ขณะที่ตัวเองออกงานมานั่งลอยหน้าลอยตาอยู่กับเมียน้อยเมียหลวงทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของการเป็นประมุขของประเทศ แต่ทำตัวเป็นหัวหน้าแก็งมาเฟียออกคำสั่งให้ยัดเยียดข้อหาเด็กนักเรียนนักศึกษาและประชาชนที่ออกมาต่อสู้เรียกร้องเพื่อประชาธิปไตย โดนจับเข้าคุกโดยยังไม่มีการตัดสินว่ามีความผิด...
นับเป็นกษัตริย์ที่ชั่วช้าเลวทรามที่สุดแห่งยุค(สังคมโลกสมัยใหม่) แล้วคุณจะมานั่งเป็นกษัตริย์ให้มันหนักแผ่นดินไปทำไม วชิราลงกรณ์คุณลาออกจากการเป็นกษัตริย์ได้แล้ว ก่อนที่ประชาชนจะใล่คุณออก ที่เยอรมันเขาก็ไม่ต้องการคุณแล้ว ลาออกไปเถอะอย่าทำให้คนไทยทั้งประเทศต้องทุกข์ยากระกำลำบากไปมากกว่านี้อีกเลย ..
ผู้ใดใช้ภาษา "ประทุษร้ายความรู้สึก" ของฝ่ายอนุรักษนิยม ก็สุ่มเสี่ยงต่อการตกที่นั่งผู้ถูกกล่าวหา-ผู้ต้องหา-จำเลย
อิสระ ชูศรี มองขบวนการ “ราษฎร” ผ่านคำหยาบ ราชาศัพท์ และการกลับมาของคดี ม. 112
- เรื่องโดย หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
- วิดีโอโดย ราชพล เหรียญศิริ, ภานุมาศ สงวนวงษ์ ผู้สื่อข่าววิดีโอ
ความเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยและให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า
"ราษฎร" เกิดขึ้นข้ามปี จาก 2563 ถึง 2564
จากเคยพูดไม่ได้ หลายเรื่องพูดได้มากขึ้น
จากแกนนำการชุมนุมที่รับบท "ผู้ปราศรัย" หลายคนตกที่นั่ง "ผู้ต้องหา" และ "จำเลย" คดีความมั่นคงในปัจจุบัน
แม้การปฏิรูปสถาบันฯ ยังไม่เกิดขึ้นตามข้อเรียกร้องของขบวนการราษฎร แต่การปฏิรูปคำศัพท์การเมืองเกิดขึ้นแล้ว
"เพราะทัศนะมันเปลี่ยนไง" ดร. อิสระ ชูศรี อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวกับบีบีซีไทย
นักภาษาศาสตร์ผู้หลงใหลในการเมืองเรื่องภาษา
มองการชุมนุมของกลุ่มราษฎรผ่านคำศัพท์
ปรากฏการณ์ใหม่ในแวดวงภาษาที่เขาพบคือการที่เยาวชนลุกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ผู้ครองอำนาจการเมืองด้วยภาษาที่แสดงระยะห่างความเป็นเด็ก-ผู้ใหญ่
เช่น พูดถึงรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี ด้วยการใช้คำผรุสวาท คำล้อเลียน
หรือจงใจใช้คำไม่สุภาพเพื่อสะท้อนความรู้สึกไม่พอใจ
ซึ่งเท่ากับการไม่ยอมรับลำดับชั้นทางสังคม
ด้วยเพราะภาษาไทยไม่ได้มีมิติเนื้อหาการพูดเพียงอย่างเดียว
แต่ยังแสดงความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูด-ผู้ฟัง-คู่สนทนา-บุคคลที่สามที่กล่าวถึง
ผู้พูดจึงต้องเลือกใช้ภาษาให้เหมาะสมกับฐานะของคู่สนทนา
ทว่านี่คือความสัมพันธ์แบบดั้งเดิมที่ ดร.อิสระ
เห็นว่าผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎรไม่ต้องการรักษาไว้
จึงพยายามลดความนอบน้อม-ยอมรับ
สะท้อนผ่านคำปราศรัยหรือป้ายข้อความที่ปรากฏในพื้นที่ชุมนุม
คำสรรพนามสะท้อนภาพ "คนไม่เท่ากัน"
หนึ่งในปฏิบัติการทางการเมืองเพื่อลดช่วงชั้นทางสังคม
จึงกระทำผ่านการหยิบฉวยราชาศัพท์มาใช้กับสามัญชน เช่น นำคำว่า "สมเด็จ"
มาใช้เรียกอาจารย์บางคนเพื่อยั่วล้อ
"ผลของการใช้แบบสลับที่
ทำให้หน้าที่ของมันในการเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่าคนที่กล่าวถึงเป็นผู้มีฐานะสูงทางสังคม
ก็กลายเป็นสูญเสียหน้าที่นั้นไป" นักภาษาศาสตร์กล่าว
ไม่ต่างจากคำสรรพนามที่ถูกขบวนการราษฎรตีความใหม่-โต้แย้ง หลังเห็นอำนาจแฝงในคำเหล่านั้น ซึ่งสะท้อนภาพ "คนไม่เท่ากัน"
อาจารย์อิสระหยิบยกทฤษฎีภาษาทางสังคมขึ้นมาอธิบาย
เพื่อชี้ให้เห็นว่าภาษาเป็นเครื่องหมายของความสัมพันธ์ เส้นแนวตั้งสะท้อน
"อำนาจ" ยิ่งสูงยิ่งฐานะสูง ส่วนเส้นแนวนอนสะท้อนระยะ "ความห่างเหิน"
ยิ่งใกล้ยิ่งสนิท ยิ่งไกลยิ่งห่างเหิน
โดยมีคำสรรพนามเป็นเครื่องหมายบ่งบอกความยอมรับในสถานะ
"ถ้าเราต้องการบอกว่าอีกฝ่ายมีสถานะสูงกว่าเรามาก
ๆ เราจะไม่พูดถึงตัวเขาตรง ๆ แต่จะพูดถึงสิ่งที่ต่ำของเขา
อย่างเมื่อก่อนมีคำว่า 'ใต้เท้า'
ใช้เรียกข้าราชการระดับสูงหรือหัวหน้าที่มีตำแหน่งสูง
ส่วนเราเป็นผู้น้อยก็ต้องเรียกแทนตัวเองว่า 'กระผม' ผมคือส่วนที่สูงของเรา
เท้าคือส่วนที่ต่ำของเขา แต่ถ้ากล่าวถึงพระมหากษัตริย์
ส่วนที่ต่ำกว่าเท้าลงไปอีกก็คือฝุ่นที่อยู่ใต้เท้า
เวลากล่าวถึงพระมหากษัตริย์จึงกล่าวว่า 'ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท'
ส่วนตัวเราก็คือ 'กระหม่อม'.." ดร. อิสระยกตัวอย่าง
"ราษฎรสาสน์" สื่อความพิเศษของกิจกรรม-ผู้รับ
แม้เห็นว่ากลุ่มราษฎรไม่ยอมรับการใช้ภาษาที่สะท้อนความสัมพันธ์ไม่เท่าเทียม
แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาวัย 52 ปี มิอาจคาดเดาว่ากิจกรรม
"เขียนจดหมายยื่นถึงกษัตริย์" เมื่อ 8 พ.ย. 2563
เป็นความจงใจสื่อสารแนวใหม่ด้วยการใช้คำว่า "ยื่น" แทนคำว่า "ทูลเกล้าฯ
ถวาย" "ถวายฎีกา" หรือเป็นการใช้ภาษาไม่ถูกต้อง
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องแปลก-ใหม่-ไม่เคยมีมาก่อนในสังคมการเมืองไทย
ทั้งตัวกิจกรรมที่เป็นการสื่อสารระหว่างราษฎรกับพระมหากษัตริย์ในพื้นที่สาธารณะ
และตัวข้อร้องเรียนซึ่งเป็น "เอกสารทางการเมือง"
นอกจากฝ่ายกลุ่มเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันฯ
ที่เคลื่อนขบวนไปส่ง "ราษฎรสาสน์" ผ่านสำนักพระราชวัง
ยังมีประชาชนเสื้อเหลืองที่ประกาศตัวเป็น "ผู้พิทักษ์สถาบันฯ" นัดหมายส่ง
"ประชาสาสน์"
ด้วยเขียนข้อความถวายกำลังใจผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในวันเดียวกัน
คำว่า "สาสน์" ที่เคยใช้สื่อถึงจดหมายของประมุขประเทศ หรือประมุขคณะสงฆ์ จึงถูกประชาราษฎร์ทั้งสองฝ่ายหยิบยืมคำมาใช้ไปมา
"ปกติยื่นให้รัฐบาลเขาเรียกว่า
'ยื่นข้อเรียกร้อง' แต่การยื่นข้อเรียกร้องให้พระมหากษัตริย์ไม่มีมาก่อน
ดังนั้นจะเรียกมันด้วยชื่อปกติ ก็อาจไม่สะท้อนความพิเศษของกิจกรรมเท่าไร..
จริง ๆ 'สาสน์' ก็แปลว่าจดหมายนั้นล่ะ
แต่ถ้าบอกส่งจดหมายก็ไม่สะท้อนว่าเป็นการส่งถึงบุคคลที่มีความพิเศษ
ไม่สะท้อนผู้รับ การใช้คำพิเศษก็สะท้อนว่าการกระทำนั้นเป็นสิ่งพิเศษ" ดร.
อิสระระบุ
"ในหลวงสู้ ๆ" สู้กับใครล่ะ
ไม่เพียงฝ่ายเยาวชนหัวก้าวหน้าที่ฉีกขนบจารีตการสื่อสารแบบไทย
ๆ แต่มวลชนฝ่ายอนุรักษนิยมก็ยังกล่าวถวายพระพรแนวใหม่ ด้วยการเปล่งเสียง
"ในหลวงสู้ ๆ" แทน "ทรงพระเจริญ"
ปรีชา
ชายผู้เป็นสมาชิก "ศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน" (ศปปส.)
เคยเฉลยที่มาของคำว่า "ในหลวงสู้ ๆ" กับบีบีซีไทยว่า
"มีทหารราชองครักษ์เป็นคนมาบอกเองว่า 'ตอนพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมา
ให้กล่าวว่าในหลวงสู้ ๆ เป็นการให้น้ำพระทัยท่าน'...
ก็มีพสกนิกรกลุ่มที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ลุงตะโกนคำนี้ออกไป"
บีบีซีไทย ไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ เนื่องจากไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
ปรีชาและภรรยาเป็นส่วนหนึ่งของพสกนิกรที่สวมใส่เสื้อสีเหลืองไปรอเฝ้ารับเสด็จฯ
ในหลวง ร. 10 และพระราชินี เมื่อ 23 ต.ค. 2563 และ 1 พ.ย. 2563
ซึ่งทั้งสองวันมีผู้เปล่งเสียงถวายพระพรวิถีใหม่
ทฤษฎีเดิมว่าด้วยภาษาแสดงความสัมพันธ์ถูก
ดร. อิสระยกมาอธิบายปรากฏการณ์นี้ โดยชี้ว่าในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
มีการนำคำเครือญาติ หรือคำที่สะท้อนความใกล้ชิดมาใช้กับชนชั้นสูง
เพื่อสะท้อนความรู้สึกของคนจำนวนหนึ่งที่มองว่าสถาบันฯ
มีความใกล้ชิดกับประชาชน
"พอมันใกล้
ก็เลยเหมือนเป็นคำธรรมดา 'สู้ ๆ' ปกติเราไปใช้ในกีฬาสี
หรือใช้เชียร์นักกีฬาที่เราชอบ หรือให้กำลังใจนักการเมืองที่เราสนับสนุน
แต่พอมาใช้กับพระมหากษัตริย์ซึ่งเรายกย่องไว้ในสถานะที่สูง
มันเลยกลายเป็นการไปใช้คำที่มันปะปนกัน" ดร. อิสระกล่าว
อาจารย์ผู้สอนการวิเคราะห์ความหมายในระดับไวยากรณ์และคำมองเห็นความยุ่งยากตามมาจากการใช้ภาษาที่นำไปสู่การแบ่งพวกเขา-พวกเรา
และมองเป็นเรื่องไม่เหมาะสม
"กลายเป็นว่าฝ่ายที่ไม่ชอบพวกราษฎร
หรือพวกนักศึกษาเยาวชน ไปตีเส้นเสียแล้วว่าพระมหากษัตริย์เป็นของฉัน
พอเป็นของฉันก็ไม่ใช่ของคุณ
คุณรู้ได้ยังไงว่าอีกฝ่ายหนึ่งเขาไม่เห็นว่าพระมหากษัตริย์เป็นของเขา
เพราะพระมหากษัตริย์ก็เป็นของคนไทยทั้งประเทศ
ฉะนั้นคนที่ใช้ก็มีผลเสียมากกว่าผลดี เวลาเราบอกว่า 'ในหลวงสู้ ๆ'
สู้กับใครล่ะ ดังนั้นคนที่ไปเชียร์หรือใช้คำพวกนี้
ด้านหนึ่งตัวเองอาจรู้สึกดีที่ได้แสดงการให้กำลังใจ
แต่ด้านที่เป็นผลลบก็คือคุณนำเอาพระมหากษัตริย์ไปเป็นส่วนหนึ่งของการแยกฝักฝ่าย"
ดร. อิสระให้ความเห็น
สถานะของพระราชดำรัสที่ "กำกวมขึ้น"
อีกปัญหาที่นักภาษาศาสตร์ผู้มีทัศนะก้าวหน้าคิดว่าเป็นผลสืบเนื่องกัน
หนีไม่พ้น
การเผยแพร่และอ้างถึงพระราชดำรัสของฝ่ายอนุรักษนิยมเพื่อสนับสนุนจุดยืนทางการเมืองของตน
จากเคยถูกอัญเชิญ-น้อมนำไปเป็นโอวาทให้พึงคิด
ไตร่ตรอง และปฏิบัติตาม สถานะของพระราชดำรัสจึง "กำกวมขึ้น"
เมื่อถูกหยิบไปใช้ในบริบทต่างออกไปในพื้นที่ชุมนุมและโลกออนไลน์
ทะยานขึ้นเป็นแฮชแท็กยอดนิยมในทวิตเตอร์ไทย อาทิ #กล้ามากเก่งมากขอบใจ
#ต้องช่วยกันเอาความจริงออกมา
การขับเคี่ยวในทางความหมายจึงเกิดขึ้นจากสองฝ่ายที่ขับเคี่ยวกันในทางการเมือง
"เมื่อฝ่ายรอยัลลิสต์ใช้
มันเลยทำให้พระราชดำรัสถูกแฝงไว้ด้วยการเมือง
ฝ่ายที่นำมาใช้ก่อนนั่นแหละคือคนสร้างโอกาสให้เกิดการใช้ในความหมายตรงกันข้าม
เมื่อมันถูกใช้ในหน้าที่การเมืองเพื่อสนับสนุนจุดยืนของตน
ย่อมเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายนำไปใช้ในอีกแง่หนึ่ง
ดังนั้นผู้เรียกร้องว่าไม่ควรนำสถาบันฯ
มาเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ทางการเมือง ก็เพราะเขามองเห็นสิ่งนี้
เห็นความไม่ปลอดภัยในการใช้พระราชดำรัสเพื่อสนับสนุนจุดยืนทางการเมือง" ดร.
อิสระกล่าว
เมื่อความรู้สึก = ความมั่นคง
อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าการใช้ถ้อยคำสื่อสารความคิดของนักศึกษาและนักกิจกรรมการเมืองบางส่วน
ได้นำไปสู่การตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
หลายกรณี
ดร. อิสระเห็นว่าเป็นการแจ้งข้อกล่าวหา "ตามความรู้สึก" ด้วยเพราะมาตรา
112 ถูกจัดให้อยู่ในหมวดความมั่นคงรัฐ ใคร ๆ
ก็ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษได้
และผู้แจ้งความคือผู้ประเมินว่าถ้อยคำนั้นเข้าข่ายผิดมาตรา 112 หรือไม่
ซึ่งในการประเมินย่อมอิงอยู่กับความรู้สึกเคารพนับถือสถาบันฯ
และทำให้เกิดคดีโดยไม่จำเป็น
"มีการมองกันว่าอะไรก็ตามที่เป็นการสั่นคลอนสถาบันฯ
มันส่งผลกระทบต่อความมั่นคง
ดังนั้นความรู้สึกของประชาชนก็เลยกลายเป็นเรื่องความมั่นคงไปด้วย"
ปฏิเสธไม่ได้ว่า
"ความมั่นคง" ถือเป็น "ภาษาของการกระทำ"
ที่รัฐใช้ควบคุม-ปิดกั้นการโต้เถียง-โต้แย้งในประเด็นที่ไม่ต้องการให้เกิดข้อถกเถียงในสังคม
ในฐานะพยานฝ่ายจำเลยคดี
112 ซึ่งเกิดขึ้นหลังรัฐประหารปี 2557 อย่างน้อย 4 คดี
เขาพบว่าคำกริยาที่ฝ่ายอนุรักษนิยมใช้กล่าวหาฝ่ายที่แสดงออกเกี่ยวกับสถาบันฯ
ไปไกลกว่าข้อความที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย โดยอ้างถึงการ "จาบจ้วง
หมิ่นพระเกียรติ ลบหลู่ ล้อเลียน เสียดสี"
ซ้ำยังตีความขยายขอบเขตการคุ้มครองเกินกว่า 3 บุคคล ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิด
"คดีหมิ่นสุนัขทรงเลี้ยง" หรือ "คดีโพสต์ขายเหรียญกษาปณ์"
มาตรา
112 ระบุว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย
พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี"
การหวนกลับมาของคดี
112 ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 จึงอาจมองได้ว่า ผู้ใดใช้ภาษา
"ประทุษร้ายความรู้สึก" ของฝ่ายอนุรักษนิยม
ก็สุ่มเสี่ยงต่อการตกที่นั่งผู้ถูกกล่าวหา-ผู้ต้องหา-จำเลย
"ใช่
ๆ" อาจารย์อิสระพยักหน้าสนับสนุน ก่อนโยนคำถามกลับมาว่า
หากมองในทางกลับกัน ถ้าผู้จงรักภักดีไม่พยายามดึงเอาสถาบันฯ
มาสนับสนุนตัวเองตลอดเวลา ถามว่ามันจะเกิดเรื่องนี้ไหม ตกลงไก่เกิดก่อนไข่
หรือไข่เกิดก่อนไก่
"ฝ่ายที่แจ้งความต้องการลงโทษ
แค่ทำให้เป็นคดีก็เหมือนเป็นการลงโทษแล้ว ทำให้อีกฝ่ายต้องสูญเสีย
ต้องลำบาก ต้องถูกจับกุม ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล
ทำให้ปัญหาทางการเมืองถูกแก้โดยกฎหมาย
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีเยอะขนาดนี้"
จึงไม่แปลกหากฝ่ายหนึ่งจะเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 ขณะที่อีกฝ่ายล่าชื่อประชาชนให้คงไว้
คำหยาบสร้างความเท่าเทียม เป็นการมองที่ผลลัพธ์
ความขัดแย้งทางสังคม-การเมืองได้นำไปสู่ความขัดแย้งเชิงภาษาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
ในขณะที่ "คนรุ่นใหม่" ปลดปล่อยอารมณ์หลากหลายในพื้นที่ชุมนุม ซึ่ง ดร.
อิสระย้ำว่าการใช้ภาษาแสดงความรู้สึกเป็นมาตรฐานใหม่ของการปราศรัยและสื่อสารทางการเมืองเมื่อปีก่อน
"พอมีมิติอารมณ์ความรู้สึกเพิ่มขึ้น คำหยาบคายย่อมเพิ่มขึ้น"
แต่นั่นได้ทำให้ "คนรุ่นก่อน" บางส่วนรู้สึกแสลงหู
พร้อมเรียกร้องให้ผู้ชุมนุมลดความเกรี้ยวกราด ก้าวร้าว รุนแรง สุดโต่ง
แล้วหันมาชี้แจงแสดงเหตุผลสนับสนุนข้อเรียกร้องทางการเมืองแทน
"มีความพยายามอธิบายว่าการใช้ภาษาหยาบคายเป็นการสร้างความเท่าเทียมกันทางสังคม
ผมมองว่านั่นก็เป็นการมองที่ผลมากกว่า
สมมติเราใช้คำหยาบคายกับคนที่ปกติเราควรให้เกียรติ
แปลว่าเราไม่ให้เกียรติเขาต่อไป เราดึงเขามาอยู่ในฐานะที่ต่ำลงมา
แต่ถามว่าเราทำอย่างนั้นเพราะอะไร ทีแรกอาจไม่ได้คิดถึงความเท่าเทียมก็ได้
คือโกรธ ไม่พอใจ เมื่อไม่พอใจก็ด่า ก็ว่า ก็ใช้คำที่ไม่ให้เกียรติอีกต่อไป
ผลลัพธ์คือเราไม่ให้ความนับถือในฐานะเดิมของเขาอีกต่อไป
ดังนั้นคนที่บอกว่ามันทำลายช่วงชั้นทางสังคมก็คือการมองที่ผลลัพธ์" เขาบอก
อย่างไรก็ตามการให้เกียรติ-ไม่ให้เกียรติใครถือเป็นทัศนะส่วนบุคคล
หาได้ทำลายความรู้สึกเชื่อถือศรัทธาของคนที่อยู่ "นอกวงม็อบ" ไม่
แต่ทันทีที่คนกลุ่มหนึ่งแสดงอาการไม่ยอมรับผู้มีสถานะสูง
สังคมก็เข้าสู่ภาวะไร้ฉันทามติ
"สมมติว่าคนในสังคมเดิมมองว่าคนที่อยู่ในตำแหน่งนายกฯ
หรือประธานสภาควรถูกกล่าวถึงด้วยคำสุภาพเพื่อสะท้อนการให้เกียรติในตำแหน่งทางการ
แต่ถ้าคนกลุ่มหนึ่งไม่ทำแบบนั้น ฉันทามติก็หายไป
ทีนี้มันจะหายไปถาวรหรือไม่ ก็ขึ้นกับปริมาณของคนที่เห็นไปในทางใดทางหนึ่ง"
นักภาษาศาสตร์กล่าว
ขยายแนวร่วมทางอุดมการณ์ ต้องเพิ่มข้อมูล นอกจากอารมณ์
หากถามว่าคำศัพท์ที่ปรากฏในการชุมนุมของเยาวชนมีส่วน "รื้อคิดความเป็นไทย" และ "ด้อยค่าชนชั้นนำ" มากน้อยแค่ไหน
นักวิชาการด้านภาษาตอบว่า
มุมมองต่อสถาบันทางการเมือง สังคม วัฒนธรรม เปลี่ยนไปนานแล้ว
ภาษาเป็นแค่ตัวบ่งชี้เฉย ๆ เพราะคนรุ่นใหม่ไม่ได้มองผู้ใหญ่ ครู ผู้ปกครอง
ด้วยสายตาคู่เดิมอีกต่อไป และความนับถือก็ไม่ได้มาพร้อมความอาวุโส
"เขาอาจยังนับถือผู้ใหญ่บางคน
แต่ความนับถือนั้นไม่ได้มาโดยอัตโนมัติเหมือนอย่างสมัยก่อน
เขาอาจรู้สึกว่าถูกหลอกลวง เอารัดเอาเปรียบ ปล้นอนาคต
ดังนั้นแทนที่จะยอมรับนับถือผู้ใหญ่ กลับรู้สึกว่าถูกหักหลัง
ผู้ใหญ่ไม่ทำสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรทำ ผู้ใหญ่ทำอะไรอยู่" อาจารย์อิสระวิเคราะห์
นี่อาจเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาแสดงบทบาททางการเมืองบนท้องถนน
เพื่อชำระสะสางสารพัดปัญหาตามคำขวัญที่ว่า "ให้มันจบที่รุ่นเรา"
"ถ้าคนเป็นผู้ใหญ่รู้สึกไม่โอเค
อาจจะตั้งธงใหม่ว่าการเมืองสำหรับคนอีกกลุ่มอาจไม่เหมือนเราก็ได้..
ผมอาจไม่คุ้นกับภาษาเยาวชน แต่ก็เพราะเขาโกรธอยู่ไง
คนที่โกรธก็ต้องใช้ภาษาแบบนี้ สิ่งควรคิดคือทำไมเขาถึงโกรธมากกว่า" ชายวัย
52 ปีซึ่งเป็นทั้ง "ครู" และ "พ่อ" ชี้ชวนให้คนรุ่นเขาลองมองอีกมุม
ท่ามกลางวิกฤตการเมืองที่ทำให้ใครหลายคนรู้สึกถึงการ
"อยู่ยาก" ดร. อิสระเห็นว่าอารมณ์ขบขันจะทำให้เรา "อยู่ได้"
และเห็นว่าอารมณ์โกรธจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
แต่ในจังหวะที่กลุ่มราษฎรจำเป็นต้องขยายแนวร่วมทางอุดมการณ์ออกไป
เขาเห็นความจำเป็นในการเพิ่มจุดเน้นด้านความคิด ข้อเท็จจริง ข้อมูล
นอกเหนือจากการปลดปล่อยอารมณ์
"หากเรามีความสนใจร่วม
จุดยืนร่วม ความคิดร่วมกัน การไปเน้นอารมณ์ความรู้สึกอาจไม่ได้มีผลกับเรา
ประสิทธิผลขึ้นกับว่าการสื่อสารนั้นไปทำให้เกิดการตัดสินใจกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามไปด้วยหรือเปล่า"
เขาให้ข้อสังเกตทิ้งท้าย