“ครูครอง จันดาวงศ์” นักต่อสู้ปชต.เจ้าของวาทะ “เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ”
ผู้เขียน | กฤษณะ โสภี |
---|---|
เผยแพร่ |
“ครูครอง จันดาวงศ์” นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจากที่ราบสูง เจ้าของวาทะ “เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ”
“เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ” หลายคนคงจะคุ้นหูกับวาทะนี้ บางท่านคงรู้ดีว่าเป็นคำกล่าวของ “ครูครอง จันดาวงศ์” นักต่อสู้ทางการเมืองผู้ไม่เห็นด้วยกับระบอบเผด็จการรวมถึงพยายามคัดค้านระบอบนี้อย่างหัวชนฝา บทบาทการต่อสู้ทางการเมืองของ ครูครอง นั้นเรียกได้ว่าเคียงคู่มากับ “ขุนพลภูพาน” เตียง ศิริขันธ์ ส.ส. จากจังหวัดสกลนคร (ถึงแม้จะไม่โดดเด่นเท่า) มาตั้งแต่ก่อตั้งขบวนการเสรีไทยสายอิสานเลยทีเดียว จากนั้นก็เคลื่อนไหวต่อสู้กับระบบอันอยุติธรรมมาตลอดช่วงชีวิต จนครูครองได้รับการขนานนามว่าเป็น “วีรบุรุษแห่งสว่างแดนดิน”ประวัติ
ครูครอง จันดาวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ.2451 ในครอบครัวชาวนาที่ค่อนข้างมีฐานะ ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร บิดา ชื่อ นายกี จันดาวงศ์ (ต่อมาได้บรรดาศักดิ์เป็นหมื่นศรีภักดี) มารดาชื่อ แม่เชียงวัน ทั้งบิดาและมารดามีเชื้อสายไทยย้อ มีบุตรด้วยกัน 9 คน ครูครองเป็นคนสุดท้อง ในวัยเด็กครูครองนั้นเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดศรีษะเกษใกล้บ้าน จากนั้นได้เรียนโรงเรียนมัธยมที่โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล จนจบชั้นมัธยม จึงไปประกอบอาชีพเป็นครูที่บ้านตาลโกน อำเภอสว่างแดนดิน ต่อมาได้ย้ายมาเป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนบ้านบงเหนือ และได้สมรสกับ น.ส.มุกดา ลูกสาวกำนันบ้านบงเหนือ แต่ความสัมพันธ์ไม่ราบรื่น จึงได้หย่าขาดจากกัน ต่อมาได้ย้ายไปเป็นครูอีกหลายโรงเรียน และได้สมรสใหม่กับ น.ส.แตงอ่อน แซ่เต็ง ใน พ.ศ.2480 จนกระทั่งย้ายมาเป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนวัดบ้านทรายมูล ตำบลพันนา ในอำเภอสว่างแดนดิน1 จังหวัดสกลนครการต่อสู้ทางการเมือง
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า ครูครอง จันดาวงศ์ เป็นอดีตเสรีไทยสายอีสานร่วมกับเตียง ศิริขันธ์ อีกทั่งยังเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร มีการต่อต้านคัดค้านระบอบการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยมาโดยตลอด เคยถูกจับข้อหาเป็นกบฏแบ่งแยกดินแดนเมื่อปี 2491 และกบฏสันติภาพเมื่อปี 2495 ถูกปล่อยตัวออกมาในช่วงพ.ศ. 2500 ในกรณีนิรโทษกรรมกึ่งพุทธกาล ช่วงที่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐประหารโค่นจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีการยุบสถาและเปิดให้มีการเลือกตั้งในปีเดียวกัน ครูครองลงสมัคร ส.ส.ก็ได้เป็น ส.ส.จังหวัดสกลนคร จนกระทั่งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก่อการรัฐประหารครั้งที่สองเพื่อยึดอำนาจใน พ.ศ.2501 พร้อมกับปกครองในระบอบเผด็จการเต็มรูปแบบ ยกเลิกระบอบรัฐสภาและยุติการเลือกตั้ง จากนั้น ก็ได้กวาดล้างปราบปรามนักหนังสือพิมพ์และนักการเมืองฝ่ายค้านจำนวนมากในตอนแรกนั้นครูครองไม่ได้ถูกกวาดล้างในรอบแรกนี้ ครูครองจึงต้องออกจากส.ส. มาประกอบอาชีพเป็นครูควบคู่กับการทำเกษตรกรและค้าขายที่สกลนคร รวมถึงยังคงทำงานร่วมกับประชาชนเช่นเดิม โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะจัดตั้งให้ชาวนาชาวไร่รวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นสำคัญ ครูครองได้แนะนำการทำเกษตรกรโดยให้ชาวบ้านลงแขกเพื่อช่วยเหลือกันในการทำนา พร้อมกันนั้นเขาก็ได้ต่อต้านอำนาจเผด็จการไปด้วย2
ครูครองและผองเพื่อนมีการจัดตั้งสมาคมลับที่ชื่อ “สามัคคีธรรม” เพื่อทำการต่อต้านอำนาจเผด็จการ และอบรมสั่งสอนประชาชนที่ทุกข์ยากให้รู้จักถึงความสำคัญของชนชั้นกรรมาชีพ ครูครองทำการต่อต้านอำนาจเผด็จการจนกระทั่งถูกล้อมจับในวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2504 ท้ายที่สุดก็ถูกคำสั่งประหารชีวิตด้วยมาตรา 17 ของจอมพลสฤษดิ์ โดยไม่มีการไต่สวนพิจารณาคดีแต่อย่างใด ครูครองถูกประหารชีวิตพร้อมกับคูรทองพันธ์ สุทธิมาศ ในวันที่ 31 พฤษภาคม ปีเดียวกัน กล่าวกันอย่างแพร่หลายว่าก่อนที่จะทำการประหารนั้นทหารได้นำตัวครูครองไปพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขณะที่ถูกจับครูครองให้สัมภาษณ์ว่า “ผมไม่ถือโทษโกรธตำรวจแต่อย่างไร เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่ ขอแต่ให้ดำเนินคดีไปตามตัวบทกฎหมายก็แล้วกัน ผมไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลย เพราะถูกจับเสียจนชินแล้ว”3 หลังจากนั้นครูครองกับเพื่อนที่ถูกจับก็ถูกนำตัวส่งเข้าหลักประหาร ก่อนที่จะทำการยิงเป้านั้น เขาได้ฝากวาทะสำคัญอันลือเลื่องไว้ก็คือ “เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ” จบประโยคกระสุนก็รัวใส่ร่างของครูครองจนสิ้นชีพ เป็นอันสิ้นสุดบทบาทของวีรบุรุษสว่างแดนดินแต่บัดนั้น
ถึงแม้ว่า ครูครอง จันดาวงศ์ จะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่คำกล่าวขานถึงการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยยังคงครุกรุ่นอยู่เสมอ พร้อมกับประโยคทองของครูครองที่จะเป็นอมตะตลอดไป ตราบใดที่เผด็จการยังคงรู้สึกสง่างามกับอำนาจบาตรใหญ่ของเขา
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar