söndag 20 augusti 2017

Lèse-majesté - ฟ้องอาญา ๑๑๒ เด็กอายุ ๑๔ ปี

Thai E-News

ฟ้องอาญา ๑๑๒ เด็กอายุ ๑๔ ปี จะกระทำย่ำยีเพียงใด เช่นที่ตระบัดสัตย์คดีไผ่

อีกแล้ว ไม่เหมือนใครในสากลโลก “ฟ้อง ๑๑๒ กับเด็กอายุ ๑๔ ปี” โพสต์ของ อานนท์ นำภา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โวย “ประเทศนี้มึงบ้าไปแล้ว”

“เคสแรกในโลกที่มีการตั้งข้อหาหมิ่นฯ กับเด็กอายุต่ำกว่า ๑๕ ปี” Bow Nuttaa Mahattana นักกิจกรรมใกล้ชิดกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ กล่าวถึงเรื่องเดียวกัน “#หยุดม112 #หยุดละเมิดสิทธิมนุษยชน
จากคดีควบคุมตัวผู้ต้องหาเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติฯ ที่ขอนแก่น ๘ คน ที่ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นอายุ ๑๘-๒๐ ปี เสร็จแล้วต่างโดนคดีอาญา ม.๑๑๒ กันถ้วนหน้า ไม่สนกติกาแห่งมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล
นั่นก็ว่าทรามพอดูอยู่แล้ว ครั้นมาวันนี้ (๑๙ ส.ค.) ต่ำช้าหนักไปเสียยิ่งกว่า เมื่อมีผู้ต้องหารายที่ ๙ ถูกส่งฟ้องในข้อหา Lèse-majesté ที่โทษทางอาญาจำคุกกระทงละ ๑๕ ปี ด้วยอีกคน เป็นเยาวชนอายุเพียง ๑๔ ปี
ด.ช.อภิสิทธิ์ ชัยลี เด็กผู้ต้องหารายนี้ถูกทหารจับตัวไปควบคุมไว้ในข้อหาวางเพลิงเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม พร้อมกับผู้ต้องหาอื่นๆ อีก ๖ คน ที่เป็นชาวบ้านอำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่นเหมือนกัน เกือบอาทิตย์ให้หลังทหารถึงนำตัวผู้ต้องหาทั้งหกไปมอบให้ตำรวจ ส่งตัวเข้าเรือนจำเมื่อ ๒๓ พ.ค.

เยาวชนอายุ ๑๔ ปีนั้นถูกควบคุมตัวที่ศาลเยาวชน อีก ๕ คนอยู่ที่ศาลจังหวัด จนกระทั่งมีการส่งฟ้องเมื่อสองวันก่อน แต่ในตอนที่เริ่มฝากขังเมื่อเดือนพฤษภานั้น ผู้ต้องหายังไม่มีการตั้งทนายแก้ต่างให้ องค์การฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน
การควบคุมตัวเด็กผู้ชายวัย ๑๔ ปีแบบลับในค่ายทหารของไทย ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ร้ายแรงHRW แจ้ง “เยาวชนทั้งสี่คน (ในเบื้องต้น) ที่ถูกจับกุม ไม่ควรถูกปฏิเสธสิทธิที่จะได้รับการนำตัวไปขึ้นศาล
และไม่ควรถูกควบคุมตัวในค่ายทหาร โดยไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอก ไม่ว่าพวกเขาจะถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาใดก็ตาม” นายแบรด อดัมส์ (Brad Adams) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว
“กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กำหนดความคุ้มครองเป็นพิเศษสำหรับบุคคลทุกคนที่อายุต่ำกว่า ๑๘ ปี” ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว
“อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child - CRC) ระบุว่า ไม่ว่าในพฤติการณ์ใด การจับกุม ควบคุมตัว หรือคุมขังเด็ก ให้กระทำเป็นมาตรการขั้นสุดท้าย และให้ทำในระยะเวลาที่สั้นสุดตามความเหมาะสม”
ระเบียบปฏิบัติในบรรดาอารยะประเทศเหล่านี้ไม่ค่อยได้รับการปฏิบัติตามจากรัฐบาลทหารไทยเท่าใดนัก จะมีก็แต่บางครั้งอ้างด้วยปากอย่างเดียวว่า ทำโน่นทำนี่ตามข้อผูกมัดสหประชาชาติที่ประเทศไทยลงนามบัญญัติไว้
การเอาผิด หลังจากบีบบังคับ ขู่เข็น จับกุม ควบคุมตัวแล้ว เป็นกระบวนการที่มาตรฐานระบบยุติธรรมสากลจะจัดให้เป็นการทำร้าย และนำบุคคลลงเป็นทาสเสียด้วยซ้ำ
ดั่งคดี ๑๑๒ ที่กระฉ่อนไปทั่วโลกจากการตัดสินไผ่ ดาวดิน (ฉายานาม) นักศึกษากฎหมาย ม.ขอนแก่น นักกิจกรรมเพื่อสิทธิและสิ่งแวดล้อมของชาวบ้าน ที่กลายเป็นผู้ต้องหาหมิ่นกษัตริย์เมื่อเขาแชร์บทความพระราชประวัติรัชกาลที่ ๑๐ โดยบีบีซีไทย ที่เล่าข้อเท็จจริงละเอียดเกินไปกว่า สถาบัน ต้องการ
ไผ่พยายามต่อสู้ด้วยใจแน่วแน่ว่าตนไม่ผิดทางอาญาใดๆ เพียงต้องการพิสูจน์สิทธิมนุษยชนแห่งตนให้ประจักษ์ต่อสาธารณะ แต่ก็จำต้องสยบหลังถูกกักขังโดยไม่รู้เป้าหมายบั้นปลายว่าคดีจะสิ้นสุดเมื่อไร และไม่มีทางได้รับการประกันตัวปล่อยชั่วคราวออกไปสู้คดีนอกคุก
การบีบคั้นกดดันให้ผู้ต้องหายอมรับสารภาพ แม้วัดด้วยมาตรฐานกฎหมายสากลแล้วแน่นอนว่าไม่ผิดก็ตาม เช่นนี้ ดร.ธงชัย วินิจจะกูล เรียกว่า the Winston Syndrome

“ที่รู้กันดีก็คือ การสารภาพจะช่วยย่นระยะเวลาในการพิจารณาและลดระยะเวลาติดคุก การสารภาพแลกกับความหวังว่าจะได้ลดโทษ...
ปรากฏการณ์นี้แสดงว่าทุก ๆ ฝ่าย ทั้งเจ้าหน้าที่ ผู้พิพากษา และประชาชนทั่วไป ถือว่าผู้ต้องหา ๑๑๒ มีความผิดแน่นอนโดยไม่ต้องพิสูจน์
และต่อให้ผู้ต้องหาสามารถพิสูจน์ได้ว่าเนื้อหาที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดมาตรา ๑๑๒ นั้นเป็นความจริง ก็ยังถือว่าผิดอยู่ดี ดังที่ผู้พิพากษาคนหนึ่งได้กล่าวกับทนายความในคดีหนึ่งว่า ยิ่งจริง ยิ่งหมิ่น ไม่จริง ก็ยิ่งโคตรหมิ่น
ดร.ธงชัยนำการตีความนี้มาจากนิยายการเมืองเลื่องชื่อของจ๊อร์จ ออร์เวล เรื่อง ‘1984’ ที่มีตัวละครสำคัญคนหนึ่งชื่อ Winston Smith โดยเปรียบเปรยว่า “สำหรับวินสตันและผู้ต้องหา ๑๑๒ การสารภาพในตัวมันเองคือการทรมานอย่างหนึ่ง
เพราะมาตรา ๑๑๒ เป็นอาชญากรรมทางความคิด การทำลายความคิดอิสระจึงเป็นการทรมานยิ่งกว่าทรมานกาย...แม้ว่าการสารภาพจะเป็นทางเลือกซึ่งชาญฉลาดถูกต้องในสถานการณ์ที่เป็นจริง เพื่อมีชีวิตอยู่รอดในโลกอัปลักษณ์ที่มีมาตรา ๑๑๒
และไม่ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนความคิดจริงหรือไม่ก็ตาม การสารภาพเป็นการทำร้ายจิตใจลงย่อยยับ เป็นการกระทำที่สุดแสนจะทรมานสำหรับพวกเขา...
อิสระที่ได้รับหลังการสารภาพจึงเป็นเพียงอิสระทางกาย เพราะจิตใจ ศักดิ์ศรี ความภาคภูมิใจในตัวของตัวเอง ความเป็นมนุษย์ได้ถูกทำลายไปแล้ว...นี่คือความโหดร้ายของการสารภาพผิดต่อมาตรา ๑๑๒”
การสารภาพของไผ่ (หรือนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา) จึงเข้าข่ายดังกล่าวโดยไม่ต้องกังขา เมื่อข้อเท็จจริงภายหลังการสารภาพและตัดสินผ่านไปแล้วหมาดๆ ปรากฏออกมาว่า
ก่อนที่ศาลจะพิพากษาตัดสิน ศาลได้เรียกไผ่และครอบครัวไปคุยเกี่ยวกับคดีความ ก็ไม่ได้คุยแบบนี้แบบที่ตกลงกันในช่วงเช้า ที่คุยกันก็คือโทษจำคุกหากไผ่รับสารภาพไม่ใช่ ๕ ปี” นี่เป็นคำพูดของนายวิบูลย์ พ่อของไผ่ ซึ่งกฤดิกร วงศ์สว่างพานิช นำมาเขียนถึงใน ประชาไท
“ตอนนี้เราผิดหวังว่า ที่เราได้คุยกันกับศาลจนไผ่รับสารภาพนั้น มันตระบัดสัตย์ ทั้งที่ปกติไผ่จะไม่รับสารภาพง่ายๆ แบบนี้”
ฟังดูเหมือนศาลลวงให้ผู้ต้องหา ๑๑๒ รับสารภาพเพื่อจะได้ตัดสินสิ้นเรื่องสิ้นราวจบๆ ไป เนื่องจากคดีไผ่เป็นที่สนใจและจับตาอยู่ทั่วโลก ในแง่ที่ว่ากระบวนการศาลไทยไม่ยึดถือมาตรฐานความยุติธรรมตามครรลองสากล
ขนาดไผ่หนุ่มใหญ่วัยเบญจเพศอายุ ๒๖ ปี ยังถูกลวงและล่วงล้ำความเป็นมนุษย์ขนาดนี้ เพื่อความศักสิทธิ์ของกฎหมายหมิ่นฯ ม.๑๑๒ เด็กวัย ๑๔ ปีที่เพิ่งโดนข้อหามหรรณพ์เดียวกัน จะถูกกระทำย่ำยีเพียงใด

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar