onsdag 25 september 2019

Update ใครเป็นใครในกรณี 6 ตุลาฯ

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

สงัด ชลออยู่, ธานินทร์ กรัยวิเชียร และแผนรัฐประหารปี 2519

ในหนังสือ บันทึกการปฏิวัติ 1-3 เมษายน 2524 กับข้าพเจ้า (2525), บุญชนะ อัตถากร ได้ตีพิมพ์เป็นหนึ่งในภาคผนวก บันทึกช่วยจำที่เขาเขียนขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2520 เกี่ยวกับการสนทนาระหว่างเขากับพล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ระหว่างงานศพพล.อ.แสวง เสนาณรงค์ ที่มีขึ้นในคืนก่อนหน้านั้น เนื้อหาของบันทึกดังกล่าว (หน้า 186-187) มีดังนี้:

ระหว่างสวดพระอภิธรรม ข้าพเจ้าได้คุยกับพลเรือเอกสงัด เกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน คำบอกเล่าต่างๆของคุณสงัดในฐานะเป็นหัวหน้าคณะปฏิรูป 6 ตุลาคม 2519 และในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นความรู้ซึ่งคงไม่ค่อยมีคนทราบ ข้าพเจ้าจึงขอบันทึกไว้ดังต่อไปนี้….

คุณสงัดเล่าให้ฟังว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2519 มีข่าวลืออยู่ทั่วไปว่า จะมีทหารคิดก่อการปฏิวัติ เหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนั้น ฝ่ายซ้ายกำลังฮึกเหิมและรบกวนความสงบอยู่ทั่วไป จึงได้กราบบังคมทูลขึ้นไปยังในหลวงที่เชียงใหม่ซึ่งประทับอยู่ภูพิงค์ราชนิเวศน์ในขณะนั้นว่า จะขอให้คุณสงัดซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด (กับพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการฯ) กับพลเอกบุญชัย บำรุงพงศ์ ผู้บัญชาการทหารบก พลอากาศเอกกมล เตชะตุงคะ ผู้บัญชาการทหารอากาศขึ้นไปเฝ้า แต่ในหลวงโปรดเกล้าฯให้คุณสงัดเข้าเฝ้าคนเดียว ทั้งๆที่ตั้งใจว่าถ้าเข้าเฝ้าทั้ง 3 คนก็จะได้ช่วยกันฟังนำมาคิดและปฏิบัติโดยถือว่าเป็นพรสวรรค์

เมื่อคุณสงัดไปเฝ้าในหลวงที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์นั้นได้ไปโดยเครื่องบิน เข้าเฝ้าคนเดียวอยู่ราว 2 ชั่วโมงครึ่งในตอนบ่าย ไปวันนั้นและกลับในวัน   เดียวกัน คุณสงัดบอกว่าไม่เคยเข้าเฝ้าในหลวงโดยลำพังมาก่อนเลย คราวนี้เป็นครั้งแรก ได้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบถึงสถานการณ์บ้านเมืองว่าเป็นที่น่าวิตก ถ้าปล่อยไปบ้านเมืองอาจจะต้องตกอยู่ในสถานะอย่างเดียวกับลาวและเขมร จึงควรดำเนินการปฏิวัติ
คุณสงัดเล่าต่อไปว่า อยากจะได้พรจากพระโอษฐ์ให้ทางทหารดำเนินการได้ตามที่คิดไว้ แต่ในหลวงก็มิได้ทรงรับสั่งตรงๆ คงรับสั่งแต่ว่าให้คิดเอาเองว่าจะควรทำอย่างไรต่อไป

คุณสงัดเห็นว่า เมื่อไม่รับสั่งตรงๆก็คงดำเนินการไม่ได้ จึงกราบบังคมทูลว่า ถ้าทางทหารยึดอำนาจการปกครองได้แล้วก็มิได้ประสงค์จะมีอำนาจเป็นใหญ่ต่อไป จึงอยากจะให้ฝ่ายพลเรือนเข้ามาบริหารประเทศ สมมุติว่า ถ้ายึดได้แล้วใครจะควรเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากนั้น เสร็จแล้วคุณสงัดก็ได้กราบบังคมทูลรายชื่อบุคคลที่น่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีทีละชื่อ เพื่อจะได้พระราชทานความเห็น

คุณสงัดเล่าว่า ได้กราบบังคมทูลชื่อไปประมาณ 15 ชื่อ รวมทั้งคุณประกอบ หุตะสิงห์ หลวงอรรถสิทธิสุนทร คุณประภาศน์ อวยชัย คุณเชาว์ ณ ศีลวันต์ด้วย  แต่ก็ไม่ทรงรับสั่งสนับสนุนผู้ใด

เมื่อไม่ได้ชื่อบุคคลที่น่าจะเป็นนายกได้และเวลาก็ล่วงไปมากแล้ว คุณสงัดก็เตรียมตัวจะกราบบังคมทูลลากลับ แต่ก่อนจะออกจากที่เฝ้า ในหลวงได้รับสั่งว่า จะทำอะไรลงไปก็ควรจะปรึกษานักกฎหมาย คือ คุณธานินทร์  กรัยวิเชียร ผู้พิพากษาศาลฎีกาเสียด้วย คุณสงัดบอกว่าไม่เคยรู้จักคุณธานินทร์มาก่อนเลย  พอมาถึงกรุงเทพฯก็ได้บอกพรรคพวกทางทหารให้ทราบแล้วเชิญคุณธานินทร์มาพบ

คุณสงัดบอกว่าได้ถามคุณธานินทร์ว่า ได้คุ้นเคยกับในหลวงมานานตั้งแต่เมื่อใด คุณธานินทร์บอกว่าไม่เคยเข้าเฝ้าในหลวงใกล้ชิดเลย แต่อย่างไรก็ดีคุณสงัดก็ได้เริ่มใช้ให้คุณธานินทร์เตรียมคำแถลงการณ์ต่างๆและเอกสารต่างๆให้พร้อม พิจารณาแล้วก็เก็บไว้ในตู้นิรภัยอย่างเอกสารลับ เพื่อจะนำไปใช้หลังจากการปฏิวัติแล้ว

คุณสงัดบอกต่อไปว่า ได้รอคอยโอกาสที่จะยึดอำนาจการปกครองอยู่เรื่อยๆแต่ก็ไม่ได้จังหวะ จนในที่สุดก็เกษียณอายุต้องออกจากราชการ เมื่อ 1 ตุลาคม 2519 เพื่อนฝูงนายทหารผู้ใหญ่ก็หาว่าคุณสงัดเตะถ่วง ซึ่งความจริงจะว่าจริงก็ได้ เพราะยังไม่มีเหตุผลหรือเหตุการณ์จะให้ทำเช่นนั้นได้ง่ายๆและในหลวงก็ไม่ได้รับสั่งสนับสนุน

โดยที่คุณธานินทร์ได้ร่วมงานก่อการมาด้วยกันดังกล่าว คุณสงัดบอกว่า จึงไม่มีเหตุผลอย่างใดที่จะไม่กราบบังคมทูลให้ในหลวงตั้งคุณธานินทร์เป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนข่าวลือที่ว่าคุณสงัดเสนอ 3 ชื่อ คือ คุณประกอบ คุณประภาศน์ และคุณธานินทร์ และในหลวงเลือกคุณธานินทร์นั้น ก็เป็นเรื่องเล่าๆกันไปอย่างนั้นเอง

ธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้ยืนยันต่อยศ สันตสมบัติ (ในหนังสือ อำนาจ บุคลิกภาพ และผู้นำการเมืองไทย, 2533, หน้า 136) ว่า “ผมไม่เคยเข้าเฝ้าหรือได้รับพระราชกระแสจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่ผมก็ได้รับทราบจากคุณสงัด ชลออยู่ตามนั้น” คำถามที่น่าสนใจคือ เหตุใดจึงทรงแนะนำให้พล.ร.อ.สงัดไปปรึกษากับธานินทร์ทั้งๆที่ฝ่ายหลัง “ไม่เคยเข้าเฝ้าใกล้ชิดเลย”?

ธานินทร์เกิดปี 2470 (ปีเดียวกับปีพระราชสมภพ) สำเร็จการศึกษาวิชากฎหมายจากประเทศอังกฤษ แล้วเริ่มรับราชการในกระทรวงยุติธรรมตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ในปี 2499 แล้วย้ายมาเป็นหัวหน้ากองการคดี (ดูประวัติส่วนตัวของเขาก่อนหน้านั้น โดยเฉพาะในแง่ที่เหมือนและต่างกับ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ใน “ป๋วย อึ๊งภากรณ์, สล้าง บุนนาค, ธานินทร์ กรัยวิเชียร” ในหนังสือเล่มนี้) ตามคำบอกเล่าของเขา (ยศ, อำนาจ, หน้า 130):

ผมเองมีความสนใจในปัญหาเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์เป็นอย่างมากมาตั้งแต่ปี 2501 ตั้งแต่ตอนที่คุณพระดุลยพากย์สุวมันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีบัญชาให้ผมค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์และผลของการใช้กฎหมายว่าด้วยการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ทั้งต่อมาในปี 2504 กระทรวงยุติธรรมได้ส่งผมไปเรียนวิชาสงครามจิตวิทยาอันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการป้องกันภัยทางการเมืองจากการคุกคามของคอมมิวนิสต์ที่กระทรวงกลาโหม  และจากนั้นมาทางราชการกระทรวงกลาโหมก็ได้มอบหมายให้ผมเป็นผู้บรรยายในเรื่องของลัทธิและวิธีการของคอมมิวนิสต์และการใช้กฎหมายป้องกันคอมมิวนิสต์ในสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติหลายแห่งเป็นเวลา 10 ปีเศษ ผมได้เรียบเรียงคำบรรยายประกอบการสอนเรื่องเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์และระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยหลายเล่มด้วยกัน….

นับตั้งแต่ปี 2504 เป็นต้นมา ธานินทร์ (ตามคำสรุปของยศ สันตสมบัติ) “ได้เริ่มเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงของผู้ที่ทำงานด้านความมั่นคงและกลุ่มอนุรักษ์นิยมในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญและนักต่อต้านคอมมิวนิสต์คนสำคัญ” ธานินทร์เริ่มต้นแสดงบทบาททางการเมืองในช่วงหลัง 14 ตุลา โดยออกมาต่อต้านสิ่งที่เขามองว่าเป็นการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ทั้งนอกรัฐสภาและในรัฐสภา (ซึ่งเขายืนยันว่าการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ดังกล่าว “เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่มีผู้ใดจะบิดผันให้เป็นอื่นไปได้ รายงานการประชุมของรัฐสภาขณะนั้น ระบุชัดเจนว่าใครทำอะไรหรือไม่ทำอะไรบ้าง”) เขาได้ร่วมกับดุสิต ศิริวรรณ ออกอากาศรายการโทรทัศน์ “สนทนาประชาธิปไตย” เรื่อง “ความมั่นคงของชาติและความผาสุกของประชาชน” เพื่อให้ “สังคมไทยอยู่รอดและคงความเป็นไทยไว้โดยปลอดจากภัยคอมมิวนิสต์” แต่รายการดังกล่าวถูกรัฐบาลคึกฤทธิ์สั่งระงับในเดือนมกราคม 2519 หลังจากออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 ของรัฐบาลได้เพียง 4 ครั้ง อย่างไรก็ตาม พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เสนาธิการทหาร “ตระหนักในภัยจากการคุกคามของคอมมิวนิสต์” จึงจัดให้ไปออกอากาศต่อทางช่อง 5 ของกองทัพบกอีก 6 ครั้ง รวมเป็น 10 ครั้ง

จากข้อมูลเหล่านี้ น่าจะมีเหตุผลเพียงพอที่จะตั้งสมมุติฐานว่า ในหลวงทรงสามารถแนะนำให้ พล.ร.อ.สงัดไปปรึกษาธานินทร์ได้ทั้งๆที่ธานินทร์ “ไม่เคยเข้าเฝ้าใกล้ชิด” มาก่อน เพราะได้ทรงติดตามผลงานด้านหนังสือและ/หรือรายการโทรทัศน์ต่อต้านคอมมิวนิสต์ของธานินทร์ดังกล่าวนั่นเอง

ธานินทร์เล่าว่า เมื่อได้รับพระราชกระแสแล้ว “ทางทหารจึงได้มาติดต่อกับผม แล้วเขาถึงได้ให้ผมช่วยวางแผนให้ว่า ถ้าเผื่อมีการปฏิวัติจะจัดอย่างไร ในแง่ของกฎหมายจะมีการประกาศของคณะปฏิวัติอย่างไร และแผนการที่จะเป็นรัฐบาลควรจะเป็นในรูปใด” แผนการดังกล่าวซึ่งธานินทร์กับอีกบางคนร่วมกันร่างขึ้นนำเสนอต่อฝ่ายทหารและได้รับการเห็นชอบจากฝ่ายหลัง ถูกธานินทร์เรียกว่า “แผนแม่บท” หรือ Master Plan “คือหลักการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน เราจัดทำกัน 3-4 คน….ไม่ต้องรู้ก็แล้วกันว่ามีใครบ้าง คำว่า การปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ก็เริ่มจากตรงนี้ เริ่มจากหลักการปฏิรูปอันนี้”

ธานินทร์เล่าว่า แผนแม่บท หรือ Master Plan นี้ ประกอบด้วยหลักการสำคัญ 8 ประการ (ดูรายละเอียดใน ยศ, อำนาจ, หน้า 279-286) ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ เราอาจกล่าวได้ว่ามีลักษณะเป็นหลักการทั่วไปแบบนามธรรม เช่น “ดำเนินงานทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย”, “สร้างรากฐานประชาธิปไตย โดยส่งเสริมคนดี”, “ทุกคนในคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินซึ่งเป็นฝ่ายทหารต้องมีอุดมการณ์แน่วแน่ กระทำการเพื่อความอยู่รอดของชาติและความผาสุกของประชาชน ไม่ปรารถนาสิ่งตอบแทนเป็น “การส่วนตัว”, ฯลฯ

ส่วนที่มีลักษณะเป็นแผนปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมได้แก่ ตั้งรัฐบาลชั่วคราวเพื่อรับมอบภาระการบริหารราชการจากคณะปฏิรูปโดยสิ้นเชิง คณะปฏิรูปให้คงอยู่ดูแลด้านความมั่นคง แต่จะดำเนินการใดๆก็ต่อเมื่อรัฐบาลชั่วคราวร้องขอเท่านั้น หมายความว่าฝ่ายทหารยึดอำนาจแล้ว ไม่เข้าบริหารเอง ยกให้คนอื่นที่ทาบทามมาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่ง “ควรจะเป็นพลเรือน” และต้องเป็นคนที่ “เลื่อมใสต่อระบอบการ
ปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข, มีประวัติและการทำงานดีเด่น ไม่เห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้งมีความรู้ความสามารถสูงและเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย”; ให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2517 ประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ให้อำนาจฝ่ายบริหารมากขึ้น; ยุบสภาที่มีอยู่ ตั้ง “สภาปฏิรูป” จากบุคคลสาขาอาชีพต่างๆ; รัฐบาลชั่วคราวและสภาปฏิรูปอยู่ในตำแหน่ง 4 ปี จึงให้มีการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร แต่ยังให้มีวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งและมีอำนาจเท่ากันดำรงอยู่อีกอย่างน้อย 4 ปี (ในที่สุด รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2519 ซึ่งธานินทร์เป็นผู้ร่วมร่างและประกาศใช้หลังการรัฐประหาร กำหนดให้มี “แผนพัฒนาประชาธิปไตย” 12 ปี โดยในระยะสี่ปีที่สามให้ “ขยายอำนาจของสภาผู้แทนราษฎรให้มากขึ้นและลดอำนาจของวุฒิสภาลงเท่าที่จะทำได้”)

ยศ สันตสมบัติเขียนว่า ในการพูดถึงแผนแม่บทนี้ “ประเด็นที่อาจารย์ธานินทร์เน้นย้ำอยู่เสมอๆก็คือ แผนการดังกล่าวได้รับการเห็นชอบจากฝ่ายทหารหรือคณะปฏิรูปฯทั้งหมด พูดง่ายๆก็คือ แผนการดังกล่าวเป็นข้อตกลงร่วมกันของทุกฝ่ายและเป็นหลักการในการที่จะดำเนินงานต่อไปภายหลังจากการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลอาจารย์เสนีย์เรียบร้อยแล้ว และรัฐบาลของอาจารย์ธานินทร์ก็ได้ทำตามแผนการที่ได้ตกลงร่วมกันไว้ทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่เบี่ยงเบนไปจากข้อตกลงหรือ Master Plan นี้”

อย่างไรก็ตาม ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าฝ่ายทหารที่มาติดต่อขอให้ธานินทร์ช่วยเตรียมการรัฐประหาร ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า “แผนแม่บท” ของธานินทร์ มากเพียงใด ในคำบอกเล่าต่อบุญชนะ อัตถากร, พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ กล่าวแต่เพียงว่าเขา “ได้เริ่มใช้ให้คุณธานินทร์เตรียมคำแถลงการณ์ต่างๆและเอกสารต่างๆให้พร้อมพิจารณาแล้วก็เก็บไว้ในตู้นิรภัยอย่างเอกสารลับ เพื่อจะนำไปใช้หลังจากการปฏิวัติแล้ว” และเป็นเรื่องที่ยังถกเถียงได้ว่าสงัดซึ่ง “ไม่เคยรู้จักคุณธานินทร์มาก่อนเลย” ให้การ “เห็นชอบ” กับแผนแม่บทของธานินทร์เพราะเห็นชอบด้วยจริงๆหรือเพราะ “ในหลวงทรงรับสั่งว่าจะทำอะไรลงไปก็ควรจะปรึกษานักกฎหมายคือคุณธานินทร์ กรัยวิเชียรเสียด้วย”

แน่นอนว่ามาตรการรูปธรรมที่ธานินทร์วางไว้ได้รับการปฏิบัติตามหลังการยึดอำนาจ: ยกเลิกรัฐธรรมนูญที่มีอยู่และประกาศใช้รัฐธรรมฉบับใหม่ที่ให้อำนาจฝ่ายบริหารมากเป็นพิเศษ, ตั้งรัฐบาลชั่วคราวที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นพลเรือน (คือตัวธานินทร์เอง) และแต่งตั้งสภานิติบัญญัติใหม่ที่มีสมาชิกจาก “ทุกสาขาอาชีพ” (ในความเป็นจริง สมาชิกสภาปฏิรูป 190 คนจาก 340 คนเป็นทหารตำรวจทั้งในและนอกราชการ). แต่มาตรการเหล่านี้ก็เป็นมาตรการในลักษณะที่การรัฐประหารแทบทุกครั้งต้องทำอยู่แล้ว อาจกล่าวได้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่ธานินทร์ มอบให้กับการเตรียมรัฐประหารปี 2519 คือคิดชื่อใหม่ให้กับการรัฐประหารและคณะรัฐประหาร: “คณะ/การปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน”แทนที่จะเป็น “คณะ/การปฏิวัติ” การที่ธานินทร์ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า “แผนแม่บท” ของตน ซึ่งอันที่จริงถ้าตัดเนื้อหาส่วนใหญ่ที่มีลักษณะนามธรรมลอยๆดังกล่าวข้างต้นออกแล้ว ก็เหลือเพียงมาตรการรูปธรรมที่ไม่ต่างจากการรัฐประหารอื่นๆนั้น น่าจะสะท้อนให้เห็นลักษณะพาซื่อและอ่อนประสบการณ์ของธานินทร์เองมากกว่าอย่างอื่น


ตอน-การประเมินสถานการณ์ของขบวนการนักศึกษาในปี 2519: ประเมินจากปัจจุบัน

ผมจำได้แน่ๆว่าในช่วงปี 2519 ก่อน 6 ตุลา ได้รับการบอกเล่าว่า มีผู้วางแผนจะทำรัฐประหารโดยจะใช้ชื่อว่าเป็น “การปฏิรูป” น่าเสียดายที่จำไม่ได้เสียแล้วว่าใครเป็นผู้บอก แต่ที่จำได้ว่ามีการบอกแบบนี้เพราะ หนึ่ง ชื่อ “การปฏิรูป” เป็นชื่อที่แปลกและสะดุดใจที่จะใช้สำหรับการรัฐประหาร และ สอง เมื่อผมได้ยินข่าว “การปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” ในคืนวันที่ 6 ตุลาคม ระหว่างที่ถูกขังอยู่ในคุกโรงเรียนพลตำรวจบางเขน ผมนึกขึ้นได้ทันทีว่าเป็นสิ่งที่ตรงกับที่เคยถูกบอกไว้ ผมยังจำได้ด้วยว่าผู้ที่บอกว่าจะมีการใช้ชื่อ “การปฏิรูป” สำหรับการรัฐประหารครั้งต่อไป อธิบายว่าเนื่องจากชื่อ “การปฏิวัติ” เสียเครดิตไปแล้ว ชื่อใหม่มีขึ้นเพื่อ “หลอกลวงประชาชน”
ในช่วงปี 2519 นั้น ภายในขบวนการนักศึกษาเรา มีการพูดถึงการรัฐประหารตลอดเวลา เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปในขบวนการว่า รัฐประหารเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะ “ชนชั้นปกครอง” ไม่มีทางที่จะปล่อยให้บรรยากาศประชาธิปไตยเช่นนั้นดำรงอยู่ต่อไปอีกนานนัก ผมไม่คิดว่าข่าวเรื่องจะมีการทำรัฐประหารภายใต้ชื่อ “การปฏิรูป” สร้างความตื่นเต้นหรือมีผลกระทบต่อขบวนการเป็นพิเศษอะไร แน่นอนว่า ปัจจุบันเราได้ทราบจากคำให้การของสงัด ชลออยู่ และธานินทร์ กรัยวิเชียรข้างต้นแล้วว่า ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปีนั้นเป็นต้นมา มีการวางแผนจะยึดอำนาจโดยใช้ชื่อ “การปฏิรูป” จริงๆ ซึ่งแสดงว่าแม้แผนแม่บทของธานินทร์จะถูกสงัด “เก็บไว้ในตู้นิรภัยอย่างเอกสารลับ” แต่เรื่องดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นความลับทั้งหมด (อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ต่อมาก็พิสูจน์ว่าการได้รู้ล่วงหน้าเช่นนั้นไม่ได้ช่วยอะไรพวกเราเลย)
คำให้การของสงัดและธานินทร์ยังได้ทำให้เกิดปัญหาที่น่าสนใจข้อหนึ่ง คือ ในปี 2519 ขบวนการนักศึกษาคาดการณ์กลุ่มปกครองที่จะทำรัฐประหารผิดกลุ่มหรือไม่?

ตามการประเมินของพวกเราในขณะนั้น, “ชนชั้นปกครองไทย” แบ่งออกเป็นกลุ่มสำคัญใหญ่ๆ 4 กลุ่ม คือ กลุ่มกฤษณ์ สีวะราเก่า (หรือกลุ่มสี่เสาเทเวศม์), กลุ่มพรรคชาติไทย (หรือกลุ่มซอยราชครู), กลุ่มถนอม-ประภาสเก่า, และ กลุ่มที่เราเรียกว่า “ศักดินา” ซึ่งได้แก่ส่วนใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์และแวดวงอื่นๆที่พรรคนี้มีสายสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ด้วย.

เรามองว่าสืบเนื่องมาจาก 14 ตุลา, กลุ่มกฤษณ์เก่า เป็นกลุ่มที่กุมอำนาจรัฐ โดยมีกลุ่มศักดินาเป็นพันธมิตร พูดอย่างเป็นรูปธรรมคือ หลัง 14 ตุลา พรรคของศักดินาอย่างกิจสังคมและประชาธิปัตย์ เล่นการเมืองเป็นรัฐบาลอยู่หน้าฉาก ขณะที่กฤษณ์ สีวะรากับพวก กุมกองทัพสนับสนุนอยู่หลังฉาก เรามองว่าที่สองกลุ่มนี้ได้ครองอำนาจก็เพราะร่วมกัน “หักหลัง” ถนอม-ประภาส ในระหว่างที่เกิด 14 ตุลา กลุ่มกฤษณ์นั้นถัดจากตัวกฤษณ์ลงมาได้แก่ บุญชัย บำรุงพงศ์ ซึ่งกฤษณ์ตั้งให้สืบตำแหน่ง ผบ.ทบ.เมื่อ 1 ตุลาคม 2518, กมล เตชะตุงคะ, เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ และสงัด ชลออยู่. เสริม ณ นคร และเปรม ติณสูลานนท์ที่เป็นผบ.ทบ.ต่อจากบุญชัยตามลำดับ ก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้. ที่เรียกว่ากลุ่มกฤษณ์เก่า ก็เพราะตัวกฤษณ์เองตายอย่างลึกลับเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2519 เพียงไม่กี่วันหลังจากรับตำแหน่งรมต.กลาโหมให้รัฐบาลเสนีย์ที่เพิ่งตั้งใหม่หลังการเลือกตั้ง 4 เมษายน
กลุ่มถนอม-ประภาสหรือกลุ่ม “ทรราช” เก่า คือนายทหารกุมกำลังส่วนน้อยที่เรามองว่ายังให้การสนับสนุนถนอม-ประภาสอยู่ ที่สำคัญคือ ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา แม่ทัพกองทัพภาคที่ 1 ในปี 2519 และเทพ กรานเลิศ กลุ่มนี้ซึ่งสูญเสียอำนาจให้กับกลุ่มกฤษณ์ได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับกลุ่มพรรคชาติไทยซึ่งเป็นกลุ่มการเมือง (ไม่ได้กุมกำลังทหาร) ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นหลัง 14 ตุลาภายใต้การนำของประมาณ อดิเรกสาร และ ชาติชาย ชุณหะวัณ
เรามองต่อไปว่า ในความขัดแย้งระหว่างกลุ่มกฤษณ์-ศักดินาฝ่ายหนึ่ง กับกลุ่มราชครู-ทรราชเก่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้น ฝ่ายหลังเป็น “ด้านรองของความขัด   แย้ง” คือไม่ได้เป็นฝ่ายกุมอำนาจรัฐ ทำให้มีลักษณะที่ก้าวร้าวเป็นฝ่ายรุก, เป็น “ขวา” มากกว่าฝ่ายแรก (ขอให้นึกถึงคำขวัญ “ขวาพิฆาตซ้าย” ของประมาณ อดิเรกสาร) โดยเฉพาะกลุ่มพรรคชาติไทยนั้น อาศัยอำนาจทางการเมืองที่เติบโตเข้มแข้งขึ้นอย่างรวดเร็ว พยายามเข้าไปสร้างฐานอำนาจในกองทัพ  เราวิเคราะห์ว่านายทหารระดับสูงอย่างพลเอกฉลาด หิรัญศิริ เป็นคนที่ชาติไทยดึงเป็นพวกได้ แม้แต่ภายในพรรคประชาธิปัตย์ของกลุ่มศักดินาเอง พวกที่เราเรียกว่าประชาธิปัตย์ปีกขวา คือธรรมนูญ เทียนเงิน, สมัคร สุนทรเวช และส่งสุข ภัคเกษม ก็จัดเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของชาติไทย
ตลอดปี 2519 ขบวนการนักศึกษาเรามองว่าฝ่ายกฤษณ์เก่า-ศักดินาเป็นฝ่ายที่ไม่ต้องการทำรัฐประหารเพราะครองอำนาจอยู่แล้ว ขณะที่ฝ่ายชาติไทย-ทรราชเก่าพยายามสร้างสถานการณ์เพื่อการรัฐประหารอยู่เสมอ ที่สำคัญที่สุดคือ การนำเอาประภาสกลับเข้าประเทศในเดือนสิงหาคม และถนอมในเดือนกันยายน
คำให้การของสงัด ชลออยู่และธานินทร์ กรัยวิเชียรข้างต้น ขณะที่ยืนยัน “ข่าวกรอง” และความเชื่อของขบวนการนักศึกษาที่ว่ามีการวางแผนจะทำรัฐประหารจริงๆในปี 2519 ก็ดูเหมือนจะชี้ให้เห็นว่า เรามองความเป็นไปได้ที่รัฐประหารจะมาจากกลุ่มกฤษณ์เก่า (สงัด-บุญชัย) น้อยไป (ถ้าผมจำไม่ผิดเราเกือบจะไม่ได้มองเลย) แน่นอนว่าการที่กลุ่มกฤษณ์เก่าเตรียมทำรัฐประหารไม่ได้แปลว่าฝ่ายชาติไทย-ทรราชเก่าจะไม่ได้เตรียมทำเหมือนกัน และการเข้ามาของถนอมและ 6 ตุลาจะไม่ใช่การกระทำของกลุ่มนี้ สงัดได้บอกทั้งธานินทร์และเสนีย์ ปราโมชเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ว่าสองหรือสี่ทุ่มของคืนวันนั้นจะมี “อีกฝ่ายหนึ่ง” ทำรัฐประหาร จึงต้องชิงลงมือทำเสียเองก่อนตอนหกโมงเย็น เพื่อทำความกระจ่างในเรื่องนี้ เราจำเป็นต้องหันไปพิจารณาหลักฐานอื่นที่มีอยู่
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะทำเช่นนั้น ยังมีสองประเด็นที่ผมจำได้ว่าการวิเคราะห์ของเราในสมัยนั้น มีความ ไม่ลงตัวนัก ซึ่งควรกล่าวถึงในที่นี้
ประเด็นแรก ปัญหาเกี่ยวกับกลุ่มที่เราเรียกว่า “ศักดินา” ซึ่งผมอธิบาย ข้างต้นว่าหมายถึง “ส่วนใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์และแวดวงอื่นๆที่พรรคนี้มีสายสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ด้วย” ปัญหาอยู่ตรงที่ส่วนหลังของคำนิยามนี้ กล่าวคือ ขณะที่ด้านหนึ่งเรามองว่ากลุ่มศักดินาโดยรวมเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ 14 ตุลา ตั้งแต่การขึ้นสู่อำนาจของรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ และ “สภาสนามม้า” จนถึงรัฐบาลคึกฤทธิ์ ในปี 2518 และเสนีย์ในปี 2519 เรามองว่า การที่กลุ่มนี้เป็นฝ่ายได้ครองอำนาจ และโดยที่ตัวเองไม่มีกองทัพในมือโดยตรง แต่อาศัยการสนับสนุนจากกลุ่มสี่เสาเทเวศม์ (กฤษณ์-บุญชัย) ที่ขึ้นมาคุมกองทัพได้จากเหตุการณ์เดียวกัน ทำให้พวกเขาไม่น่าจะเป็นพวกที่ทำรัฐประหาร (รัฐประหารเกิดจากพวกที่ยังไม่มีอำนาจ) มิหนำซ้ำยังมีแนวโน้มจะ “พึ่งพากำลังประชาชน” คือเอาประชาชนเป็นฐานสนับสนุนในการต่อสู้กับกลุ่มอื่นๆด้วย ซึ่งแสดงออกที่ท่าทีของรัฐบาลโดยเฉพาะตัวคึกฤทธิ์ที่มีนโยบาย “ก้าวหน้า”, “เอียงข้างประชาชน” บางอย่าง (กรณีให้อเมริกาถอนฐานทัพ, การเปิดสัมพันธ์กับจีน, การให้เสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง)
อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งในช่วงปี 2518-2519 ดูเหมือนว่า บางส่วนของกลุ่มศักดินา โดยเฉพาะพวกที่อยู่นอกพรรคการเมืองกิจสังคม-ประชาธิปัตย์ จะมีแนวโน้มไปทางขวามากขึ้นทุกที คือไปในทางเดียวกับพรรคชาติไทย และกลุ่มทรราชเก่า ซึ่งอันที่จริงเป็นกลุ่มที่พวกเขา “หักหลัง” โค่นอำนาจไปเองเมื่อ 14 ตุลา ตัวอย่างเช่น บทบาทของลูกเสือชาวบ้าน และการเกิดขึ้นของกลุ่มนวพล (แปลว่า “กำลังที่เก้า”: “เก้ากำลังไม่ร่นก้าวเวลา” เป็นชื่อบทกวีปี 2518 เกี่ยวกับนวพลของชัชรินทร์ ไชยวัฒน์)
ประเด็นที่สอง ปัญหา “ปีกซ้ายประชาธิปัตย์” คือกลุ่มของสุรินทร์ มาศดิตถ์, ดำรง ลัทธพิพัฒน์, ชวน หลีกภัย และวีระ มุสิกพงศ์ เท่าที่ผมจำได้ เราไม่เคยอธิบายพฤติกรรมของกลุ่มนี้ได้อย่างน่าพอใจ คือไม่สามารถจัดพวกเขาให้อยู่ในกรอบทางทฤษฎีของเราในขณะนั้นได้อย่างแท้จริง ดูเหมือนจะมีการพูดๆกันว่า พวกเขาเป็น “นายทุนชาติ” ซึ่งตามทฤษฎีวิเคราะห์สังคมไทยแบบกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินาของเราในขณะนั้น จัดเป็นพวกที่มีทั้งลักษณะก้าวหน้าและปฏิกิริยาอยู่ในตัวพร้อมๆกัน แต่หลายคนก็รู้สึกว่า ไม่น่าจะจัดเช่นนั้นได้ เพราะพวกเขาไม่ได้ร่ำรวยเป็นเจ้าของกิจการอุตสาหกรรมแบบนายทุน และดูเหมือนพวกเขาจะมีความ “ก้าวหน้า” มากกว่าภาพลักษณ์นายทุนชาติที่เรามีอยู่ ผมคิดว่าปัญหาของขบวนการนักศึกษาในขณะนั้นคือ ในทางทฤษฎีเรามองว่าทุกคนในรัฐบาลเป็น “ชนชั้นปกครอง” ซึ่งเป็น “ศัตรูประชาชน” ที่เราต้องโค่นล้ม แต่ในทางเป็นจริงหลายคนรู้สึกว่า กลุ่มปีกซ้ายประชาธิปัตย์มีการกระทำที่เป็น “ฝ่ายประชาชน”
ผิน บัวอ่อน เคยเขียนวิพากษ์ขบวนการนักศึกษาในบทความชิ้นหนึ่งทำนองว่า ที่เกิดการนองเลือดฆ่าหมู่เมื่อ 6 ตุลาเพราะเราตัดสินใจชุมนุมยืดเยื้อตามการ “ผลักดันอย่างสำคัญ” ของปีกซ้ายประชาธิปัตย์ “การยอมให้แนวร่วมนำและไม่ยืนหยัดนำแนวร่วมในปัญหาสำคัญครั้งนี้ ทำให้การเคลื่อนไหวก้าวเข้าสู่ประตูแพ้” ผมเป็นคนหนึ่งที่ร่วมประชุมตัดสินใจในครั้งนั้นด้วย ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงเลย ไม่มีการผลักดันอะไรจากใครภายนอกขบวนการและเราก็ไม่เคยเอาความต้องการของใครภายนอกมาเป็นเหตุแห่งการตัดสินใจของเราด้วย แต่เรื่องที่เรามีปัญหาว่าควรจะมองปีกซ้ายประชาธิปัตย์อย่างไรนั้น ผมจำได้ว่ามีอยู่จริงๆ

ใครสั่ง/ใครบงการ บุกธรรมศาสตร์?

กำลังที่บุกเข้าโจมตีผู้ชุมนุมในธรรมศาสตร์ในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ถ้าจะแบ่งแบบกว้างที่สุด ประกอบด้วย 2 พวก คือ มีเครื่องแบบกับไม่มีเครื่องแบบ พวกไม่มีเครื่องแบบอย่างน้อยได้แก่ลูกเสือชาวบ้าน (สังเกตจาก “ผ้าพันคอพระราชทาน”) และน่าจะกระทิงแดง (สังเกตจากบุคลิกท่าทาง) นอกจากนี้มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าหลายคนอาจจะเป็นเจ้าหน้าที่หรืออดีตเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจนอกเครื่องแบบ เช่น มีเพื่อนผมบางคนแสดงความเห็นว่า ลักษณะทารุณกรรมที่พวกนี้กระทำเช่นตอกลิ่ม เผาทั้งเป็น แขวนคอแล้วประทุษร้ายศพ คล้ายกับวิธีการที่ทหารอเมริกันหรือคนพื้นเมืองที่ทหารอเมริกันฝึก กระทำในสงครามเวียดนาม ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่น่าจะมีจิตใจเหี้ยมเกรียมพอจะทำเช่นนั้นได้ ในความเป็นจริง

ทารุณกรรมต่างๆที่นิยาม 6 ตุลาในความทรงจำของคนทั่วไป เป็นฝีมือของพวกไม่มีเครื่องแบบนี้มากกว่าพวกมีเครื่องแบบ อย่างไรก็ตาม ลำพังพวกไม่มีเครื่องแบบที่มีอาวุธไม่มาก ไม่สามารถจะสลายการชุมนุมในวันนั้นได้ พวกมีเครื่องแบบเป็นผู้โจมตีสังหารหมู่ด้วยอาวุธหนักเบาครบเครื่องก่อน เปิดทางให้พวกไม่มีเครื่องแบบทำทารุณกรรม

ลักษณะเด่นที่สุดของกำลังติดอาวุธในเครื่องแบบที่ลงมือปราบปรามการชุมนุมของนักศึกษาประชาชนในกรณี 6 ตุลา ซึ่งตรงข้ามกับกรณี 14 ตุลาและ 17 พฤษภา คือ มีแต่ตำรวจไม่มีทหาร ถ้าดูจากหลักฐานต่างๆที่มีอยู่ รวมทั้งคำให้การของพยานที่เป็นตำรวจในคดี 6 ตุลา จะพบว่ากำลังตำรวจแทบทุกหน่วยถูกระดมมาใช้ในการโจมตีธรรมศาสตร์ ทั้งนครบาล (ตั้งแต่จาก สน. ถึงแผนกอาวุธพิเศษ หรือ “สวาท”), สันติบาล, กองปราบปราม โดยเฉพาะตำรวจแผนกปราบจลาจล (“คอมมานโด”) 200 คนภายใต้สล้าง บุนนาค และตำรวจพลร่มตระเวนชายแดน จากค่ายนเรศวร หัวหิน สองหน่วยหลังนี้ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นกำลังหลักในการโจมตี ขอให้เรามาพิจารณาอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น
......................................................
ใครเป็นใครในกรณี 6 ตุลาฯ

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar