สยาม ราชอาณาจักรใต้ดิน
โดย ปรีดี พนมยงค์ ( หลวงประดิษฐมนูธรรม ) รัฐบุรุษอาวุโส อดีตผู้สำเร็จราชการในรัชกาลที่ ๘ และ อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย
จากหนังสือ ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ ๒๑ ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน.
( เอกสารประวัติศาสตร์ ต้นฉบับเดิมเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสซื่อ MA VIE MOUVEMENTÈE ET MES 21 ANS D´ EXIL EN CHINE POPULAIRE แปลโดย จำนงค์ ภควรวุฒิ พรทิพย์ โตใหญ่ )
( เอกสารประวัติศาสตร์ ต้นฉบับเดิมเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสซื่อ MA VIE MOUVEMENTÈE ET MES 21 ANS D´ EXIL EN CHINE POPULAIRE แปลโดย จำนงค์ ภควรวุฒิ พรทิพย์ โตใหญ่ )
-๑- เมื่อญี่ปุ่นโจมตีอ่าวเพีร์ลฮาเบอร์ในวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ และได้ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลสยามเพื่อนำทัพญี่ปุ่นผ่านดินแดนสยามในการที่จะไปโจมตีพะม่าและมลายู ซึ่งอยู่ในปกครองของอังกฤษ ข้าพเจ้าทราบดีว่า นี่เป็นการเข้ายึดครองสยามนั่นเอง การกระทำเช่นนี้ของญี่ปุ่นขัดกับอุดมคติของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของข้าพเจ้า ในระหว่างที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรี ได้มีการประชุมหารือ เกี่ยวกับข้อเรียกร้องของญี่ปุ่นในการเดินทัพผ่านดินแดนสยาม ข้าพเจ้าได้พยายามผลักดันให้รัฐบาลดำเนินนโยบายที่เราได้แถลงไว้หลายครั้งหลายหนในอดีต กล่าวคือ เราจะต่อต้านการรุกรานของกองทัพทหารต่างชาติไม่ว่าชาติใด เพื่อพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเอกราชและอธิปไตยของชาติ นอกจากนี้ ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นว่า จะเป็นการต่อสู้เพื่อเหตุผลอันชอบธรรม เพราะนี่เป็นการต่อต้านการรุกรานของต่างชาติ ขณะที่ข้าพเจ้าแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนี้ นายกรัฐมนตรี จอมพลป. พิบูลสงครามก็ขัดจังหวะ และห้ามข้าพเจ้าพูดต่อ มีรัฐมนตรีบางคนที่เห็นว่า เพียงอนุญาตให้กองทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศสยามนั้นยังไม่พอ หากยังคิดอีกว่า ประเทศสยามน่าจะเข้าเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น เพื่อจะได้ดินแดนที่สูญเสียให้อังกฤษและฝรั่งเศสไปกลับคืนมา แต่ผลที่สุดความเห็นของข้าพเจ้าก็จัดอยู่ในกลุ่มเสียงข้างน้อย
การที่ข้าพเจ้าคัดค้านการยินยอมของรัฐบาลจอมพลป. พิบูลสงครามนั้นทำให้ญี่ปุ่นโกรธแค้นข้าพเจ้ามาก และได้บีบบังคับให้นายกรัฐมนตรีย้ายข้าพเจ้าออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไปรับตำแหน่งอื่นที่สูงขึ้น แต่ต้องไม่ใช่ตำแหน่งที่มีอำนาจบริหารราชการ ข้าพเจ้าจึงได้ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี และสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเอกฉันท์ให้ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่ว่างอยู่ ๑ ตำแหน่ง ต่อมาภายหลังข้าพเจ้าได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าข้าพเจ้าจะรู้สึกว่าถูกบังคับก็ตาม ข้าพเจ้าก็ยอม เพราะคิดว่าตำแหน่งใหม่นี้จะทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสจัดตั้งองค์การต่อต้านญี่ปุ่น ซึ่งต่อมารู้จักกันในนาม “ ขบวนการเสรีไทย “
นอกจากกลุ่มคนไทยผู้รักชาติที่อยู่ในประเทศแล้ว นักเรียนไทยในต่างประเทศ เช่น ในอังกฤษและสหรัฐอเมริกาได้รวมตัวกันจัดตั้ง “ ขบวนการเสรีไทย “ โดยได้เข้าร่วมกับขบวนการที่เราจัดตั้งขึ้นภายในประเทศ กลายเป็นขบวนการเดียวกัน โดยมีข้าพเจ้าเป็นหัวหน้า
ในระหว่างที่ญี่ปุ่นยึดครองประเทศไทยในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ นั้น มีผู้สนับสนุนและเข้าร่วมเป็นแนวหน้าของขบวนการเสรีไทยจำนวนประมาณ ๘๐,๐๐๐ คน และอีก ๕๐๐,๐๐๐ คนพร้อมที่จะเข้าร่วมเมื่อคราวจำเป็น
-๒- กองทหารญี่ปุ่นได้ชัยชนะในมลายูในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน และรุกรานคืบหน้ารวดเร็วถึงประเทศพม่า นับเป็นการคุกคามทั่วทั้งเอเชียอาคเนย์ รัฐบาลไทยสมัยจอมพลป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีประกาศสงครามต่อสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา โดยหวังว่าอาจจะได้ดินแดนบางส่วนที่สยามเคยสูญเสียไปและที่ญี่ปุ่นเข้าไปยึดครองนั้นกลับคืนมา นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังได้แสดงท่าทีเป็นศัตรูต่อประเทศจีนด้วย การประกาศสงครามนั้น ถือว่าไม่ถูกต้องตามกฏหมาย เพราะไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร และข้าพเจ้า ซึ่งอยู่ในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ไม่ได้ลงนาม ถึงกระนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรบางประเทศถือว่า ประเทศไทยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะสงคราม
เจ้าหน้าที่หลายคนที่ฝ่ายรัฐบาลสัมพันธมิตรส่งเข้ามาในประเทศสยามอย่างลับๆ เพื่อมาเป็นที่ปรึกษาในการทำสงครามพลพรรค และเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานฝ่ายสัมพันธมิตรนั้น เรียกขบวนการของเราว่า “ สยาม ราชอานาจักรใต้ดิน “
-๓- ขบวนการของเราได้กำหนดภารกิจที่จะต้องปฏิบัติ ๒ ด้านประกอบกันคือ ด้านหนึ่งต่อสู้ญี่ปุ่นผู้รุกราน และอีกด้านหนึ่ง เจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อให้สัมพันธมิตรเห็นว่า การประกาศสงครามของจอมพลป. พิบูลสงคราม ไม่ถูกต้องตามกฏหมาย เพื่อให้สัมพันธมิตรรับรองขบวนการของเรา และรัฐบาลพลัดถิ่นที่เราคิดจะตั้งขึ้น ตลอดจนยอมรับว่าเป็นพันธมิตรด้วย ดังเช่นที่พวกเขาได้รับรอง COMITE FRANCAIS DE LIBERATION NATIONALE นำโดยนายพล เดอโกลล์ ด้วยเหตุนี้เราจึงได้ส่งทูตพิเศษเพื่อไปเจรจาเรื่องนี้ อย่างลับๆ เราได้มอบให้สถานเอกอัครราชทูตสยามที่ประจำอยู่ที่กรุงสต็อกโฮล์ม ซึ่งได้ร่วมขบวนการด้วยเป็นผู้ติดต่อกับสถานเอกอัครราชทูตโซเวียตที่ประจำอยู่ที่กรุงสต็อกโฮล์มเช่นกัน
การเจรจาครั้งนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความระมัดระวัง ความรอบคอบและเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง เพราะประเทศอังกฤษถือว่าการประกาศสงครามของจอมพลป. พิบูลสงครามนั้นมีผลสมบูรณ์ในขณะที่ประเทศสัมพันธมิตรอื่น ( สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต รัฐบาลผลัดถิ่นของฝรั่งเศส ) ต่างก็มีท่าทีเฉพาะของตน แต่ในแง่ของการทหารนั้น บทความหลายชิ้น และหนังสือหลายเล่มที่ตีพิมพ์ในสหราชอานาจักร และสหรัฐอเมริกาเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความช่วยเหลือ และความร่วมมือของเรานานัปการ อันเป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่ชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร ข้าพเจ้าขอนำคำเปิดเผยของลอร์ดหลุยส์ เมานท์แบทเตน ที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ไทมส์ ฉบับวันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ มากล่าวอ้างไว้ดังนี้
หนังสือพิมพ์ไทมส์ ๑๘/๑๒/๑๙๔๖
“ อาคันตุกะผู้หนึ่งจากสยาม การรณรงค์ของหลวงประดิษฐฯ
คำเปิดเผยของลอร์ด เมานท์แบทเตน “
“ ลอร์ด เมานท์แบทเตน แห่งพม่า ผู้ซึ่งไม่นานมานี้ เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์ ได้รับการต้อนรับเลี้ยงอาหารกลางวันโดยชิตี้ ลิเวอรี่ คลับ ณ ไซออน คอลเลจ เมื่อวานนี้ได้บรรยายไว้ในสุนทรพจน์ของท่านถึงบทบาทอันยิ่งใหญ่ของหลวงประดิษฐ์ฯ รัฐบุรุษอาวุโสแห่งสยาม ในการกำจัดกองทัพญี่ปุ่นซึ่งยึดครองประเทศนั้น ท่านลอร์ดได้สาธยายเกี่ยวกับรายละเอียดซึ่งหนังสือพิมพ์ไทมส์ได้เคยลงพิมพ์ในฉบับประจำวันที่ ๒๒ ธันวาคม คือประมาณ หนึ่งปีมาแล้ว และได้ประกาศแถลงว่า หลวงประดิษฐฯ บุคคลผู้มีบทบาทที่น่าตื่นเต้นคนหนึ่งแห่งสงครามในเอเชียอาคเนย์นั้นกำหนดจะมาถึงประเทศอังกฤษโดยเรือเดินสมุทร ควีน เอลิซาเบท พรุ่งนี้เช้า
ลอร์ด เมานท์แบทเตน กล่าวว่า ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสแห่งสยาม ซึ่งรู้จักกันทั่วโลกในนามหลวงประดิษฐ์ฯ “ และพวกเราหลายคนแห่งกองบัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์ รู้จักเขาตามชื่อระหัสว่า “ รู้ธ “ เขามาเยี่ยมประเทศนี้ ( อังกฤษ ) และข้าพเจ้าหวังว่าเราจะใช้โอกาศนี้ให้การรับรองเขาอย่างอบอุ่น เพราะเหตุที่หลวงประดิษฐ์ฯเป็นบุรุษผู้มีบทบาทอันน่าตื่นเต้นคนหนึ่งแห่งสงครามในเอเชียอาคเนย์ เป็นที่ทราบกันว่าในระหว่างสงครามนั้นไม่มีการกล่าวถึงชื่อของเขาอย่างเปิดเผยและเรื่องราวทั้งปวงเกี่ยวกับเขาก็ถูกถือว่าเป็น “ ความลับสุดยอด”
แม้กระทั่งทุกวันนี้ คนอังกฤษส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยทราบกันเท่าไรนักถึงพฤติกรรมอันอาจหาญที่เขากระทำสำเร็จมาแล้ว ขณะญี่ปุ่นรุกรานสยามหลวงประดิษฐฯ เป็นรัฐมนตรีคนหนึ่งในรัฐบาล แต่เขาปฏิเสธที่จะลงนามในการประกาศสงครามต่อเรา หลวงพิบูลฯ “ ควิสลิง “ ( QUISLING คือนายกรัฐมนตรี นอร์เวย์สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งเข้าร่วมกับฝ่ายนาซี- หมายเหตุผู้เรียบเรียง ) รู้ว่าเขา ( หลวงประดิษฐ์ฯ ) เป็นคนหนึ่งที่ทรงอำนาจและได้รับความนิยมอย่างยิ่งในประเทศ และก็หวังที่จะทำให้เขาเป็นหุ่นเชิดโดยให้เขาขึ้นไปเป็นคนหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งหลวงประดิษฐ์ฯ ยอมรับตำแหน่งนี้ หลวงพิบูลฯหรือญี่ปุ่นมิได้ตระหนักแม้แต่น้อยว่า ขณะที่หลวงประดิษฐ์ฯ ยอมรับตำแหน่งหน้าที่นั้น เขาก็ได้เริ่มต้นดำเนินการจัดตั้งและอำนวยการขบวนการต่อต้านของชาวสยามขึ้น"
" คณะผู้แทนหายสาบสูญไป “
"เราได้รับรู้จากแหล่งต่างๆว่า หลวงพิบูลฯ มิได้ประสบผลทุกๆอย่างตามวิถีทางของเขาในประเทศสยามแต่การจะติดต่อ ( กับขบวนการต่อต้านภายในสยาม )นั้น ก็ลำบากมากและทั้งนี้ก็เป็นการยากที่จะล่วงรู้ได้ด้วยว่า อะไรเกิดขึ้นกันแน่คณะผู้แทนของหลวงประดิษฐฯ ๒ คณะได้หายสาปสูญไประหว่างการเดินทางไปยังประเทศจีน ซึ่งเต็มไปด้วยภยันตราย แต่ในที่สุด ก็ได้มีการพบปะกันระหว่างสัมพันธมิตรและขบวนการเสรีไทย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงระยะเดียวกันกับที่ข้าพเจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตร นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เราก็ได้ติดต่อกันเป็นประจำ การติดต่อทั้งนี้นับได้ว่า เป็นความสัมพันธ์พิเศษยิ่งอย่างหนึ่ง เพราะผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสัมพันธมิตรได้แลกเปลี่ยนแผนการทหารที่สำคัญๆกับประมุขแห่งรัฐ ซึ่งโดยทางเทคนิคแล้วถือว่าอยู่ในสถานะสงครามกับเรา “ เราจะเห็นได้ว่าหลวงประดิษฐ์ฯ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และเขากล้าหาญที่สามารถจัดการให้มีการล้มรัฐบาลของหลวงพิบูลฯได้สำเร็จในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ โดยจัดให้มีรัฐบาลใหม่ขึ้น ซึ่งเป็นรัฐบาลที่เขาแต่งตั้งเอง และทำให้เขาสามารถดำเนินแผนการต่อต้านญี่ปุ่นได้ดีขึ้น
กองกำลังเสรีไทยที่ได้รับการฝึกฝนในประเทศเราและได้ปฏิบัติการร่วมกันกับกองกำลังบริติชที่ ๕ และกองกำลัง ที่ ๑๓๖ รวมทั้งกองกำลังอเมริกัน O.S.S. นั้นบางส่วนได้กระโดดร่มเข้าไปร่วมงานของหลวงประดิษฐ์ฯ บางคนถูกจับกุมคุมขังโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลหลวงพิบูลฯ แต่ก็ถูกคุมขังพอเป็นพิธีเท่านั้น เพราะพวกเขาก็พบปะกับหลวงประดิษฐ์ฯได้อย่างลับๆ และได้ตั้งสถานีวิทยุติดต่อกับกองบัญชาการของข้าพเจ้า
ในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ หลวงประดิษฐ์ฯได้ส่งบุคคลชั้นหัวหน้าสำคัญๆแห่งขบวนการต่อต้านนำโดยนายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีต่างประเทศสยามมาปรึกษาหารือกับข้าพเจ้าที่เมืองแคนดี เราจัดให้คณะดังกล่าวออกมาและส่งกลับโดยเครื่องบินทะเล หรือโดยเรือบิน ( ชนิดที่ต่อเป็นลำเรือไม่ใช่ทุ่น ) ในระหว่างสนทนา เราก็ได้วางแผนการที่เป็นรูปธรรมสำหรับการปฏิบัติการภายหน้า เพื่อให้ประสานกับหลักสำคัญแห่งยุทธภูมิของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเองได้มีการตระเตรียมพร้อมเสมอเมื่อถึงความจำเป็นที่จะให้หลวงประดิษฐ์ฯบินออกมาในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ตราบจนถึงตอนปลายสงคราม เขาได้จัดตั้งกองกำลังเพื่อก่อวินาศกรรม และจัดตั้งกำลังพลพรรคประมาณ ๖ หมื่นคน กับทั้งการสนับสนุนอีกมากมายที่เตรียมพร้อมอย่างเงียบๆ เพื่อที่จะร่วมปฏิบัติการ ซึ่งล้วนแต่อยู่ในบริเวณที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญๆในสยาม “
“ หลวงประดิษฐ์ฯ ( เขา ) ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง “
“ ข้าพเจ้าเข้าใจดีทีเดียวถึงความยากลำบากที่เขาต้องควบคุมพลังนี้ แต่ข้าพเจ้าเองก็ต้องระลึกอยู่เสมอเช่นเดียวกันถึงภยันตรายอันใหญ่หลวงแห่งการเคลื่อนไหวโดยที่ยังไม่ถึงเวลา ซึ่งจะเป็นผลให้ญี่ปุ่นทำการตอบโต้ทำลาย และจะทำให้แผนยุทธศาสตร์แห่งยุทธภูมิทั้งปวงของข้าพเจ้าเกิดผลกระทบปั่นป่วนวุ่นวาย ความเครียดที่บังคับให้หลวงประดิษฐ์ฯต้องแบกรับไว้ และภยันตรายที่เขาต้องเผชิญตลอดเวลา ๓ ปี นับว่าเป็นสิ่งที่น่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง แต่ก็อาศัยความที่มีวินัยของเขาเองประกอบกับที่เขาได้ชักจูงให้บรรดาผู้เชื่อถือเลื่อมใสในตัวเขาปฏิบัติตามนั่นเอง ที่ทำให้ได้ประสบชัยชนะในที่สุด เขาไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย
ข้าพเจ้ารู้ว่ามีบุคคลมากหลายที่เคยตกเป็นเชลยศึกในสยาม ได้มีความสำนึกอันถูกต้องในแง่ที่มีความกตัญญูรู้คุณต่อความปราถนาดีของหลวงประดิษฐ์ฯ ซึ่งมีต่อเรา
ดังนั้นจึงขอให้เราให้เกียรติแก่บุคคลผู้นี้ ที่ได้มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่ออุดมการณ์ของพันธมิตรและต่อประเทศของเขาเอง ข้าพเจ้าทราบด้วยว่า เขาเป็นบุคคลที่ได้ส่งเสริมมิตรภาพระหว่างอังกฤษกับสยามอย่างแข็งขัน การต่อต้านการกดขี่ของญี่ปุ่นในเอเชียอาคเนย์ดำเนินไปอย่างเกือบไม่ขาดสาย ทั้งนี้ก็เพราะ หลวงประดิษฐ์ฯ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งยวดในการนี้ ( เสียงตบมือแสดงความชื่นชมยินดีก้องขึ้นเป็นเวลายาวนาน ) "
-๔- รัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดีรูสเวลท์ไม่มีนโยบายที่จะทำให้ประเทศของเราเป็น “ อาณานิคม “ จะเห็นได้จากบันทึกที่จัดทำโดยกรมกิจการแปชิฟิคตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเตรียมเผื่อท่านประธานาธิบดีจะใช้ในการสนทนากับ มร. เชอร์ชิล และจอมพลสตาลิน ที่นครยัลต้าในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ บันทึกนี้กล่าวถึงสถานภาพภายหน้าของสยามที่ข้าพเจ้าขอยกข้อความตอนหนึ่งมาดังนี้
“ เหตุการณ์ที่ชาวยุโรปบีบบังคับประเทศไทย และการที่ชาวยุโรปได้ยึดเอาดินแดนแห่งเอเชียอาคเนย์ไปนั้นยังอยู่ในความทรงจำของชาวเอเชีย รัฐบาลนี้ ( ส.ร.อ. ) ไม่อาจจะร่วมในการปฏิบัติต่อประเทศไทย ไม่ว่าในรูปแบบใด เยี่ยงจักรวรรดินิยมสมัยก่อนสงครามได้ “
บันทึกนี้ยังกล่าวย้ำอีกว่า
“ เรามิได้ถือว่า ประเทศไทยเป็นศัตรู แต่เป็นประเทศที่ถูกยึดครองโดยศัตรู เรารับรองเอกอัครราชทูตประเทศไทยในกรุงวอชิงตันเป็น “ อัครราชทูตแห่งประเทศไทย “ ฐานะเหมือนกันกับอัครราชทูตเดนมาร์ก เราสนับสนุนให้มีประเทศไทยที่เป็นเอกราชและมีเสรีภาพ พร้อมด้วยอธิปไตยที่ไม่ถูกบั่นทอน และปกครองโดยรัฐบาลที่ชาวไทยเลือกเอง ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในเอเชียอาคเนย์ ซึ่งเป็นประเทศเอกราชอยู่ก่อนสงคราม แม้ว่าเราจะมีส่วนสำคัญในการทำให้ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ แต่ถ้าหากผลแห่งสงครามทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียดินแดนที่ตนมีอยู่ก่อนสงครามหรือเอกราชถูกบั่นทอนเราเชื่อว่า ผลประโยชน์ของ ส.ร.อ. ทั่วตะวันออกไกลจะถูกกระทบกระเทือน
ภายในประเทศไทยซึ่งเดิมยอมจำนนต่อญี่ปุ่นและต่อมาร่วมมือกับญี่ปุ่น อันเป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางทั่วไปนั้น ได้ถูกเปลี่ยนเป็นรัฐบาลใหม่ซึ่งส่วนใหญ่คุมโดยหลวงประดิษฐ์ฯ ผู้สำเร็จราชการฯปัจจุบันที่ได้รับการนับถือที่สุดของบรรดาผู้นำไทย และเป็นผู้ต่อต้านญี่ปุ่นมาตั้งแต่ต้น”
นอกจากนี้ นายคอร์ เดล ฮัลล์ ( Cordel Hull ) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีจดหมายลงวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ แจ้งไปยังรองผู้อำนวยการสำนักงานศูนย์ยุทธศาสตร์เกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลอเมริกันที่มีต่อประเทศไทย ดังความต่อไปนี้
“ สหรัฐอเมริกาถือว่า ไทยเป็นรัฐเอกราชที่บัดนี้ตกอยู่ภายใต้การยึดครองด้วยทหารญี่ปุ่น ....
“ รัฐบาลอเมริกันหวังว่า จะสถาปนาเอกราชของประเทศไทยโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ จากข่าวสารต่างๆที่ได้รับแสดงให้เห็นว่า ในรัฐบาลไทยปัจจุบันก็ยังมีข้าราชการส่วนหนึ่งที่คัดค้านไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลไทยยอมจำนนต่อการกดดันของฝ่ายญี่ปุ่น เป็นที่ทราบกันดีว่า มีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ( หรือที่รู้จักกันในนาม นายปรีดี พนมยงค์ ) คนหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ร่วมอยู่ด้วย นอกจากนี้หลวงประดิษฐ์ฯ ยังมีส่วนสำคัญในขบวนการใต้ดิน ซึ่งมีจุดเพื่อฟื้นสถานภาพของรัฐบาลไทยที่เคยเป็นอยู่ก่อนหน้าการรุกรานของญี่ปุ่น
ด้วยเหตุผลดังกล่าว รัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาจึงถือว่าหลวงประดิษฐ์ฯ เป็นตัวแทนแห่งการสืบต่อมาของรัฐบาลแห่งประเทศไทยตามที่เป็นอยู่ก่อนหน้าที่นายกรัฐมนตรีไทยสมัยนั้น ( จอมพลป. พิบูลสงคราม ) จะไปเข้ากับฝ่ายญี่ปุ่นในตอนที่ญี่ปุ่นบุก และยอมรับว่า ( หลวงประดิษฐ์ฯ ) เป็นผู้นำคนสำคัญในขบวนการเพื่อเอกราชของชาติไทย
ด้วยเหตุนี้ โดยไม่เป็นการผูกมัด รัฐบาลสหรัฐอเมริกาในอนาคต เราจึงถือว่า หลวงประดิษฐ์ฯ เป็นตัวแทนและผู้นำสำคัญคนหนึ่งของชาติไทย ตราบใดที่ชาวไทยยังไม่ได้แสดงออกในทางตรงกันข้าม
คอร์เดล ฮัลล์ "
-๕- ส่วนท่าทีของสหราชอาณาจักรนั้น แม้ว่าผู้นำทางทหาร ดังเช่นลอร์ด เมานท์แบทเตน จะแสดงความชื่นชมต่อคุณูปการของเราที่มีต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ( ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในตอนที่ ๓ ) ในเบื้องแรก รัฐบาลสหราชอาณาจักร ซึ่งประกอบด้วยนักการเมืองที่มีแนวโน้มนิยมชมชอบลัทธิจักรวรรดินิยมไม่ยินยอมเจรจากับเราในทางการเมืองในส่วนที่เกี่ยวกับเอกราชของชาติไทยภายหลังที่ฝ่ายสัมพัธมิตรได้ชัยชนะ ดังนั้นลอร์ดเมานท์แบทเตน จึงได้รับคำสั่งอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลของตนให้เจรจากับผู้แทนฝ่ายเราเพียงเฉพาะเรื่องกิจการทางทหารอย่างเดียวเท่านั้น นักการเมืองชาวอังกฤษในยุคนั้นทราบดีทีเดียวว่า การประกาศสงครามระหว่างสยามกับสหราชอาณาจักรนั้น ไม่ถูกต้องตามกฏหมาย อย่างไรก็ตามอังกฤษถือว่า ประเทศเราจะต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่อังกฤษ
เมื่อรัฐบาลอังกฤษมีท่าทีปฏิเสธการเจรจาทางการเมืองเช่นนี้ เราจึงได้หันมาใช้ความพยายามเจรจาในเรื่องนี้กับรัฐบาลอเมริกัน ที่นำโดยประธานาธิบดีรูสเวลท์ ซึ่งมีท่าทีสนับสนุนสยาม และพยายามเจรจากับรัฐบาลผสมของจีน (ระหว่างจีนคณะชาติกับจีนคอมมิวนิสต์ ) โดยทางเราได้ส่งคณะผู้แทนไปเจรจาเรื่องเอกราชของชาติ
เราได้ขอให้สถานอัครราชทูตของเราที่กรุงสต็อกโฮล์มติดต่อกับสถานอัครราชทูตของโซเวียตที่นั่นเช่นกัน ให้ช่วยส่งบันทึกรายงานฉบับหนึ่งไปยังรัฐบาลโซเวียต เพื่อสนับสนุนความต้องการอันชอบธรรมของเรารัฐบาลของประธานาธิบดีรูสเวลท์ได้ให้ความช่วยเหลือแก่เราหลายครั้งหลายคราว เพื่อที่จะทำให้อังกฤษเปลี่ยนใจ หรืออย่างน้อยที่สุดให้อังกฤษมีท่าทีเดียวกับ ส.ร.อ. ในการยอมรับว่าประเทศสยามมิได้เป็นศัตรู แต่เป็นประเทศอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เราได้พิจารณาเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ขบวนการเสรีไทยจะต่อสู้การรุกรานของญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย แทนที่จะกระทำการอย่างลับๆ แต่ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติการ เราได้ปรารถนาที่จะให้รัฐบาลอเมริกันและอังกฤษยืนหยัดต่อเราก่อนว่า จะเคารพความเป็นเอกราชของประเทศสยามแม้ว่า จอมพลป. พิบูลสงครามจะได้ประกาศสงครามกับประเทศทั้งสองโดยไม่ถูกต้อง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ส่งโทรเลขลับด่วนมาก ๒ ฉบับ ซึ่งมีข้อความตรงกัน ฉบับหนึ่งถึงกระทรวงต่างประเทศ ส.ร.อ. และอีกฉบับถึงลอร์ดเมานท์แบทเตน
ข้าพเจ้าขอยกข้อความในโทรเลขของข้าพเจ้า ซึ่งทางกระทรวงต่างประเทศของ ส.ร.อ. ได้พิมพ์ภายหลังญี่ปุ่นยอมจำนนไปแล้ว ๒๕ ปี ดังนี้
๑) บันทึกจัดทำโดยกระทรวงต่างประเทศ ส.ร.อ. เลขที่ ๓๔๐๐๐๑๑ p.w./ ๕๒๙๔๕ วอชิงตัน ๒๘ พฤษภา ๒๔๘๘
สาส์นถึงรัฐมนตรีต่างประเทศจากรู้ธ ( ปรีดี พนมยงค์ ) ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศส.ร.อ. ได้รับเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ มีข้อความดังต่อไปนี้
“ การต่อต้านเสรีไทยในการดำเนินกิจกรรมทั้งหลายนั้น ได้ทำตามคำแนะนำของผู้แทนอเมริกันเสนอมาในการที่มิให้ปฏิบัติการใดๆต่อสู้ญี่ปุ่นก่อนถึงเวลาอันควร แต่ขณะนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่า กำลังใจรบของญี่ปุ่นจะลดน้อยลงไป ถ้าขบวนการเสรีไทยไม่คงอยู่ภายในฉากกำบังอีกต่อไป ญี่ปุ่นจะถูกบีบให้ยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขต่อสัมพันธมิตรเร็วขึ้น เพราะการสลายตัวของสิ่งที่เรียกว่า วงไพบูลย์ร่วมกัน อย่างไรก็ตาม เราได้ถือตามคำแนะนำว่าขบวนการเสรีไทยจะต้องพยายามขัดขวางความร่วมมือที่ญี่ปุ่นจะได้จากประเทศไทย เราได้ยึดถือนโยบายนี้อย่างเคร่งครัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ท่านย่อมเห็นได้ว่า ญี่ปุ่นนับวันยิ่งจะมีความสงสัยขบวนการเสรีไทยมากยิ่งขึ้น เมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลไทย (รัฐบาลควง ฯ ) ไม่ยอมทำตามคำขอของญี่ปุ่นที่ขอเครดิตเพิ่มเติมอีก ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ข้าพเจ้าได้รับแจ้งจากรัฐบาลปัจจุบันว่า จะอยู่ในตำแหน่งต่อไปไม่ได้ ถ้าหากญี่ปุ่นบีบบังคับให้ปฏิบัติตามคำขอดังกล่าว
ถ้าญี่ปุ่นยืนยันเช่นนั้น รัฐบาลใหม่ก็จะตั้งขึ้นและปฏิการต่อสู้ญี่ปุ่น โดยประการแรกประกาศโมฆะกรรม ซึ่งหนี้สินและข้อตกลงซึ่งรัฐบาลพิบูล ฯกับญี่ปุ่นได้ทำกันไว้ตลอดทั้งสนธิสัญญาที่ผนวก ๔ รัฐมาลัย (มาเล ผู้เรียบเรียง )และรัฐฉานไว้กับประเทศไทย รวมทั้งการประกาศสงครามต่ออังกฤษและ ส.ร.อ. ด้วยพื้นฐานแห่งความสัมพันธ์ระหว่าง ๒ ชาตินี้กับประเทศไทยจะสถาปนาขึ้นดังที่เป็นอยู่ก่อนญี่ปุ่นบุกเพิร์ลฮาร์เบอร์ ก่อนที่จะดำเนินแผนการนี้ ข้าพเจ้าปรารถนาแจ้งให้ท่านทราบถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แม้ว่าข้าพเจ้าตระหนักว่า ส.ร.อ. มีเจตนาดีต่อเอกราชของประเทศไทย และมีไมตรีจิตต่อราษฎรไทย ข้าพเจ้าเชื่อว่าในวันที่เราลงมือปฏิบัติการนั้น ส.ร.อ.จะประกาศเคารพความเป็นเอกราชของประเทศไทย และถือว่าประเทศไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติและไม่ถือว่าประเทศไทยเป็นประเทศศัตรู ทั้งนี้จะเป็นการส่งเสริมกำลังใจอย่างใหญ่หลวงต่อมวลราษฎรไทย ซึ่งเตรียมพร้อมแล้วในการเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง “
ข้าพเจ้าได้ส่งสาระในโทรเลขฉบับนี้ไปยังผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรเอเชียอาคเนย์ด้วยเช่นกัน
๒ ) วันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ข้าพเจ้าได้รับคำตอบจากผู้รักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศส.ร.อ. มีความดังต่อไปนี้
“ ขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อสาส์นของท่านถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เราเข้าใจความปราถนาของท่านที่จะให้ประเทศไทยต่อสู้ศัตรูทางปฏิบัติการโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราเชื่อแน่ว่าอย่างไรก็ตามท่านย่อมตระหนักว่า การต่อสู้ศัตรูร่วมกันของเรานั้น ต้องสมานกับยุทธศาสตร์ทั้งปวงในการต่อสู้กับญี่ปุ่น และไม่เป็นผลดีถ้าไทยทำก่อนเวลาอันสมควร และก่อนที่จะมีหลักประกันพอสมควรว่าจะได้ชัยชนะ หรือถ้าลงมือปฏิการอย่างเปิดเผยโดยมิได้อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ของผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์
เราหวังว่า ท่านจะใช้ความพยายามต่อไปที่จะป้องกันการกระทำก่อนถึงเวลาอันสมควร โดยขบวนการเสรีไทย หรือการปฏิบัติอันเร่งให้ญี่ปุ่นยึดอำนาจจากรัฐบาลไทย (รัฐบาลควง ฯ )
เราเชื่อมั่นว่า ท่านจะแจ้งให้เราและอังกฤษทราบถ้าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงกระทันหัน ทั้งๆที่ท่านพยายามยับยั้งไว้แล้วก็ตาม ส.ร.อ. เข้าใจแจ่มแจ้ง และเห็นคุณค่าในความปรารถนาจริงใจของท่านและมวลราษฎรไทยในการปฏิเสธการประกาศสงครามและข้อตกลงระหว่างญี่ปุ่นกับรัฐบาลพิบูลฯนั้น แต่ยังไม่เข้าใจแจ้งชัดว่าเหตุใดรัฐบาลปัจจุบัน ( รัฐบาลควง ฯ ) จะลาออกขณะนี้ หรือจะมีการบีบบังคับอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลชุดต่อไปต้องเลือกเอาการปฏิเสธการประกาศสงครามและข้อตกลงกับญี่ปุ่นเป็นการกระทำในเบื้องแรก
ย่อมจะเห็นได้ว่า ขบวนการเสรีไทยจะบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ได้ดีกว่าเมื่อออกมาปฏิบัติการเปิดเผยแล้ว คือโดยจู่โจมการลำเลียงการคมนาคมกองกำลังยุทโธปกรณ์ของศัตรู อย่างฉับพลันและอย่างมีการประสานงาน รวมทั้งยึดตัวนายทหาร พนักงาน เอกสาร จุดสำคัญของศัตรู แล้วการปฏิบัติทางการเมืองเพื่อปฏิเสธการประกาศสงครามและการเข้ามีฐานะเสมอกันกับสัมพันธมิตรก็จะตามมาภายหลัง
เราให้ความสำคัญต่อการมีรัฐบาลไทยที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริงบนผืนแผ่นดินไทย เพื่อที่จะทำการร่วมมือกับสัมพันธมิตร เราหวังว่า การเตรียมทุกอย่างที่จะเป็นไปได้ จะต้องทำขึ้นในอันที่จะป้องกันการจับกุมหรือการแยกย้ายบุคคลสำคัญที่เป็นฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อว่ารัฐบาลดังกล่าวนั้นจะเข้ารับงานได้ทันทีในบริเวณที่ปลอดญี่ปุ่น และสามารถสั่งการทางทหารให้กองทัพไทยปฏิบัติการร่วมมือกับสัมพันธมิตร และสามารถรื้อฟื้นกลไกของรัฐบาลพลเรือนในบริเวณที่กู้อิสรภาพแล้ว
ส.ร.อ. ไม่อาจประกาศโดยลำพังได้ว่าชาติอื่นชาติใดเป็นสมาชิกสหประชาชาติ แต่จะมีความยินดีประกาศซ้ำอีกโดยเปิดเผยในโอกาศเหมาะสมถึงการเคารพความเป็นเอกราชของชาติไทย และประกาศว่า ส.ร.อ. ไม่เคยถือว่าประเทศไทยเป็นศัตรู
เรารอคอยวันที่ประเทศของเราทั้งสองสามารถที่จะเปิดเผยต่อสาธารณชนถึงจุดหมายร่วมกันในการต่อสู้ศัตรูร่วมกัน"
(ลงนาม ) กรูว์ ( Grew )
รักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ
๓) แม้ว่าลอร์ดเมาน์ทแบทเตน ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะรู้สึกเห็นใจในขบวนการของเรา แต่ก็ตอบรับได้เฉพาะในแง่ของแผนการทางทหารเท่านั้นโดยขอให้ข้าพเจ้าป้องกันมิให้มีการกระทำการใดๆก่อนถึงเวลาอันสมควร
เมื่อเราส่งนายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นไปที่ประเทศซีลอน เพื่อเจรจากับลอร์ดเมาน์ทแบทเตน บรรดาที่ปรึกษาทางการเมืองที่รัฐบาลอังกฤษส่งมาเจรจา ต่างก็ปฏิเสธที่จะยอมรับความเป็นเอกราชของสยาม
-๖- สำหรับรัฐบาลจีนโดยการนำของจอมพลเจียงไคเช็ค ซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายคอมมิวนิสต์เองรับรองว่า เป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฏหมายของประเทศจีนในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ นั้น ขบวนการเสรีไทยได้ส่งผู้แทนไปเจรจา ๓ ครั้ง เรื่องความเป็นเอกราชของสยาม และขอให้คณะผู้แทนของขบวนการ ฯผ่านประเทศจีน เพื่อไปติดต่อกับประเทศสัมพันธมิตรอื่นๆได้ง่ายขึ้น
รัฐบาลจีนได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่จีน ซื่อ เหลียง ( เกิดในเมืองไทย ) เป็นผู้ดำเนินการเจรจากับคณะผู้แทนของขบวนการฯ เจ้าหน้าที่ผู้นี้ทำงานในหน่วยสืบราชการลับของรัฐบาลจีนและเป็นที่ไว้วางใจมาก อันที่จริงแล้ว เจ้าหน้าที่ผู้นี้สนับสนุนฝ่ายคอมมิวนิสต์และได้เปิดเผยรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับจุดประสงค์ของข้ารัฐการชั้นสูงของจีนที่มีต่อประเทศสยาม ( ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ เจ้าหน้าที่ผู้นี้ได้เดินทางไปยังกรุงปักกิ่งเพื่อเข้าร่วมกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ และเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือแก่ข้าพเจ้าในการเตรียมการเดินทางไปยังสาธารณรัฐราษฎรจีน )
รัฐบาลจีนไม่พอใจประเทศไทยมาก พราะรัฐบาลจอมพลพิบูลฯ ไม่เพียงแต่จะส่งกองทหารไปยึดพื้นที่บริเวณตลอดชายแดนจีน-พม่า ที่ขึ้นกับอังกฤษเท่านั้น แต่ยังรับรองรัฐบาลหุ่นของมานจูกั๊วะ ที่ตั้งขึ้นภายใต้การบงการของญี่ปุ่นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ( อดีตจักรพรรดิปูยี PU YI ) ซึ่งได้ถูกถอดจากราชบัลลังก์จีนโดยการอภิวัฒน์ชนชั้นเจ้าสมบัติในปีพ.ศ. ๒๔๕๔ ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดิในรัฐใหม่แห่งนี้ ) นอกจากนี้จอมพลพิบูลฯยังรับรองรัฐบาลวังจิงไว ( Wang Jing-wei ) ว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฏหมายของประเทศจีนด้วย
รัฐบาลจีนได้ออกข่าวผ่านทางวิทยุกระจายเสียงและหนังสือพิมพ์ขู่ว่า จะบุกเข้าประเทศไทยจับตัวจอมพลพิบูลฯและผู้สมรู้ร่วมคิดมาชำระคดีฐานเป็นอาชญากรสงคราม การเจรจาของเรากับรัฐบาลจีนจึงลำบากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องพยายามให้รัฐบาลจีนไม่ถือว่าประเทศสยามเป็นศัตรูและเคารพความเป็นเอกราชของสยามภายหลังที่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ชัยชนะ
การเดินทางของผู้แทนคนแรกของขบวนการฯ คือนายจำกัด พลางกูร ไม่อาจผ่านประเทศจีน เพื่อไปยังประเทศสัมพันธมิตรได้เพราะติดขัดทางฝ่ายรัฐบาลจีนจึงทำให้เขาไม่สามารถปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงไปได้ การเดินทางครั้งนี้ประสบความลำบากมากมายนายจำกัดฯได้เสียชีวิตลงที่นครจุงกิง ผู้แทนคนที่ ๒ คือนายสงวน ตุลารักษ์ ได้รับความสะดวกขึ้นบ้างในการเดินทางไปอังกฤษและ ส.ร.อ.
คณะผู้แทนชุดที่ ๓ นำโดยนายถวิล อุดล สามารถประสานการทำงานระหว่างขบวนการฯ ของเรากับรัฐบาลจีนได้จนสิ้นสงคราม ด้วยความพยายามของเราและด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลส.ร.อ. โดยประธานาธิบดีรูสเวลท์ รัฐบาลจีนยอมถือนโยบายของรัฐบาลอเมริกันในการเคารพความเป็นเอกราชของสยามภายหลังที่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ชัยชนะอย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ นั้นจอมพลเจียงไคเช็คได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อบัญชาการสู้รบในประเทศจีนและในอินโดจีน หลังปีพ.ศ. ๒๔๘๖ เจียงไคเช็คจึงได้รับผิดชอบการสู้รบเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น
แต่เนื่องจากเส้นแบ่งเขตทางเหนือของเอเชียอาคเนย์ยังไม่แน่นอน เจียงไคเช็คพยายามขอให้สัมพันธมิตรยอมให้เขตแดนสยามและอินโดจีนฝรั่งเศส (อินโดจีนของฝรั่งเศส ผู้เรียบเรียง ) เหนือเส้นขนานที่ ๑๖ อยู่ในเขตยุทธภูมิจีนที่เจียงไคเช็ครับผิดชอบอยู่ ข้าพเจ้าได้แสดงความวิตกกังวลในเรื่องนี้ต่อรัฐบาลอเมริกัน เนื่องจากถ้าฝ่ายสัมพันธมิตรยินยอมตามเจียงไคเช็ค กลุ่มชาวจีนโพ้นทะเลที่คลั่งชาติที่มีอยู่จำนวนมากในสยามย่อมฉวยโอกาสในขณะที่กองทัพจีนเข้ามาอยู่ในประเทศสยามก่อความวุ่นวายขึ้นหลังการยอมจำนนญี่ปุ่นในปีพ.ศ. ๒๔๘๘ เจียงไคเช็คได้ขอความเห็นจากสัมพันธมิตรว่า เขาจะส่งกองทัพเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในเขตแดนสยามและอินโดจีนบริเวณเหนือเส้นขนานที่ ๑๖ ได้หรือไม่ ข้าพเจ้าได้ส่งโทรเลขไปถึงรัฐบาลอเมริกันเพื่อชี้แจงว่า ขบวนการเสรีไทยพร้อมที่จะปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในดินแดนไทยเอง
ประธานาธิบดีทรูแมน ซึ่งรับตำแหน่งสืบต่อจากรูสเวลท์ตระหนักดีถึงปัญหาชาวจีนโพ้นทะเลดังกล่าว จึงแต่งตั้งให้ผู้บัญชาการทหารอเมริกันที่รับผิดชอบด้านญี่ปุ่นเป็นผู้ออกคำสั่งให้กองกำลังทหารญี่ปุ่นในดินแดนสยามยอมจำนนต่อลอร์ดเมาน์ทแบทเตน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์
-๒- กองทหารญี่ปุ่นได้ชัยชนะในมลายูในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน และรุกรานคืบหน้ารวดเร็วถึงประเทศพม่า นับเป็นการคุกคามทั่วทั้งเอเชียอาคเนย์ รัฐบาลไทยสมัยจอมพลป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีประกาศสงครามต่อสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา โดยหวังว่าอาจจะได้ดินแดนบางส่วนที่สยามเคยสูญเสียไปและที่ญี่ปุ่นเข้าไปยึดครองนั้นกลับคืนมา นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังได้แสดงท่าทีเป็นศัตรูต่อประเทศจีนด้วย การประกาศสงครามนั้น ถือว่าไม่ถูกต้องตามกฏหมาย เพราะไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร และข้าพเจ้า ซึ่งอยู่ในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ไม่ได้ลงนาม ถึงกระนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรบางประเทศถือว่า ประเทศไทยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะสงคราม
เจ้าหน้าที่หลายคนที่ฝ่ายรัฐบาลสัมพันธมิตรส่งเข้ามาในประเทศสยามอย่างลับๆ เพื่อมาเป็นที่ปรึกษาในการทำสงครามพลพรรค และเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานฝ่ายสัมพันธมิตรนั้น เรียกขบวนการของเราว่า “ สยาม ราชอานาจักรใต้ดิน “
-๓- ขบวนการของเราได้กำหนดภารกิจที่จะต้องปฏิบัติ ๒ ด้านประกอบกันคือ ด้านหนึ่งต่อสู้ญี่ปุ่นผู้รุกราน และอีกด้านหนึ่ง เจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อให้สัมพันธมิตรเห็นว่า การประกาศสงครามของจอมพลป. พิบูลสงคราม ไม่ถูกต้องตามกฏหมาย เพื่อให้สัมพันธมิตรรับรองขบวนการของเรา และรัฐบาลพลัดถิ่นที่เราคิดจะตั้งขึ้น ตลอดจนยอมรับว่าเป็นพันธมิตรด้วย ดังเช่นที่พวกเขาได้รับรอง COMITE FRANCAIS DE LIBERATION NATIONALE นำโดยนายพล เดอโกลล์ ด้วยเหตุนี้เราจึงได้ส่งทูตพิเศษเพื่อไปเจรจาเรื่องนี้ อย่างลับๆ เราได้มอบให้สถานเอกอัครราชทูตสยามที่ประจำอยู่ที่กรุงสต็อกโฮล์ม ซึ่งได้ร่วมขบวนการด้วยเป็นผู้ติดต่อกับสถานเอกอัครราชทูตโซเวียตที่ประจำอยู่ที่กรุงสต็อกโฮล์มเช่นกัน
การเจรจาครั้งนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความระมัดระวัง ความรอบคอบและเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง เพราะประเทศอังกฤษถือว่าการประกาศสงครามของจอมพลป. พิบูลสงครามนั้นมีผลสมบูรณ์ในขณะที่ประเทศสัมพันธมิตรอื่น ( สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต รัฐบาลผลัดถิ่นของฝรั่งเศส ) ต่างก็มีท่าทีเฉพาะของตน แต่ในแง่ของการทหารนั้น บทความหลายชิ้น และหนังสือหลายเล่มที่ตีพิมพ์ในสหราชอานาจักร และสหรัฐอเมริกาเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความช่วยเหลือ และความร่วมมือของเรานานัปการ อันเป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่ชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร ข้าพเจ้าขอนำคำเปิดเผยของลอร์ดหลุยส์ เมานท์แบทเตน ที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ไทมส์ ฉบับวันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ มากล่าวอ้างไว้ดังนี้
หนังสือพิมพ์ไทมส์ ๑๘/๑๒/๑๙๔๖
“ อาคันตุกะผู้หนึ่งจากสยาม การรณรงค์ของหลวงประดิษฐฯ
คำเปิดเผยของลอร์ด เมานท์แบทเตน “
“ ลอร์ด เมานท์แบทเตน แห่งพม่า ผู้ซึ่งไม่นานมานี้ เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์ ได้รับการต้อนรับเลี้ยงอาหารกลางวันโดยชิตี้ ลิเวอรี่ คลับ ณ ไซออน คอลเลจ เมื่อวานนี้ได้บรรยายไว้ในสุนทรพจน์ของท่านถึงบทบาทอันยิ่งใหญ่ของหลวงประดิษฐ์ฯ รัฐบุรุษอาวุโสแห่งสยาม ในการกำจัดกองทัพญี่ปุ่นซึ่งยึดครองประเทศนั้น ท่านลอร์ดได้สาธยายเกี่ยวกับรายละเอียดซึ่งหนังสือพิมพ์ไทมส์ได้เคยลงพิมพ์ในฉบับประจำวันที่ ๒๒ ธันวาคม คือประมาณ หนึ่งปีมาแล้ว และได้ประกาศแถลงว่า หลวงประดิษฐฯ บุคคลผู้มีบทบาทที่น่าตื่นเต้นคนหนึ่งแห่งสงครามในเอเชียอาคเนย์นั้นกำหนดจะมาถึงประเทศอังกฤษโดยเรือเดินสมุทร ควีน เอลิซาเบท พรุ่งนี้เช้า
ลอร์ด เมานท์แบทเตน กล่าวว่า ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสแห่งสยาม ซึ่งรู้จักกันทั่วโลกในนามหลวงประดิษฐ์ฯ “ และพวกเราหลายคนแห่งกองบัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์ รู้จักเขาตามชื่อระหัสว่า “ รู้ธ “ เขามาเยี่ยมประเทศนี้ ( อังกฤษ ) และข้าพเจ้าหวังว่าเราจะใช้โอกาศนี้ให้การรับรองเขาอย่างอบอุ่น เพราะเหตุที่หลวงประดิษฐ์ฯเป็นบุรุษผู้มีบทบาทอันน่าตื่นเต้นคนหนึ่งแห่งสงครามในเอเชียอาคเนย์ เป็นที่ทราบกันว่าในระหว่างสงครามนั้นไม่มีการกล่าวถึงชื่อของเขาอย่างเปิดเผยและเรื่องราวทั้งปวงเกี่ยวกับเขาก็ถูกถือว่าเป็น “ ความลับสุดยอด”
แม้กระทั่งทุกวันนี้ คนอังกฤษส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยทราบกันเท่าไรนักถึงพฤติกรรมอันอาจหาญที่เขากระทำสำเร็จมาแล้ว ขณะญี่ปุ่นรุกรานสยามหลวงประดิษฐฯ เป็นรัฐมนตรีคนหนึ่งในรัฐบาล แต่เขาปฏิเสธที่จะลงนามในการประกาศสงครามต่อเรา หลวงพิบูลฯ “ ควิสลิง “ ( QUISLING คือนายกรัฐมนตรี นอร์เวย์สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งเข้าร่วมกับฝ่ายนาซี- หมายเหตุผู้เรียบเรียง ) รู้ว่าเขา ( หลวงประดิษฐ์ฯ ) เป็นคนหนึ่งที่ทรงอำนาจและได้รับความนิยมอย่างยิ่งในประเทศ และก็หวังที่จะทำให้เขาเป็นหุ่นเชิดโดยให้เขาขึ้นไปเป็นคนหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งหลวงประดิษฐ์ฯ ยอมรับตำแหน่งนี้ หลวงพิบูลฯหรือญี่ปุ่นมิได้ตระหนักแม้แต่น้อยว่า ขณะที่หลวงประดิษฐ์ฯ ยอมรับตำแหน่งหน้าที่นั้น เขาก็ได้เริ่มต้นดำเนินการจัดตั้งและอำนวยการขบวนการต่อต้านของชาวสยามขึ้น"
" คณะผู้แทนหายสาบสูญไป “
"เราได้รับรู้จากแหล่งต่างๆว่า หลวงพิบูลฯ มิได้ประสบผลทุกๆอย่างตามวิถีทางของเขาในประเทศสยามแต่การจะติดต่อ ( กับขบวนการต่อต้านภายในสยาม )นั้น ก็ลำบากมากและทั้งนี้ก็เป็นการยากที่จะล่วงรู้ได้ด้วยว่า อะไรเกิดขึ้นกันแน่คณะผู้แทนของหลวงประดิษฐฯ ๒ คณะได้หายสาปสูญไประหว่างการเดินทางไปยังประเทศจีน ซึ่งเต็มไปด้วยภยันตราย แต่ในที่สุด ก็ได้มีการพบปะกันระหว่างสัมพันธมิตรและขบวนการเสรีไทย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงระยะเดียวกันกับที่ข้าพเจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตร นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เราก็ได้ติดต่อกันเป็นประจำ การติดต่อทั้งนี้นับได้ว่า เป็นความสัมพันธ์พิเศษยิ่งอย่างหนึ่ง เพราะผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสัมพันธมิตรได้แลกเปลี่ยนแผนการทหารที่สำคัญๆกับประมุขแห่งรัฐ ซึ่งโดยทางเทคนิคแล้วถือว่าอยู่ในสถานะสงครามกับเรา “ เราจะเห็นได้ว่าหลวงประดิษฐ์ฯ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และเขากล้าหาญที่สามารถจัดการให้มีการล้มรัฐบาลของหลวงพิบูลฯได้สำเร็จในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ โดยจัดให้มีรัฐบาลใหม่ขึ้น ซึ่งเป็นรัฐบาลที่เขาแต่งตั้งเอง และทำให้เขาสามารถดำเนินแผนการต่อต้านญี่ปุ่นได้ดีขึ้น
กองกำลังเสรีไทยที่ได้รับการฝึกฝนในประเทศเราและได้ปฏิบัติการร่วมกันกับกองกำลังบริติชที่ ๕ และกองกำลัง ที่ ๑๓๖ รวมทั้งกองกำลังอเมริกัน O.S.S. นั้นบางส่วนได้กระโดดร่มเข้าไปร่วมงานของหลวงประดิษฐ์ฯ บางคนถูกจับกุมคุมขังโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลหลวงพิบูลฯ แต่ก็ถูกคุมขังพอเป็นพิธีเท่านั้น เพราะพวกเขาก็พบปะกับหลวงประดิษฐ์ฯได้อย่างลับๆ และได้ตั้งสถานีวิทยุติดต่อกับกองบัญชาการของข้าพเจ้า
ในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ หลวงประดิษฐ์ฯได้ส่งบุคคลชั้นหัวหน้าสำคัญๆแห่งขบวนการต่อต้านนำโดยนายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีต่างประเทศสยามมาปรึกษาหารือกับข้าพเจ้าที่เมืองแคนดี เราจัดให้คณะดังกล่าวออกมาและส่งกลับโดยเครื่องบินทะเล หรือโดยเรือบิน ( ชนิดที่ต่อเป็นลำเรือไม่ใช่ทุ่น ) ในระหว่างสนทนา เราก็ได้วางแผนการที่เป็นรูปธรรมสำหรับการปฏิบัติการภายหน้า เพื่อให้ประสานกับหลักสำคัญแห่งยุทธภูมิของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเองได้มีการตระเตรียมพร้อมเสมอเมื่อถึงความจำเป็นที่จะให้หลวงประดิษฐ์ฯบินออกมาในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ตราบจนถึงตอนปลายสงคราม เขาได้จัดตั้งกองกำลังเพื่อก่อวินาศกรรม และจัดตั้งกำลังพลพรรคประมาณ ๖ หมื่นคน กับทั้งการสนับสนุนอีกมากมายที่เตรียมพร้อมอย่างเงียบๆ เพื่อที่จะร่วมปฏิบัติการ ซึ่งล้วนแต่อยู่ในบริเวณที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญๆในสยาม “
“ หลวงประดิษฐ์ฯ ( เขา ) ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง “
“ ข้าพเจ้าเข้าใจดีทีเดียวถึงความยากลำบากที่เขาต้องควบคุมพลังนี้ แต่ข้าพเจ้าเองก็ต้องระลึกอยู่เสมอเช่นเดียวกันถึงภยันตรายอันใหญ่หลวงแห่งการเคลื่อนไหวโดยที่ยังไม่ถึงเวลา ซึ่งจะเป็นผลให้ญี่ปุ่นทำการตอบโต้ทำลาย และจะทำให้แผนยุทธศาสตร์แห่งยุทธภูมิทั้งปวงของข้าพเจ้าเกิดผลกระทบปั่นป่วนวุ่นวาย ความเครียดที่บังคับให้หลวงประดิษฐ์ฯต้องแบกรับไว้ และภยันตรายที่เขาต้องเผชิญตลอดเวลา ๓ ปี นับว่าเป็นสิ่งที่น่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง แต่ก็อาศัยความที่มีวินัยของเขาเองประกอบกับที่เขาได้ชักจูงให้บรรดาผู้เชื่อถือเลื่อมใสในตัวเขาปฏิบัติตามนั่นเอง ที่ทำให้ได้ประสบชัยชนะในที่สุด เขาไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย
ข้าพเจ้ารู้ว่ามีบุคคลมากหลายที่เคยตกเป็นเชลยศึกในสยาม ได้มีความสำนึกอันถูกต้องในแง่ที่มีความกตัญญูรู้คุณต่อความปราถนาดีของหลวงประดิษฐ์ฯ ซึ่งมีต่อเรา
ดังนั้นจึงขอให้เราให้เกียรติแก่บุคคลผู้นี้ ที่ได้มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่ออุดมการณ์ของพันธมิตรและต่อประเทศของเขาเอง ข้าพเจ้าทราบด้วยว่า เขาเป็นบุคคลที่ได้ส่งเสริมมิตรภาพระหว่างอังกฤษกับสยามอย่างแข็งขัน การต่อต้านการกดขี่ของญี่ปุ่นในเอเชียอาคเนย์ดำเนินไปอย่างเกือบไม่ขาดสาย ทั้งนี้ก็เพราะ หลวงประดิษฐ์ฯ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งยวดในการนี้ ( เสียงตบมือแสดงความชื่นชมยินดีก้องขึ้นเป็นเวลายาวนาน ) "
-๔- รัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดีรูสเวลท์ไม่มีนโยบายที่จะทำให้ประเทศของเราเป็น “ อาณานิคม “ จะเห็นได้จากบันทึกที่จัดทำโดยกรมกิจการแปชิฟิคตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเตรียมเผื่อท่านประธานาธิบดีจะใช้ในการสนทนากับ มร. เชอร์ชิล และจอมพลสตาลิน ที่นครยัลต้าในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ บันทึกนี้กล่าวถึงสถานภาพภายหน้าของสยามที่ข้าพเจ้าขอยกข้อความตอนหนึ่งมาดังนี้
“ เหตุการณ์ที่ชาวยุโรปบีบบังคับประเทศไทย และการที่ชาวยุโรปได้ยึดเอาดินแดนแห่งเอเชียอาคเนย์ไปนั้นยังอยู่ในความทรงจำของชาวเอเชีย รัฐบาลนี้ ( ส.ร.อ. ) ไม่อาจจะร่วมในการปฏิบัติต่อประเทศไทย ไม่ว่าในรูปแบบใด เยี่ยงจักรวรรดินิยมสมัยก่อนสงครามได้ “
บันทึกนี้ยังกล่าวย้ำอีกว่า
“ เรามิได้ถือว่า ประเทศไทยเป็นศัตรู แต่เป็นประเทศที่ถูกยึดครองโดยศัตรู เรารับรองเอกอัครราชทูตประเทศไทยในกรุงวอชิงตันเป็น “ อัครราชทูตแห่งประเทศไทย “ ฐานะเหมือนกันกับอัครราชทูตเดนมาร์ก เราสนับสนุนให้มีประเทศไทยที่เป็นเอกราชและมีเสรีภาพ พร้อมด้วยอธิปไตยที่ไม่ถูกบั่นทอน และปกครองโดยรัฐบาลที่ชาวไทยเลือกเอง ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในเอเชียอาคเนย์ ซึ่งเป็นประเทศเอกราชอยู่ก่อนสงคราม แม้ว่าเราจะมีส่วนสำคัญในการทำให้ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ แต่ถ้าหากผลแห่งสงครามทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียดินแดนที่ตนมีอยู่ก่อนสงครามหรือเอกราชถูกบั่นทอนเราเชื่อว่า ผลประโยชน์ของ ส.ร.อ. ทั่วตะวันออกไกลจะถูกกระทบกระเทือน
ภายในประเทศไทยซึ่งเดิมยอมจำนนต่อญี่ปุ่นและต่อมาร่วมมือกับญี่ปุ่น อันเป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางทั่วไปนั้น ได้ถูกเปลี่ยนเป็นรัฐบาลใหม่ซึ่งส่วนใหญ่คุมโดยหลวงประดิษฐ์ฯ ผู้สำเร็จราชการฯปัจจุบันที่ได้รับการนับถือที่สุดของบรรดาผู้นำไทย และเป็นผู้ต่อต้านญี่ปุ่นมาตั้งแต่ต้น”
นอกจากนี้ นายคอร์ เดล ฮัลล์ ( Cordel Hull ) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีจดหมายลงวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ แจ้งไปยังรองผู้อำนวยการสำนักงานศูนย์ยุทธศาสตร์เกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลอเมริกันที่มีต่อประเทศไทย ดังความต่อไปนี้
“ สหรัฐอเมริกาถือว่า ไทยเป็นรัฐเอกราชที่บัดนี้ตกอยู่ภายใต้การยึดครองด้วยทหารญี่ปุ่น ....
“ รัฐบาลอเมริกันหวังว่า จะสถาปนาเอกราชของประเทศไทยโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ จากข่าวสารต่างๆที่ได้รับแสดงให้เห็นว่า ในรัฐบาลไทยปัจจุบันก็ยังมีข้าราชการส่วนหนึ่งที่คัดค้านไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลไทยยอมจำนนต่อการกดดันของฝ่ายญี่ปุ่น เป็นที่ทราบกันดีว่า มีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ( หรือที่รู้จักกันในนาม นายปรีดี พนมยงค์ ) คนหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ร่วมอยู่ด้วย นอกจากนี้หลวงประดิษฐ์ฯ ยังมีส่วนสำคัญในขบวนการใต้ดิน ซึ่งมีจุดเพื่อฟื้นสถานภาพของรัฐบาลไทยที่เคยเป็นอยู่ก่อนหน้าการรุกรานของญี่ปุ่น
ด้วยเหตุผลดังกล่าว รัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาจึงถือว่าหลวงประดิษฐ์ฯ เป็นตัวแทนแห่งการสืบต่อมาของรัฐบาลแห่งประเทศไทยตามที่เป็นอยู่ก่อนหน้าที่นายกรัฐมนตรีไทยสมัยนั้น ( จอมพลป. พิบูลสงคราม ) จะไปเข้ากับฝ่ายญี่ปุ่นในตอนที่ญี่ปุ่นบุก และยอมรับว่า ( หลวงประดิษฐ์ฯ ) เป็นผู้นำคนสำคัญในขบวนการเพื่อเอกราชของชาติไทย
ด้วยเหตุนี้ โดยไม่เป็นการผูกมัด รัฐบาลสหรัฐอเมริกาในอนาคต เราจึงถือว่า หลวงประดิษฐ์ฯ เป็นตัวแทนและผู้นำสำคัญคนหนึ่งของชาติไทย ตราบใดที่ชาวไทยยังไม่ได้แสดงออกในทางตรงกันข้าม
คอร์เดล ฮัลล์ "
-๕- ส่วนท่าทีของสหราชอาณาจักรนั้น แม้ว่าผู้นำทางทหาร ดังเช่นลอร์ด เมานท์แบทเตน จะแสดงความชื่นชมต่อคุณูปการของเราที่มีต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ( ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในตอนที่ ๓ ) ในเบื้องแรก รัฐบาลสหราชอาณาจักร ซึ่งประกอบด้วยนักการเมืองที่มีแนวโน้มนิยมชมชอบลัทธิจักรวรรดินิยมไม่ยินยอมเจรจากับเราในทางการเมืองในส่วนที่เกี่ยวกับเอกราชของชาติไทยภายหลังที่ฝ่ายสัมพัธมิตรได้ชัยชนะ ดังนั้นลอร์ดเมานท์แบทเตน จึงได้รับคำสั่งอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลของตนให้เจรจากับผู้แทนฝ่ายเราเพียงเฉพาะเรื่องกิจการทางทหารอย่างเดียวเท่านั้น นักการเมืองชาวอังกฤษในยุคนั้นทราบดีทีเดียวว่า การประกาศสงครามระหว่างสยามกับสหราชอาณาจักรนั้น ไม่ถูกต้องตามกฏหมาย อย่างไรก็ตามอังกฤษถือว่า ประเทศเราจะต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่อังกฤษ
เมื่อรัฐบาลอังกฤษมีท่าทีปฏิเสธการเจรจาทางการเมืองเช่นนี้ เราจึงได้หันมาใช้ความพยายามเจรจาในเรื่องนี้กับรัฐบาลอเมริกัน ที่นำโดยประธานาธิบดีรูสเวลท์ ซึ่งมีท่าทีสนับสนุนสยาม และพยายามเจรจากับรัฐบาลผสมของจีน (ระหว่างจีนคณะชาติกับจีนคอมมิวนิสต์ ) โดยทางเราได้ส่งคณะผู้แทนไปเจรจาเรื่องเอกราชของชาติ
เราได้ขอให้สถานอัครราชทูตของเราที่กรุงสต็อกโฮล์มติดต่อกับสถานอัครราชทูตของโซเวียตที่นั่นเช่นกัน ให้ช่วยส่งบันทึกรายงานฉบับหนึ่งไปยังรัฐบาลโซเวียต เพื่อสนับสนุนความต้องการอันชอบธรรมของเรารัฐบาลของประธานาธิบดีรูสเวลท์ได้ให้ความช่วยเหลือแก่เราหลายครั้งหลายคราว เพื่อที่จะทำให้อังกฤษเปลี่ยนใจ หรืออย่างน้อยที่สุดให้อังกฤษมีท่าทีเดียวกับ ส.ร.อ. ในการยอมรับว่าประเทศสยามมิได้เป็นศัตรู แต่เป็นประเทศอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เราได้พิจารณาเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ขบวนการเสรีไทยจะต่อสู้การรุกรานของญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย แทนที่จะกระทำการอย่างลับๆ แต่ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติการ เราได้ปรารถนาที่จะให้รัฐบาลอเมริกันและอังกฤษยืนหยัดต่อเราก่อนว่า จะเคารพความเป็นเอกราชของประเทศสยามแม้ว่า จอมพลป. พิบูลสงครามจะได้ประกาศสงครามกับประเทศทั้งสองโดยไม่ถูกต้อง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ส่งโทรเลขลับด่วนมาก ๒ ฉบับ ซึ่งมีข้อความตรงกัน ฉบับหนึ่งถึงกระทรวงต่างประเทศ ส.ร.อ. และอีกฉบับถึงลอร์ดเมานท์แบทเตน
ข้าพเจ้าขอยกข้อความในโทรเลขของข้าพเจ้า ซึ่งทางกระทรวงต่างประเทศของ ส.ร.อ. ได้พิมพ์ภายหลังญี่ปุ่นยอมจำนนไปแล้ว ๒๕ ปี ดังนี้
๑) บันทึกจัดทำโดยกระทรวงต่างประเทศ ส.ร.อ. เลขที่ ๓๔๐๐๐๑๑ p.w./ ๕๒๙๔๕ วอชิงตัน ๒๘ พฤษภา ๒๔๘๘
สาส์นถึงรัฐมนตรีต่างประเทศจากรู้ธ ( ปรีดี พนมยงค์ ) ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศส.ร.อ. ได้รับเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ มีข้อความดังต่อไปนี้
“ การต่อต้านเสรีไทยในการดำเนินกิจกรรมทั้งหลายนั้น ได้ทำตามคำแนะนำของผู้แทนอเมริกันเสนอมาในการที่มิให้ปฏิบัติการใดๆต่อสู้ญี่ปุ่นก่อนถึงเวลาอันควร แต่ขณะนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่า กำลังใจรบของญี่ปุ่นจะลดน้อยลงไป ถ้าขบวนการเสรีไทยไม่คงอยู่ภายในฉากกำบังอีกต่อไป ญี่ปุ่นจะถูกบีบให้ยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขต่อสัมพันธมิตรเร็วขึ้น เพราะการสลายตัวของสิ่งที่เรียกว่า วงไพบูลย์ร่วมกัน อย่างไรก็ตาม เราได้ถือตามคำแนะนำว่าขบวนการเสรีไทยจะต้องพยายามขัดขวางความร่วมมือที่ญี่ปุ่นจะได้จากประเทศไทย เราได้ยึดถือนโยบายนี้อย่างเคร่งครัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ท่านย่อมเห็นได้ว่า ญี่ปุ่นนับวันยิ่งจะมีความสงสัยขบวนการเสรีไทยมากยิ่งขึ้น เมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลไทย (รัฐบาลควง ฯ ) ไม่ยอมทำตามคำขอของญี่ปุ่นที่ขอเครดิตเพิ่มเติมอีก ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ข้าพเจ้าได้รับแจ้งจากรัฐบาลปัจจุบันว่า จะอยู่ในตำแหน่งต่อไปไม่ได้ ถ้าหากญี่ปุ่นบีบบังคับให้ปฏิบัติตามคำขอดังกล่าว
ถ้าญี่ปุ่นยืนยันเช่นนั้น รัฐบาลใหม่ก็จะตั้งขึ้นและปฏิการต่อสู้ญี่ปุ่น โดยประการแรกประกาศโมฆะกรรม ซึ่งหนี้สินและข้อตกลงซึ่งรัฐบาลพิบูล ฯกับญี่ปุ่นได้ทำกันไว้ตลอดทั้งสนธิสัญญาที่ผนวก ๔ รัฐมาลัย (มาเล ผู้เรียบเรียง )และรัฐฉานไว้กับประเทศไทย รวมทั้งการประกาศสงครามต่ออังกฤษและ ส.ร.อ. ด้วยพื้นฐานแห่งความสัมพันธ์ระหว่าง ๒ ชาตินี้กับประเทศไทยจะสถาปนาขึ้นดังที่เป็นอยู่ก่อนญี่ปุ่นบุกเพิร์ลฮาร์เบอร์ ก่อนที่จะดำเนินแผนการนี้ ข้าพเจ้าปรารถนาแจ้งให้ท่านทราบถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แม้ว่าข้าพเจ้าตระหนักว่า ส.ร.อ. มีเจตนาดีต่อเอกราชของประเทศไทย และมีไมตรีจิตต่อราษฎรไทย ข้าพเจ้าเชื่อว่าในวันที่เราลงมือปฏิบัติการนั้น ส.ร.อ.จะประกาศเคารพความเป็นเอกราชของประเทศไทย และถือว่าประเทศไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติและไม่ถือว่าประเทศไทยเป็นประเทศศัตรู ทั้งนี้จะเป็นการส่งเสริมกำลังใจอย่างใหญ่หลวงต่อมวลราษฎรไทย ซึ่งเตรียมพร้อมแล้วในการเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง “
ข้าพเจ้าได้ส่งสาระในโทรเลขฉบับนี้ไปยังผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรเอเชียอาคเนย์ด้วยเช่นกัน
๒ ) วันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ข้าพเจ้าได้รับคำตอบจากผู้รักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศส.ร.อ. มีความดังต่อไปนี้
“ ขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อสาส์นของท่านถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เราเข้าใจความปราถนาของท่านที่จะให้ประเทศไทยต่อสู้ศัตรูทางปฏิบัติการโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราเชื่อแน่ว่าอย่างไรก็ตามท่านย่อมตระหนักว่า การต่อสู้ศัตรูร่วมกันของเรานั้น ต้องสมานกับยุทธศาสตร์ทั้งปวงในการต่อสู้กับญี่ปุ่น และไม่เป็นผลดีถ้าไทยทำก่อนเวลาอันสมควร และก่อนที่จะมีหลักประกันพอสมควรว่าจะได้ชัยชนะ หรือถ้าลงมือปฏิการอย่างเปิดเผยโดยมิได้อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ของผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์
เราหวังว่า ท่านจะใช้ความพยายามต่อไปที่จะป้องกันการกระทำก่อนถึงเวลาอันสมควร โดยขบวนการเสรีไทย หรือการปฏิบัติอันเร่งให้ญี่ปุ่นยึดอำนาจจากรัฐบาลไทย (รัฐบาลควง ฯ )
เราเชื่อมั่นว่า ท่านจะแจ้งให้เราและอังกฤษทราบถ้าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงกระทันหัน ทั้งๆที่ท่านพยายามยับยั้งไว้แล้วก็ตาม ส.ร.อ. เข้าใจแจ่มแจ้ง และเห็นคุณค่าในความปรารถนาจริงใจของท่านและมวลราษฎรไทยในการปฏิเสธการประกาศสงครามและข้อตกลงระหว่างญี่ปุ่นกับรัฐบาลพิบูลฯนั้น แต่ยังไม่เข้าใจแจ้งชัดว่าเหตุใดรัฐบาลปัจจุบัน ( รัฐบาลควง ฯ ) จะลาออกขณะนี้ หรือจะมีการบีบบังคับอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลชุดต่อไปต้องเลือกเอาการปฏิเสธการประกาศสงครามและข้อตกลงกับญี่ปุ่นเป็นการกระทำในเบื้องแรก
ย่อมจะเห็นได้ว่า ขบวนการเสรีไทยจะบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ได้ดีกว่าเมื่อออกมาปฏิบัติการเปิดเผยแล้ว คือโดยจู่โจมการลำเลียงการคมนาคมกองกำลังยุทโธปกรณ์ของศัตรู อย่างฉับพลันและอย่างมีการประสานงาน รวมทั้งยึดตัวนายทหาร พนักงาน เอกสาร จุดสำคัญของศัตรู แล้วการปฏิบัติทางการเมืองเพื่อปฏิเสธการประกาศสงครามและการเข้ามีฐานะเสมอกันกับสัมพันธมิตรก็จะตามมาภายหลัง
เราให้ความสำคัญต่อการมีรัฐบาลไทยที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริงบนผืนแผ่นดินไทย เพื่อที่จะทำการร่วมมือกับสัมพันธมิตร เราหวังว่า การเตรียมทุกอย่างที่จะเป็นไปได้ จะต้องทำขึ้นในอันที่จะป้องกันการจับกุมหรือการแยกย้ายบุคคลสำคัญที่เป็นฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อว่ารัฐบาลดังกล่าวนั้นจะเข้ารับงานได้ทันทีในบริเวณที่ปลอดญี่ปุ่น และสามารถสั่งการทางทหารให้กองทัพไทยปฏิบัติการร่วมมือกับสัมพันธมิตร และสามารถรื้อฟื้นกลไกของรัฐบาลพลเรือนในบริเวณที่กู้อิสรภาพแล้ว
ส.ร.อ. ไม่อาจประกาศโดยลำพังได้ว่าชาติอื่นชาติใดเป็นสมาชิกสหประชาชาติ แต่จะมีความยินดีประกาศซ้ำอีกโดยเปิดเผยในโอกาศเหมาะสมถึงการเคารพความเป็นเอกราชของชาติไทย และประกาศว่า ส.ร.อ. ไม่เคยถือว่าประเทศไทยเป็นศัตรู
เรารอคอยวันที่ประเทศของเราทั้งสองสามารถที่จะเปิดเผยต่อสาธารณชนถึงจุดหมายร่วมกันในการต่อสู้ศัตรูร่วมกัน"
(ลงนาม ) กรูว์ ( Grew )
รักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ
๓) แม้ว่าลอร์ดเมาน์ทแบทเตน ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะรู้สึกเห็นใจในขบวนการของเรา แต่ก็ตอบรับได้เฉพาะในแง่ของแผนการทางทหารเท่านั้นโดยขอให้ข้าพเจ้าป้องกันมิให้มีการกระทำการใดๆก่อนถึงเวลาอันสมควร
เมื่อเราส่งนายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นไปที่ประเทศซีลอน เพื่อเจรจากับลอร์ดเมาน์ทแบทเตน บรรดาที่ปรึกษาทางการเมืองที่รัฐบาลอังกฤษส่งมาเจรจา ต่างก็ปฏิเสธที่จะยอมรับความเป็นเอกราชของสยาม
-๖- สำหรับรัฐบาลจีนโดยการนำของจอมพลเจียงไคเช็ค ซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายคอมมิวนิสต์เองรับรองว่า เป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฏหมายของประเทศจีนในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ นั้น ขบวนการเสรีไทยได้ส่งผู้แทนไปเจรจา ๓ ครั้ง เรื่องความเป็นเอกราชของสยาม และขอให้คณะผู้แทนของขบวนการ ฯผ่านประเทศจีน เพื่อไปติดต่อกับประเทศสัมพันธมิตรอื่นๆได้ง่ายขึ้น
รัฐบาลจีนได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่จีน ซื่อ เหลียง ( เกิดในเมืองไทย ) เป็นผู้ดำเนินการเจรจากับคณะผู้แทนของขบวนการฯ เจ้าหน้าที่ผู้นี้ทำงานในหน่วยสืบราชการลับของรัฐบาลจีนและเป็นที่ไว้วางใจมาก อันที่จริงแล้ว เจ้าหน้าที่ผู้นี้สนับสนุนฝ่ายคอมมิวนิสต์และได้เปิดเผยรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับจุดประสงค์ของข้ารัฐการชั้นสูงของจีนที่มีต่อประเทศสยาม ( ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ เจ้าหน้าที่ผู้นี้ได้เดินทางไปยังกรุงปักกิ่งเพื่อเข้าร่วมกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ และเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือแก่ข้าพเจ้าในการเตรียมการเดินทางไปยังสาธารณรัฐราษฎรจีน )
รัฐบาลจีนไม่พอใจประเทศไทยมาก พราะรัฐบาลจอมพลพิบูลฯ ไม่เพียงแต่จะส่งกองทหารไปยึดพื้นที่บริเวณตลอดชายแดนจีน-พม่า ที่ขึ้นกับอังกฤษเท่านั้น แต่ยังรับรองรัฐบาลหุ่นของมานจูกั๊วะ ที่ตั้งขึ้นภายใต้การบงการของญี่ปุ่นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ( อดีตจักรพรรดิปูยี PU YI ) ซึ่งได้ถูกถอดจากราชบัลลังก์จีนโดยการอภิวัฒน์ชนชั้นเจ้าสมบัติในปีพ.ศ. ๒๔๕๔ ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดิในรัฐใหม่แห่งนี้ ) นอกจากนี้จอมพลพิบูลฯยังรับรองรัฐบาลวังจิงไว ( Wang Jing-wei ) ว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฏหมายของประเทศจีนด้วย
รัฐบาลจีนได้ออกข่าวผ่านทางวิทยุกระจายเสียงและหนังสือพิมพ์ขู่ว่า จะบุกเข้าประเทศไทยจับตัวจอมพลพิบูลฯและผู้สมรู้ร่วมคิดมาชำระคดีฐานเป็นอาชญากรสงคราม การเจรจาของเรากับรัฐบาลจีนจึงลำบากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องพยายามให้รัฐบาลจีนไม่ถือว่าประเทศสยามเป็นศัตรูและเคารพความเป็นเอกราชของสยามภายหลังที่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ชัยชนะ
การเดินทางของผู้แทนคนแรกของขบวนการฯ คือนายจำกัด พลางกูร ไม่อาจผ่านประเทศจีน เพื่อไปยังประเทศสัมพันธมิตรได้เพราะติดขัดทางฝ่ายรัฐบาลจีนจึงทำให้เขาไม่สามารถปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงไปได้ การเดินทางครั้งนี้ประสบความลำบากมากมายนายจำกัดฯได้เสียชีวิตลงที่นครจุงกิง ผู้แทนคนที่ ๒ คือนายสงวน ตุลารักษ์ ได้รับความสะดวกขึ้นบ้างในการเดินทางไปอังกฤษและ ส.ร.อ.
คณะผู้แทนชุดที่ ๓ นำโดยนายถวิล อุดล สามารถประสานการทำงานระหว่างขบวนการฯ ของเรากับรัฐบาลจีนได้จนสิ้นสงคราม ด้วยความพยายามของเราและด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลส.ร.อ. โดยประธานาธิบดีรูสเวลท์ รัฐบาลจีนยอมถือนโยบายของรัฐบาลอเมริกันในการเคารพความเป็นเอกราชของสยามภายหลังที่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ชัยชนะอย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ นั้นจอมพลเจียงไคเช็คได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อบัญชาการสู้รบในประเทศจีนและในอินโดจีน หลังปีพ.ศ. ๒๔๘๖ เจียงไคเช็คจึงได้รับผิดชอบการสู้รบเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น
แต่เนื่องจากเส้นแบ่งเขตทางเหนือของเอเชียอาคเนย์ยังไม่แน่นอน เจียงไคเช็คพยายามขอให้สัมพันธมิตรยอมให้เขตแดนสยามและอินโดจีนฝรั่งเศส (อินโดจีนของฝรั่งเศส ผู้เรียบเรียง ) เหนือเส้นขนานที่ ๑๖ อยู่ในเขตยุทธภูมิจีนที่เจียงไคเช็ครับผิดชอบอยู่ ข้าพเจ้าได้แสดงความวิตกกังวลในเรื่องนี้ต่อรัฐบาลอเมริกัน เนื่องจากถ้าฝ่ายสัมพันธมิตรยินยอมตามเจียงไคเช็ค กลุ่มชาวจีนโพ้นทะเลที่คลั่งชาติที่มีอยู่จำนวนมากในสยามย่อมฉวยโอกาสในขณะที่กองทัพจีนเข้ามาอยู่ในประเทศสยามก่อความวุ่นวายขึ้นหลังการยอมจำนนญี่ปุ่นในปีพ.ศ. ๒๔๘๘ เจียงไคเช็คได้ขอความเห็นจากสัมพันธมิตรว่า เขาจะส่งกองทัพเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในเขตแดนสยามและอินโดจีนบริเวณเหนือเส้นขนานที่ ๑๖ ได้หรือไม่ ข้าพเจ้าได้ส่งโทรเลขไปถึงรัฐบาลอเมริกันเพื่อชี้แจงว่า ขบวนการเสรีไทยพร้อมที่จะปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในดินแดนไทยเอง
ประธานาธิบดีทรูแมน ซึ่งรับตำแหน่งสืบต่อจากรูสเวลท์ตระหนักดีถึงปัญหาชาวจีนโพ้นทะเลดังกล่าว จึงแต่งตั้งให้ผู้บัญชาการทหารอเมริกันที่รับผิดชอบด้านญี่ปุ่นเป็นผู้ออกคำสั่งให้กองกำลังทหารญี่ปุ่นในดินแดนสยามยอมจำนนต่อลอร์ดเมาน์ทแบทเตน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์
ส่วนเจียงไคเช็คนั้นได้รับภาระให้ส่งกองทัพเข้าไปปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นทางตอนเหนือของอินโดจีนของฝรั่งเศสเท่านั้น
-๗- ภายหลังที่ญี่ปุ่นยอมจำนนในวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ แล้วข้าพเจ้าได้เปิดเผยขบวนการใต้ดิน และได้ประกาศฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ว่า การประกาศสงครามของจอมพลพิบูลฯ ต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่ ตลอดจนการผนวกเอาดินแดนบางส่วนของพม่าและมลายูของอังกฤษในระหว่างสงครามนั้นเป็นโมฆะ ข้าพเจ้าได้แถลงเช่นเดียวกันว่าให้ถือวันที่ ๑๖ สิงหาคมเป็น “ วันสันติภาพ “ และจะมีการฉลองในวันนี้ของทุกปี แต่รัฐบาลภายหลังรัฐประหาร ๒๔๙๐ ได้ยกเลิก “วันสันติภาพ “ นี้เสีย
รัฐบาลอเมริกันได้ส่งนักการทูตมาเพื่อสถาปนาฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศสยามดังที่ได้ให้สัญญาไว้ รัฐบาลอเมริกันไม่มีเงื่อนไขใดๆ นอกจากขอให้เราคืนเงินจำนวนหนึ่งให้กับบริษัทอเมริกัน เพราะรัฐบาลจอมพลพิบูลฯ และญี่ปุ่นได้ยึดทรัพย์สินของบริษัทนั้นไป และขอให้จับตัวจอมพลพิบูลฯและผู้สมรู้ร่วมคิดฟ้องศาลเป็นอาชญากรสงคราม
ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษเรียกร้องให้ส่งคณะผู้แทนไปพบลอร์ดเมาน์ทแบทเตนที่กองบัญชาการทหารในประเทศซีลอน เพื่อเจรจากับผู้แทนฝ่ายรัฐบาลอังกฤษ โดยให้สยามยอมรับเงื่อนไขในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับอังกฤษ
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง เราได้ตกลงให้กองทหารอังกฤษเข้ามาในประเทศไทยเพียงเพื่อปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นเท่านั้นและให้ถอนกำลังทหารนี้ออกไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้คือในทันทีที่ปฏิบัติภารกิจในการปลดอาวุธเสร็จสิ้นแล้ว
ในระหว่างนั้นลอร์ดเมาน์ทแบทเตนและภรรยาได้เดินทางมากรุงเทพฯ ๒ ครั้ง และได้พบปะกับข้าพเจ้า ซึ่งได้กระชับมิตรภาพระหว่างเราให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ลอร์ดเมาน์ทแบทเตนในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์ได้จัดพิธีสวนสนามของกองทหารอาสาสมัครอังกฤษที่เดินทางมาประเทศไทย เพื่อปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นเฉพาะพระพักตร์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการที่ ๘ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพในความเป็นเอกราชของชาติไทยและองค์พระประมุข
ส่วนเงื่อนไขทางการเมืองของรัฐบาลอังกฤษยื่นข้อเรียกร้องมานั้น เราพิจารณาแล้วเห็นว่า เงื่อนไขดังกล่าวเท่ากับเป็นการยอมจำนนกลายๆนั่นเอง แตกต่างกันแต่ในเรื่องวิธีการและคำพูดเท่านั้น ดังนั้น เราจึงไม่ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว การเจรจากันในเรื่องนี้ใช้เวลา ๑ ปีโดยที่ไม่บรรลุผลใดๆ ช่วงเวลานี้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลสยามตามวิถีทางรัฐธรรมนูญถึง ๓ ครั้ง ในที่สุด รัฐบาลสยามจำเป็นต้องส่งมอบข้าวให้รัฐบาลอังกฤษจำนวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ ตัน และชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัทอังกฤษที่ตั้งขึ้นในสยามก่อนสงครามและที่ถูกญี่ปุ่นและรัฐบาลพิบูลฯยึดไปตลอดจนความเสียหายที่เกิดจากภัยทางอากาศในระหว่างสงครามที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นผู้กระทำเอง อย่างไรก็ตาม เราเห็นว่าเป็นข้อเสนอเรียกร้องที่ไม่ยุติธรรมต่อประเทศเล็กอย่างสยามในการที่ต้องรับผิดชอบความเสียหายต่างๆที่เกิดขึ้น ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นและฝ่ายสัมพันธมิตรเองเป็นผู้ก่อ แต่เราจำต้องยอมลงนามในความตกลงดังกล่าวนั้น เพื่อที่จะสามารถฟื้นฟูประเทศหลังสงครามได้เร็วที่สุดและเพื่อหาโอกาศอันสมควรในการเจรจาอย่างสันติอีกครั้งหนึ่งกับรัฐบาลพรรคแรงงานของอังกฤษ เพื่อแก้ไขข้อความต่างๆที่ไม่ยุติธรรมสำหรับเรา
ความตกลงดังกล่าวกำหนดให้รัฐบาลสยามจับกุมและลงโทษบุคคลที่ต้องหาว่าเป็นอาชญากรสงคราม ข้อความนี้ตรงกับความต้องการของรัฐบาลฝ่ายสัมพันธมิตรที่สำคัญๆทุกประเทศ เมื่อข้าพเจ้าเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน พ.ศ. ๒๔๘๙ ข้าพเจ้าได้เจรจากับรัฐบาลอังกฤษให้ยอมจ่ายเงินค่าข้าวที่เราต้องชดใช้ให้เป็นค่าเสียหาย ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษตกลงยินยอมที่จะจ่ายเงินค่าข้าวด้วยราคาที่ต่ำกว่าราคาในตลาดโลก นับว่ายังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
ส่วนเรื่องความเสียหายของบริษัทห้างร้านอังกฤษที่เราต้องชดใช้นั้นเราเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมต่อสยามเช่นกัน เพราะในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งรวมทั้งรัฐบาลอังกฤษด้วยได้ลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกกับรัฐบาลญี่ปุ่นที่ซานฟรานซิสโก ตามสนธิสัญญาฉบับนี้ รัฐบาลอังกฤษเองได้ยกเลิกข้อเรียกร้องค่าปฏิกรรมสงครามจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นศัตรูสำคัญในสงคราม
-๘- ฝ่ายรัฐบาลจีนเมื่อยอมรับรองความเป็นเอกราชของรัฐบาลสยามแล้ว ก็ได้ส่งอัครรัฐทูตมาประจำกรุงสยาม เพื่อสถาปนาความสัมพันธทางการทูต
ส่วนกลุ่มชาวจีนโพ้นทะเลที่คลั่งชาติที่คิดว่ากองกำลังทหารจีนจะเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในประเทศสยามนั้น พากันแปลกใจที่กลายเป็นกองทหารอังกฤษ ฉนั้นจึงก่อจลาจลโดยใช้ปืนยาวปืนสั้น ยิงเข้าใส่ฝูงชนอย่างบ้าคลั่งในใจกลางพระนคร
ชาวไทยได้โต้ตอบทันที สภาพการจลาจลเกิดขึ้นในชุมชนหลายแห่ง รัฐบาลจำต้องใช้กำลังทหารเข้าปราบปราม เพื่อให้เกิดความสงบโดยเร็วที่สุด การจลาจลครั้งนี้เรียกว่า “ เลียะพะ “ ( ภาษาจีนแต้จิ๋ว ) ที่เรียกเช่นนี้ เพราะได้เปรียบเทียบเหตุการณ์ครั้งนี้กับกบฏของนักมวยจีน ซึ่งต่อต้านกองกำลังอำนาจต่างชาติในปีพ.ศ ๒๔๔๓ ในปัจจุบันยังมีคนกล่าวถึงเหตุการณ์เลียะพะครั้งนั้นอยู่ โดยมักจะเป็นพวกที่ไม่ยอมรับรองรัฐบาลสาธารณรัฐราษฎรจีน และยกเอาเหตุการณ์นี้มาข่มขวัญผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ โดยอธิบายอย่างไม่มีเหตุผลว่า เมื่อสถาปนาความสัมพันธทางการทูตกับสาธารณรัฐราษฎรจีนแล้ว เหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดซ้ำอีกโดยพวกชาวจีนโพ้นทะเลจะเป็นผู้ก่อขึ้นด้วยความสนับสนุนของสถานเอกอัครรัฐทูตสาธารณรัฐราษฎรจีน อันที่จริงระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ไม่สงบนี้ พวกคอมมิวนิสต์จีนที่ลี้ภัยเข้ามาในสยาม เพราะถูกรัฐบาลจีนคณะชาติตามล่านั้น กลับต่อต้านการเลียะพะครั้งนี้
-๙- รัฐบาลโชเวียตกำลังวุ่นวายอยู่กับปัญหาภายในประเทศ จึงไม่พร้อมที่จะเข้ามาแทรกแซงในกิจการของเอเชียอาคเนย์ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลนี้ได้แสดงความเคารพความเป็นเอกราชของสยามโดยปริยาย โดยการมอบอำนาจให้ผู้แทนทางการทูตที่กรุงสต็อกโฮล์มเข้าร่วมในงานเลี้ยงรับรองที่จัดขึ้นโดยสถานอัครราชทูตสยาม ทั้งในระหว่างและหลังสงคราม
-๑๐- ส่วนฝ่ายรัฐบาลกู้ชาติฝรั่งเศส (Comite’ francais de Libe’ration nationale) ซึ่งต่อมาได้ตั้งขึ้นเป็นรัฐบาลชั่วคราวของสาธารณรัฐฝรั่งเศส ลงความเห็นว่ารัฐบาลไทยเป็นพันธมิตรกับประเทศญี่ปุ่น และฝรั่งเศสกับประเทศไทยถือว่าเป็นศัตรูกันนับแต่วันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๓ อันเป็นวันที่กองทัพอากาศไทย ( สมัยรัฐบาลจอมพลพิบูลฯ ) ได้ทิ้งระเบิดบนดินแดนอินโดจีนของฝรั่งเศส รัฐบาลชั่วคราวของฝรั่งเศสเห็นว่าคำประกาศของข้าพเจ้าในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ยกเลิกการยึดครองดินแดนที่รัฐบาลจอมพลพิบูลฯยึดครองนั้น ครอบคลุมถึงดินแดนอินโดจีนของฝรั่งเศสด้วย ดังนั้นเราจึงได้ทำความตกลงร่วมกันกับรัฐบาลชั่วคราวแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสให้นำเรื่องนี้สู่อนุญาโตตุลาการเพื่อตัดสิน ทั้งนี้เพราะทางฝ่ายเราเห็นว่า ดินแดนที่เป็นปัญหาอยู่นั้นเป็นของประเทศสยามมาก่อนปี พ.ศ. ๒๔๕๐ แล้ว นับแต่นั้นมาความสัมพันธ์ทางทูตระหว่าง ๒ ประเ ทศก็กลับคืนสู่สภาพปกติ
-๑๑- เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงบรรลุนิติภาวะ ข้าพเจ้าได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระองค์เสด็จนิวัติคืนสู่สยาม พระองค์เสด็จถึงกรุงเทพฯเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ หน้าที่ในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของข้าพเจ้าจึงเป็นอันสิ้นสุดลงในทันที พระองค์ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งต่งตั้งข้าพเจ้าเป็นรัฐบุรุษอาวุโส อันเป็นตำแหน่งกิตติมศักดิ์ ซึ่งจะไม่มีอำนาจในการบริหารแผ่นดิน เป็นโอกาสที่ข้าพเจ้าจะได้พักผ่อน ซึ่งข้าพเจ้ามีความปราถนาอยู่แล้วหลังจากที่ข้าพเจ้าได้ทำงานมาอย่างลำบากและเหน็ดเหนื่อยตลอดเวลาช่วงที่มีสงครามและหลังสงครามอีก ๓ เดือน
ภายหลังสงครามโลกสิ้นสุดลง ได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ต่อมาหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว มีรัฐบาลใหม่ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีบางคนเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม ความขัดแย้งในรัฐสภาระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านเพิ่มมากขึ้น ในที่สุดฝ่ายรัฐบาลต้องลาออก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้ข้าพเจ้าจัดตั้งรัฐบาล โดยข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยได้เสียงสนับสนุนจากฝ่ายข้างมาก ซึ่งเป็นฝ่ายก้าวหน้าในสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ. ๒๔๘๙ รัฐสภาจะประกอบด้วยพฤฒสภาและสภาผู้แทนราษฎร โดยสภาทั้งสองมาจากการเลือกตั้ง
ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายก้าวหน้ากับฝ่ายอนุรักษ์นิยม ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไป แต่กลับเพิ่มมากขึ้น เมื่อศาลฎีกาได้ตัดสินปล่อยตัวจอมพลพิบูลฯ โดยประกาศว่าพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม ( ซึ่งร่างขึ้นและประกาศใช้หลังสงคราม ) ไม่อาจใช้บังคับย้อนหลังได้
เมื่อจอมพลพิบูลฯได้รับการปล่อยตัว ก็ได้กลับคืนสู่เวทีการเมืองเดิมอีกครั้งหนึ่ง โดยร่วมมือกับกลุ่มอนุรักษ์นิยม
-๑๒- ๒-๓ เดือนถัดมา ในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต โดยต้องพระแสงปืนที่พระเศียรในห้องพระบรรทมในพระบรมมหาราชวัง จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจและโดยคำแนะนำของพระเจ้าบรมวงค์เธอกรมขุนชัยนาทนเรนทร ทางรัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ประกาศว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จสวรรคตโดยอุปัทวเหตุ โดยกระสุนจากพระแสงปืนของพระองค์เอง
ในวันนั้นเอง ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรีได้เสนอรัฐสภาให้อันเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชขึ้นครองราชสมบัติสืบแทนพระเชษฐาที่เสด็จสวรรคต เนื่องจากพระองค์ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ สภาผู้แทนราษฎรจึงได้แต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยพระเจ้าบรมวงค์เธอกรมขุนชัยนาทนเรนทรเป็นประธาน คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ขอร้องให้ข้าพเจ้าตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่
หลังการเลือกตั้งช่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ข้าพเจ้าได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยไม่มีผู้สมัครแข่งขัน ข้าพเจ้าสมัครใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้น มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งก็คงประกอบด้วยรัฐมนตรีฝ่ายก้าวหน้าและฝ่ายประชาธิปไตย แต่พวกอนุรักษ์นิยมกล่าวหาว่ารัฐบาลใหม่อยู่ภายใต้อาณัติของข้าพเจ้า ด้วยเหตุนี้พวกอนุรักษ์นิยมจึงเริ่มโจมตีข้าพเจ้าเป็นการส่วนตัว โดยใส่ร้ายข้าพเจ้าต่างๆนาๆ เช่น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลไม่ได้เสด็จสวรรคตโดยอุปัทวเหตุ แต่ถูกลอบปลงพระชนม์โดยอดีตราชเลขานุการส่วนพระองค์ และมหาดเล็กของพระองค์เอง โดยมีข้าพเจ้าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด
การเผยแพร่ข่าวให้ร้ายข้าพเจ้าเช่นนี้ เป็นแผนการทำให้ประชาชนสับสน เพื่ออ้างเป็นเหตุให้คณะทหารก่อการรัฐประหารปฏิกิริยา
เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ เกิดการรัฐประหารของฝ่ายทหาร โดยการสนับสนุนของพวกอนุรักษ์นิยมขวาจัดและพวกคลั่งชาติ โค่นล้มรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฏหมายของพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นพรรคพวกของข้าพเจ้า พวกเขาได้บุกเข้าไปในบ้าน เพื่อจะทำลายชีวิตข้าพเจ้ารวมทั้งภรรยาและบุตรเล็กๆ หาว่าข้าพเจ้าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในกรณีสวรรคตฯ จอมพลพิบูลฯ ซึ่งถูกปล่อยก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือน เพราะกฏหมายอาชญากรสงครามไม่มีผลย้อนหลังมาใช้บังคับ ก็ได้รับแต่งตั้งจากคณะรัฐประหาร ให้เป็นผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย ทำให้มีอำนาจควบคุมเจ้าหน้าที่ของรัฐ คณะรัฐประหารได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งสมาชิกวุฒิสภามิได้มาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อมอีกต่อไป แต่จะมาจากการแต่งตั้งโดยตรงจากประมุขแห่งรัฐ โดยมีหัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ก่อนรัฐประหารอายุต่ำสุดของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกำหนดไว้ ๒๓ ปี แต่ตามรัฐธรรมนูญของคณะรัฐประหารกำหนดไว้เป็น ๓๕ ปี ซึ่งเท่ากับอายุต่ำสุดของผู้สมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามมาตรการนี้ก็ใช้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะต่อมาประเทศไทยถูกปกครองโดยรัฐธรรมนูญฟาสซิสต์กึ่งฟาสซิสต์ และฟาสซิสต์ใหม่ๆ ฯลฯ อีกหลายฉบับ ยิ่งกว่านั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังลิดรอนเสรีภาพทางการเมืองหลายประการ .
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar