tisdag 22 augusti 2017

รู้ทันราชวงค์จักรี ตอนรัชกาลที่ ๙

แม้รัชกาลที่ ๙ ได้เป็นกษัตริย์แล้วแต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจมากที่สุดในช่วงก่อนหน้าปี ๒๕๐๐ ทั้งนี้เพราะจอมพล ป. รู้เช่นเห็นชาติพระองค์เป็นอย่างดี จึงมิได้มีความเคารพนับถือแม้แต่น้อย ยิ่งเป็นเผ่า ศรียานนท์ด้วยแล้ว ถึงกับขู่ว่าจะเปิดโปง “กรณีสวรรคต” โดยการจ้างนายสง่า เนื่องนิยม นักไฮปาร์ก สมญา “ช้างงาแดง” ป่าวประกาศกึกก้องกลางสนามหลวงหน้าพระบรมมหาราชวังที่ประดิษฐานของพระเศวตฉัตรว่า จะเปิดเผยตัวผู้ฆ่ารัชกาลที่ ๘ เมื่อมีประชาชนมารอฟังนายสง่า เนื่องนิยมจำนวนมาก นายสง่าก็ปีนขึ้นไปยืนบนที่สูงกลางท้องสนามหลวง ในวันที่ ๒๔ มิ.ย. ๒๕๐๐ และร้องก้องว่า“ผู้ฆ่ารัชกาลที่ ๘ คือ.”...” แล้วเอาแว่นตาขึ้นมาสวมทำท่าประหลาด เพื่อบอกใบ้ให้คนดูรู้ว่าฆาตกรคือ รัชกาลที่ ๙ โดยไม่พูดอะไรอีก แม้นายสง่าแสดงกิริยาเช่นนี้ ตำรวจของเผ่าก็มิได้จับตัวนายสง่าไปลงโทษแต่อย่างใด (นายสง่าถูกจับตัวไปลงโทษภายหลังในสมัยสฤษดิ์ ธนะรัชต์)


ส่วนจอมพล ป. มีมาดที่สุขุมกว่านี้ ต่อหน้าประชาชนแล้ว จอมพล ป. จะย้ำว่าตนจงรักภักดีกษัตริย์ แต่ในที่ลับนั้นจอมพล ป. ได้เตรียมการที่เปิดโปง รื้อฟื้นการพิจารณาคดีสวรรคตขึ้นมาใหม่(๑) ซึ่งสิ่งนี้รัชกาลที่ ๙ ทนไม่ได้ จึงเปิดตัวออกมาเล่นการเมืองอย่างเปิดเผย ในวันที่ ๒๕ ม.ค. ๒๔๙๘ ทรงเริ่มปราศรัยในวันกองทัพบกว่าทหารไม่ควรเล่นการเมือง รัฐบาลจึงได้นำเอาบทความของ ดร.หยุด แสงอุทัย ออกอากาศทางวิทยุ แสดงความเห็นว่า “องค์พระมหากษัตริย์ไม่พึงตรัสสิ่งใดที่เป็นปัญหาหรือเรื่องราวเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเมือง หรือทางสังคมของประเทศโดยไม่มีรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ...”  เพื่อเป็นการโต้ตอบ พวกศักดินาเคียดแค้นบทความนี้มาก พากันโจมตีเป็นการใหญ่ รัชกาลที่ ๙ ฉวยโอกาสที่มีประชาชนไม่พอใจนโยบายเผด็จการของจอมพล ป. กันมากเป็นเครื่องมือรุกทางการเมือง โดยไม่ยอมลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งส.ส. ประเภท ๒ ตามที่รัฐบาลจอมพล ป. เสนอไป ในขณะเดียวกันก็พยายามทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสฤษดิ์ ธนะรัชต์กับตนเองกระชับมากขึ้น และแล้วสฤษดิ์ก็ร่วมมือกับรัชกาลที่ ๙ ด้วยการพาเอาพรรคพวกลาออกจากการเป็น ส.ส.ประเภท ๒ เป็นจำนวนมาก และไม่ยอมสนับสนุนจอมพล ป. อีกต่อไป จนกระทั่งทำการรัฐประหารในปี ๒๕๐๐ สฤษดิ์ ยกย่องรัชกาลที่ ๙ ให้ได้รับเกียรติยศมากขึ้นและฟื้นฟูพระราชพิธีที่ล้าหลัง เช่น แรกนาขวัญอันถูกยกเลิกไปในระยะหลังปี ๒๔๗๕ ในอดีตนั้นประเพณีนี้ล้าหลังถึงขั้นที่ว่า ถ้ากษัตริย์ยังไม่ได้ประกาศให้มีการแรกนาขวัญในแต่ละปีแล้ว ประชาชนจะทำไร่ทำนาไม่ได้เป็นอันขาดทีเดียว(๒) มิฉะนั้นจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก ในฐานะที่บังอาจทำอะไรข้ามหน้าข้ามตากษัตริย์


รัชกาลที่ ๙ เองได้พยายามสนับสนุนการปกครองที่บีบคั้นเสรีภาพของประชาชน เขาได้กล่าวสุนทรพจน์สนับสนุนสฤษดิ์อยู่เนืองๆ โดยไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดีเลยว่า ผู้ที่ตนสนับสนุนนั้นเป็นจอมเผด็จการที่คอรัปชั้นทรัพย์ของแผ่นดินไปนับพันล้านบาท ส่วนราชินีก็เช่นเดียวกัน คราวหนึ่งราชินีกับรัชกาลที่ ๙ได้รับการสนับสนุนจากสฤษดิ์ให้ไปเยือนออสเตรเลีย ในฐานะตัวแทนแห่งประเทศไทย ขณะที่ทรงประทับอยู่หน้าศาลาเทศบาลเมืองซิดนีย์นั้น มีประชาชนจำนวนหนึ่ง โปรยใบปลิวลงจากหน้าต่างตึกหน้าศาลาเทศบาลนั้น กระจายในหมู่ฝูงชน มีข้อความโจมตีสฤษดิ์ว่าเป็นฆาตกรประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ ราชินีทนอ่านข้อความนี้ไม่ได้เลย เพราะโดยพื้นๆนั้นทรงโปรดอ่านแต่เรื่องภูตผีวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านโหราศาสตร์ของไคโรโหรจากอังกฤษ(๓) (ก่อนที่จะสวดมนต์ภาวนาก่อนนอนวันละ ๒ ชม.) (๔) จึงแต่งหนังสือโต้ตอบกับประชาชนที่เกลียดชังเผด็จการดังกล่าวว่า ตนเองได้รู้จากนักเรียนไทยในออสเตรเลียว่าผู้ที่ต่อต้านสฤษดิ์ที่ซิดนี่ย์นั้นเป็น “...องค์การลับของพวกแดงที่มีทุนรอนมาก...” ทรงแสดงความเห็นว่า “ข้าพเจ้าอดที่จะนึกไม่ได้ว่าคงจะต้องเป็นองค์การใหญ่ที่มีเงินมากอย่างแน่นอน จึงมีทุนทรัพย์และหนทางที่จะสืบเรื่องเมืองไทยได้อย่างละเอียดลออ และยังลงทุนพิมพ์ใบปลิวมากมายไว้โปรยเล่นตอนเราได้รับเชิญมาเมืองนี้...” ทรงโต้แทนสฤษดิ์ว่า “...เหตุผลของเขาในการตำหนิรัฐบาลเรา ฟังไม่ค่อยขึ้น คนที่เขาเรียกว่าผู้บริสุทธิ์ในใบปลิว ก็คือพวกที่โดนประหารชีวิตเพราะวางเพลิงกับพวกที่กระทำจารกรรมและอาชญากรรมต่างๆในเมืองเรานั่นเอง...”(๕) ตกลงราชินีก็เช่นเดียวกับผู้ที่นิยมลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จคนอื่น คือพอเห็นใครต่อต้านโจมตีการใช้อำนาจเผด็จการป่าเถื่อนกดหัวประชาชน โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมเข้า ก็หาว่าผู้นั้นเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นแดง เป็นซ้ายและอะไรต่อมิอะไร ที่จะเสกสรรปั้นเรื่องขึ้นเป็นเหตุผลในการปิดปากประชาชนต่อไป โดยพอใจที่จะยกย่องรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นคนขี้โกงเช่นสฤษดิ์ ว่าเป็น”รัฐบาลของเรา” มากกว่าที่จะเห็นอกเห็นใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ถูกคอรัปชั่นจนยากจน สูญเสียโชควาสนาและความหวังในชีวิตไปแทบจะหมดสิ้น


ขณะที่รัชกาลที่ ๙ และราชินีกำลังร่วมมือกับสฤษดิ์ เพื่อรื้อฟื้นฐานะของสถาบันกษัตริย์ให้สูงขึ้นนั้น ในกลุ่มศักดินาด้วยกันเองก็ไม่ละเว้นที่จะแก่งแย่ง ชิงความเป็นใหญ่ในแผ่นดินทุกขณะ ...... 
                                                                      

ตราบเท่าที่ตำแหน่งกษัตริย์ยังคงมีอยู่ในประเทศไทย จึงขอย้อนกล่าวถึงการแก่งแย่งราชสมบัติระหว่างพวกศักดินา จนกระทั่งฝ่ายมหิดลได้เป็นกษัตริย์


ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้วนั้น เรื่องนี้ได้สร้างความเคียดแค้นให้ฝ่ายจักรพงษ์มาก จึงมีการวางแผนอย่างลึกซึ้ง โดยให้เครือญาติของตนเข้าไปมีส่วนร่วมในสถาบันกษัตริย์ เพื่อให้ราชสมบัติกลับมายังพวกตนบ้าง ถ้าเอาคนในตระกูลจักรพงษ์เข้าไปสัมพันธ์ทางสายโลหิตกับตระกูลมหิดลโดยตรง ก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัว ดังนั้นจึงวางแผนเอาตระกูลที่ใกล้ชิดกับตน คือตระกูลกิติยากรเข้าไปสัมพันธ์กับพระองค์เจ้าภูมิพล (รัชกาลที่ ๙)


รัชกาลที่ ๙ ทรงพระราชสมภพที่รัฐนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ทรงได้รับการศึกษาที่สวิสเซอร์แลนด์ โดยเริ่มจากวิชาการแพทย์แล้วทรงเปลี่ยนเป็นรัฐศาสตร์ เมื่อพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของราชวงศ์จักรี การดำเนินชีวิตของพระองค์ในต่างประเทศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ทรงโปรดทั้งดนตรี งานสังคม และทรงโปรดการขับรถเร็วเป็นพิเศษ ด้วยพระองค์ทรงอยู่ในวัยหนุ่มและชอบสนุก จึงเปิดช่องให้ฝ่ายจักรพงษ์ใช้แผนลับดังกล่าวผ่านรัชกาลที่ ๙ ซึ่งจะดูแนบเนียนมาก ฝ่ายจักรพงษ์ได้ร่วมมือกับฝ่ายกิติยากรส่งมรว.สิริกิต กิติยากรธิดาของกรมหมื่นจันทบุรี ซึ่งเป็นทูตไทยในอังกฤษขณะนั้น ให้ไปช่วยรักษาพยาบาลรัชกาลที่ ๙ อย่างใกล้ชิดที่สวิสเซอร์แลนด์ ภายหลังที่พระองค์ทรงเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนกระจกทิ่มเอาพระเนตรบอดสนิทไปข้างหนึ่ง จากเสน่ห์ของสาวแรกรุ่นและความใกล้ชิดทำให้รัชกาลที่ ๙ ทรงติดเนื้อต้องใจมรว.สิริกิต ด้วยความประทับพระทัย พระองค์จึงมอบแหวนธรรมดาวงหนึ่งให้เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจของมรว.สิริกิต ฝ่ายจุลจักรพงษ์และกิติยากรเห็นเป็นนิมิตรหมายที่ดี จึงฉวยโอกาสประโคมข่าวออกมาว่า รัชกาลที่ ๙ ทรงหมั้นมรว.สิริกิต จนทำให้พระองค์ตกกระไดพลอยโจน ต้องทรงประกาศการหมั้นอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา และได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสในปี ๒๔๙๓ ขณะนั้นรัชกาลที่ ๙ ทรงมีพระชนมายุได้ ๒๒ พรรษา, มรว.สิริกิตมีอายุได้ ๑๗ ปี
อย่างไรก็ตาม อีกไม่นานต่อมารัชกาลที่ ๙ กับพระชนนีก็ได้เริ่มเข้าพระทัยว่าการแต่งงานครั้งนี้คงจะต้องมีเบื้องหลัง ทรงไม่พอพระทัยมากที่ไปตกหลุมพราง จึงทรงผูกใจเจ็บและพยายามหาทางตอบโต้อีกฝ่ายหนึ่ง


ครั้นแล้วพระวโรกาสก็มาถึง เช้าวันหนึ่งขณะที่กรมหมื่นจันทบุรี พระบิดาของราชินีกำลังวิ่งออกกำลังกายในกิจวัตรปกติ เพื่อเป็นการกระตุ้นเลือดลมให้เดินสะดวกยิ่งขึ้นหลังจากออกกำลังกายเสร็จ รัชกาลที่ ๙ ทรงยกสุราให้ดื่มแก้วหนึ่ง หลังจากที่กรมหมื่นจันทบุรีดื่มแล้วก็ได้เสียชีวิตลงในวันนั้นเอง
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานอย่างเด่นชัดว่าการตายของกรมหมื่นจันทบุรีมีสาเหตุจากรัชกาลที่ ๙ ตาฝ่ายกิติยากรและญาติวงศ์ต่างไม่พอใจ จึงเก็บความคับแค้นนี้ไว้ในส่วนลึกของหัวใจ เบื้องหลังเหตุการณ์ที่แท้จริงเป็นเช่นไร รัชกาลที่ ๙ และพระชนนีจะทรงเล่าได้ดีที่สุด ความรักใคร่ปรองดองของทั้งสองพระองค์ เริ่มห่างเหินและทรงกินแหนงแคลงใจมากขึ้นเป็นลำดับ หลายๆครั้งที่แสดงออกถึงการพยายามจะชิงความเป็นใหญ่ดังจะได้กล่าวในโอกาสต่อไป


แม้ว่ารัชกาลที่ ๙ และราชินีจะทรงบาดหมางใจกันจนเข้ากันไม่ได้ แต่ในสภาพที่ต่างก็มีผลประโยชน์มหาศาลร่วมกันในสถาบันกษัตริย์ การขัดแย้งจึงเป็นเรื่องภายใน แต่หลังฉากแล้วความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นภาพพจน์ที่สำคัญซึ่งจะดำรงความศรัทธาของปวงชนที่มีต่อสองพระองค์ ยิ่งในภาวการณ์ที่ถูกอิทธิพลทหารบีบ เช่น รัฐบาลถนอม ประภาส การกลมเกลียวเพียงหน้าฉากยังไม่เพียงพอ ทั้งสองพระองค์บ่อยครั้งที่ต้องปรึกษาความกันจนสว่าง มีความร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อแสดงบทขอความเห็นใจจากประชาชน ทั้งนี้ก็เพื่อต่อต้านกับพลังใดๆที่บังอาจมาทำลายสถาบันผลประโยชน์อันล้าหลังของตน


ในช่วงที่รัฐบาลถนอม ประภาสเรืองอำนาจอยู่นั้น ประภาสไม่ลงรอยกับศักดินาใหญ่มาตลอด เป็นเพราะต่างก็ต้องการเป็นใหญ่เหนือผู้อื่นในแผ่นดิน อีกทั้งประภาสสามารถกำความลับเรื่องสังหารรัชกาลที่ ๘ อยู่ด้วย จึงเห็นได้ว่าการกระทำของกลุ่มถนอม ประภาสมีลักษณะแข่งขันและไม่ไว้หน้าศักดินาใหญ่มากขึ้นเป็นลำดับ เช่น นางไสว จารุเสถียรชอบแต่งตัวแข่งขันกับราชินีสิริกิตตลอดเวลา ไม่ว่าราชินีสิริกิตจะทรงแต่งกายอย่างฟุ่มเฟือยเพียงใด นางไสวจะต้องแต่งให้ได้เทียมนั้น นับเป็นการพยายามแข่งขันที่น่าสังเวชมาก ณรงค์เองถึงกับประกาศก้องในหมู่เพื่อนทหารขณะมึนสุราอย่างน้อย ๒ ครั้งว่า “กูนี่แหละ จะเป็นประธานาธิบดีคนแรกของเมืองไทย” ครั้งหนึ่งที่เพชรบุรี อีกครั้งหนึ่งที่เพชรบูรณ์


ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของกษัตริย์ภูมิพลหรือราชินีสิริ กิต จะมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งนายทหารและพลเรือนเข้าถวายพระพรเป็นประจำทุกปี แต่ในช่วงก่อนเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ จะพบว่าไม่มีชื่อของประภาส-ไสว ณรงค์ กิติขจรและภรรยา เข้าไปถวายพระพรเลย ในช่วงนั้นฝ่ายศักดินาใหญ่พยายามปล่อยข่าวว่า ประภาสส่งคนไปยิงฟ้าชายวชิราลงกรณ์ที่ออสเตรเลีย เพื่อเป็นการปลูกความจงรักภักดีในสถาบันกษัตริย์และเป็นการทำลายประภาสไปใน ตัว ซึ่งวิธีการอันแนบเนียนนี้เป็นวิธีการที่ทั้งสองพระองค์ทรงโปรดปรานมาก นิยมนำมากลั่นแกล้งและทำลายผู้ที่ล่วงรู้ความลับอันเลวร้ายและไม่ยอมอ่อนข้อ ให้พระองค์เป็นประจำ ขณะที่กลุ่มถนอม ประภาสมีอำนาจและมีกำลังทหารในมือพร้อมที่จะโค่นศักดินาใหญ่ได้ ฝ่ายศักดินาใหญ่ก็มีประชาชนจำนวนมากที่ให้การสนับสนุนด้วยความงมงายตาม ประเพณีนิยม ในภาวะขณะนั้นฝ่ายศักดินาใหญ่แม้จะเสียเปรียบอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจสร้างกำลังใดๆได้เลย นอกจากตำรวจชายแดนจำนวนไม่มากที่ทรงให้ความสนิทสนมโดยส่วนพระองค์ของพระชนนี และกษัตริย์ภูมิพล ปัญหาฐานอำนาจของศักดินาคือกำลังติดอาวุธ นี่เป็นสิ่งที่กลุ่มทหารที่กุมอำนาจตระหนักและกีดกันสถาบันกษัตริย์หลัง ๒๔๗๕ มาตลอด และเป็นความเจ็บปวดของฝ่ายศักดินาที่จดจำได้แม่นยำจนเป็นบทเรียนสำคัญ ดังจะเห็นได้ในระยะหลัง ๑๔ ตุลา ที่ศักดินาใหญ่พยายามแทรกอิทธิพลของตนเข้าไปในหมู่ทหารและข้าราชการสำคัญๆ รวมทั้งการเล่นเล่ห์เพทุบายเพื่อหาคนหัวอ่อนและงมงายในตนขึ้นมาคุมอำนาจต่าง พระกรรณอันจะเป็นฐานอำนาจที่แท้จริงในการค้ำจุนสถาบันกษัตริย์ ซึ่งนับวันจะเสื่อมด้วยความเหลวแหลกของคนในสถาบันเอง
อย่างไรก็ตาม กำลังของทั้งสองฝ่ายก็ไม่อาจทำลายล้างกันได้ในทันทีเช่นกัน ปัญหาของทั้งสองฝ่ายคือ การคอยจ้องหาโอกาสเหมาะๆที่อีกฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เพื่อทำลายอีกฝ่ายลงไปให้ได้


                                                                             

ครั้นแล้วโอกาสก็มาถึง ในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ในช่วงนั้นอดีตผู้นำนักศึกษาและอาจารย์กลุ่มหนึ่งทำการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐบาลถนอมร่างมา ๑๐ ปียังไม่เสร็จ ประภาสสั่งจับคนเหล่านี้ โดยตั้งข้อหาฉกรรจ์ว่าเป็นกบฏและคอมมิวนิสต์ ทำให้นักเรียน นักศึกษา ประชาชนลุกขึ้นต่อสู้ทั่วประเทศนับล้านคน เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยคนทั้ง ๑๓ และให้รัฐธรรมนูญโดยเร็ว ในขณะที่สถานการณ์ตึงเครียดติดต่อกันหลายวันกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีแก่ถนอม ประภาสในตอนใกล้รุ่งของวันที่ ๑๔ ตุลาคม ได้มีวิทยุลับจากพระราชวังสั่งให้มนต์ชัย พันธ์คงชื่น ซึ่งเผชิญหน้าฝูงชนอยู่ที่สวนจิตรลดาให้ตะลุมบอนตีนักศึกษา เพื่อหวังก่อคลื่นต่อสู้ในหมู่ประชาชนที่มีต่อ ๓ ทรราชย์ขึ้นมาใหม่ มีการจลาจลกันทั่วไปในกรุงเทพฯ ผู้คนเสียชีวิตเกือบ ๑๐๐ คน ขณะเดียวกันตำรวจชายแดนนอกเครื่องแบบก็ถูกศักดินาใหญ่ส่งตัวออกไปปลุกความเกลียดชัง และรวมทั้งก่อวินาศกรรมเผาตึกหลายแห่ง พร้อมกับเปิดประตูวังต้อนรับนักศึกษา ประชาชนเพื่อคุ้มภัยให้ อันเป็นการฉวยโอกาสสร้างความนิยมในพระองค์ ท่ามกลางความชิงชัง ๓ ทรราชย์ในหมู่นักศึกษา ประชาชน พระองค์โดดเด่นขึ้นมาเป็นเทพบุรุษในดวงใจของประชาชน แต่อีกมือหนึ่งก็ร่วมมือกับกฤษณ์ สีวะรา ใช้อำนาจทางทหารบีบให้ ๓ ทรราชย์บินออกนอกประเทศ โดยหน้าฉากกษัตริย์ให้คำมั่นสัญญาต่อหน้า ๓ ทรราชย์ว่าจะไม่ยึดสมบัติอันมหาศาลของพวกเขา และจะให้กลับเข้าประเทศอย่างแน่นอนเมื่อเรื่องสงบลง แต่หลังเหตุการณ์ไม่นาน กษัตริย์กลับสนับสนุนให้ยึดสมบัติของพวกเขา และแสดงท่าทีเฉยเมยต่อการขอกลับประเทศในระยะ ๒ ปีแรก
การแย่งผลประโยชน์กับการหักหลังเป็นของคู่กัน กษัตริย์ซึ่งถือกันว่าเป็นผู้สูงส่ง ก็หาได้พ้นจากวิถีการแก่งแย่งด้วยการหักหลังผู้อื่นก็หาไม่ โอกาสใคร โอกาสมัน ผู้กำชัยชนะที่แท้จริงในวันมหาวิปโยคหาใช่ประชาชนเราท่านตามที่เข้าใจกัน แท้ที่จริงคือ สถาบันพระมหากษัตริย์หรือกษัตริย์ภูมิพลจอมวางแผน


หลัง ๑๔ ตุลา อำนาจการปกครองจึงหวนกลับมาสู่อ้อมอกของกลุ่มศักดินาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เมื่อ ๒๔๗๕ และต้องอยู่เบื้องล่างกลุ่มทหารมาตลอด นายสัญญา ธรรมศักดิ์ องคมนตรีเป็นคนที่กษัตริย์ทรงไว้วางพระทัยมากที่สุดคนหนึ่ง ได้รับการแต่งตั้งจากพระองค์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีหลังเหตุการณ์นองเลือด สัญญา ธรรมศักดิ์ใช้ความเกลียดชังต่อ ๓ ทรราชย์ของปวงชน สร้างความนิยมให้สถาบันกษัตริย์ด้วยการเหยียบ ๓ ทรราชย์ให้จมดิน ซ้ำยังโยกย้ายนายทหาร ตำรวจที่เป็นเส้นสาย ๓ ทรราชย์ออกจากตำแหน่งสำคัญๆทางราชการ ในช่วงนี้อิทธิพลศักดินาใหญ่ค่อยๆเข้าแทนที่อิทธิพลของกลุ่มทหาร โดยสรรหาบุคคลที่จงรักภักดี ไม่ว่าจะจริงใจหรือด้วยความทะเยอทะยาน เข้ามามีบทบาททางราชการเมือง เช่น สมัคร สุนทรเวช(ครั้งสมัยยังอยู่ประชาธิปัตย์) พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์(นายทหารภูธรขณะนั้น) พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธ์คงชื่น อธิบดีกรมตำรวจในช่วงนั้น พร้อมกับการปรับปรุงตำรวจชายแดน ฐานกำลังสำคัญของตนให้มีอาวุธทันสมัยขึ้น แต่ก็ไม่อาจเข้าครอบงำทหาร ตำรวจทุกส่วน เพราะทหาร ตำรวจบางคนที่มีอำนาจอยู่แล้ว ไม่คิดที่จะไปเกาะขาหรือชายกระโปรงใครทั้งสิ้น เช่น พวกทหารยังเติร์กและนายตำรวจที่เข้าร่วมกบฏใน ๑ เมษา ๒๕๒๔ ซึ่งพวกเขาเชื่อมั่นในความสามารถของตนมากกว่าการเดินเส้นสายกษัตริย์ เพราะต้องเอาใจและปฏิบัติตามความมักใหญ่ใฝ่สูง รวมทั้งความคิดพิเรนๆของศักดินาใหญ่


นอกจากกำลังทหาร ตำรวจแล้ว ศักดินาใหญ่ยังพยายามหาฐานกำลังสนับสนุนจากชาวบ้านด้วยการตั้งกลุ่มลูกเสือชาวบ้าน นวพล กระทิงแดง ด้วยความบันเทิง ความเชื่องมงาย เพื่อดำรงความภักดีของพวกเขาต่อไปด้วยการพระราชทานผ้าพันคอ ให้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด ให้สายสะพายเหรียญตรา รวมทั้งสนับสนุนด้านเงินทอง นับวันกำลังของศักดินาใหญ่จะเข้มแข็งขึ้น แต่ความขัดแย้งภายในระหว่างกษัตริย์และราชินีไม่มีทีท่าจะลดลงเลย


ในช่วงที่คึกฤทธิ์ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานสภาสนามม้า ซึ่งเป็นสภาชุดพระราชทาน แต่งตั้งโดยกษัตริย์ภูมิพล พระองค์ทรงมอบให้คึกฤทธิ์แก้กฎมณเฑียรบาลเสียใหม่ โดยให้สตรีมีสิทธิ์ที่จะเป็นกษัตริย์ได้เช่นกัน ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะได้หนุนฟ้าหญิงสิรินธร พระธิดาองค์โปรดของพระองค์ให้มีโอกาสเป็นกษัตริย์ได้และจะได้เป็นตัวแทนของราชวงศ์สายสามี ขณะที่ราชินีสิริกิตติ์พยายามจะทรงดันลูกชายปัญญาอ่อนสุดที่รักขึ้นเป็นกษัตริย์ เพื่อตนจะได้เข้ากุมบังเหียนตามแผนที่ฝ่ายกิติยากรและจักรพงษ์ได้ร่วมวางไว้
การพยายามสร้างชื่อเสียงและปลูกฝังความจงรักภักดีในหมู่นักศึกษาของศักดินาใหญ่ กลับไม่เป็นไปตามที่กษัตริย์ภูมิพลคาดการณ์ พระองค์ทรงเอาใจศูนย์นิสิตด้วยการทรงเสด็จไปพระราชทานเพลิงศพวีรชน พระราชทานโอวาทและให้การสนับสนุนนักศึกษาหลายๆประการ แต่ด้วยความตื่นตัวของภาวะการเมืองในระยะนั้น นักศึกษาหาได้ติดกับสถาบันกษัตริย์ซึ่งสวยหรูแต่ภายนอก พวกเขากลับลุกขึ้นเพื่อต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม เพื่อสิทธิเสรีภาพ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คนโดยเฉพาะชาวนา กรรมกรอย่างขนานใหญ่ และส่งผลกระทบกระเทือนผลประโยชน์กลุ่มศักดินาอย่างใหญ่หลวง สุดกำลังของทั้งสองพระองค์จะเหนี่ยวรั้งไว้ได้ ศักดินาใหญ่จึงหันมาวางแผนเพื่อกำจัดคนรุ่นหนุ่มสาวมิให้เป็นเสี้ยนหนามพระองค์ต่อไป
โดยก่อนหน้านี้ไม่นาน ครอบครัวกษัตริย์ได้ไปให้พระหมอดูทำนายอนาคต พระองค์นั้นบอกว่าราชวงศ์จักรีถึงฆาต ชะตาขาดเสียแล้วในรัชกาลนี้ หากจะให้มีรัชกาลที่ ๑๐ ต่อไปแล้ว กษัตริย์ต้องทำการอย่างใดอย่างหนึ่งทางการเมือง ตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป จากนั้นต้องฆ่าประชาชนสัก ๓๐,๐๐๐ คน ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือ กันยายน-ตุลาคม โดยให้พวกทหารจัดการให้ นอกจากนั้นพระหมอดูยังได้เสนอให้แก้เคล็ดลางร้ายด้วยการให้พระองค์และฟ้าชายนอนลงในโลงศพ และนำเลือดหญิงสาวพรหมจรรย์ของผู้ที่ไม่หวังดีต่อสถาบันกษัตริย์มาชำระพระบาททั้งสองข้าง ด้วยความงมงายอย่างยิ่งยวดและความหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมเพื่อคนยากไร้ในยุคนั้น กษัตริย์และราชินีกับราชนิกุลกลับคิดถึงความอยู่รอดของบัลลังก์ เฉกเช่นบรรพบุรุษของตนในทุกยุคที่ผ่านมา เมื่อมีเหตุการณ์แหลมคมใดๆเกิดขึ้นในบ้านเมือง ก็ยินดีที่จะให้ความฉิบหายบังเกิดแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์และบ้านเมือง ยิ่งกว่าการเสียผลประโยชน์ ลาภยศ ความสุขและการเสียสละส่วนพระองค์ของสถาบันกษัตริย์เลย เหล่าราชนิกุลของราชวงศ์จักรีสายมหิดลได้ตัดสินพระทัยที่จะปฏิบัติตามคำทำนาย


                                                                         

หลังวันที่ ๑๒ สิงหาคม อันเป็นวันครบรอบวันเกิดของราชินีสิริกิตติ์ไม่นาน ตามแผนการลับขั้นที่ ๑ ให้จัดส่งประภาสให้บินกลับเมืองไทย เพื่อทดสอบการต่อต้านของปวงชน ทั้งสองพระองค์ได้แสดงออกอย่างเด่นชัดในการคัดค้าน การต่อต้านของนักศึกษาและประชาชนด้วยการอนุญาตให้ประภาสเข้าเฝ้า มอบช่อดอกไม้และออกค่าใช้จ่ายจำนวน ๕ แสนบาทเพื่อเป็นค่าเที่ยวบินพิเศษในการนำประภาสกลับไทเป ก่อนจากไปมีการอนุญาตให้ประภาสปรากฏตัวทางโทรทัศน์ เพื่อแสดงบทขอความเห็นใจจากประชาชนโดยอ้างว่าตนเอง ตากำลังใกล้บอดต้องการมารักษาในเมืองไทย เดิมทีถนอมเคยขอสัญญาให้ตนเองกลับประเทศ แต่ศักดินาใหญ่กับทหารบางคนเป็นตัวการอ้างความไม่พอใจของประชาชน โกหกถนอมว่ายังไม่ถึงเวลานั้น แต่เมื่อศักดินาใหญ่ต้องการสร้างสถานการณ์ปราบนักศึกษา กลับแต่งคนไปเชื้อเชิญ ๓ ทรราชย์และให้การต้อนรับอย่างดี โดยได้รับการคุ้มครองอย่างเข้มแข็งจากนายพลทหารบกคนหนึ่งชื่อ ยศ เทพหัสดินทร์ หลานประภาสนั่นเอง
ในช่วงก่อนที่ประภาสจะเข้ามาเมืองไทย ในวงการทหารมีการเปลี่ยนแปลงดุลยอำนาจอย่างมาก เมื่อกฤษณ์ สีวะรา ผู้บัญชาการทหารบก ด่วนตายไปก่อนด้วยการถูกวางยาพิษขณะเข้าโรงพยาบาลมงกุฎด้วยโรคสามัญ แท้จริงกฤษณ์ต้องการใช้โรงพยาบาลเพื่อการประชุมนายทหารคนสนิท วางแผนเตรียมยึดอำนาจมาสู่กลุ่มตน แต่ถูกยศ เทพหัสดินทร์ ลูกน้องที่ไว้ใจได้ของกฤษณ์หักหลัง เพราะกฤษณ์คัดค้านการพยายามกลับเข้ามาของ ๓ ทรราชย์ตั้งแต่หลัง ๑๔ ตุลา กฤษณ์เป็นผู้คุมกำลังทหารมากที่สุดในขณะนั้น ไม่เห็นด้วยกับแผนการขยายอำนาจของกษัตริย์ภูมิพลในกลุ่มทหารและพยายามขัดขวางพระองค์ นี่เป็นสาเหตุการตายที่สำคัญ
เมื่อมามองประวัติศาสตร์ในยุคหลังจากนี้ไม่กี่ปี ได้มีนายทหารหลายคนที่จะได้เป็นผู้บัญชาการทหารระดับสูง แต่ต้องเสียชีวิตในลักษณะที่คล้ายๆกัน ไม่ทราบสาเหตุเด่นชัด เช่น พล.อ.อำนาจ ดำริกาญจน์,พล.อ.อ.คำรณ ลีละศิริ ซึ่งแต่ละคนล้วนแต่ขัดแย้งกับศักดินาใหญ่ทั้งสิ้น และก็มีข่าวลือว่าเป็นเพราะ “คำบัญชาจากเบื้องบน” ทุกครั้งไป เรื่องทำนองนี้เป็นที่กล่าวขวัญกันทั่ว ในบรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่ เช่น ครั้งหนึ่งขณะที่มีการแข่งขันเลือกตั้งที่ร้อยเอ็ด พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์เป็นนายทหารที่มีจิตใจประชาธิปไตย หากได้รับเลือกตั้งจะเป็นกำลังสำคัญของฝ่ายประชาธิปไตย ในการต้านทานอิทธิพลอันแสนจะล้าหลังของกษัตริย์ ในขณะรณรงค์เลือกตั้ง พล.อ.เกรียงศักดิ์เกิดเป็นไข้หวัดและต้องการไปพักผ่อน แต่ผู้ใกล้ชิดทุกคนต่างเตือนไม่ให้ พล.อ.เกรียงศักดิ์เข้าโรงพยาบาล เพราะเกรงว่าจะเสียชีวิตอย่างกะทันหันเช่นนายพลคนที่ตายอย่างมีเลศนัย เพราะบังอาจไปบดบังรัศมีของสถาบันพระมหากษัตริย์ กฤษณ์ก็เช่นกัน การขึ้นเป็นรัฐมนตรีกลาโหมตามที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอ จะทำให้กฤษณ์สามารถผนึกกำลังได้เข้มแข็งยิ่งขึ้นและอำนาจอันควรตกแก่กษัตริย์จะยิ่งริบหรี่ลงทุกวัน แน่นอนกษัตริย์และราชินีย่อมทนในสิ่งนี้ไม่ได้ ใครผู้บังอาจขวางทางพระองค์ ก็จะต้องมีอันเป็นไปตามพระบัญชา


แผนร้ายได้เริ่มขึ้นด้วยการปลุกปั่นลูกเสือชาวบ้าน นวพล กระทิงแดงให้จงเกลียดจลชังนักศึกษาเป็นพิเศษ ใช้กลไกราชการขัดขวาง ประณามและใส่ร้าย หาว่านักศึกษาไม่หวังดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นพวกคอมมิวนิสต์ รวมทั้งใช้ศาสนามาสร้างความขลัง ให้พระเทศน์ ตลอดจนการเข้าทรง ใช้เครื่องรางต่างๆ เช่น ผ่านสำนักปู่สวรรค์ ซึ่งพวกเขาตั้งขึ้นเพื่อทำลายอีกฝ่ายโดยเฉพาะ, พระกิตติวุฒิโฑแห่งจิตภาวัน ฯลฯ รวมทั้งการแต่งเพลงปลุกใจ มอมเมาให้ชาวบ้านรังเกียจพวกนักศึกษาและศูนย์นิสิตอย่างยิ่ง ทั้งที่เด็กรุ่นหนุ่มรุ่นสาวเหล่านี้อยากเห็นสังคมที่มีความยุติธรรม และเปิดโอกาสให้ปัญหาความยากจน ความเน่าเฟะของประเทศได้รับการแก้ไขเท่านั้น ถ้าผู้มีอำนาจในประเทศเข้าใจ และเปิดโอกาสให้พวกเขามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสังคมบ้างอย่างค่อยเป็นค่อยไป ความรุนแรงและนองเลือดจะต้องลดน้อยลงกว่าภาวะปัจจุบันอย่างแน่นอน และยังให้โอกาสสังคมเปลี่ยนแปลงอย่างสันติได้มากขึ้นด้วย
แผนลับขั้นที่ ๒ ได้เริ่มขึ้นเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๑๙ มีการส่งพระถนอมเข้ามาเมืองไทยในรูปของสามเณร เพื่อมาบวชเป็นพระที่วัดบวรนิเวศอันเป็นวัดหลวงที่กษัตริย์เคยบวช สามเณรถนอมเข้ามาทั้งๆที่คณะรัฐมนตรีมีมติห้ามเข้ามา พระถนอมได้รับความคุ้มครองจากตำรวจรอบวัด รวมทั้งการอารักขาจากพล.ท.ยศ เทพหัสดินทร์แม่ทัพภาค ๑ ในช่วงนี้เองที่ฝ่ายสนับสนุนศักดินาใหญ่ได้เผยโฉมออกมาอย่างชัดเจน พระนวพล กิตติวุฒโฑ พูดออกอากาศทางโทรทัศน์ว่า “การกลับเข้ามาและการบวชของพระถนอม ได้รับพระบรมราชานุญาตและพระราชดำริเห็นชอบจากพระเจ้าอยู่หัว ฉะนั้นพระถนอมจึงเป็นผู้บริสุทธิ์” นายสมัคร สุนทรเวชรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยในขณะนั้น ได้ให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้ว่า “ผมได้รับพระราชกระแสรับสั่งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เป็นผู้ยุติเรื่องนี้” วันต่อมาสมัครก็เดินทางไปนราธิวาสเพื่อเข้าเฝ้ากษัตริย์และราชินี
ทั้งสองพระองค์ซึ่งทำทีว่าไม่รู้เรื่องมาตั้งแต่ต้น โดยได้หลบดูเหตุการณ์อยู่ภาคใต้ ได้รีบเสด็จขึ้นกรุงเทพฯในวันที่ ๒๓ กันยายน และเข้าเยี่ยมพระถนอมทันทีที่ลงจากเครื่องบินที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เช่นเดียวกับฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ซึ่งกลับจากออสเตรเลียก็ตรงเสด็จเข้าเยี่ยมพระถนอมทันทีในวันที่ ๓ ตุลาคม แทนที่จะเข้านมัสการพระแก้วมรกตตามปกติ การแสดงท่าทีเช่นนี้เป็นการประกาศสนับสนุนพระถนอม และคัดค้านการต่อสู้ของนักศึกษา ประชาชนที่ให้จับฆาตกรมาลงโทษอย่างตรงไปตรงมา


โอกาสอันเหมาะสมที่สุดได้เกิดขึ้น เมื่อนักศึกษากลุ่มหนึ่งได้จัดแสดงละครเลียนแบบการแขวนคอช่างไฟฟ้า ๒ คนที่ออกติดโปสเตอร์ต่อต้านพระถนอม แต่พวกศักดินาได้ฉวยโอกาสตกแต่งฟิล์มที่ถ่ายรูปตัวละครนั้นเสียใหม่ให้เหมือนเจ้าฟ้าชาย จากนั้นก็ใช้วิธีการที่พวกตนถนัดนักหนา โหมปลุกระดมความจงรักภักดีทั้งทางหน้าหนังสือพิมพ์และวิทยุอย่างขนานใหญ่ โดยกล่าวหานักศึกษาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วยการแสดงละครแขวนคอฟ้าชาย เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจแก่ชาวบ้านที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุในต่างจังหวัดมาก พวกเขาหลงเชื่อคำโฆษณา โดยเฉพาะลูกเสือชาวบ้านถึงกับถูกหลอกให้มาเที่ยวกรุงเทพฯ แต่กลับตาลปัตรได้มาชุมนุมที่พระบรมรูปรัชกาลที่ ๕ เพื่อให้ดูเหมือนว่าชาวไทยโกรธแค้นแทนสถาบันกษัตริย์ ขณะเดียวกันพวกศักดินาได้ร่วมกับทหารบางกลุ่ม ตระเตรียมพวกอันธพาล กระทิงแดง ตำรวจชายแดน รวมทั้งทหารพลร่มป่าหวายติดอาวุธร้ายแรงครบครับ ล้อมทางเข้าออกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทุกด้าน


วันแห่งการนองเลือดได้มาถึงเมื่อเช้าตรู่วันที่ ๖ ตุลาคม หนุ่มสาวผู้มีแต่สองมือเปล่าถูกระเบิด กระสุนซัดดังห่าฝน ตายและบาดเจ็บอย่างอเนจอนาถ บางคนถูกจับแขวนคอ เผาทั้งเป็นอย่างสยดสยอง ผู้หญิงบางคนถูกข่มขืนแล้วฆ่าอย่างไร้ความปรานี บางคนถูกทรมานเอาไม้ตอกทั้งเป็น เอาไม้แทงเข้าช่องคลอดของเด็กสาวผู้ไร้เดียงสา และแล้วเลือดบริสุทธิ์จากหญิงสาวพรหมจรรย์ก็ได้ถูกนำไปล้างพระบาททั้งสอง ข้างของพระมหากษัตริย์ไทยผู้สูงส่งตามพิธีกรรมทางไสยศาสตร์อันพิสดาร ชีวิตผู้คนจำนวนนับร้อยนับพัน ผู้ไร้ความผิด ต้องตกเป็นเหยื่อของความโง่เขลาเบาปัญญาและความมัวเมาในอำนาจของกษัตริย์และ ราชินี ทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึงเหตุการณ์มหาวิปโยคในวันที่ ๖ ตุลาคม ยากยิ่งที่ชาวไทยจะไม่หวนระลึกถึงกษัตริย์ภูมิพลและราชินีสิริกิตติ์คนบาปใน คราบนักบุญ ผู้บงการและอยู่เบื้องหลังการตายอันน่าขนพองสยองเกล้าของเหล่านักศึกษาผู้ บริสุทธิ์


                                                                            
                                                                                    

ในตอนเย็นวันที่ ๖ ตุลาคม กลุ่มทหารก็ประกาศยึดอำนาจโดยมีพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ (รัฐมนตรีกลาโหมในขณะนั้น) เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ ก่อนหน้ามีการประกาศยึดอำนาจในเย็นวันนั้น มีการพบปะระหว่างกษัตริย์ภูมิพลและพล.อ.อรุณ ทวาทสิน เพื่อไปทาบทามพลเรือเอกสงัด ชะลออยู่ให้เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ เมื่อพลเรือเอกสงัดทราบว่ากษัตริย์ทรงสนับสนุนการปฏิวัติครั้งนี้อย่างยิ่งจึงได้ยอมรับ หลังจากนั้นได้มีการจัดตั้งรัฐบาลโดยนายธานินทร์ กรัยวิเชียรผู้มีความคิดคับแคบและใช้อำนาจเผด็จการในการบริหารประเทศตามอำเภอใจ ร่วมกับนายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีมหาดไทยทั้งสองต่างก็เป็นผู้ใกล้ชิด และวางพระทัยของสถาบันกษัตริย์โดยเฉพาะราชินีสิริกิตติ์ เห็นได้ชัดว่าการได้ดิบได้ดีของนายสมัคร มาจากลักษณะมักใหญ่ใฝ่สูง ถีบตัวขึ้นมาจากการเกาะชายกระโปรงของฝ่ายหญิง พร้อมกับการถีบส่งเพื่อนร่วมงานและผู้มีบุญคุณทุกคน แม้แต่นายธรรมนูญ เทียนเงินและพรรคประชาธิปัตย์ผู้โอบอุ้มทางการเมืองตั้งแต่สมัครยังไม่มีชื่อเสียงใดๆ


ในช่วงหลัง ๖ ตุลา ไม่นาน ราชินีสิริกิตติ์ผู้กำบังเหียนรัฐบาลชุดใหม่ ได้มีบทบาทมากและพยายามสร้างฐานอำนาจของตนให้มั่นคงยิ่งขึ้นในกลุ่มลูกเสือชาวบ้าน โดยเฉพาะในเขตภูธรที่เป็นของกษัตริย์ภูมิพล และในวันที่ ๕ พฤศจิกายน๒๕๑๙ ราชินีและฟ้าชายได้พาประธานลูกเสือชาวบ้านจำนวนหนึ่งไปสาบานตนกลางดึกในวัดพระแก้ว ว่าจะรับใช้และจงรักภักดีต่อราชินีเสมอไป การใช้เล่ห์กลสารพัด เพื่อหลอกล่อ ผูกมัดทางจิตใจชาวบ้านและข้าราชการระดับต่างๆอย่างเช่นตัวอย่างข้างต้นมักจะมีเป็นประจำ บางครั้งถึงกับจัดงานฉลองเลี้ยงอาหารในพระราชวังเป็นการส่วนพระองค์เอง มีการแจกของที่ระลึกเหรียญตราเป็นกรณีพิเศษ พวกทหารเสือราชินีและทหารที่ค่ายนวมินทรชลบุรี เป็นตัวอย่างของขุมกำลังที่ราชินีผู้มักใหญ่ใฝ่สูงได้พยายามสร้างขึ้นมาจากศรัทธา และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเหล่าทหาร พวกเขายังหลงคิดว่า การเสียสละให้กับราชินีเป็นคุณอันใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ แท้จริงการเสียสละของเขาไม่เพียงแต่ไร้ค่า แต่ยังสร้างความฉิบหายกับประเทศโดยส่วนรวม โดยที่เขาไม่เข้าใจเลย


สมเด็จพระราชินีสิริกิตติ์ เติบโตมาจากพระราชวงศ์ชั้นปลายแถว เป็นเด็กหญิงหม่อมราชวงศ์ตัวเล็กๆ ที่เคยศึกษาในโรงเรียนสามัญเช่นเดียวกับลูกชาวบ้านทั่วไปที่โรงเรียนสายปัญญา ครั้นต่อมาได้เป็นราชินี ด้วยอุบายอันแนบเนียนของพระบิดาและญาติวงศ์ที่ใกล้ชิด เช่น จักรพงษ์และสนิทวงศ์ สมเด็จทรงมีลักษณะทะเยอทะยานใฝ่สูงเป็นพิเศษ ยิ่งมีอำนาจสูงก็ยิ่งหลงระเริง ทรงเป็นสตรีที่เจ้าเล่ห์เพทุบาย มักเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สำคัญๆของบ้านเมือง บางครั้งถึงกับออกหน้าอย่างทระนง เช่น การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ เกือบทุกครั้ง แต่ที่โด่งดังคือ การตั้งเปรม ติณสูลานนท์จากผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้บัญชาการทหารบก พร้อมกับเตะโด่ง เสริม ณ นคร ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น ไปเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด การต่ออายุเปรมในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยสมเด็จสั่งให้อาทิตย์เล่นเกมส์นี้ร่วมกับพระองค์ แม้คณะรัฐมนตรีหลายท่านจะคัดค้านเพราะไม่ชอบด้วยตัวบทกฎหมาย แต่ในที่สุดคณะรัฐมนตรีต้องอนุมัติอย่างเฝื่อนๆด้วยจำยอมต่อ “ข้อมูลใหม่” ซึ่งก็คือพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จ อีกครั้งหนึ่งที่เด่นมากและมีผลต่อการเปลี่ยนดุลยอำนาจในหมู่ทหารอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือคือ กรณีหักหลังกลุ่มยังเติร์กในกบฏวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๔ สมเด็จเป็นผู้ดึงดันให้กษัตริย์ภูมิพลและเปรมทรยศต่อยังเติร์ก และพากันหนีไปตั้งกองบัญชาปราบกบฏที่โคราช ทั้งๆที่เปรมและกษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้เปิดไฟเขียวให้พวกยังเติร์กและสัณห์ปฏิวัติเอง ช่วงจังหวะอาทิตย์ได้โดดเด่นขึ้นมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงคุมทั้งแม่ทัพภาค ๑ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก, ผู้อำนวยการรักษาพระนคร ฐานอำนาจทางทหารจึงตกอยู่ในมือของสมเด็จโดยผ่านอาทิตย์ กำลังเอก, ทหารเสือราชินีที่สมเด็จทรงโปรดปรานเป็นพิเศษ บางครั้งการใช้อำนาจของสมเด็จเป็นไปอย่างมัวเมา โดยไม่เคยคำนึงถึงผลกระทบต่อประเทศชาติเลย เช่น กรณีกลุ่มยังเติร์กอยากขอเข้ารับราชการทหารใหม่ ซึ่งน่าที่จะอนุญาตเพราะจะเป็นการสมานความแตกร้าวในกองทัพมิให้สลายเป็นเสี่ยงๆมากไปกว่านี้ อีกทั้งจะยังเป็นการรักษาสมรรถภาพของกองทัพในการตั้งรับกองทัพเวียดนามที่กำลังจ่อคอหอยประเทศไทยอยู่ขณะนี้ เพราะกลุ่มยังเติร์กเป็นนายทหารที่มีฝีมือ ผ่านการรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพลทหารมาอย่างโชกโชน ขณะที่ผู้บัญชาการระดับกรมและกองพันส่วนใหญ่ในปัจจุบัน มักร่วมรบกับลูกน้องในห้องแอร์ พวกเขา ๒๐ คนเศษจึงเป็นกำลังที่สำคัญของกองทัพไทย แต่สมเด็จไม่ได้มองเห็นคุณค่าของพวกเขาเลย สมเด็จห่วงอำนาจของตนในกองทัพบกมากกว่าห่วงสถานการณ์ทางชายแดน พระองค์จึงใช้สิทธิพิเศษในการวีโต้ทุกครั้ง ไม่ว่าใครจะมาเพียรพยายามขอร้องอย่างใด คำตอบก็คือ “ไม่”


บทบาททางการเมืองทั้งลับและเปิดเผยด้วยลูกไม้อันแพรวพราวของสมเด็จ เป็นที่ลือเลื่องกันไปทั่วในหมู่ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือนชั้นผู้ใหญ่ วงการนักการเมืองและนักธุรกิจชั้นสูงต่างยกย่องสมเด็จในนามสมญาต่างๆ และใช้กันอย่างกว้างขวาง บ่อยครั้งที่หนังสือพิมพ์มีการเขียนค่อนแคะด้วยพระสมญานามอย่างครื้นเครง เช่น “พระนางอสรพิษ” “ซูสีไทเฮา” “ผู้บัญชาการผบ.ทบ.” “คำสั่งเบื้องบน” เป็นต้น จนรู้กันทั่ว เดี๋ยวนี้ข้าราชการคนใดอยากเป็นใหญ่เป็นโตในพริบตาก็ต้องผ่านเส้น “สมเด็จ” เพียงแค่กราบใต้เบื้องพระบาทงามๆ และปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์จนมีผลงานให้ดูเสมือนหนึ่งจงรักภักดี และจะพยายามถวายชีวิตนี้ให้พระองค์เท่านั้น ความยิ่งใหญ่นั้นก็จะมาได้อย่างง่ายดาย จนถึงกับมีนายทหารพูดว่า “อยากเป็นผู้การ ก็ให้ไปกราบท่าน” นี่จึงเปิดช่องให้พวกมักใหญ่ใฝ่สูงแต่ด้อยฝีมือต้องเข้ามาซบอกเกาะขอบชายกระโปรงตามๆกัน เช่น พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก, นายสมัคร สุนทรเวช, นายพลตำรวจเจริญฤทธิ์ จำรัสโรมรัน, นายพิศาล มูลศาสตร์สาทร, นางทมยันตี, อุทาร สนิทวงศ์ เป็นต้น


นอกจากสมเด็จจะเป็นผู้มัวเมาในอำนาจแล้ว ยังทรงใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อในเรื่องฉลองพระองค์(๖) และการรักษาพระสิริโฉมอันเหี่ยวย่น ซึ่งร่วงโรยไปตามสังขารให้กลับเต่งตึงหวานซึ้งราวสาวแรกรุ่น พระองค์ทรงยินดีที่จะเสียพระราชทรัพย์ไม่ว่าสักเพียงใด เพื่อให้ประเทศไทยมีราชินีที่ยังสาวและสวยสง่าเป็นศรีแห่งแว่นแคว้นตลอดไป จนถึงกับมีข่าวเกรียวกราวว่าพระองค์ทรงเสด็จไปอเมริกาเพื่อยกเครื่องใหม่ในปี ๒๕๒๓(๗) แม้จะอ้างว่าไปเพื่อรักษาโรคภูมิแพ้ก็ตามทีแท้จริงพระองค์ก็มีพระชนมายุอีกเพียงปีเดียวก็ครบ ๕๐ พรรษา การมีพระวรกายตามพรรษาจริงก็มิได้ทำให้ประเทศชาติต้องเสื่อมเสียหรือพินาศลงไปเลยแม้แต่น้อย กลับจะทรงเป็นแบบอย่างที่ดีงามของประชาชน แต่การใช้จ่ายเงินภาษีของชาติในภาวะที่เศรษฐกิจฝืดเคืองประชาชนอดอยากไปทั่ว อย่างฟุ้งเฟ้อไร้สติเช่นนี้ รังแต่จะทำผู้คนนินทา ด่ากันไปทั่วทั้งแผ่นดิน
การวางพระองค์และพระท่วงท่าที่แสดงออกก็เป็นสิ่งที่ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันมาก เช่น การประพาสอเมริกาปลายปี ๒๕๒๔ พระองค์ทรงโอบกอดเต้นรำกับหนุ่มชาวนาอเมริกาอย่างสนิทแน่น และภาพนี้สื่อมวลชนทั่วโลก รวมทั้งภายในประเทศ มีการนำมาตีแผ่กันทั่ว เป็นภาพที่น่าสลดสังเวชมากที่พระราชินีไทย ไม่มีการไว้พระองค์ในฐานะสตรีผู้สูงศักดิ์ที่พึงมีสมบัติกุลสตรีไทยบ้างตามสมควร, อีกครั้งหนึ่งราวปี ๒๕๒๐ พระองค์ทรงนั่งป้อนพระขนมแก่ชายหนุ่มลูกเสือชาวบ้านคนหนึ่ง ด้วยท่วงท่าที่น่าชมเชย ดั่งหญิงสาวแรกแย้มป้อนขนมให้คู่รักของตน ภาพนี้ได้รับการตีพิมพ์ในข่าวสังคมหน้าในของหนังสือพิมพ์ เป็นภาพที่บัดสี ขนาดชาวบ้านนินทาอย่างรุนแรง จนไม่อาจจะเขียนเป็นตัวหนังสือ ปัจจุบันพระเกียรติคุณของสมเด็จในสายตาของปวงชนลดลงจนกลายเป็นเรื่องตลก เรื่องสนุกที่ชาวบ้านจะเล่าสูกันฟังหลังอาหารอย่างครึกครื้นเสียแล้ว


                                                                       

เนื่องจากสมเด็จไม่ได้ทรงศึกษาในมหาวิทยาลัยหรือการศึกษาขั้นสูง ประกอบกับไม่ค่อยเข้าใจกฏเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ สมเด็จจึงเป็นผู้ที่เชื่อคนง่าย ชอบการยกยอปอปั้น คำหวานหอม ตลอดจนเชื่อผีสางโชคลางเป็นอย่างยิ่ง หลายครั้งทีเดียวที่พระองค์เล่าให้นางสนองพระโอษฐ์ฟังว่า พระนเรศวรมาเข้าฝัน บางครั้งถึงกับปรากฏต่อหน้าพระพักตร์ และเมื่อพระองค์ทรงตื่นก็ปลุกกษัตริย์ภูมิพลขึ้นทอดพระเนตร ก็ยังคงทอดพระเนตรเห็นวิญญาณนั้นปรากฏอยู่ (ความเป็นจริงราชินีและกษัตริย์ทรงขัดเคืองจนมิได้บรรทมด้วยกันมานานแล้ว) และหลายครั้งที่ให้คุณหญิงแดง (คุณหญิงสวรี เทพาคำ) เข้าทรง เพื่อพระองค์จะได้ติดต่อกับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ รวมทั้งการล่วงรู้เหตุการณ์สำคัญๆในอนาคตได้แม่นยำ ดังนั้นสมเด็จจึงนับถือและสนิทสนมกับคุณหญิงแดงมาก ทั้งสองอยู่ด้วยกันดึกๆจนสว่างเพื่อประกอบพิธีกรรมและปรึกษาความเมืองกัน คุณหญิงแดงจึงเป็นเป้าด่านแรกในการเข้าหาสมเด็จ
อาทิตย์ กำลังเอกผู้ต้องการเป็นใหญ่ ได้ใกล้ชิดกับสมเด็จเป็นพิเศษสุดในระยะหลังโดยผ่านคุณหญิงแดงนี่เอง การเข้าทรงและประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ ยิ่งทำให้พระองค์ทรงเชื่ออย่างฝังใจในเรื่องลางสังหรณ์ คำทำนายของโหรใหญ่ การดูโชคชะตาราศีของพระ เรื่องนี้สมเด็จเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ยืนยันเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง เช่น “เรื่องโหราศาสตร์ เชื่อเป็นบางคน เฉพาะที่คิดเลขเก่งจริงๆ พ่อฉันก็ชอบเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์ ส่วนเรื่องวิญญาณก็เชื่อ เราเชื่อเรื่องวิญญาณ เพราะว่าตัวเองเคยประสบหลายหน” “เรื่องพระนเรศวรมาเข้าทรงสุบินนั้นเป็นความจริง แต่ฉันอาจแต่งเอาเองในส่วนลึกของหัวใจก็ได้” พระองค์ทรงคลั่งไคล้เรื่องทำนองนี้ มีอยู่ครั้งหนึ่งถึงกับออกประกาศชักชวนให้ปฏิบัติตาม จนเป็นข่าวเกรียวกราวในหน้าหนังสือพิมพ์ เพราะพระองค์ทรงสุบินไปว่า คนที่เกิดปีมะ จะมีอันเป็นไป มีอาเพศแก่ตน ให้ชวนกันไปทำบุญที่โบสถ์พราหมณ์ มีผู้คนมากมายตื่น แล้วบอกต่อๆกันจนโบสถ์พราหมณ์ที่เสาชิงช้าเกือบพัง, อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นภายในราชวัง คือ หลังเหตุการณ์ ๖ ตุลาไม่นานนัก สมเด็จทรงรับสั่งให้มีการประกอบพิธีสะเดาะเคราะห์แก่ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ด้วยการปั้นหุ่นขนาดเท่าฟ้าชายและมีลักษณะเหมือนจริงทุกประการ และเอาหุ่นนั้นลงนอนในโลงศพ อันเป็นพิธีสะเดาะเคราะห์ต่ออายุให้ฟ้าชาย เรื่องนี้ความแตกเพราะ ฟ้าชายบังเกิดความเมามันจึงจ้างคน ๔ คน แบกโลงศพซึ่งมีหุ่นของพระองค์อยู่ข้างใน ห่อโลงศพอย่างสวยงาม ส่งไปให้น้าของโสมสวลี บ้านอยู่แถวคลองประปาสามเสน หม่อมน้าทรงแปลกพระทัย และเมื่อแกะกล่องออกมาเห็นในโลงศพมีศพฟ้าชายก็ตกพระทัย ร้องกรี๊ดดังลั่น จึงโทรเรียกตำรวจท้องที่มาจัดการกับชาย ๔ คนนั้น มีชาวบ้านละแวกนั้น แห่กันมามุงดูมืดฟ้ามัวดิน ขณะที่หม่อมน้ายังไม่หายตกพระทัย ก็พอดีมีเสียงโทรศัพท์จากฟ้าชายและโสมสวลี หัวเราะครึกครื้นมาตามสาย ทรงทูลหม่อมน้าว่า “ทรงตกพระทัยมากไหม” น้าของโสมสวลีจึงมาถึงบางอ้อ ด้วยความโกรธจัดจึงพูดไปว่า “อยากถวายผางพะย่ะค่ะ”(อยากเตะ) ทางตำรวจท้องที่หัวปั่นไม่รู้จะทำอย่างไร จึงต้องปล่อยชายผู้ต้องหาไป เรื่องนี้สามารถสอบถามได้จากชาวบ้านละแวกนั้น ซึ่งต่างก็รู้สึกทึ่งในการไม่สมประกอบทางปัญญาของพวกราชนิกุล


ความใฝ่ฝันที่จะให้ราชบัลลังก์ตกอยู่กับตระกูลของตนและญาติวงศ์ที่ใกล้ชิด เป็นความฝันที่ใกล้จริง เมื่อพระองค์ทรงกะเกณฑ์ให้ฟ้าชายวชิราลงกรณ์แต่งงานกับโสมสวลี กิติยากรหลานแท้ๆของพระองค์ เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๒๐ วชิราลงกรณ์เป็นโอรสที่สนิทสนมและรักทูลกระหม่อมแม่มากกว่าพ่อ ทรงรักและเชื่อฟังแม่มากถึงกับเขียนกลอนสดุดีสมเด็จขณะที่ยังเรียนอยู่ที่ออสเตรเลีย วชิราลงกรณ์นั้นเรียนไม่เก่ง เมื่อครั้งไปเรียนที่อังกฤษ ปรากฏว่าทรงสอบได้วิชาภาษาไทยเพียงวิชาเดียว ต้องย้ายโรงเรียนถึง ๓ ครั้ง ในที่สุดย้ายมาเรียนวิทยาลัยดันทรูนในออสเตรเลีย นักเรียนไทยในออสเตรเลีย มักเล่าสู่กันฟังถึงเรื่องของฟ้าชายเสมอว่า ที่วิทยาลัยนี้มีการศึกษาสองระดับด้วยกัน ผู้ที่มีเกรดดีจึงจะได้เรียนในระดับนายร้อย ส่วนผู้ทำเกรดไม่ได้จะได้เรียนแค่ระดับนายสิบเท่านั้น ฟ้าชายของเราทำคะแนนไม่ได้ จึงได้เรียนแค่นายสิบเท่านั้น เห็นได้จากภาพที่แพร่ในช่วงที่มีการรับปริญญา จะเห็นฟ้าชายแต่งชุดทหารยศแค่สิบโทเท่านั้น แต่มีการอ้างว่าที่วิทยาลัยนี้ เขาก็แต่งกันอย่างนี้ทั้งนั้น มันน่าตลกสิ้นดี ที่เมื่อฟ้าชายกลับถึงเมืองไทย สามเหล่าทัพจำต้องกุลีกุจอถวายพระยศเป็นร้อยเอก, เรือเอกและเรืออากาศอย่างเสียไม่ได้
ฟ้าชายชอบใส่ชุดทหารและติดอาวุธตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ทั้งๆที่พระองค์รับราชการฝ่ายข่าวของกองทัพ นอกจากพระองค์จะทรงพยายามแสดงออกถึงความสามารถสูงส่งอย่างเบาปัญญาแล้ว บรรดาที่อยู่ใกล้ชิดก็จะช่วยกันโหมข่าว สร้างชื่อเสียงให้ฟ้าชายเพื่อจะได้มีพระเกียรติสมกับสยามมกุฎราชกุมาร เช่น วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ สื่อมวลชนทุกประเภทพากันประโคมข่าวว่า รถเกราะพาหนะของฟ้าชายถูกผกค.ซุ่มโจมตีที่บริเวณเขาค้อ (เพชรบูรณ์) พระองค์ได้แสดงวีรกรรมอย่างอาจหาญ สั่งสละรถตนเอง ได้หลบและเคลื่อนที่เข้าจุดที่มั่น ทรงบัญชาให้หน่วยปืนใหญ่ที่บ้านทุ่งสมอ ระดมยิงไปที่ผกค. จนพวกนั้นล่าถอยกลับไป แต่สำหรับทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างทราบดีว่า เฮลิคอปเตอร์ของฟ้าชายถูกยิงตก และก็ไม่มีวีรกรรมใดๆปรากฏขึ้นเลย จะมีก็เพียงข่าวลือและเขาเล่าว่า แต่เมื่อได้พบเห็นฟ้าชายที่ทรงกระทำอะไรแผลงๆแบบไม่ค่อยเต็ม ความที่เคยสงสัยก็กลับกระจ่างอย่างไม่น่าเชื่อ


สำหรับโสมสวลีทรงเรียนหนังสือครั้งแรกที่โรงเรียนจิตรลดา การเรียนอยู่ในระดับต่ำ จนต้องสอบประถม ๓ ตก ๑ ครั้ง เมื่อย้ายมาเรียนที่โรงเรียนราชินีล่าง(ปากคลองตลาด) การเรียนก็ไม่ดีขึ้น ครูถึงกับเอ่ยปากหนักใจแทน เพราะโสมสวลีของเราสอบ ม.ศ. ๒ ตกซ้ำ ๒ ปีติดต่อกันจึงลาออก สมเด็จทรงรับมาชุบเลี้ยงในราชวัง ฝึกทำของคาวหวานจนเก่งงานครัว ทั้งฟ้าชายและโสมสวลีต่างมีสายโลหิตที่ใกล้ชิดกันมาก มีคนเกรงว่าหากแต่งงานกันเช่นนี้ จะทำให้โอรสและธิดาที่ทรงประสูติมาจะมีโอกาสปัญญาอ่อนมาก เพราะเพียงแค่ลำพังสองพระองค์ก็ทรงมีลักษณะอับเฉาทางปัญญามากพออยู่แล้ว เรื่องนี้มีผู้ท้วงติงมาก แม้แต่กษัตริย์ภูมิพลเอง แต่เพราะเป็นความต้องการของฟ้าชายที่ถูกแม่ขอร้องให้แต่งงาน เรื่องจึงต้องว่ากันไปตามเพลง ผลมาปรากฏตอนท้ายมีผู้ที่เสียพระทัยมากที่สุดสองคนคือ โสมสวลีและสมเด็จ เพราะฟ้าชายทรงหนีไปมีนางสนมมากมาย และไม่คิดจะใยดีโสมสวลีต่อไป เพราะโสมสวลีคือลูกสะใภ้ที่แม่ต้องการ ส่วนเมียสุดที่รักของฉันคือ ยุวธิดา


การที่สมเด็จทรงเชิดฟ้าชายผู้อยู่ในโอวาทให้มีบทบาทที่จะรับตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป ด้วยการกุมบังเหียนได้ทั้งหลานและลูก นับเป็นความสำเร็จทางการเมืองชิ้นสำคัญ แต่สมเด็จก็ทรงพร่ำเพ้อว่าพระองค์ทรงไม่รู้จักการเมืองและไม่ปรารถนาที่จะยุ่งเกี่ยว นอกจากการช่วยเหลือประชาชนผู้ยากไร้อย่างฉาบฉวย และหากสิ่งนี้คือการเมือง พระองค์ก็อดไม่ได้ที่อุทิศตัว เพื่อช่วยเหลือพวกเขาอย่างสุกเอาเผากินกันต่อไป พระองค์ถึงกับปรารภว่า “คนที่จนที่สุดบวกจนที่สุดคือชาวเขาและชาวไทยอิสลาม จนอย่างชนิดที่เราไม่เคยเห็น อิสานก็ไม่เคยเห็นอย่างนั้น เสื้อผ้ากะรุ่งกะริ่ง ร่างกายซูบซีดขาดเลือด ฉันให้แม่ทัพใต้ ตอนนั้นคุณปิ่น ธรรมศรี คุณเปรมเป็นผู้ช่วยหรือรองผบ.ทบ. ฉันไม่เข้าใจว่ารองหรือผู้ช่วยต่างกันอย่างไร คุณเปรมไปเฝ้าที่นั่น คุณเปรมก็บอก “ปิ่น ทำไมไม่ช่วยราษฎรล่ะ” คุณปิ่นบอก “แหม ก็ไปก้าวก่าย” อันนี้ก็การเมืองอีกใช่ไหม ฉันไม่ทราบจะทำอย่างไร การเมืองนี่เป็นอย่างไร ฉันไม่ทราบจะทำอย่างไร เพราะราษฎรเอามาให้ช่วย ขนาดจุฬาภรณ์และสิรินธรถึงกับเคยแย่งฎีกาชาวบ้านจากมือของตำรวจพระราชวัง โธ่ คุณ ถ้าเผื่อปิดนี่ บ้านเมืองเราจะไปไม่ไหวนะ ราษฎรไม่รู้จะออกทางไหน เราก็มีหน้าที่เอามา แล้วเอาไปให้แก่รัฐบาลเท่านั้น” (๙)
สมเด็จแม้จะรู้ว่าชาวบ้านอดอยากแร้นแค้นมาก แต่พระองค์ไม่เคยทรงทราบเลยว่า เลือดของประชาชนที่ขาดหายไปจนซูบซีดนั้น ใครเป็นผู้สูบไป พระองค์ก็ไม่ต่างจากจอมเผด็จการทั้งหลายในโลกรวมทั้งพระนางซูสีไทเฮา ซึ่งไม่เคยทราบต้นสายปลายเหตุความทุกข์ยากของแผ่นดิน พวกเขาได้แต่สงสาร เห็นใจและสงเคราะห์ช่วยเหลือไปตามความสบายใจของตน พระองค์หารู้ไม่ว่า ก็เพราะอำนาจของสถาบันพระองค์ที่ครอบงำความก้าวหน้าของสังคม และคอยค้ำจุนระบบคนกินคนอันเลวร้ายของสังคม ขณะเดียวกันธุรกิจสมัยใหม่ของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ก็มีส่วนร่วมสูบเลือดชาวไทยให้หนักหน่วงยิ่งขึ้น อิทธิพลของสถาบันพระมหากษัตริย์ คือ ต้นตอความยากจนทุกข์เข็ญของประชาชนทั่วทั้งประเทศ
 

                                                                          

ขณะที่สมเด็จทรงใช้กลเม็ดเด็ดพรายแย่งราชบัลลังก์จากกษัตริย์ผู้ฆ่าพี่ชายอย่างเลือดเย็น มาสู่ตระกูลของตนพร้อมกับซ่องสุมกำลังทหารเสือราชินี, ผลักดันอาทิตย์ กำลังเอกขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหาร เพื่อหวังกุมอำนาจทั่วทั้งแผ่นดินมาสู่กำมือของตนเช่นนี้แล้ว พระองค์ยังจะกล้าเอ่ยปากว่า พระองค์ไม่รู้จักคำว่าการเมืองอีกหรือ เพราะทุกย่างก้าวของความมักใหญ่ใฝ่สูง ล้วนกระทบกระเทือนต่อชีวิตตัวดำๆของชาวไทยทั่วทั้งประเทศ หากพระองค์มีเจตนาหวังดีต่อประชาชนอย่างแท้จริง ก็จงมาช่วยกันล้มระบบอภิสิทธิ์ของซากเดนศักดินาใหญ่ มาช่วยกันพัฒนาและปลุกความตื่นตัวของประชาชนให้สามารถคุ้มครองและช่วยเหลือตนเอง ในการต่อสู้เพื่อปากท้องในสังคมอย่างยุติธรรมต่อไป เปิดให้มีการกระจายอำนาจการปกครองไปสู่ท้องถิ่นอย่างจริงจัง ทำการปฏิรูปที่ดินและสร้างการชลประทานอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ ก่อตั้งระบบสหกรณ์ที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาใหม่ ให้ก่อตั้งสหภาพแรงงานเพื่อต่อรองกับนายจ้างอย่างยุติธรรมตามกฎหมายแรงงาน ให้ช่วยกันสร้างเศรษฐกิจของชาติให้พ้นจากอิทธิพลของต่างชาติที่คอยสูบเลือดเรา หากสมเด็จและกษัตริย์ภูมิพลทรงรักประชาชนและประเทศไทย และต้องการให้ประเทศไทยก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศทั้งหลาย ขอให้พระองค์สละราชสมบัติ ยกเลิกระบบกษัตริย์ซึ่งค้ำจุนความคิดและระบบอันล้าหลัง งมงายลงเสีย เปลี่ยนการปกครองเป็นประเทศสาธารณรัฐมีประธานาธิบดี ควรเป็นประมุขของชาติที่อยู่ใต้กฎหมาย และไม่มีอำนาจบริหารประเทศใดๆทั้งสิ้น และหากพระองค์คิดว่าประชาชนยังคงรักและเห็นความดีงามของพระองค์ พระองค์ก็จะได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ประชาชนยกย่องนับถือ และหากองค์รัชทายาทเป็นผู้ที่ดีพอ ตำแหน่งประธานาธิบดีคงไม่แคล้วคลาดจากฟ้าชาย ยุคสมัยแห่งการสืบสันตติวงศ์ เอาเพียงสายโลหิตของกษัตริย์เป็นเครื่องวัดความดีงาม และสืบทอดตำแหน่งประมุขของชาติอย่างงมงายควรจะเลิกกันเสียที ประชาชนผู้ทุกข์ยากจำนวนล้านๆไม่อาจทนหิวโหย ผอมโซอีกต่อไปแล้ว ขอพระองค์จงเร่งตัดสินใจ ก่อนที่จะสายเกินกาล เมื่อวันนั้นมาถึง ชาติตระกูลของพระองค์คงต้องสูญสิ้น ขณะที่ประเทศและประชาชนจะช่วยกันสร้างชาติไทยให้รุ่งโรจน์สืบไป 

( บทความนี้เอามาจาก " ความจริงย่อมลอยเหนือน้ำ "  เขียนโดย " ประชา รักไทย " )

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar