เราเห็นกับตา โดย เอนก ซานฟราน
ประเทศที่เจริญแล้วนั้น สาเหตุมาจากหลายเหตุผลหลายประการ แต่ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่สภาพภูมิประเทศ หรือสภาพของธรรมชาติที่เป็นตัวกำหนด ประเทศที่เจริญแล้วสาเหตุนั้นเกิดขึ้นอยู่ที่ประชากรในประเทศ ที่เขามีความต้องการที่ช่วยกันพัฒนา นับตั้งแต่การยึดหลักกฎหมายร่วมกัน และอยู่ในกติกาเดียวกันที่ได้ร่วมกันตกลงเอาไว้ เมื่อประชากรในประเทศมีความเคร่งครัด และอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน โดยไม่ฝักใฝ่อำนาจอื่นๆ ที่ไม่ใช่กติกาสากล เช่นอำนาจของพระมหากษัตริย์เป็นต้น ความสงบสุขย่อมเกิดขึ้น หรือหากใครปฎิบัติตนอยู่นอกเหนือจากกติกา คนในสังคมนั้นก็จะออกมาประนาม รวมทั้งสื่อสารมวลชนที่มีส่วนในการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งผิดไปจากสื่อสารมวลชนในประเทศของเรา ที่พวกเขาพากันเสนอข่าวแบบขอเพียงเอาตัวรอด และอยู่ได้โดยพ้นจากเงื้อมมือของผู้ที่มีอำนาจทั้งหลาย จึงยอมผ่อนปรนทุกวิถีทาง ที่จะบิดเบือนข่าวสารให้ถูกใจผู้ที่มีอำนาจ จนกลายเป็นเตรื่องมือของกลุ่มคนที่มีอำนาจ โดยได้รับสินจ้างทั้งทางตรง และทางอ้อมต่างๆ นาๆ เป็นสิ่งตอบแทน มันเป็นความล้มเหลวของแวดวงสื่อสารมวลชนในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง การที่ประเทศไทยมีการแบ่งแยกแบ่งสีแบ่งก๊กแบ่งเหล่า ตามที่ปรากฎให้คนทั่วโลกได้เห็นว่า ประเทศไทยขาดความสามัคคีของคนในประเทศ ซึ่งเป็นที่อับอายขายหน้าชาวต่างชาติเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว หรือ เขมร สาเหตุที่สำคัญมีด้วยกันมากมาย แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือ ในหลวงหมาย ถึงกษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขของการปกครองประเทศนั้น ไม่เคารพต่อหลักแห่งความเที่ยงธรรม พระองค์เกิดความลำเอียงต่อประชาชนของตัวเอง และมักปล่อยให้คนของตัวเองหมายคณะองคมนตรี หรือคณะทหารที่มาปฏิวัติเข้ามายึดอำนาจจากประชาชน ทำการที่ขัดต่อข้อของกฎหมายขัดต่อพระราชบัญญัติ หรือทำการขัดต่อพระราชกำหนด ที่ผู้มีส่วนรับผิดชอบได้ร่วมกันกำหนดเอาไว้ ซึ่งไม่เป็นไปตามระเบียบ และข้อบังคับที่ได้ตกลงกันไว้ และต้องปฎิบัติตามธรรมเนียมสากล
อาทิเช่น ในหลวงทรงปล่อยให้คณะปฎิวัติ แต่งตั้งคณะปปช. โดยไม่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ และให้ในหลวงทรงลงพระปรมาภิไท แต่กับมีผลปฎิบัติงานได้จนถึงบัดนี้ และก็รับเบี้ยเงินเดือนเป็นประจำจนถึงปัจจุบันนี้ เท่ากับว่าเป็นการแหกกฎที่ตกลงกันไว้ หรือการแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคณะนั้น ที่ตัดสินยุบพรรคไทยรักไทยที่ไม่ได้รับการโปรดเกล้าจากในหลวง ทั้งๆ ที่ต้องมาทำหน้าที่เป็นศาล เรื่องนี้ก็เป็นการแหกกฎอีก ทำไมในหลวงถึงปล่อยให้คณะทหารที่ปฎิวัติมีอำนาจมากว่าพระองค์เอง? หรือว่าพระองค์ก็ถูกพวกทหารยึดอำนาจ? หรือว่าพระองค์ก็ถูกประธานองคมนตรียึดอำนาจด้วย?
พระองค์กล้าตอบให้ประชาชนรู้ได้มั๊ย?
การที่ทหารมา ยึดอำนาจ แล้วออกกฎหมายนิรโทษกรรมว่าคณะทหารไม่มีความผิดใดๆ นั้น พระองค์กลับทรงลงนามเซ็นยอมรับเท่ากับว่าพระองค์ก็เห็นดีเห็นงามกับกฎหมาย ชั่วๆ ฉบับนี้ที่ประชาชนของพระองค์เองจะเสียเปรียบ และถูกเอารัดเอาเปรียบในการกระทำของทหารจากกฎหมายฉบับนี้ ประเทศที่เจริญแล้วเขาจะไม่กล้าที่ออกกฎหมายลักษณะเผด็จการแบบนี้ การที่ในหลวงปล่อยให้กลุ่มพันธมิตรฯ ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินต่างๆ จนทำให้ชาวไทย และชาวต่างชาติต้องเดือดร้อนเสียทั้งเงิน และเวลาที่หมดไปกับพฤติกรรมชั่วๆ ของกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ ทำไม? ในหลวงเห็นแล้วว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีแต่ทำไมพระองค์ถึงไม่ห้ามปราม
พระองค์ไม่กลัวว่าประเทศของเราจะเดือดร้อนหรือ?
การ ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ เสด็จไปเป็นประธานงานศพกบฎพันธมิตรฯ ที่ตายด้วยระเบิดที่เขาทั้งคู่ นำหรือพกไป เพื่อที่จะทำร้ายคณะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนได้เลือกเข้ามานั้น เท่าเป็นการปูนบำเหน็จ และให้กำลังใจผู้ก่อการร้าย และเลือกข้างที่จะยืนอยู่ฝ่ายพันธมิตรที่เป็นคู่อริกับฝ่าย นปช. นั้นเท่ากับในหลวงยอมรับการแสดงการแยกประชาชน ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ดังเป็นการกระทำที่ปรากฎต่อสายตาประชาชน
การที่ในหลวงปล่อยให้พวกคณะศาลที่ทุกปีจะต้องมีการเข้าเฝ้าเพื่อถวาย สัตย์ปฎิญาณตนว่าจะยึดหลักของความยุติธรรม แต่คณะศาลบางคนไม่ปฎิบัติตน ตามคำกล่าวการถวายสัตย์ปฎิญาณนั้น ย่อมหมายถึงคณะศาลไม่ทำตามความต้องการของพระองค์ แต่พระองค์กลับยอบรับความสามานย์ของคณะศาลที่เข้าไปทำลายความยุติธรรมของ ระบบศาลไทย เช่นการเลือกที่ลงโทษระหว่างคดีนายสมัคร สุนทรเวช ที่ไปรับจ้างทำกับข้าวในรายการทีวี กับการที่นายจรัญ ภักดีธนกุล และวิชา มหาคุณ ก็ไปเป็นอาจารย์ที่สอนตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ได้รับเงินเดือนเป็นค่าตอบแทนด้วยนั้น อยากถามพระองค์อีกว่านี่หรือความยุติธรรม ของคณะศาลที่พวกเขามาสาบถสาบานต่อหน้าพระองค์ทุกๆ ปี เท่ากับเป็นเรื่องไร้สาระหรือเปล่าที่คณะศาลพวกนี้มาตบตาพระองค์ และตบตาประชาชนทั้งประเทศที่พวกเขาใช้วิธีการที่สกปรกกลั่นแกล้งคู่ต่อสู้ ด้วยการนำกฎหมาย มาเป็นอาวุธเพื่อไว้ทำลายคู่ต่อสู้
การที่ในหลวงเป็นประมุขในระบอบประชาธิปไตย ที่เรามีรัฐธรรรมนูญของประชาชนปี พ.ศ.2540 นั้นพระองค์ก็ทราบดีว่ากว่าจะได้รัฐธรรมนูญแบบนี้มานั้นเกิดเหตุการณ์มากมาย ที่ประชาชนต้องสังเวยชีวิตเพื่อต่อสู้ให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่พระองค์ก็ปล่อยให้ทหารฉีกทิ้ง แล้วเอาคนของตัวเองมาร่วมกันร่าง
ใหม่เพื่อเอาใจทหารแต่ไม่เอาใจประชาชน เนื่อหาในรัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นรูปแบบเผด็จการที่เข้าข้าง คนกลุ่มเดียวคือสถาบันพระมหากษัตริย์ และนักการเมืองที่อยู่ภายใต้การบงการของพวกองคมนตรี ทั้งปกป้องและคุ้มครองผลประโยชน์ทั้งทางตรง และทางอ้อม แต่ประชาชนในประเทศกลับถูกริดรอนสิทธิ และเสรีภาพด้วยกันทั้งสิ้น ในหลวงก็ทรงยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 แต่ไม่เสนอให้เอารัฐธรรมนูญปี 40 กลบมาใช้
มีเหตุการณ์อีกหลายเหตุการ์ณที่ปรากฎให้ประชาชนคนไทยทั้งโลกได้เห็น และสามารถยืนยันได้ว่าพระมหากษัตริย์ของไทยมักทำตัวแหกกฎแหกระเบียบเสียเอง จึงเป็นสาเหตุให้ประชาชนในประเทศ ไม่เคารพต่อกฎหมาย จึงเกิดการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นชิงอำนาจชิงบารมี เป็นผลให้ประชาชนในประเทศเกิดการแตกแยกแตกความสามัคคี
และนี่คือสาเหตุที่สำคัญอย่างยิ่งว่า ทำไมประเทศไทยจึงไม่มีความเจริญ!
ประเทศที่เจริญแล้วนั้น สาเหตุมาจากหลายเหตุผลหลายประการ แต่ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่สภาพภูมิประเทศ หรือสภาพของธรรมชาติที่เป็นตัวกำหนด ประเทศที่เจริญแล้วสาเหตุนั้นเกิดขึ้นอยู่ที่ประชากรในประเทศ ที่เขามีความต้องการที่ช่วยกันพัฒนา นับตั้งแต่การยึดหลักกฎหมายร่วมกัน และอยู่ในกติกาเดียวกันที่ได้ร่วมกันตกลงเอาไว้ เมื่อประชากรในประเทศมีความเคร่งครัด และอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน โดยไม่ฝักใฝ่อำนาจอื่นๆ ที่ไม่ใช่กติกาสากล เช่นอำนาจของพระมหากษัตริย์เป็นต้น ความสงบสุขย่อมเกิดขึ้น หรือหากใครปฎิบัติตนอยู่นอกเหนือจากกติกา คนในสังคมนั้นก็จะออกมาประนาม รวมทั้งสื่อสารมวลชนที่มีส่วนในการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งผิดไปจากสื่อสารมวลชนในประเทศของเรา ที่พวกเขาพากันเสนอข่าวแบบขอเพียงเอาตัวรอด และอยู่ได้โดยพ้นจากเงื้อมมือของผู้ที่มีอำนาจทั้งหลาย จึงยอมผ่อนปรนทุกวิถีทาง ที่จะบิดเบือนข่าวสารให้ถูกใจผู้ที่มีอำนาจ จนกลายเป็นเตรื่องมือของกลุ่มคนที่มีอำนาจ โดยได้รับสินจ้างทั้งทางตรง และทางอ้อมต่างๆ นาๆ เป็นสิ่งตอบแทน มันเป็นความล้มเหลวของแวดวงสื่อสารมวลชนในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง การที่ประเทศไทยมีการแบ่งแยกแบ่งสีแบ่งก๊กแบ่งเหล่า ตามที่ปรากฎให้คนทั่วโลกได้เห็นว่า ประเทศไทยขาดความสามัคคีของคนในประเทศ ซึ่งเป็นที่อับอายขายหน้าชาวต่างชาติเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว หรือ เขมร สาเหตุที่สำคัญมีด้วยกันมากมาย แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือ ในหลวงหมาย ถึงกษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขของการปกครองประเทศนั้น ไม่เคารพต่อหลักแห่งความเที่ยงธรรม พระองค์เกิดความลำเอียงต่อประชาชนของตัวเอง และมักปล่อยให้คนของตัวเองหมายคณะองคมนตรี หรือคณะทหารที่มาปฏิวัติเข้ามายึดอำนาจจากประชาชน ทำการที่ขัดต่อข้อของกฎหมายขัดต่อพระราชบัญญัติ หรือทำการขัดต่อพระราชกำหนด ที่ผู้มีส่วนรับผิดชอบได้ร่วมกันกำหนดเอาไว้ ซึ่งไม่เป็นไปตามระเบียบ และข้อบังคับที่ได้ตกลงกันไว้ และต้องปฎิบัติตามธรรมเนียมสากล
อาทิเช่น ในหลวงทรงปล่อยให้คณะปฎิวัติ แต่งตั้งคณะปปช. โดยไม่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ และให้ในหลวงทรงลงพระปรมาภิไท แต่กับมีผลปฎิบัติงานได้จนถึงบัดนี้ และก็รับเบี้ยเงินเดือนเป็นประจำจนถึงปัจจุบันนี้ เท่ากับว่าเป็นการแหกกฎที่ตกลงกันไว้ หรือการแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคณะนั้น ที่ตัดสินยุบพรรคไทยรักไทยที่ไม่ได้รับการโปรดเกล้าจากในหลวง ทั้งๆ ที่ต้องมาทำหน้าที่เป็นศาล เรื่องนี้ก็เป็นการแหกกฎอีก ทำไมในหลวงถึงปล่อยให้คณะทหารที่ปฎิวัติมีอำนาจมากว่าพระองค์เอง? หรือว่าพระองค์ก็ถูกพวกทหารยึดอำนาจ? หรือว่าพระองค์ก็ถูกประธานองคมนตรียึดอำนาจด้วย?
พระองค์กล้าตอบให้ประชาชนรู้ได้มั๊ย?
การที่ทหารมา ยึดอำนาจ แล้วออกกฎหมายนิรโทษกรรมว่าคณะทหารไม่มีความผิดใดๆ นั้น พระองค์กลับทรงลงนามเซ็นยอมรับเท่ากับว่าพระองค์ก็เห็นดีเห็นงามกับกฎหมาย ชั่วๆ ฉบับนี้ที่ประชาชนของพระองค์เองจะเสียเปรียบ และถูกเอารัดเอาเปรียบในการกระทำของทหารจากกฎหมายฉบับนี้ ประเทศที่เจริญแล้วเขาจะไม่กล้าที่ออกกฎหมายลักษณะเผด็จการแบบนี้ การที่ในหลวงปล่อยให้กลุ่มพันธมิตรฯ ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินต่างๆ จนทำให้ชาวไทย และชาวต่างชาติต้องเดือดร้อนเสียทั้งเงิน และเวลาที่หมดไปกับพฤติกรรมชั่วๆ ของกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ ทำไม? ในหลวงเห็นแล้วว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีแต่ทำไมพระองค์ถึงไม่ห้ามปราม
พระองค์ไม่กลัวว่าประเทศของเราจะเดือดร้อนหรือ?
การ ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ เสด็จไปเป็นประธานงานศพกบฎพันธมิตรฯ ที่ตายด้วยระเบิดที่เขาทั้งคู่ นำหรือพกไป เพื่อที่จะทำร้ายคณะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนได้เลือกเข้ามานั้น เท่าเป็นการปูนบำเหน็จ และให้กำลังใจผู้ก่อการร้าย และเลือกข้างที่จะยืนอยู่ฝ่ายพันธมิตรที่เป็นคู่อริกับฝ่าย นปช. นั้นเท่ากับในหลวงยอมรับการแสดงการแยกประชาชน ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ดังเป็นการกระทำที่ปรากฎต่อสายตาประชาชน
การที่ในหลวงปล่อยให้พวกคณะศาลที่ทุกปีจะต้องมีการเข้าเฝ้าเพื่อถวาย สัตย์ปฎิญาณตนว่าจะยึดหลักของความยุติธรรม แต่คณะศาลบางคนไม่ปฎิบัติตน ตามคำกล่าวการถวายสัตย์ปฎิญาณนั้น ย่อมหมายถึงคณะศาลไม่ทำตามความต้องการของพระองค์ แต่พระองค์กลับยอบรับความสามานย์ของคณะศาลที่เข้าไปทำลายความยุติธรรมของ ระบบศาลไทย เช่นการเลือกที่ลงโทษระหว่างคดีนายสมัคร สุนทรเวช ที่ไปรับจ้างทำกับข้าวในรายการทีวี กับการที่นายจรัญ ภักดีธนกุล และวิชา มหาคุณ ก็ไปเป็นอาจารย์ที่สอนตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ได้รับเงินเดือนเป็นค่าตอบแทนด้วยนั้น อยากถามพระองค์อีกว่านี่หรือความยุติธรรม ของคณะศาลที่พวกเขามาสาบถสาบานต่อหน้าพระองค์ทุกๆ ปี เท่ากับเป็นเรื่องไร้สาระหรือเปล่าที่คณะศาลพวกนี้มาตบตาพระองค์ และตบตาประชาชนทั้งประเทศที่พวกเขาใช้วิธีการที่สกปรกกลั่นแกล้งคู่ต่อสู้ ด้วยการนำกฎหมาย มาเป็นอาวุธเพื่อไว้ทำลายคู่ต่อสู้
การที่ในหลวงเป็นประมุขในระบอบประชาธิปไตย ที่เรามีรัฐธรรรมนูญของประชาชนปี พ.ศ.2540 นั้นพระองค์ก็ทราบดีว่ากว่าจะได้รัฐธรรมนูญแบบนี้มานั้นเกิดเหตุการณ์มากมาย ที่ประชาชนต้องสังเวยชีวิตเพื่อต่อสู้ให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่พระองค์ก็ปล่อยให้ทหารฉีกทิ้ง แล้วเอาคนของตัวเองมาร่วมกันร่าง
ใหม่เพื่อเอาใจทหารแต่ไม่เอาใจประชาชน เนื่อหาในรัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นรูปแบบเผด็จการที่เข้าข้าง คนกลุ่มเดียวคือสถาบันพระมหากษัตริย์ และนักการเมืองที่อยู่ภายใต้การบงการของพวกองคมนตรี ทั้งปกป้องและคุ้มครองผลประโยชน์ทั้งทางตรง และทางอ้อม แต่ประชาชนในประเทศกลับถูกริดรอนสิทธิ และเสรีภาพด้วยกันทั้งสิ้น ในหลวงก็ทรงยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 แต่ไม่เสนอให้เอารัฐธรรมนูญปี 40 กลบมาใช้
มีเหตุการณ์อีกหลายเหตุการ์ณที่ปรากฎให้ประชาชนคนไทยทั้งโลกได้เห็น และสามารถยืนยันได้ว่าพระมหากษัตริย์ของไทยมักทำตัวแหกกฎแหกระเบียบเสียเอง จึงเป็นสาเหตุให้ประชาชนในประเทศ ไม่เคารพต่อกฎหมาย จึงเกิดการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นชิงอำนาจชิงบารมี เป็นผลให้ประชาชนในประเทศเกิดการแตกแยกแตกความสามัคคี
และนี่คือสาเหตุที่สำคัญอย่างยิ่งว่า ทำไมประเทศไทยจึงไม่มีความเจริญ!
--
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar