Jakrapob Penkair
March 30, 2014
ต้องยอมรับว่า สถานการณ์การเมืองไทยทุกวันนี้
ทำให้เกิดความรู้สึกระคนปนกันระหว่างความทุกข์กับความสุข
จนเกิดรสชาติที่ปนกันรสขมและรสหวาน แบบที่ฝรั่งเรียกว่า bittersweet
ด้านความทุกข์ดูจะชัดเจนว่า เป็นความเศร้าใจที่ได้เห็นชาติบ้านเมืองตกต่ำลง
ในขณะที่รัฐไทยเราได้เดินนำรัฐอื่นๆ ในอนุภูมิภาคมาเป็นเวลานานหลายปี
แต่เมื่อเขตเศรษฐกิจอาเซียนจะมาถึงเข้าจริงๆ
เรากลับสะดุดขาตัวเองล้มตึงและได้รับบาดเจ็บยิ่งกว่าเท้าของนายกรัฐมนตรีและไหปลาร้าของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มากนัก
เหตุผลก็ชัดเจนเรียบง่าย
นั่นคือการเปิดรัฐไทยสู่เศรษฐกิจโลกครั้งนี้ อาจเป็นการเปิดถาวร
และปิดโอกาสที่ธุรกิจไทยแนวเก่าๆ ที่ได้ดีมาด้วยการหลับหูหลับตาท่องคาถา
ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีคำว่า ประชาชนและประสิทธิภาพ
รวมอยู่ในนั้นด้วยเลย
เราไม่แปลกใจที่เห็นภาพคนทำธุรกิจเอากำไรเข้าตัวมาตลอดชีวิตอันยาวนานอย่าง
นายประมนต์ สุธีวงศ์
จะออกมาทำตัวประหนึ่งเป็นองคมนตรีฝ่ายธุรกิจและเทศนาสังคมให้รู้จักการให้
หรือ นายแพทย์ประเวศ วะสี ผู้เป็นเสมือนองคมนตรีฝ่ายเอ็นจีโอ นายอานันท์
ปันยารชุน ผู้เป็นเสมือนองคมนตรีฝ่ายต่างประเทศและสหรัฐอเมริกาสายเก่า
หรือนายพลากร สุวรรณรัฐ ที่ทำให้คำว่า ลูกทาส จากละครช่อง ๓
มีความหมายในชีวิตจริงขึ้นมา ด้วยความเป็นเสมือนองคมนตรี “นายใน”
เราเลิกแปลกใจที่คนดังๆ
จากสายพันธุ์นี้รวมตัวกันต่อต้านขบวนประชาธิปไตยอย่างชนิดเอาชีวิตเข้าแลก
เพราะเรารู้ว่า สงครามกลางเมืองของรัฐไทยได้ระเบิดขึ้นแล้วในระดับความคิด
เขาไม่ยอมสละเรือขุดเงินขุดทองที่ระบอบของเขาดูดกินและปอกลอกไปจากรัฐไทยนี้
เราเองก็ยืนยันในสิทธิของความเป็นพลเมืองไทยที่ประชาชนเป็นเจ้าของรัฐพอๆ
กับอำมาตย์ศักดินา นี่เป็นจุดยืนที่แต่ละฝ่ายไม่อาจหาพื้นที่ที่เป็นกลางได้
ก็ถึงขนาดที่อดีตคนกลางคนเดียวของประเทศ
ยังมีแนวคิดให้หันหน้ามาฆ่ากันเองเพราะคิดว่าฝ่ายใดชนะก็คงวิ่งกลับมาหาตัวเองอย่างนี้แล้ว
จะไปหวังพึ่งเจว็ดที่ไหนอย่างลมๆ แล้งๆ ได้
แต่ด้านความสุขก็ไม่ควรลืมและควรนำมายินดีกันเช่นกัน
ไม่มียุคไหนที่พลเมืองจะตาสว่างและรู้เท่าทันเท่ายุคนี้อีก
ความตาสว่างและความรู้เท่าทัน
เป็นเหตุให้เกิดการย้อนกลับไปวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ในยุคเดิมและสถานการณ์ในยุคปัจจุบันใหม่หมด
ความเข้าใจใหม่จึงกำลังเกิดขึ้นในฐานข้อมูลเก่า
พวกที่หากินเป็นนายหน้าทางภูมิปัญญาทั้งหลายโดยเฉพาะนักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัยฝ่ายที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับขบวนประชาธิปไตย
เริ่มหมดทางหากินไปตามๆ กัน ผู้คนอย่าง นายสมบัติ ธำรงธัญญวงศ์
ที่เคยนำมวลชนสู้กับระบอบเผด็จการ
แล้วคงกลับมาถามตัวเองอยู่ว่าฉันได้ประโยชน์ส่วนตัวอะไร
ก่อนจะเปลี่ยนข้างมาสนับสนุนเผด็จการรัฐไทย นายเสรี วงศ์มณฑา
ที่เคยฉลาดหลักแหลมอยู่ในสังคมแบบเก่าๆ
ที่นั่งอ้าปากหวอฟังคำเจื้อยแจ้วเสมือนว่าเป็นภูมิปัญญา
แต่ความจริงก็คือการตีฝีปากของคนที่มีช่องทางหากินอยู่กับคนที่โง่กว่า
เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างของสังคมแบบเก่าซึ่งกำลังยื้อยุดฉุดกระชากรัฐไทยมิให้ก้าวไปสู่อนาคต
เพราะอนาคตหมายความว่าตนเองจะอาภัพอัปภาคย์ ตกเวที ตกงาน
คนที่เคยยกมือไหว้จะหันมาเหยียดหยามใส่หน้า
และหมดอาชีพตลอดจนช่องทางทำมาหากินแบบเก่า ข่าวดีก็คือ คนเหล่านี้มีเจ้านาย
และเจ้านายของเขาทั้งหลายก็อยู่ในภาวะกรรมสนองกรรมอยู่ในขณะนี้
ทุกอย่างที่เคยซ่อนเร้น ไม่ว่าจะมือหรือเท้าที่มองไม่เห็น
ก็ปรากฏแก่สายตาเหมือนละครบนเวที ใครที่เคยนึกว่าสังคมไทยหลอกง่าย
เดี๋ยวก็แต่งชุดพลเรือน เดี๋ยวแต่งชุดทหารบก เรือ
อากาศเพื่อลากเขามารับใช้ตนต่อไปเรื่อยๆ
ทุกวันนี้จึงเป็นได้เพียงตัวละครบนเวที ที่คนทั้งรัฐนั่งดูอย่างรื่นรมย์
และไม่หลงเพริศไปว่าเป็นสัจธรรมความจริง
ความสำคัญของยุคนี้จึงได้แก่ความเข้าใจในสภาพของตนเอง
เหมือนหมอแจ้งข่าวร้ายว่าเป็นมะเร็ง แต่เป็นห้วงที่ยังรักษาได้
ก็รีบละความลุ่มหลงในตัวเองแต่เดิมและหันมาปรับสมดุลในร่างกายเสียให้ทันโรค
ข่าวร้ายก็จะเป็นข่าวดีไปได้ในที่สุด
ถามว่าเรากำลังเผชิญหน้าด้วยเรื่องอะไรกัน ก็ต้องตอบว่า
นี่เป็นเผชิญหน้ากันระหว่าง ลูกทาส กับ ลูกไท ลูกทาสก็คือคนครึ่งสัตว์
ที่เห็นว่ากรงคือที่พักอันอบอุ่นมั่นคงของตน
ลูกไทก็คือมนุษย์ที่ตระหนักในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนอย่างเต็มเปี่ยม
ไม่น้อยไปกว่าใครและไม่มากไปกว่าใคร.