาให้เริ่มเย็นแล้ว (ไม่มีคนอื่นเขานัดเวลาแบบนี้) "ท่าน" ก็ยังสายได้เป็นชั่วโมงๆ และทำให้คนเดือนร้อนเป็นหมื่นได้ .. ไม่ต้องพูดถึงการไม่ยอมแม้แต่อยู่ในประเทศตัวเอง
เรียกว่า เป็น "สุดยอด" หรือ "พระบิดา แห่งการบังคับคนอื่นให้มีวินัย แต่ไม่รู้จักบังคับตัวเอง" จริงๆ

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar