Dr. ปรีดี พนมยงค์ บิดาแห่งการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕
Dr. ปรีดี พนมยงค์ บิดาแห่งการอภิวัฒน์ ๒๔๗๕
เมื่ออายุได้
๑๘ ปี นายปรีดีพนมยงค์
สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนกฎหมายและเป็นสมาชิกของเนติบัณฑิตยสภา
ต่อมาได้รับทุนจากกระทรวงยุติธรรมไปศึกษาวิชากฎหมาย ณ ประเทศฝรั่งเศส
ระหว่าง ๒๔๖๓- ๒๔๗๐
นายปรีดี
พนมยงค์ ถือกำเนิดและเติบโตมาในท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลง
ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๔๔๓ อันเป็นช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ ๕
ในครอบครัวชาวนาจังหวัดพระนครศรีอยุทธยา
ชีวิตในวัยเด็กทำให้นายปรีดีได้สัมผัสกับสภาพปัญหาของชาวนา
ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศในยุคนั้น
“
ผมได้กล่าวแล้วถึงสภาพสังคมไทยที่ผมประสบพบเห็นแก่ตนเองว่าราษฎรได้มีความอัตคัดขัดสนในทางเศรษฐกิจ
เพราะไม่มีสิทธิเสรีภาพกับความเสมอภาคในทางการเมือง
อีกทั้งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและอำนาจของหลายประเทศทุนนิยม
ผมได้มีความคิดก่อนที่ได้มาศึกษาในฝรั่งเศสแล้วว่าจะต้องค้นคว้าศึกษาเพิ่มเติม
ว่าวิธีใดที่จะทำให้ความเป็นอยู่ของราษฎรดีขึ้น “
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
๒๔๗๕ นายปรีดีเป็นผู้นำคณะราษฎรฝ่ายพลเรือน
ผู้มีบทบาทมากที่สุดในการจัดวางรูปแบบการปกครองในระบอบใหม่
เนื่องจากเป็นคนไทยคนแรกที่สำเร็จดุษฎีบัณฑิตกฎหมายจากมหาวิทยาลัยปารีส
นายปรีดีจึงให้ความสำคัญกับงานด้านนิติบัญญัติ กับการปกครองเป็นพิเศษ
นอกจากจะเป็นผู้ร่างประกาศคณะราษฎรแล้ว
ท่านยังเป็นผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของสยามประเทศ
ที่ใช้เป็นบรรทัดฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
และยังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการร่างพระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม
พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งมีเนื้อหาจัดรูปแบบการปกครองออกเป็นส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น
นายปรีดีมิได้มุ่งหมายเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยทางการเมืองเท่านั้น
หากแสดงเจตนารมณ์และแสดงบทบาทอย่างแจ่มชัดที่จะก้าวไปสู่ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ
สังคมและการศึกษา เหนือสิ่งอื่นใด
ท่านปรารถนาที่จะให้ระบอบประชาธิปไตยเป็นบรรทัดฐานในการพัฒนาประชาชาติเล็กๆอย่างสยาม
ให้ยืนหยัดอยู่อย่างมีเอกราชและศักดิ์ศรีในทุกด้าน
ท่ามกลางนานาอารยประเทศในประชาคมโลกยุคใหม่
เจตนารมณ์ประชาธิปไตยของท่านปรากฎอย่างชัดเจนในหลัก ๖ ประการของ “
ประกาศคณะราษฎร “
ที่ท่านเป็นผู้ร่างขึ้นเพื่อใช้เป็นคำแถลงการณ์ในวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง
๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
หลัก ๖ ประการของ “ ประกาศคณะธราษฎร “
๑ จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่นเอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
๒ จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
๓ จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ
โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ
ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
๔ จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน
๕ จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ
๖ จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
นายปรีดี
พนมยงค์
เป็นนักการเมืองคนแรกที่ริเริ่มแนวความคิดที่จะให้ราษฎรทุกคนได้รับการประกันสังคมจากรัฐบาล
โดยระบุไว้อย่างชัดเจนในหมวดที่ ๓ แห่งเค้าโครงการเศรษฐกิจฯ
แต่น่าเสียดายที่ร่างของแนวความคิดดังกล่าวถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์
กว่าประเทศไทยจะยอมรับให้มีนโยบายประกันสังคมให้แก่ประชาชนก็เป็นเวลา ๖๐
ปีหลังจากนั้น
นายปรีดีเป็นตัวตั้งตัวตีให้รัฐบาลยกฐานะกรมร่างกฎหมายเป็น
“ คณะกรมการกฤษฎีกา “
ทำหน้าที่ร่างกฎหมายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของแผ่นดิน
ทั้งยังพยายามพลักดันให้ “ คณะกรรมการกฤษฎีกา “ ทำหน้าที่ “ ศาลปกครอง “
อีกด้วย แนวความคิดในเรื่อง “ ศาลปกครอง “ ของท่านแสดงให้เห็นว่า
ท่านต้องการให้ราษฎรสามารถตรวจสอบฝ่ายปกครองได้
และมีสิทธิในทางการเมืองเท่าเทียมกับข้าราชการอย่างแท้จริง
นายปรีดีสนับสนุนแนวคิดศาลปกครองมาตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๗๕
“
ระหว่างที่ข้าพเจ้าศึกษาวิชากฎหมายนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า
มหาอำนาจต่างชาติถือสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเหนือประเทศสยาม
ไม่ว่าจะเป็นทางทฤษฎีหรือทางปฏิบัติ
คนในสังคมมหาอำนาจเหล่านี้ไม่ต้องขึ้นศาลไทย
เพราะคดีที่มีคู่ความเป็นคนสังกัดต่างชาติเหล่านั้น จะต้องให้ศาลกงสุล
หรือศาลคดีระหว่างประเทศตัดสิน
ทั้งนี้เป็นไปตามสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคระหว่างชาติมหาอำนาจกับประเทศสยาม
ในศาลคดีระหว่างประเทศ
คำวินิจฉัยของผูพิพากษาชาติยุโรปจะมีน้ำหนักมากกว่าคำวินิจฉัยของผู้พิพากษาชาวสยาม
ข้าพเจ้าไม่พอใจการใช้อำนาจอธิปไตยเช่นนี้เลย
ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชของชาติอันสมบูรณ์
โดยมีอำนาจอธิปไตยของตนอย่างเต็มเปี่ยม “
เมื่อภารกิจด้านการปกครองกระทรวงมหาดไทยเข้ารูปเข้ารอยแล้ว
นายปรีดีเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เพื่อเป็นผู้นำในการแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาคที่รัฐบาลสยามสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้ทำไว้กับประเทศต่างๆ
ในนามของสนธิสัญญาทางไมตรี พานิชย์ และการเดินเรือ เป็นจำนวน ๑๒ ประเทศ
ซึ่งเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของคณะราษฎรในหลัก ๖ ประการที่จะต้อง “
รักษาความเป็นเอกราชของประเทศไว้ให้มั่นคง “ หลักการใหญ่ๆ ซึ่งนายปรีดี
พนมยงค์ สามารถแก้ไขในสนธิสัญญาไม่เสมอภาคได้สำเร็จ
คือสิทธิสภาพนอกอาณาเขต
แต่เดิมคนในบังคับของต่างประเทศไม่ต้องขึ้นศาลสยาม
ทำให้สยามสูญเสียเอกราชในทางศาล
นอกจากนี้ต่างประเทศยังบังคับให้รัฐบาลสยามเรียกเก็บภาษีขาเข้าได้เพียงไม่เกินร้อยละ
๓ เท่านั้น ทำให้เก็บรายได้ไม่เต็มที่
นับเป็นการเสียเอกราชทางเศรษฐกิจที่จำต้องแก้ไข
นายปรีดีได้ใช้ยุทธวิธีบอกเลิกสนธิสัญญาไม่เสมอภาคกับประเทศคู่สัญญา
และได้ยื่นร่างสนธิสัญญาฉบับใหม่ที่สยามได้เอกราชและอธิปไตยสมบูรณ์ให้ประเทศเหล่านั้นพิจารณา
นายปรีดีได้ใช้ความอุตสาหะพยายามเจรจา โดยอาศัยหลัก “ ดุลยภาคแห่งอำนาจ
“ จนประเทศนั้นๆ
ยอมทำสนธิสัญญาใหม่ที่สยามได้เอกราชอธิปไตยสมบูรณ์ทั้งในทางการเมือง
ในทางศาล และในทางเศรษฐกิจ
เมื่อนายปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการครัง ( พ.ศ. ๒๔๘๑- ๒๔๘๔ ) ได้ปฏิบัติภารกิจเพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคมคือ
๑ ยกเลิกเงินภาษีรัชชูปการ อันเป็นเงินส่วยที่ราษฎรไพร่ต้องเสียให้แก่เจ้าศักดินา
๒ ยกเลิกอากรค่านาซึ่งชาวนาต้องเสียแก่เจ้าศักดินาสูงสุดที่ถือว่าที่ดินทั้งหลายทั่วราชอาณาจักรเป็นของประมุขของสังคม
๓ จัดระบบเก็บภาษีอากรที่เป็นธรรมในระบอบประชาธิปไตยโดยสถาปนา
“ ประมวลรัชฎากร “ เป็นแบบฉบับครั้งแรกในประเทศไทย
ซึ่งรวมบทบัญญัติเกี่ยวกับภาษีอากรทางตรง ผูใดมีรายได้มากก็เสียภาษีมาก
และถ้าผู้ใดบริโภคเครื่องบริโภคที่ไม่จำเป็นแก่การดำรงชีพ
ก็ต้องเสียภาษีอากรมากตามลำดับ
๔ การร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ
เพื่อให้มีการใช้งบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีอากรของราษฎรอย่างรัดกุม
และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติ
ในช่วงเวลาที่นายปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
แม้จะเป็นช่วงที่ใกล้เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๒ แล้วก็ตาม
แต่เสถียรภาพทางการเงินและการคลังของสยามนับว่ามั่นคงที่สุดยุคหนึ่ง
ด้วยการเล็งการณ์ ไกลของท่าน ได้ทำให้เสถียรภาพของเงินบาทมั่นคง
กล่าวคือเมื่อก้าวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๒ นาย
ปรีดีคาดคะเนว่าเงินปอนด์ที่เป็นเงินทุนสำรองเงินตราอาจจะไม่มีเสถียรภาพจึง
ได้นำเงินปอนด์จำนวนหนึ่งไปซื้อทองคำเป็นจำนวนน้ำหนักประมาณ ๑ ล้านออนซ์
ในราคาออนซ์ละ ๓๕ เหรียญสหรัฐฯ
และได้นำทองคำนั้นมาเก็บไว้ในห้องนิรภัยกระทรวงการครัง
ซึ่งยังคงรักษาไว้เป็นทุนสำรองเงินบาทอยู่จนปัจจุบัน
ทันที่ที่กองทัพญี่ปุ่นบุกเข้าประเทศไทย
เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔
ผู้นำเผด็จการทหารของไทยเวลานั้นเข้าร่วมกับญี่ปุ่นประกาศสงครามกับสัมพันธมิตรสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ
นายปรีดีได้อาศัยฐานะของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ทำการประสานความสามัคคีของคนไทยทุกฝ่ายทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ
นับตั้งแต่พระบรมวงศานุวงค์ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน นิสิตนักศึกษา
ปัญญาชน กรรมกร ชาวไร่ชาวนา
ทำงานกู้ชาติบ้านเมืองในนามของขบวนการเสรีไทย โดยมีท่านเป็นหัวหน้า
มีชื่อจัดตั้งว่า รูธ
ภารกิจของขบวนการเสรีไทยคือร่วมมือกับคนไทยและสัมพันธมิตรต่อสู้ญี่ปุ่นผู้รุกราน
และปฏิบัติการให้ฝ่ายสัมพันธมิตรรับรองว่าเจตนารมณ์ที่แท้จริงของราษฎรไทยไม่เป็นศัตรูต่อฝ่ายสัมพันธมิตร
เพื่อหวังผลให้ฝ่ายสัมพันธมิตรรับรองว่าไทยเป็นรัฐเอกราชไม่ตกเป็นประเทศแพ้สงคราม
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่
๒ นายปรีดีได้ใช้ความรู้ความสามารถเจรจาต่อรองกับฝ่ายสัมพันธมิตร
ทำให้ประเทศไทยไม่ต้องถูกยึดครองโดยฝ่ายสัมพันธมิตร
ทำให้ประเทศไทยเป็นเอกราชมาจนถึงทุกวันนี้
และท่านมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ ๕๕
ของสหประชาชาติ ซึ่งเป็นองค์การของผู้ชนะสงครามโลกในเวลานั้น
ต่อมาเมื่อวันที่ ๘ ธันวา ๒๔๘๘ มีพระบรมราชองการ ยกย่องนายปรีดี พนมยงค์
ไว้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส
และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษและนพรัตน์ราชวราภรณ์
อันเป็นชั้นสูงสุดที่สามัญชนพึงได้รับ
๙
มิถุนายน ๒๔๘๙ รัชกาลที่ ๘ เสด็จสวรรคต นายปรีดี พนมยงค์
นายกรัฐมนตรีได้ขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาให้อันเชิญพระเจ้าน้องยาเธอ
เจ้าฟ้าภูมิพล อดุลยเดช ขึ้นครองราชย์สืบสันติวงค์ต่อไป
และรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ เสร็จการประชุมรัฐสภา
นายปรีดีได้ขอลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเหตุผลว่า
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีได้เสด็จสวรรคตเสียแล้ว
( นายสุภา ศิริมานนท์ นักหนังสือพิมพ์อาวุโส ได้กล่าวใน สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ๘ พฤษภาคม ๒๕๒๖)
“
ผมเห็นว่าชีวิตของท่านมีสองอย่าง คือถ้าไม่มีท่าน
ไทยจะไม่มีประชาธิปไตยและไม่มีเอกราช เพราะท่านตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นมา
เพื่อไม่ให้ไทยชื่อว่าเป็นประเทศแพ้สงคราม ส่วนกรณีสวรรคตนั้น
ยังเป็นเรื่องที่ต้องสะสางกันต่อไป เป็นการใส่ร้ายป้ายสี
ใครที่บังอาจกล่าวเรื่องนี้ต้องแพ้คดีในศาลหมด “
๗ พฤศจิกายน
๒๔๙๐ พลโท ผิน ชุณหะวัณ
และทหารบางกลุ่มได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพลเรือน
ซึ่งมีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี
และใช้กำลังทหารประกอบด้วยรถถังและอาวุธทันสมัยระดมยิงเข้าไปในทำเนียบท่าช้างเพื่อจับตัวนายปรีดีซึ่งเป็นเพียงรัฐบุรุษอาวุโส
เป็นผลให้นายปรีดีต้องหนีตายไปสิงคโปร์
และแม้ว่านายปรีดีได้รวบรวมกลุ่มผู้รักชาติในนามของขบวนการประชาธิปไตย ๒๖
กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ เข้าต่อสู้กับคณะรัฐประหาร แต่ก็ประสบความพ่ายแพ้
ทำให้นายปรีดีต้องลี้ภัยไปอยู่ประเทศจีน
เหตุการณ์ครั้งนั้นนับเป็นการปิดฉากการปกครองระบอบประชาธิปไตย
และส่งผลให้อำนาจมืดครอบงำการเมืองไทยไปอีกยาวนาน.
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar