lördag 23 november 2019

updated... ราชสำนักไทย เป็นแหล่งรวมความไม่โปร่งใส "ชั้นเทพ"


ราชสำนักไทย เป็นแหล่งรวมความไม่โปร่งใส "ชั้นเทพ" เลย ทั้งๆที่อยู่ได้จากเงินของสาธารณะ แถมยังควบคุมทรัพย์สินที่ควรเป็นของสาธารณะมูลค่ามหาศาลอีก (และเช่นเดียวกับทุกองค์กรหรือหน่วยงานที่ไม่โปร่งใสไม่มีการตรวจสอบ โอกาสที่จะเต็มไปด้วยการ "ใช้จ่ายเงินผิดประเภท" "คอร์รัปชัน" เล่นพรรคเล่นพวก ก็สูง - กองทัพเป็นอีกหน่วยงานสำคัญหนึ่งที่มีลักษณะแบบนี้)

เรื่องนี้ชนชั้นกลางในเมือง รวมไปถึงคนในวงการสื่อมวลชน (คนอย่างประเภทคุณ "เสริมสุข" ที่ผมพูดถึงในกระทู้ก่อน หรือพวกนักเขียน "ผู้จัดการ" ทั้งคณะเลย) รู้ไหม? รู้แน่นอน ถ้าพวกเขาตั้งสติ และมีความกล้าหาญที่จะคิดและยอมรับนะ
แต่ปัญหาคือ ในหลายปีทีผ่านมา พวกนี้หลงไปกับลัทธิ "รักในหลวง" และที่สำคัญ ก็
"เกลียดนักการเมือง" (ทักษิณ) อย่างไม่ลืมหูลืมตา จนไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับเรื่องนี้อีก
เป็นพักๆ ก็มีกรณี "เตือนใจ" เรื่องนี้ขึ้นมา อย่างปีกลายเรื่องการกวาดล้าง "อัครพงศ์ปรีชา" และการจ่าย "ค่าทำขวัญ" ๒๐๐ ล้านบาท (ใครที่ชอบยืนยันก่อนหน้านั้นว่า ทรัพย์สินฯ ไม่ใช่ของในหลวงๆๆ เป็นของแผ่นดิน บลาๆๆ ตอนนี้ยัง "หน้าแตก" เย็บไม่สนิทนะครับ งานนั้น ในหลวงเซ็นแกร็กเดียว จ่ายเลย ๒๐๐ ล้าน สำหรับทำขวัญเรื่องลูกชายหย่าลูกสะใภ้ เรียกว่าส่วนตั๊ว ส่วนตัว ไม่รู้จะส่วนตัวยังไงแล้ว - นึกภาพถ้าทักษิณหย่าพจมาน หรือ "เอม" หย่า "พงศ์" แล้วให้กระทรวงการคลังจ่ายค่า "ทำขวัญ" อะไรประมาณนั้นแหละ)
และล่าสุดก็กรณีหมอหยอง
(หรือกว้างไปกว่านั้น กรณีเรื่องไล่ที่ของสำนักงานทรัพย์สินฯ เป็นต้น)
แล้วทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนี้ มีไหมที่จะออกมาโวยวายว่า "ไม่โปร่งใสๆๆ" "ลิดรอนเสรีภาพสื่อ" (ในการทำข่าว เสนอข่าว) ฯลฯ
ผมนี่เชียร์เลย การตรวจสอบ เอาผิดนักการเมืองคอร์รัปชั่น ฯลฯ ปัญหาคือ หลายปีที่ผ่านมา มัน "ดัดจริต" "สองมาตรฐาน" ชนิดที่ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว คือไอ้ที่ "คอร์รัป" ตั้งแต่ระดับกฎหมายและระเบียบการปฏิบัติ "ปกติ" เลย - กฎหมายทรัพย์สินพระมหากษัตริย์, งบประมาณเรื่องเจ้า ไปจนถึงอีกสารพัดเรื่อง เช่น การถวายเงิน ฯลฯ - คือต่อให้ไม่มีการ "กินเงิน-หักหัวคิว-ส่งส่วย" (ซึ่งมีแน่) เลยนะ ที่ทำกันปกติ ก็ต้องเรียกว่าเป็นการปฏิบัติและกฎหมายกฎระเบียบที่คอร์รัปแน่ๆ (มีหรือที่เราอนุญาตให้วงการที่เกี่ยวข้องกับรัฐที่ไหน ใช้จ่ายเงิน รับเงิน ควบคุมเงิน ได้ตามใจชอบแบบกรณีราชสำนัก?)
ผมพูดหลายครั้งแล้วว่า การตะโกนร้องแรกแหกกระเชอเรื่อง "คอร์รัปชั่นๆๆ" ของคนรักเจ้า ชนชั้นกลางในเมืองน่ะ มัน ไร้สาระโคตรๆๆ คือ แม้แต่ซีเรียสก็ไม่ซีเรียสเลย ไม่มีที่ไหนในโลกที่ผมเคยเห็นนะ ที่จะตะโกนโวยวายเรื่อง "คอร์รัปชั่นๆๆ" แต่เงียบกริบ และปล่อยให้การปฏิบัติและระเบียบที่คอร์รัป สุดๆ ("ชั้นเทพ") ปรากฏต่อหน้าต่อตาทุกเมื่อเชื่อวันเป็นสิบๆปีแบบนี้ - มัน "ไร้สาระ" และ "กระจอก" ชิบเลย

มีเรื่องการเมืองเรื่องหนึ่ง ที่ทั้งเหลือง-แดง เห็นไปในทิศทางเดียวกัน
หลายวันนี้ (จริงๆสังเกตมาเป็นเดือนแล้วล่ะ) ผมมานึกๆดู ด้วยความขำๆเหมือนกัน
คือทุกวันนี้ ทุกคนรู้ว่า เรื่องการเมืองเรียกว่าทุกเรื่อง หาความเห็นตรงกันหรือไปในทิศทางเดียวกันในหมู่คนสนใจการเมือง เหลือง กับ แดง ไม่ได้
แต่ผมว่า มีเรื่องนึงที่ไปในทิศทางเดียวกันนะ แน่นอน ไม่ใช่ตรงกันร้อยเปอร์เซนต์ (หรือไม่ใช่ไม่มีข้อยกเว้นในแต่ละกลุ่มเอง ที่มีคนเห็นต่างออกไปบ้าง)
คือความรู้สึกต่อกษัตริย์ใหม่
ผมว่า ไม่ว่าเหลืองหรือแดง หาความรัก-เคารพกษัตริย์ใหม่ไม่ได้
ในหมู่เหลือง แน่นอน เรายังเห็น "ทรงพระเจริญๆๆ" ตามสื่อโซเชียลต่างๆ
แต่เท่าที่ผมสังเกตนะ ผมว่า มันเบาบางผิวเผิน "ใจ" จริงๆ มันไม่มี ความรู้สึกแบบรักเคารพจริงๆ ไม่มี และหลายเดือนนี้ ผมสังเกต ยังไม่เห็นคนที่เรียกว่าเซเลปหน่อยในหมู่เหลือง ไม่ว่าจะดารา นักเขียน ไปถึงวงการอื่นๆ จะมีการแสดงออกในลักษณะรักเคารพกษัตริย์ใหม่อย่างจริงๆจังๆเลย
ในหมู่แดง มีช่วงสั้นๆช่วงหนึ่ง ตอนเปลี่ยนรัชกาลใหม่ๆ ที่มีกระแส "อวย" กษัตริย์ใหม่กันขึ้นมา หรือแม้แต่ตอนนี้ก็ยังพอมีบ้างเป็นคนๆ แต่ผมว่า ไม่กี่เดือนนี้ มันเบาบางไปจนแทบไม่เหลือแล้วกระแสที่ว่านี้
แล้วเอาเข้าจริง แต่ต้นเลย กระแสอวยกษัตริย์ใหม่ในหมู่แดง เป็นเรื่องเชิงการเมืองมากกว่าความรู้สึกรักเคารพจริงๆ คือหวังผลในทางการเมืองว่ากษัตริย์ใหม่จะช่วยแดง เช่น ช่วยทักษิณ ช่วยล้มรัฐะรรมนูญ คสช ไปถึงช่วยตั้งสมเด็จช่วง ซึ่งหลังจากผ่านเวลาไปไม่กี่เดือน ก็เห็นว่า เป็นความหวังลมๆแล้งๆ คือการ "เชียร์" กษัตริย์ใหม่จากฐานการคาดหวังว่ากษัตริย์ใหม่จะทำเรื่องการเมืองเข้าข้างแดง พอไม่มีวี่แววจะเกิดในหลายเดือนนี้ กระแสเชียร์มันก็ค่อยๆหายไปเอง เพราะมันไม่ได้มาจากความรู้สึกรักเคารพอะไรแต่ต้น
(ตอนที่กษัตริย์ใหม่ไม่ตั้งสมเด็จช่วง ในหมู่เหลือง ในการสังเกตของผม มีอารมณ์ประเภท "โล่งใจ" มากกว่าจะเป็นเรื่องเชียร์หรือเกิดการรักเคารพจริงๆ)
สรุปแล้ว ผมว่า "ตลก" ดีเหมือนกันว่า กษัตริย์ใหม่เป็น "ศูนย์รวมเอกภาพทางจิตใจ" ระหว่างสีการเมืองที่ขัดแย้งกัน อย่างที่ไม่มีเรื่องไหนๆเป็น
คือเป็นที่ #ไม่ รักและเคารพ จากทั้งสองฝ่าย (ฮา)

Somsak Jeamteerasakul


รามา 10: กษัตริย์องค์ใหม่ของไทยผู้มีพฤติกรรมที่ชวนให้น่ากังวล
เมื่อวานนี้ นสพ. "เลอ มง" ของฝรั่งเศส ได้ตีพิมพ์รายงานขนาดยาวเกี่ยวกับวชิราลงกรณ์ของคุณ อาโรลด์ ทิโบต์ (Harold Thibault) - ภายใต้ชื่อเรื่องข้างต้น
ตัวรายงานจริง อยู่ที่นี่ อ่านได้เฉพาะผู้เป็นสมาชิก https://goo.gl/SKJFpD
แต่คุณ Andrew MacGregor Marshall ได้นำออกเผยแพร่ อ่านได้ที่นี่ (เป็นภาษาฝรั่งเศส มีคำนำภาษาอังกฤษของคุณแอนดรูสั้นๆ และตอนท้ายคุณแอนดรูได้โพสต์ฉบับแปลภาษาอังกฤษที่ใช้ Google Translate ไว้ด้วย) https://goo.gl/W5NMc3
ข้างล่างนี้ ผมสรุปเนื้อหาของรายงาน
...............

- วชิราลงกรณ์เป็นคนเจ้าอารมณ์ที่คาดเดายากว่าจะทำอะไร เขาชอบใช้ชีวิตในบาวาเรีย รัชสมัยของเขาสามารถเป็นรัชสมัยที่โหด
- คนเยอรมันไม่ได้สนใจวชิราลงกรณ์จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม 2016 เมื่อ Build ตีพิมพ์ภาพของเขาที่สนามบินมิวนิค ในชุดคร้อปท็อปโชว์พุง และลายแท็ตทูกลางหลัง
- เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในบาวาเรียในปีหลังๆนี้ ในขณะที่พระราชบิดานอนป่วย
- วันที่ 13 ตุลาคม 2016 กษัตริย์ภูมิพลสวรรคต วชิราลงกรณ์บินกลับไทย แต่อยู่ได้ราวสองสัปดาห์ก็กลับเยอรมันอีก เขาได้รับประกาศเป็นกษัตริย์วันที่ 1 ธันวา แต่พิธีราชาภิเษกยังไม่แน่ว่าจะมีเมื่อไร เดิมวิษณุ เครืองามบอกว่าสิ้นปี 2017 แต่ก็ผ่านไป ขณะนี้ มีการพูดกันว่า อาจจะในเดือนมีนาคม 2018 [ดังที่ผมเคยเล่าไปว่า ผมได้ยินว่า อาจจะเป็นเมษายน ช่วงวันจักรีหรือใกล้ๆกัน แต่เรื่องนี้ก็ยืนยันไม่ได้ - สศจ.]
- บุคลิกของวชิราลงกรณ์เป็นเรื่องอ่อนไหวในไทย ทุกคนรู้ลักษณะนิสัยเขา ความเป็นคนโมโหง่าย เอาแต่ใจ การมีสนมหลายคน แต่เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งต้องห้ามที่จะพูด ถ้าใครพูดจะผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งมีบทลงโทษหนักสำหรับใครที่แม้แต่จะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์ ในปี 2015 เคยมีคนถูกจับเพียงเพราะพูดประชดเสียดสีสุนัขทรงเลี้ยง
- พวกชนชั้นนำความจริงต้องการจะให้น้องสาววชิราลงกรณ์ ฟ้าหญิงสิรินธร ผู้ได้รับความนิยม ขึ้นครองราชย์มากกว่า
- ความพิลึกของกษัตริย์องค์ใหม่เป็นที่รู้กันทั่ว ในปี 2010 อีริค จี จอห์น เอกอัครรัฐทูตอเมริกัน ถาม พล.อ.เปรม ประธานองคมนตรีว่า วชิราลงกรณ์อยู่ที่ไหน เปรมตอบว่า "คุณก็รู้ไลฟ์สไตล์ของเขา รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง..." ในโทรเลขการทูตของสหรัฐที่เปิดเผยโดยวิกิลีกส์อีกฉบับหนึ่ง ลาฟ บอยซ์ ทูตอเมริกันอีกคนหนึ่ง เล่าถึงดินเนอร์ที่มีแขกเหรื่อ 600 คน แล้วฟูฟู สุนัขของวชิราลงกรณ์ ที่เขาตั้งให้เป็นพลอากาศเอก และถูกจับแต่งตัวในชุดทหารตามยศ กระโดดขึ้นโต๊ะอาหาร และกินน้ำในแก้วของแขก รวมทั้งของทูต
- ชนชั้นนำไทย ความจริงอยากให้ฟ้าหญิงสิรินธรขึ้นครองราชย์มากกว่า แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะเธอไม่ได้แต่งงาน ไม่มีลูก และกษัตริย์ภูมิพลได้กำหนดไว้ตั้งแต่ปี 1972 ให้วชิราลงกรณ์เป็นรัชทายาท
- เมื่อ 2 ปีก่อน ขณะที่พระราชบิดากำลังใกล้สวรรคต วชิราลงกรณ์ซื้อบ้าน 2 หลังริมทะเลสาบ สตรานเบิร์ก ในบาวาเรีย ซึ่งมีทิวทัศน์สวยงาม
- บ้านในตุสซิงที่เขาซื้อ ราคาประมาณ 12 ล้านยูโร นายกิลโด ไลน์เนอร์ (Guido Lindner) ผู้จัดการโรงแรม Hotel du Lac ที่อยู่ใกล้ๆบ้านนั้น ให้สัมภาษณ์ว่า "วชิราลงกรณ์ได้รับการปฏิบัติจากพวกบริพาร ราวกับเป็นพระพุทธเจ้าที่มีชีวิต" นายกิลโดเล่าว่าคณะผู้ติดตามของวชิราลงกรณ์เคยเสนอขอซื้อโรงแรมเขา [เข้าใจว่า เพื่อเคลียร์บริเวณนั้นให้มีความไพรเวทมากขึ้น จากแขกโรงแรม - สศจ.] แต่เขาไม่ขาย วชิราลงกรณ์ยังได้ซื้อบ้านอีกแห่งที่ฟิลดาฟิ้ง ที่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตร เพื่อเขาจะได้มีที่อยู่กับคู่ควงแต่ละคน แยกกัน และกับลูกชาย
- ย่านทะเลสาบ สตรานเบิร์ก ที่วชิราลงกรณ์อยู่เป็นย่านที่พวกนักธุรกิจรวยๆหรือศิลปินไปพักอาศัย มีความสงบมากกว่าโรงแรมฮิลตันใกล้สนามบินมิวนิค ซึ่งวชิราลงกรณ์เคยอยู่ประจำก่อนจะมาซื้อบ้าน แต่วชิราลงกรณ์ก็ยังไปพักที่ฮิวตันบ้างเป็นบางครั้ง
- วชิราลงกรณ์ชอบขับเครื่องบิน (บทรายงานเล่าถึงกรณีที่วชิราลงกรณ์ขับเครื่องบินขวางเครื่องบินของนายกฯญี่ปุ่น ที่พอล แฮนด์ลี่ย์ เล่าไว้ใน The King Never Smiles)
- โรงแรมฮิลตัน เดิมเป็นโรงแรมเคมปินสกี้ ซึ่งราชวงศ์ไทยถือหุ้นใหญ่ ก่อนจะขายให้ฮิลตัน อดีตพนักงานโรงแรมผู้หนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า สมัยที่วชิราลงกรณ์ไปพักประจำที่นั่น สร้างความยุ่งเหยิงให้ทางโรงแรม วชิราลงกรณ์กับคณะจะมาพักครั้งละ 2-3 เดือน หลายครั้งต่อปี บางครั้งสถานทูตไทยในเบอร์ลินแจ้งต่อโรงแรมล่วงหน้าเพียงแค่ไม่กี่วัน ว่าวชิราลงกรณ์จะมาพัก ครั้งหนึ่ง ในช่วงต้นทศวรรษ 2010s ทางโรงแรมต้องย้ายการประชุมคอนเฟอเรนซ์ที่จัดโดยลูกค้าสำคัญของโรงแรม คือบริษัทประกันภัย Allianz ที่มีผู้เข้าร่วมประชุมนับร้อย ออกไปจัดที่อื่น เพราะวชิราลงกรณ์กับคณะมาพักโรงแรมกระทันหัน
- การมาพักแต่ละครั้งของวชิราลงกรณ์จะมาพร้อมกับกระเป๋าข้าวของหนักเป็นตันๆ ทางโรงแรมต้องจัดการเคลียร์ชั้นโรงแรมเป็นชั้นๆ หรือปีกบางปีกของโรงแรม โดยเฉพาะเมื่อวชิราลงกรณ์พาคู่ควงมามากกว่าหนึ่งคน [เพื่อให้แยกกันอยู่คนละชั้นคนละปีก - สศจ.] ทีมบริพารของวชิราลงกรณ์เคยพยายามจะบังคัับให้พนักงานชาวเยอรมันของโรงแรมต้องหมอบคลานต่อหน้าวชิราลงกรณ์ แต่ทางฝ่ายจัดการของโรงแรมไม่ยอม ทางทีมบริพารเลยขอให้พนักงานห้ามมองสบตาหรือพูดกับวชิราลงกรณ์. ในห้องพักของวชิราลงกรณ์จะมีการประดับภาพพวกรถยนต์เก่าที่เขาสะสม
- อดีตพนักงานโรงแรมคนเดียวกันเล่าว่า วันหนึ่ง พนักงานหญิงทำความสะอาด (เมด) พบว่า ทีมบริพารของวชิราลงกรณ์ได้แขวนรูปฮิตเล่อร์ไว้บนผนัง อดีตพนักงานที่ให้สัมภาษณ์บอกว่า ไม่แน่ใจว่าเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์อย่างประหลาดหรือเพราะความนิยมชมชอบฮิตเล่อร์กันแน่ ทางฝ่ายจัดการโรงแรมต้องบอกอย่างเข้มงวดต่อเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยให้เอาภาพนั้นออก
...............
[รายงานยังไม่จบ - ถ้ามีเวลา ผมจะมาแปลสรุปที่เหลือต่อ กระทู้นี้ยาวมากแล้ว และตอนนี้เป็นเวลาดึกมากของที่นี่]

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar