ชั่วโคตรทักษิณ คอลัมน์ ใบตองแห้ง
บทความนี้เขียนก่อนมีคำพิพากษายิ่งลักษณ์ โดยมองในภาพกว้าง ความแตกแยกเกลียดชังในสังคมไทย ความคับแค้นใจของคนที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม ก็ยังดำรงอยู่ต่อไป ไม่ว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง จากที่สั่งสมไว้สิบกว่าปี
สิบกว่าปีที่แล้ว ขบวนการขับไล่ ระบอบทักษิณ ดูเหมือนเริ่มต้นอย่างชอบธรรม เพราะทักษิณซึ่งได้คะแนนนิยมล้นหลาม จากนโยบายที่ทำให้คนจนคนชนบทลืมตาอ้าปาก ถูกวิพากษ์ว่าอำนาจนิยม มีผลประโยชน์ทับซ้อน ผู้รักประชาธิปไตยในเวลานั้น ก็ล้วนวิจารณ์ทักษิณ กระทั่งเกิดรัฐประหารตุลาการภิวัตน์ ยุบพรรคไทยรักไทย ใช้ประกาศ คปค.เป็นกฎหมายมีผลย้อนหลัง ตั้ง คตส.เอาผิด ยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 เพิ่มอำนาจศาล องค์กรอิสระ ส.ว.ลากตั้ง ลิดรอนอำนาจเลือกตั้งของประชาชน
การดำเนินคดีกับทักษิณ ซึ่งมีคนรักมากเกลียดมาก ไม่สามารถพิสูจน์ทุจริต แค่เอาผิดด้วยการตีความ ไม่ทุจริตแต่ติดคุก ฐานเซ็นยินยอมให้ภริยาประมูลซื้อที่ดิน ยึดทรัพย์เพราะได้ทรัพย์สินมาโดย ไม่สมควร ขณะเดียวกันก็มีการทำลายอำนาจจากเลือกตั้ง ด้วยม็อบสุดโต่ง ยึดทำเนียบยึดสนามบิน ด้วยการใช้กฎหมาย ผิดคนเดียวตายยกเข่ง ยุบพรรค ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร จนทำให้มวลชนที่รู้สึกว่าถูกแย่งอำนาจ ลุกฮือขึ้นมาบ้าง กระทั่งถูกกระชับพื้นที่ด้วยกระสุนจริง
ใช่ละ เมื่อกลับมาชนะเลือกตั้งล้นหลาม ทักษิณก็ลุแก่อำนาจซ้ำซาก นิรโทษสุดซอย แต่หนังเรื่องเก่าก็ฉายใหม่ สุดโต่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ ปิดเมืองขัดขวางเลือกตั้ง กระทั่งปกครองด้วยรัฐประหารมากว่า 3 ปี ยกร่างรัฐธรรมนูญถอยหลัง ให้อำนาจแต่งตั้งตรึงสังคมไทยไว้อีก 20 ปี
มองย้อนไปสิบกว่าปีก่อน กระแสคนชั้นกลางเกลียดชังทักษิณ อันที่จริงก็ยังคิดว่า กำจัดทักษิณแล้วจะกลับสู่ฟ้าสีทอง แต่เวลาผ่านไป ความไร้สติไร้หลักการ ก็ผลักคนเห็นต่างเป็น พวกทักษิณ มากขึ้นทุกที ทั้งผู้ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร นักวิชาการ นักกฎหมาย ที่ยึดหลักประชาธิปไตย คนรุ่นใหม่ที่รักเสรีภาพ ไปจนถึงประชาชนเสียงข้างมาก ที่เห็นว่าบัตรเลือกตั้งคืออำนาจ ก็ถูกผลักไสเป็นม็อบไพร่ กระทั่งปฏิเสธหลักความเสมอภาค หนึ่งคนหนึ่งเสียง
สิบกว่าปีผ่านไป จากจุดเริ่มต้นที่ดูเหมือนเป็นประชาธิปไตย พลังของคนชั้นกลางในเมือง ผนึกแน่นกับอำนาจอนุรักษนิยม ชูอุดมการณ์จารีต ท่องคาถาศีลธรรม ความเป็นไทย ธรรมาธิปไตย ปฏิเสธประชาธิปไตย แบบฝรั่ง ชูกฎแห่งกรรมเหนือหลักนิติรัฐ ค้ำจุนอำนาจที่มาโดยไม่ชอบธรรม ใช้อำนาจโดยไม่ต้องมีเหตุผล แต่อบรมสั่งสอนคนไทยให้ซื่อสัตย์กตัญญูทุกเช้าเย็น
ณ วันนี้สังคมไทยมาถึงจุดไหน ก็มาถึงจุดไคลแม็กซ์ ที่หลายฝ่ายเชื่อว่าจะต้องกำจัดทักษิณ โคตรเหง้า พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ออกไปจากการเลือกตั้ง รวมทั้งกำราบนักวิชาการ คนรุ่นใหม่ ที่ไม่ก้มหัวให้ ความเป็นไทย ใช้อำนาจเป็นกฎหมาย สยบคนไม่พอใจไว้ โดยเชื่อว่าจะใช้เวลาระยะหนึ่ง ปฏิรูปประเทศ โดยรัฐราชการ ร่วมกับกลุ่มทุน (ที่ไม่สามานย์) และ คนดี ของคนชั้นกลาง นำประเทศก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง สร้างสังคมเป็นธรรม ปราบทุจริต ลดเหลื่อมล้ำ โดยไม่ต้องเป็นประชาธิปไตย แล้วจะทำให้คนส่วนใหญ่ยอมรับโครงสร้างอำนาจที่ล้าหลัง เลิกนิยมชมชอบทักษิณ เลิกหวังพึ่งนักการเมือง
นี่คือความฝันของพลังอนุรักษนิยม ที่เชื่อว่าสามารถนับหนึ่งใหม่ โดยก้าวข้ามทักษิณ ก้าวข้ามความคับแค้น อัดอั้น ความรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม ของเสื้อแดงทั้งแผ่นดิน ก้าวข้าม ไผ่ ดาวดิน ทำหน้าซื่อตาใส ปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปกฎหมาย ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
เราจึงมาถึงจุดไคลแม็กซ์ของสังคมดัดจริต ไบโพลาร์ ที่คิดว่าจะใช้อำนาจเกลื่อนกลบลบความไม่เป็นธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นในรอบสิบกว่าปี แล้วผู้ที่ร่วมกระทำย่ำยีทั้งหลายก็จะสร้างสังคมแสนดีให้ใหม่
ทักษิณเป็นสีเทา แต่ความพยายามทำลายทักษิณโดยไม่เลือกวิธีการ ได้ทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนจากสีขาวไปเป็นสีดำ ความพยายามทำลายทักษิณพร้อมกับทำลายประชาธิปไตย ทำให้ไม่สามารถก้าวข้ามทักษิณ เพราะต้องก้าวข้ามเสรีภาพ หลักนิติรัฐ หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยไปพร้อมกัน
การต่อสู้กับทักษิณมันจึงบานปลายเป็นสู้กัน ชั่วโคตร แต่ไม่ใช่โคตรเหง้าทักษิณหรอกนะ เพราะลากประชาชนที่เชื่อมั่นในเสรีภาพประชาธิปไตย ประชาชนที่คับแค้นใจไม่ได้รับความยุติธรรม มาสู้กันชั่วโคตรต่างหาก
อำนาจใดก็ตาม ที่คิดว่าจะก้าวข้ามประชาชนได้ คิดง่ายไปมั้ง
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar