ยุคมืดทางกติกา :คอลัมน์ ใบตองแห้ง
ประเทศไทยวันนี้อยู่ใน “ยุคมืดทางกติกา”
คือกติกาไม่เป็นประชาธิปไตย ได้อำนาจไม่ชอบธรรม เอาเปรียบกันดื้อๆ
โกงเจตนารมณ์ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ความยุติธรรมสองมาตรฐาน
มีไว้ทำลายฝ่ายตรงข้าม ระบอบการปกครองไม่เป็นตามหลักนิติรัฐ
ไม่ยึดหลักยึดเกณฑ์อะไรสักอย่าง ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ก็ยังทำเฉยเมย
ลอยหน้าลอยตา
สภาพโดยรวมคือ อำนาจไม่ชอบธรรม
แต่ไม่มีใครทำอะไรได้ เพราะอำนาจนี้ใหญ่โตมโหฬาร ผนึกกันเป็นเครือข่าย
มีทั้งอำนาจตามกฎหมาย อำนาจบิดเบือนกติกา และอำนาจฉีกกติกา
รัฐสภาเป็นแค่พิธีกรรมเท่านั้น
ประชาชนส่วนหนึ่งก็สนับสนุนหัวชนฝา
ส่วนหนึ่งก็ไม่สนใจ ไม่เห็นความสำคัญของการเมือง
ตามข่าวดาราดราม่าดูหงส์ดูผีดีกว่า คนรักประชาธิปไตยแม้มีไม่น้อย 16.5 ล้าน
ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะประชาธิปไตยต้องการเสรีภาพเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
ไม่ได้อยากลงถนน ไม่ได้อยากนองเลือดโค่นล้มแบบ 14 ตุลา ไม่พอใจแค่ไหน
ก็ไม่อยากเสี่ยงคุกตะราง
พลังประชาธิปไตยจึงถูกล้อมวง “กระชับพื้นที่”
ปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์ จนเหลือพื้นที่เสรีภาพน้อยลงๆ
เดี๋ยวยังจะถูกเด็ดทำลายพลังแถวหน้า แบบดื้อๆ ใครจะทำไม เพียงไม่เอาถึงตาย
เอาให้ไม่มีทางสู้ก็พอ
ภายใต้การกุมอำนาจอย่างนี้
รัฐบาลจึงมีเสถียรภาพที่จะทำอะไรเอาที่สบายใจ
แล้วก็ใช้อำนาจต่อรองกับประชาชน เช่น อ้างว่ากำลังแก้ปัญหาปากท้อง
ประชาชนซาบซึ้ง สำนึกบุญคุณบัตรคนจน เดี๋ยวยังจะประกันราคาข้าว ยาง ปาล์ม
อย่าไปแยแสแก้รัฐธรรมนูญ อย่าไปสนใจนาฬิกาพี่ป้อม มือพ่น Street Art ยังท้อ
ขอปิดเพจเพราะกฎหมายคือเรื่องของชนชั้นบน
ภายใต้ยุคมืดทางกติกา
เครือข่ายอำนาจอนุรักษนิยมผสมนักการเมืองไร้จุดยืน และกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่
พยายามเรียกร้อง ระดมพลังทางสังคม โดยเฉพาะคนชั้นกลางระดับบน
ให้ร่วมกับสร้าง “ยุคทอง” ของอะไร 2-3 อย่าง
เช่น ยุคทองของการลงทุน เศรษฐกิจดิจิตอล สมาร์ต
สตาร์ตอัพ AI สร้างโรงเรียนอีลิท คนรุ่นใหม่ที่เก่งวิทยาศาสตร์
โดยไม่จำเป็นต้องมีสำนึกทางสังคมมากนัก เอาแค่รักชาติ รักพ่อ รักแม่
ไม่ต้องเรียนปรัชญา สังคมศาสตร์ ความคิดเชิงวิพากษ์ ตั้งคำถาม
เรียนเคมีฟิสิกส์จบด๊อกเตอร์มหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของโลก
แล้วกลับมาเสี่ยงเซียมซี
ยุคทองของศีลธรรม ความมีระเบียบวินัย
เคารพผู้ใหญ่หมาไม่กัด (เพราะผู้ใหญ่สั่งหมาได้) สอนเด็กไทยให้โตขึ้นมา
กล้าต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง อย่าง “มะลิซัง” แต่อย่าโตมาเป็นอย่าง เนเน่
บอล เพนกวิน ก็แล้วกัน
ยุคทองของคุณภาพชีวิต
ยุคประยุทธ์ตั้งแต่รัฐประหาร พะยูนตายน้อยลง รณรงค์ลดถุงก๊อบแก๊บ
คือภารกิจอันยิ่งใหญ่ในฐานะที่เกิดมาเป็นพลเมืองโลก
นอกจากนั้น ยุคมืดทางกติกา
ก็มียุคทองของดราม่าออนไลน์ชดเชยกัน ใครว่าสังคมไทยไม่มีความยุติธรรม
เห็นไหม แพทริเซียยังโดนรุมลงทัณฑ์ ครูอ้อมได้รับการปกป้อง
จากอำนาจบาตรใหญ่ อส.ปิดม่านทุบเด็กแว้น เราก็เห็นว่าทำไม่ถูกต้อง
(แต่อย่าพูดเรื่องอับดุลเลาะ อีซอมูซอ ก็แล้วกัน)
ความเป็นจริงมันคล้ายการย้อนไปสถาปนาสังคมมายาคติ
ยุคหลัง 6 ตุลา ประชาธิปไตยครึ่งใบ พยายามให้ลืมอดีต กลบบาดแผล
เริ่มต้นใหม่ วางระบบการศึกษาที่ทำให้คนคิดแบบ critical thinking น้อยลง
แต่ประชาธิปไตยครึ่งใบยังมาจากฉันทมติ
ไม่ใช่ข่มขืนใจให้คนข้างมากยอมรับอำนาจ ประกอบกับความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ
ที่มาจากญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิต
ยุคนี้ต่างโดยสิ้นเชิง
อาจมีอย่างเดียวที่เป็นผลดี คือความใหญ่โตของเศรษฐกิจบริโภคนิยม
ทำให้ชีวิตคนมีทางเลือกหลากหลาย ต่างคนต่างมีที่ไป มีทั้งโลกที่เป็นจริง
และโลก Avengers ไม่จำเป็นต้องเหลืออดกับอำนาจ แบบเด็กหลังห้อง
หรือแม้แต่เด็กหน้าห้อง ครูระเบียบเอาแต่ใจต้องการให้ทำอย่างไรก็ทำ
ลับหลังก็มีชีวิตของตัวเอง มีโลกของตัวเอง
แต่นั่นแหละที่ทำให้สังคมไทยเป็นสังคมไม่เคารพกฎหมาย
ไม่ยอมรับกติกา เพราะรู้ว่าไม่มีใครทำตามกติกา ถ้ามีเส้น
นักกฎหมายก็เรียนเพื่อเป็นศรีธนญชัย ใช้หาประโยชน์ให้ตัวเอง
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
ก็ได้รางวัลโอลิมปิกทุกยุคสมัยไง แต่ไม่สามารถยกระดับการแข่งขัน
แรงงานมีฝีมือ หรือสติปัญญาทางสังคม แบบผู้นำม็อบรักชาติยังกินฉี่อยู่เลย
ยุคมืดทางกติกา ความจริงคือยุคมืดทางปัญญา
ปิดกั้นเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ ความเป็นตัวของตัวเอง
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ปิดกะโหลกคนข้างหนึ่ง
แล้วพยายามจะให้พัฒนาอีกข้างหนึ่ง เพื่อสนองความต้องการของอำนาจ
ระวังไว้ให้ดี ภาพคนจำยอมวันนี้เป็นแค่ชั่วคราว ถ้าเศรษฐกิจวิบัติ คนตกงาน คนยากลำบาก และคนโกรธแค้น ก็จะมีเป็นจำนวนมาก