Submitted on Tue, 2019-12-10 12:48
คนกรุงเทพฯ ดีอกดีใจ นานทีหลายปีหนได้เจออากาศหนาว แต่ข่าวเศร้า
อีสานมีคนหนาวตาย ท่านผู้นำอุตส่าห์ห่วงใย
แนะให้ไปซื้อเสื้อกันหนาวมือสองมาต้ม
นี่คือหน้าที่นายกรัฐมนตรี ? ไม่น่าใช่ แต่ห่วงไง นึกภาพออกเลย สมัยเป็นผู้พันผู้การ ท่านคงชอบสอนไอ้เณรล้างหน้าแปรงฟัน ล้างมือก่อนกินข้าว ฯลฯ จนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเลิกเกณฑ์ทหาร
ฟังแล้วก็เป็นด้านดี อบรมสั่งสอนคนไทยมาห้าหกปี น้ำท่วมให้เลี้ยงปลา เลิกปลูกข้าวปลูกหมามุ่ย ฯลฯ พูดอย่างคือเอาปืนมาจี้ เอาเปรียบกติกา แล้วยังทำตัวเป็นลุงผู้แสนดี
นี่คือหน้าที่นายกรัฐมนตรี ? ไม่น่าใช่ แต่ห่วงไง นึกภาพออกเลย สมัยเป็นผู้พันผู้การ ท่านคงชอบสอนไอ้เณรล้างหน้าแปรงฟัน ล้างมือก่อนกินข้าว ฯลฯ จนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเลิกเกณฑ์ทหาร
ฟังแล้วก็เป็นด้านดี อบรมสั่งสอนคนไทยมาห้าหกปี น้ำท่วมให้เลี้ยงปลา เลิกปลูกข้าวปลูกหมามุ่ย ฯลฯ พูดอย่างคือเอาปืนมาจี้ เอาเปรียบกติกา แล้วยังทำตัวเป็นลุงผู้แสนดี
แต่ประชาชนไม่อยากได้ลุงมาสั่งมาสอน ประชาชนไม่ต้องการญาติผู้ใหญ่
(หลายคนบอกไม่ใช่ญาติกู จะวิ่งไล่อยู่นี่)
ประชาชนอยากได้ผู้นำที่มีความรู้ความสามารถในการบริหาร
แก้เศรษฐกิจปากท้องอย่างถูกทิศทาง ไม่ใช่แจกระยะสั้น
แล้วไม่รู้อนาคตเป็นอย่างไร
ประชาชนยังต้องการผู้นำที่เที่ยงตรง เป็นธรรม ไม่ใช่อ้างว่าตัวเองไม่โกง แต่ใช้อำนาจสองมาตรฐาน อุ้มพวกพ้อง เลือกปฏิบัติกับฝ่ายตรงข้าม ทำได้ทุกอย่างเพื่อครองอำนาจยาวไป
ไม่รู้ใครโพสต์ข้อความ “อย่าใช้ชีวิตติดหรู เพราะลุงยังอยู่อีกนาน” เห็นส่งต่อกันครึกครื้นในโลกออนไลน์ ฟังทีแรกก็ขำ ๆ แต่มาหัวร่อก๊าก ในวันที่ลุงสอนสั่ง คนไทยหมดเงินไปเยอะ เรื่องความสวยความงาม แต่งตัว เสริมจมูก แม้ไม่ได้ว่าอะไรแต่ก็แนะนำให้พอเพียง
ที่จริงเห็นด้วยนะ เพราะส่วนตัวไม่เสียเงินกับเรื่องพวกนี้ ไก่งามเพราะขนแต่คนไม่ใช่ไก่ กระนั้นบางคนต้องการความมั่นใจ ธุรกิจความงามจึงเติบโตมีมูลค่ามหาศาล ทำเงินเข้าประเทศจากการส่งออกหรือต่างชาติบินมาทำ
ลุงออกต่างจังหวัดน่าจะลองฟังวิทยุมั่ง ดีเจทุกวันนี้ถ้าไม่ขายเครื่องสำอางอาหารเสริมคงเจ๊งกันหมด (รวมทั้งวิทยุทหาร)
นี่เรื่องเล็ก ๆ แต่สะท้อนความไม่เข้าใจทิศทางเศรษฐกิจ เดี๋ยวก็เตือนคนไทยให้รู้จักอดออม แต่เดี๋ยวก็บ่นคนมีเงินไม่ยอมใช้จ่าย คนมีสตางค์จะใช้อะไร ก็ซื้อของฟุ่มเฟือยหรือซื้อบริการที่ถูกใจ
เลยกลายเป็นบิดาแห่งการย้อนแย้ง เดี๋ยวเลิกกินหูฉลามเพราะสงสาร เดี๋ยวกลายเป็นเมนูเลิศหรูเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาล
ปัญหาของรัฐบาลดูเหมือนรวมศูนย์ที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทำนองว่าถ้าปากท้องดีขึ้น จะใช้อำนาจตามอำเภอใจอย่างไร ประชาชนก็ไม่สนใจ จะใช้งูเห่าจะยุบพรรคตัดสิทธิ ทำลายฝ่ายค้าน สองมาตรฐานแค่ไหนก็ได้
แต่ความจริงคือ ไม่ใช่แค่ยิ่งแก้เศรษฐกิจยิ่งแย่ลง อย่างที่โพลชี้ “สอบตก” หากดูภาวะเศรษฐกิจโลก เงื่อนไขปัจจัยต่าง ๆ ก็เชื่อได้ว่าต่อให้ส่งออกท่องเที่ยวจีดีพีดีขึ้น 3.0 3.5 ก็ยังไม่ถึงระดับที่ประชาชนพึงพอใจ คนจะบ่นอยู่ดี
ฉะนั้นที่เชื่อว่าจะสามารถทำให้เศรษฐกิจดี จนกลบอำนาจไม่ชอบธรรม จึงเป็นไปได้ยาก เป็นทางตรงข้ามมากกว่า คือยิ่งซ้ำเติม ยิ่งทำให้ประชาชนรู้สึกว่าอยู่นานยิ่งแย่
เศรษฐกิจจะย้อนไปเพิ่มความรู้สึกเหลื่อมล้ำ ไม่ใช่แค่คนจนคนรวย กลุ่มทุนประชารัฐ แต่รวมความไม่พอใจต่ออำนาจรัฐราชการ การจัดระเบียบ ออกใบอนุญาตต่าง ๆ เพิ่มต้นทุนคนทำมาหากิน ความไม่พอใจการใช้อำนาจของตำรวจ อภิสิทธิ์ทหาร สองมาตรฐานนักการเมืองพิทักษ์ผู้นำ
การเมืองไม่ชอบธรรมคิดจะปั้นเศรษฐกิจกลบ แต่มันส่งผลถึงกันอยู่ดี การเมืองแบบนี้ ภายใต้อำนาจที่คาดเดาไม่ได้ ภายใต้รัฐราชการเป็นใหญ่ มีความเหลื่อมล้ำมากมาย ยิ่งทำให้เศรษฐกิจกลับไปเป็นชนวนการเมือง
เผยแพร่ครั้งแรกใน: ข่าวหุ้นธุรกิจ www.kaohoon.com/content/330400
Submitted on Tue, 2019-12-10 12:40
รัฐบาลทำทุกวิถีทาง
เพื่อคว่ำญัตติตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระริทบคำสั่ง คสช. ม.44
แพ้โหวตก็ไม่ยอมแพ้ ขอโหวตใหม่ บีบคั้น ปชป.สั่ง 6 ส.ส.โหวตตามมติวิป
ขู่ปรับขู่ยุบ แล้วเลี้ยงหูฉลามกอดคอฝ่ายค้านอิสระ
ท้ายที่สุดเพื่อความชัวร์ ก็เปิดกระเป๋าให้งูเห่าเลื้อยออกมา
ขนาด พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ หนีหมายจับศาล ยังต้องปฏิบัติการฝ่าดงตำรวจเป็นร้อยเป็นพัน มาโผล่ลงคะแนนในสภา สุดยอดเลย (อยู่เพื่อไทยไม่เก่งอย่างนี้นะ)
ถามใหม่ นี่ญัตติอะไร ตั้งกรรมาธิการ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลมีจำนวนมากกว่าฝ่ายค้าน ประธานก็คนของรัฐบาลแหงๆ แล้วทำอะไรได้ ยกเลิกทบทวน ม.44 ก็ไม่ได้ อย่างมากก็เป็นเวทีให้ผู้ได้รับผลกระทบมาโวยวาย
ไม่ใช่กฎหมายสำคัญ ไม่ใช่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ไม่ใช่ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจสักหน่อย แต่รัฐบาลยอมไม่ได้
ขนาด พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ หนีหมายจับศาล ยังต้องปฏิบัติการฝ่าดงตำรวจเป็นร้อยเป็นพัน มาโผล่ลงคะแนนในสภา สุดยอดเลย (อยู่เพื่อไทยไม่เก่งอย่างนี้นะ)
ถามใหม่ นี่ญัตติอะไร ตั้งกรรมาธิการ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลมีจำนวนมากกว่าฝ่ายค้าน ประธานก็คนของรัฐบาลแหงๆ แล้วทำอะไรได้ ยกเลิกทบทวน ม.44 ก็ไม่ได้ อย่างมากก็เป็นเวทีให้ผู้ได้รับผลกระทบมาโวยวาย
ไม่ใช่กฎหมายสำคัญ ไม่ใช่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ไม่ใช่ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจสักหน่อย แต่รัฐบาลยอมไม่ได้
แตะต้องคำสั่ง คสช. ม.44 ไม่ได้? วิษณุ เครืองาม บอกแล้วไง กรรมาธิการอื่นก็ทำได้ กรรมาธิการกฎหมายที่ ปิยบุตรเป็นประธาน ก็เรียก พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ มาชี้แจงได้
งั้นที่รัฐบาลลงทุนลงแรงไป คุ้มหรือเปล่า บางคนอาจบอกว่าคุ้ม ได้แบไต๋ว่ามีงูเห่า สร้างความเชื่อมั่น นับงูเห่าแล้วรัฐบาลไม่ได้มีเสียงปริ่มน้ำ เผลอๆ ยังฝากเลี้ยงไว้หลายสิบตัว แต่ถามกลับว่านี่หรือคือความเชื่อมั่น ช่วงชิง ส.ส.พรรคอื่นด้วยวิธีที่ไม่อยู่ในทำนองคลองธรรม คนดีที่ไหนยังศรัทธา เว้นแต่พวกหน้ามืดขาประจำ
บางคนบอกว่ารัฐบาลได้ที ขู่ ปชป. อย่ายึกยัก ไม่ง้อก็ได้ แต่ ปชป.กลัวไหม ยังไงก็ไม่สามารถถีบ ปชป.ออกจากรัฐบาล ปชป.เชี่ยวการเมืองในสภาจนเขี้ยวลาก รัฐบาลต่างหากตามไม่ทัน เช่น การเสนอญัตตินี้ ซึ่ง ปชป.เสนอไว้ก่อนร่วมรัฐบาล เมื่อเป็นผู้เสนอญัตติ ก็ต้องโหวตเห็นด้วย จะโหวตตามวิปได้อย่างไร
ลงแรงไปทั้งหมด เพื่อชนะอย่างน่าเกลียด ภายนอกได้งูเห่า ภายในขยายรอยร้าว
ซึ่งวาระต่อไป ยังจะต้องตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ ปชป.ต้องการให้มาร์คเป็นประธาน แต่ พปชร.ยืนกรานต้องเป็นคนของตัว กระทั่ง ปชป.ต้องถอย
รัฐบาลประยุทธ์ 2 ตั้งได้ไม่ถึง 5 เดือน มีแต่เรื่องอื้อฉาว เอาตัวรอดมาได้อย่างทุลักทุเล และทุรัง
ตั้งแต่แรกก็ถวายสัตย์ไม่ครบ ซึ่งจนบัดนี้ประชาชนทั้งประเทศก็ยังไม่รู้ว่าเพราะอะไร รัฐธรรมนูญมาตรา 161 มีแค่ 2 บรรทัดอ่านไม่ครบ แต่อ้างศาลรัฐธรรมนูญบอกให้จบ
รัฐมนตรีถูกสื่อออสเตรเลียตีแผ่คำพิพากษาจำคุก ถูกสงสัยว่าได้ปริญญาเอกเก๊ รัฐบาลก็เฉยเมย ปล่อยให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์จนเมื่อยปากกันไปเอง อ้างไม่ขาดคุณสมบัติ แต่ไม่แยแสจริยธรรม อ้าง พ.ร.บ.ล้างมลทิน แต่ ส.ว.แต่งตั้งเคยถูกไล่ออกจากราชการ กกต.ส่งศาลวินิจฉัย เพราะเห็นว่าล้างมลทินไม่ได้
ส.ส.ยึดครองที่ ภบท. ส.ป.ก. โดนข้อหารุกป่า อาจเป็นเรื่องเฉพาะตัว แต่เมื่อเธอมีบทบาทองครักษ์พิทักษ์รัฐบาล ทั้งในกรรมาธิการ ในสภา ในโลกโซเชี่ยล ก็เป็นประเด็นร้อน จะสองมาตรฐานหรือไม่ เมื่อเทียบกับคนจนทำกินไม่กี่ไร่ ติดคุกระนาวในยุค คสช.
เชื่อได้เลย เดี๋ยวก็มีเรื่องอื่นต่อ แต่รัฐบาลนี้จะหน้าตาเฉย ไม่แยแสสนใจ ใครก็ทำอะไรไม่ได้ ล้มไม่ได้ เพราะอำนาจหนุนหลังแน่นเหนียวใหญ่โต
รัฐบาลประยุทธ์ 2 ได้อำนาจไม่ชอบธรรม จากกติกาเอาเปรียบ 250 ส.ว.ตู่ตั้ง แล้วก็หวังว่าประชาชนจะอยู่ในภาวะจำยอม ไม่สามารถต่อต้านอำนาจปืนอำนาจกฎหมาย ลงถนนก็ตายฟรี
แผนการของเครือข่ายอำนาจอนุรักษนิยมคือ สถาปนาประชาธิปไตยเทียม อ้างว่ารัฐบาลมาจากเลือกตั้ง มีสภา มีฝ่ายค้าน ทำให้เสมือนทุกอย่างกลับสู่ปกติ โดยก๊อบปี้มาจากประชาธิปไตยครึ่งใบยุค พล.อ.เปรม หวังอยู่อีก 8 ปี
ทั้งที่เงื่อนไขไม่เหมือนกัน และไม่สามารถทำให้เหมือนปกติ ยุคเปรมเป็นผลจากการยุติความขัดแย้ง กลับสู่ภาวะอะลุ้มอล่วย เอาความขัดแย้งมาอยู่ในระบอบรัฐสภา ยุคนี้เกิดจากการบังคับประชาชนให้ไม่มีทางเลือก แล้วก็ยังบังคับต่อไป ไม่ยอมให้ขัดแย้ง
อำนาจวันนี้จึงอยู่อย่างแข็งขืน บนความไม่พอใจของประชาชน แต่ก็ยังพยายามจะควบคุมให้ได้ทุกอย่าง ไม่ชนะเลือกตั้งก็ใช้สูตรคำนวณ เสียงปริ่มน้ำก็ดูดงูเห่า จ้องยุบพรรคตัดสิทธิ ใช้ความอยุติธรรมทำลายฝ่ายตรงข้าม
การอยู่แบบไม่รู้จักอะลุ้มอล่วย ใช้อำนาจตามอำเภอใจ คิดแต่ว่าประชาชนไม่กล้าลุกฮือ ไม่กล้าต่อต้าน เลือกตั้งอย่างไรก็แพ้ 250 ส.ว. แพ้ กกต. อย่างนี้ต่างหากควรเรียกว่า “อยู่ไม่เป็น”
อำนาจอนุรักษนิยมในสังคมไทยที่จริง “อยู่เป็น” รู้จักปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลง ความต้องการของประชาชน แลกกับการคงอำนาจสำคัญๆ ที่ตนต้องการ
แต่อำนาจที่อยู่ไม่เป็น ไม่เข้าใจขีดจำกัดความอดทนของประชาชน นี่แหละอันตราย
เผยแพร่ครั้งแรกใน: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/hot-topics/news_3144926
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar