'สนธิญาณ' ลั่นหยุดจัดรายการตลอดชีวิต หลัง กสทช.สั่งระงับ ยันพร้อมสู้หากถูกคดี 112
2017-11-10
ที่มา ประชาไท
สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ได้ประกาศหยุดจัดรายการวิทยุ-โทรทัศน์ตลอดชีวิต หลัง กสทช.ห้ามจัด 1 เดือน ลั่นพร้อมสู้หากถูกคดี ม.112 ปมใช้คำพูดในลักษณะที่ไม่เหมาะสม ไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาชีพและจริยธรรมของสื่อ
10 พ.ย.2560 จากกรณีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สั่งระงับออกอากาศรายการ “สนธิญาณฟันธงตรงประเด็น” ช่องสปริงนิวส์ 1 เดือน พร้อมส่งเรื่องให้ และเห็นสมควรส่งเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ล่าสุด สปริงนิวส์ รายงานว่า สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ได้ประกาศหยุดจัดรายการวิทยุ-โทรทัศน์ตลอดชีวิต หลัง กสทช.ห้ามจัด 1 เดือน โดยได้ให้สัมภาษณ์ ผ่าน คลุกวงในอินไซต์ข่าว สถานีข่าวจริงเรดิโอ FM 98.5 วันที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า มีหลายคนที่ติดตามชมรายการได้สอบถามเข้ามาทางเฟซบุ๊กไลน์ โทรศัพท์ อย่างมากมาย เนื่องจากการประชุม กสทช. เมื่อวันที่ 8 พ.ย.60 มีมติให้บริษัท สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น จำกัด หรือช่องสปริงนิวส์ ระงับการออกอากาศ รายการ “สนธิญาณฟันธงตรงประเด็น” เป็นระยะเวลา 1 เดือน โดยวันที่ สนธิญาณ จัดรายการนั้นเป็นวันที่ใกล้ช่วงเวลาที่จัดพระบรมศพ ซึ่งประเด็นในการจัดรายการวันนั้น ชื่อรายการราชาแห่งราชาทั้งปวง โดยระหว่างจัดรายการตนได้จัดไปร้องไห้ไป ที่ร้องไห้ไปเพราะสำนึกในมหากรุณาธิคุณของ ร.9 ที่ทรงงานเพื่อคนไทยมาตลอด 70 ปี เมื่อถามว่า ภายใต้ความตื้นตันใจ ตนจึงได้ลำดับความภายใต้ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่านได้รับการโจษขานยอมรับประกาศเกียรติคุณไปทั่วทั้งโลก ชีวิตของพระองค์ท่านนั้นมีความเจ็บปวดรวดร้าว จากนั้นได้เปิดเพลงชะตาชีวิต โดยตนได้บรรยาย ว่า พระองค์ท่านได้ขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2489 ซึ่งการขึ้นครองราชย์ของพระองค์ท่านนั้นเป็นสิ่งที่พระองค์ไม่อยากจะทำ เพราะว่าพระองค์ท่านจะต้องสูญเสียพระเชษฐา ไม่มีใครอยากจะขึ้นครองราชย์
สนธิญาณ ระบุว่า ได้เล่าต่อว่าพระองค์ท่านได้มีพระราชนิพนธ์เอาไว้ในบันทึกส่วนพระองค์ระบุว่าไม่เคยคิดอยากจะเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินเลย คิดแต่จะเป็นน้องของพี่เท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าพี่น้องรักใคร่ผูกพันกัน ในความเป็นจริงมีกลุ่มที่คอยสร้างข่าวสารที่จะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตลอด พระองค์ท่านเป็นลูกกำพร้ามีแม่เลี้ยงเดี่ยว เลี้ยงในฐานะสามัญชน ทั้งๆที่พระองค์ท่านเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงซึ่งขณะนั้นยังไม่มีสถานะที่จะสืบราชสมบัติแต่อยู่ในลำดับสืบสันติวงศ์ พี่น้องอยู่ด้วยกันมาด้วยความรัก ความผูกพัน เป็นความลึกซึ้งของลูกกำพร้า ถูกเลี้ยงมาอย่างเด็กธรรมดาและเมื่อขึ้นครองราชย์นั้นยังเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นอายุ 18 ปีเศษ นี่แหละที่ กสทช. บอกว่า ตนไม่ทำอันสอดคล้องจริยธรรม ไม่เป็นไรเลิกผังปิดรายการตน เรียนท่านผู้ชมซึ่งทราบดี ชีวิตตนเป็นคนที่กล้าประกาศว่าเป้าหมายของชีวิตไม่อยากมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว ธุรกิจที่มีในวันนี้ก็ขายหมด ช่วยทำงานอยู่ที่สปริงส์ก็ช่วยด้วยหัวใจ อยากเห็นสื่อที่ดีๆ ทำไมต้องทุกข์แบบนี้ กสทช.ระงับรายการ และจะส่งเรื่องให้ตร.พิจารณาดำเนินคดีนั้น จะดำเนินคดีกับตนด้วยมาตรา 112 ตนยินดี แต่คนที่พิจารณาหรือดำเนินการเรื่องตนก็ต้องเตรียมก็ต้องสู้กันในศาล
สนธิญาณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนไม่ได้สู้ในฐานะจำเลยอย่างเดียวแต่จะสู้ในฐานะโจทก์ไม่ใช่เพื่อตอบสนองอารมณ์ของตัวเอง แต่จะให้เห็นว่าความบ้องตื้นหรือความคิดอันตื้นเขินในการพิจารณาเรื่องนี้ มันกระทบกระเทือนและเสียหายต่อประเทศชาติและผู้คนที่จงรักภักดีทั้งสิ้น บอกว่าตนขยายผ่านสื่อ แล้ว กสทช.คิดบ้างไหมว่าสื่อทุกวันนี้ที่ กสทช. คิดไม่ได้ ทั้งในเฟซบุ๊กที่มีคนโพสต์ประเด็นในความจงรักภักดีที่ใช้ภาษาสามัญชนซึ่งบุคคลเหล่านั้นโพสต์ไปด้วยความรักความภักดี ซึ่งให้กลับมาทบทวนดูว่า ใครมีความจงรักภักดีมากกว่ากัน และรักประเทศชาติมากกว่ากัน การที่ตนเคลื่อนไหวทางการเมืองเพราะการขอร้องของผู้คนและถูกดำเนินคดีกบฏ จนติดคุกไม่เคยทุกข์และตั้งรับกับสิ่งเหล่านี้ แต่ในสิ่งที่ กสทช.ทำคือการทำลายชาติบ้านเมือง ใครกันแน่ที่ทำร้ายสถาบัน ใครกันแน่ที่จ้องโค่นล้มสถาบัน โดยใช้กรณีของตนไปขยายความว่าเป็นการใช้ มาตรา 112 และให้ไปเรียงรายชื่อมากับสนธิญาณ ในเมื่อสั่งระงับโทรทัศน์ก็ต้องระงับวิทยุด้วย นี่นะหรือคือสติปัญญาของ กสทช. และตนขอยืนยันว่าจะไม่ก้มหัวต่อความไม่ถูกต้อง
สำหรับคำสั่ง กสทช. ดังกล่าว ฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. ระบุว่า ที่ประชุม กสทช. เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 60 มีมติให้บริษัท สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น จำกัด หรือช่องสปริงนิวส์ ระงับการออกอากาศ รายการ “สนธิญาณฟันธงตรงประเด็น” เป็นระยะเวลา 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้ง ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามข้อ 19 ของประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 เนื่องจากพบว่า การออกอากาศรายการสนธิญาณฟังธงตรงประเด็น เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2560 มีเนื้อหาซึ่งนำเสนอเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยใช้คำพูดในลักษณะที่ไม่เหมาะสม ไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาชีพและจริยธรรมของสื่อ เป็นการขัดต่อ ข้อ 14(10) ของประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 และเห็นสมควรส่งเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
รัชกาลที่ ๙... คนบาปในคราบนักบุญ ...
รัชกาลที่ ๙คนบาปในคราบนักบุญ
แม้รัชกาลที่ ๙
ได้เป็นกษัตริย์แล้วแต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากจอมพล ป.พิบูลสงคราม
นายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจมากที่สุดในช่วงก่อนหน้าปี ๒๕๐๐ ทั้งนี้เพราะจอมพล ป.
รู้เช่นเห็นชาติพระองค์เป็นอย่างดี จึงมิได้มีความเคารพนับถือแม้แต่น้อย
ยิ่งเป็นเผ่า ศรียานนท์ด้วยแล้ว ถึงกับขู่ว่าจะเปิดโปง “กรณีสวรรคต”
โดยการจ้างนายสง่า เนื่องนิยม นักไฮปาร์ก สมญา “ช้างงาแดง”
ป่าวประกาศกึกก้องกลางสนามหลวงหน้าพระบรมมหาราชวังที่ประดิษฐานของพระเศวตฉัตรว่า
จะเปิดเผยตัวผู้ฆ่ารัชกาลที่ ๘ เมื่อมีประชาชนมารอฟังนายสง่า เนื่องนิยมจำนวนมาก
นายสง่าก็ปีนขึ้นไปยืนบนที่สูงกลางท้องสนามหลวง ในวันที่ ๒๔ มิ.ย. ๒๕๐๐
และร้องก้องว่า“ผู้ฆ่ารัชกาลที่ ๘ คือ.”...” แล้วเอาแว่นตาขึ้นมาสวมทำท่าประหลาด
เพื่อบอกใบ้ให้คนดูรู้ว่าฆาตกรคือ รัชกาลที่ ๙ โดยไม่พูดอะไรอีก
แม้นายสง่าแสดงกิริยาเช่นนี้ ตำรวจของเผ่าก็มิได้จับตัวนายสง่าไปลงโทษแต่อย่างใด
(นายสง่าถูกจับตัวไปลงโทษภายหลังในสมัยสฤษดิ์ ธนะรัชต์)
รัชกาลที่ ๙
เองได้พยายามสนับสนุนการปกครองที่บีบคั้นเสรีภาพของประชาชน
เขาได้กล่าวสุนทรพจน์สนับสนุนสฤษดิ์อยู่เนืองๆ
โดยไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดีเลยว่า
ผู้ที่ตนสนับสนุนนั้นเป็นจอมเผด็จการที่คอรัปชั้นทรัพย์ของแผ่นดินไปนับพันล้านบาท
ส่วนราชินีก็เช่นเดียวกัน คราวหนึ่งราชินีกับรัชกาลที่
๙ได้รับการสนับสนุนจากสฤษดิ์ให้ไปเยือนออสเตรเลีย ในฐานะตัวแทนแห่งประเทศไทย
ขณะที่ทรงประทับอยู่หน้าศาลาเทศบาลเมืองซิดนีย์นั้น มีประชาชนจำนวนหนึ่ง
โปรยใบปลิวลงจากหน้าต่างตึกหน้าศาลาเทศบาลนั้น กระจายในหมู่ฝูงชน
มีข้อความโจมตีสฤษดิ์ว่าเป็นฆาตกรประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์
ราชินีทนอ่านข้อความนี้ไม่ได้เลย เพราะโดยพื้นๆนั้นทรงโปรดอ่านแต่เรื่องภูตผีวิญญาณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านโหราศาสตร์ของไคโรโหรจากอังกฤษ(๓)
(ก่อนที่จะสวดมนต์ภาวนาก่อนนอนวันละ ๒ ชม.) (๔)
จึงแต่งหนังสือโต้ตอบกับประชาชนที่เกลียดชังเผด็จการดังกล่าวว่า
ตนเองได้รู้จากนักเรียนไทยในออสเตรเลียว่าผู้ที่ต่อต้านสฤษดิ์ที่ซิดนี่ย์นั้นเป็น
“...องค์การลับของพวกแดงที่มีทุนรอนมาก...” ทรงแสดงความเห็นว่า
“ข้าพเจ้าอดที่จะนึกไม่ได้ว่าคงจะต้องเป็นองค์การใหญ่ที่มีเงินมากอย่างแน่นอน
จึงมีทุนทรัพย์และหนทางที่จะสืบเรื่องเมืองไทยได้อย่างละเอียดลออ
และยังลงทุนพิมพ์ใบปลิวมากมายไว้โปรยเล่นตอนเราได้รับเชิญมาเมืองนี้...”
ทรงโต้แทนสฤษดิ์ว่า “...เหตุผลของเขาในการตำหนิรัฐบาลเรา ฟังไม่ค่อยขึ้น
คนที่เขาเรียกว่าผู้บริสุทธิ์ในใบปลิว
ก็คือพวกที่โดนประหารชีวิตเพราะวางเพลิงกับพวกที่กระทำจารกรรมและอาชญากรรมต่างๆในเมืองเรานั่นเอง...”(๕)
ตกลงราชินีก็เช่นเดียวกับผู้ที่นิยมลัทธิเผด็จการเบ็ดเสร็จคนอื่น
คือพอเห็นใครต่อต้านโจมตีการใช้อำนาจเผด็จการป่าเถื่อนกดหัวประชาชน
โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมเข้า ก็หาว่าผู้นั้นเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นแดง
เป็นซ้ายและอะไรต่อมิอะไร
ที่จะเสกสรรปั้นเรื่องขึ้นเป็นเหตุผลในการปิดปากประชาชนต่อไป
โดยพอใจที่จะยกย่องรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นคนขี้โกงเช่นสฤษดิ์
ว่าเป็น”รัฐบาลของเรา”
มากกว่าที่จะเห็นอกเห็นใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ถูกคอรัปชั่นจนยากจน
สูญเสียโชควาสนาและความหวังในชีวิตไปแทบจะหมดสิ้น
ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้วนั้น
เรื่องนี้ได้สร้างความเคียดแค้นให้ฝ่ายจักรพงษ์มาก จึงมีการวางแผนอย่างลึกซึ้ง
โดยให้เครือญาติของตนเข้าไปมีส่วนร่วมในสถาบันกษัตริย์
เพื่อให้ราชสมบัติกลับมายังพวกตนบ้าง
ถ้าเอาคนในตระกูลจักรพงษ์เข้าไปสัมพันธ์ทางสายโลหิตกับตระกูลมหิดลโดยตรง
ก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัว ดังนั้นจึงวางแผนเอาตระกูลที่ใกล้ชิดกับตน
คือตระกูลกิติยากรเข้าไปสัมพันธ์กับพระองค์เจ้าภูมิพล (รัชกาลที่ ๙)
อย่างไรก็ตาม อีกไม่นานต่อมารัชกาลที่ ๙
กับพระชนนีก็ได้เริ่มเข้าพระทัยว่าการแต่งงานครั้งนี้คงจะต้องมีเบื้องหลัง
ทรงไม่พอพระทัยมากที่ไปตกหลุมพราง
จึงทรงผูกใจเจ็บและพยายามหาทางตอบโต้อีกฝ่ายหนึ่ง
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานอย่างเด่นชัดว่าการตายของกรมหมื่นจันทบุรีมีสาเหตุจากรัชกาลที่
๙ ตาฝ่ายกิติยากรและญาติวงศ์ต่างไม่พอใจ จึงเก็บความคับแค้นนี้ไว้ในส่วนลึกของหัวใจ
เบื้องหลังเหตุการณ์ที่แท้จริงเป็นเช่นไร รัชกาลที่ ๙
และพระชนนีจะทรงเล่าได้ดีที่สุด ความรักใคร่ปรองดองของทั้งสองพระองค์
เริ่มห่างเหินและทรงกินแหนงแคลงใจมากขึ้นเป็นลำดับ
หลายๆครั้งที่แสดงออกถึงการพยายามจะชิงความเป็นใหญ่ดังจะได้กล่าวในโอกาสต่อไป
ในช่วงที่รัฐบาลถนอม ประภาสเรืองอำนาจอยู่นั้น
ประภาสไม่ลงรอยกับศักดินาใหญ่มาตลอด
เป็นเพราะต่างก็ต้องการเป็นใหญ่เหนือผู้อื่นในแผ่นดิน
อีกทั้งประภาสสามารถกำความลับเรื่องสังหารรัชกาลที่ ๘ อยู่ด้วย
จึงเห็นได้ว่าการกระทำของกลุ่มถนอม
ประภาสมีลักษณะแข่งขันและไม่ไว้หน้าศักดินาใหญ่มากขึ้นเป็นลำดับ เช่น นางไสว
จารุเสถียรชอบแต่งตัวแข่งขันกับราชินีสิริกิตตลอดเวลา
ไม่ว่าราชินีสิริกิตจะทรงแต่งกายอย่างฟุ่มเฟือยเพียงใด
นางไสวจะต้องแต่งให้ได้เทียมนั้น นับเป็นการพยายามแข่งขันที่น่าสังเวชมาก
ณรงค์เองถึงกับประกาศก้องในหมู่เพื่อนทหารขณะมึนสุราอย่างน้อย ๒ ครั้งว่า
“กูนี่แหละ จะเป็นประธานาธิบดีคนแรกของเมืองไทย” ครั้งหนึ่งที่เพชรบุรี
อีกครั้งหนึ่งที่เพชรบูรณ์
อย่างไรก็ตาม
กำลังของทั้งสองฝ่ายก็ไม่อาจทำลายล้างกันได้ในทันทีเช่นกัน ปัญหาของทั้งสองฝ่ายคือ
การคอยจ้องหาโอกาสเหมาะๆที่อีกฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ
เพื่อทำลายอีกฝ่ายลงไปให้ได้
การแย่งผลประโยชน์กับการหักหลังเป็นของคู่กัน
กษัตริย์ซึ่งถือกันว่าเป็นผู้สูงส่ง
ก็หาได้พ้นจากวิถีการแก่งแย่งด้วยการหักหลังผู้อื่นก็หาไม่ โอกาสใคร โอกาสมัน
ผู้กำชัยชนะที่แท้จริงในวันมหาวิปโยคหาใช่ประชาชนเราท่านตามที่เข้าใจกัน
แท้ที่จริงคือ สถาบันพระมหากษัตริย์หรือกษัตริย์ภูมิพลจอมวางแผน
นอกจากกำลังทหาร ตำรวจแล้ว
ศักดินาใหญ่ยังพยายามหาฐานกำลังสนับสนุนจากชาวบ้านด้วยการตั้งกลุ่มลูกเสือชาวบ้าน
นวพล กระทิงแดง ด้วยความบันเทิง ความเชื่องมงาย
เพื่อดำรงความภักดีของพวกเขาต่อไปด้วยการพระราชทานผ้าพันคอ ให้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด
ให้สายสะพายเหรียญตรา รวมทั้งสนับสนุนด้านเงินทอง
นับวันกำลังของศักดินาใหญ่จะเข้มแข็งขึ้น
แต่ความขัดแย้งภายในระหว่างกษัตริย์และราชินีไม่มีทีท่าจะลดลงเลย
การพยายามสร้างชื่อเสียงและปลูกฝังความจงรักภักดีในหมู่นักศึกษาของศักดินาใหญ่
กลับไม่เป็นไปตามที่กษัตริย์ภูมิพลคาดการณ์
พระองค์ทรงเอาใจศูนย์นิสิตด้วยการทรงเสด็จไปพระราชทานเพลิงศพวีรชน
พระราชทานโอวาทและให้การสนับสนุนนักศึกษาหลายๆประการ
แต่ด้วยความตื่นตัวของภาวะการเมืองในระยะนั้น
นักศึกษาหาได้ติดกับสถาบันกษัตริย์ซึ่งสวยหรูแต่ภายนอก
พวกเขากลับลุกขึ้นเพื่อต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม เพื่อสิทธิเสรีภาพ
เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คนโดยเฉพาะชาวนา กรรมกรอย่างขนานใหญ่
และส่งผลกระทบกระเทือนผลประโยชน์กลุ่มศักดินาอย่างใหญ่หลวง
สุดกำลังของทั้งสองพระองค์จะเหนี่ยวรั้งไว้ได้
ศักดินาใหญ่จึงหันมาวางแผนเพื่อกำจัดคนรุ่นหนุ่มสาวมิให้เป็นเสี้ยนหนามพระองค์ต่อไป
โดยก่อนหน้านี้ไม่นาน ครอบครัวกษัตริย์ได้ไปให้พระหมอดูทำนายอนาคต พระองค์นั้นบอกว่าราชวงศ์จักรีถึงฆาต ชะตาขาดเสียแล้วในรัชกาลนี้ หากจะให้มีรัชกาลที่ ๑๐ ต่อไปแล้ว กษัตริย์ต้องทำการอย่างใดอย่างหนึ่งทางการเมือง ตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป จากนั้นต้องฆ่าประชาชนสัก ๓๐,๐๐๐ คน ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือ กันยายน-ตุลาคม โดยให้พวกทหารจัดการให้ นอกจากนั้นพระหมอดูยังได้เสนอให้แก้เคล็ดลางร้ายด้วยการให้พระองค์และฟ้าชายนอนลงในโลงศพ และนำเลือดหญิงสาวพรหมจรรย์ของผู้ที่ไม่หวังดีต่อสถาบันกษัตริย์มาชำระพระบาททั้งสองข้าง ด้วยความงมงายอย่างยิ่งยวดและความหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมเพื่อคนยากไร้ในยุคนั้น กษัตริย์และราชินีกับราชนิกุลกลับคิดถึงความอยู่รอดของบัลลังก์ เฉกเช่นบรรพบุรุษของตนในทุกยุคที่ผ่านมา เมื่อมีเหตุการณ์แหลมคมใดๆเกิดขึ้นในบ้านเมือง ก็ยินดีที่จะให้ความฉิบหายบังเกิดแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์และบ้านเมือง ยิ่งกว่าการเสียผลประโยชน์ ลาภยศ ความสุขและการเสียสละส่วนพระองค์ของสถาบันกษัตริย์เลย เหล่าราชนิกุลของราชวงศ์จักรีสายมหิดลได้ตัดสินพระทัยที่จะปฏิบัติตามคำทำนาย
โดยก่อนหน้านี้ไม่นาน ครอบครัวกษัตริย์ได้ไปให้พระหมอดูทำนายอนาคต พระองค์นั้นบอกว่าราชวงศ์จักรีถึงฆาต ชะตาขาดเสียแล้วในรัชกาลนี้ หากจะให้มีรัชกาลที่ ๑๐ ต่อไปแล้ว กษัตริย์ต้องทำการอย่างใดอย่างหนึ่งทางการเมือง ตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป จากนั้นต้องฆ่าประชาชนสัก ๓๐,๐๐๐ คน ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือ กันยายน-ตุลาคม โดยให้พวกทหารจัดการให้ นอกจากนั้นพระหมอดูยังได้เสนอให้แก้เคล็ดลางร้ายด้วยการให้พระองค์และฟ้าชายนอนลงในโลงศพ และนำเลือดหญิงสาวพรหมจรรย์ของผู้ที่ไม่หวังดีต่อสถาบันกษัตริย์มาชำระพระบาททั้งสองข้าง ด้วยความงมงายอย่างยิ่งยวดและความหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมเพื่อคนยากไร้ในยุคนั้น กษัตริย์และราชินีกับราชนิกุลกลับคิดถึงความอยู่รอดของบัลลังก์ เฉกเช่นบรรพบุรุษของตนในทุกยุคที่ผ่านมา เมื่อมีเหตุการณ์แหลมคมใดๆเกิดขึ้นในบ้านเมือง ก็ยินดีที่จะให้ความฉิบหายบังเกิดแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์และบ้านเมือง ยิ่งกว่าการเสียผลประโยชน์ ลาภยศ ความสุขและการเสียสละส่วนพระองค์ของสถาบันกษัตริย์เลย เหล่าราชนิกุลของราชวงศ์จักรีสายมหิดลได้ตัดสินพระทัยที่จะปฏิบัติตามคำทำนาย
ในช่วงก่อนที่ประภาสจะเข้ามาเมืองไทย
ในวงการทหารมีการเปลี่ยนแปลงดุลยอำนาจอย่างมาก เมื่อกฤษณ์ สีวะรา ผู้บัญชาการทหารบก
ด่วนตายไปก่อนด้วยการถูกวางยาพิษขณะเข้าโรงพยาบาลมงกุฎด้วยโรคสามัญ
แท้จริงกฤษณ์ต้องการใช้โรงพยาบาลเพื่อการประชุมนายทหารคนสนิท
วางแผนเตรียมยึดอำนาจมาสู่กลุ่มตน แต่ถูกยศ เทพหัสดินทร์
ลูกน้องที่ไว้ใจได้ของกฤษณ์หักหลัง เพราะกฤษณ์คัดค้านการพยายามกลับเข้ามาของ ๓
ทรราชย์ตั้งแต่หลัง ๑๔ ตุลา กฤษณ์เป็นผู้คุมกำลังทหารมากที่สุดในขณะนั้น
ไม่เห็นด้วยกับแผนการขยายอำนาจของกษัตริย์ภูมิพลในกลุ่มทหารและพยายามขัดขวางพระองค์
นี่เป็นสาเหตุการตายที่สำคัญ
เมื่อมามองประวัติศาสตร์ในยุคหลังจากนี้ไม่กี่ปี ได้มีนายทหารหลายคนที่จะได้เป็นผู้บัญชาการทหารระดับสูง แต่ต้องเสียชีวิตในลักษณะที่คล้ายๆกัน ไม่ทราบสาเหตุเด่นชัด เช่น พล.อ.อำนาจ ดำริกาญจน์,พล.อ.อ.คำรณ ลีละศิริ ซึ่งแต่ละคนล้วนแต่ขัดแย้งกับศักดินาใหญ่ทั้งสิ้น และก็มีข่าวลือว่าเป็นเพราะ “คำบัญชาจากเบื้องบน” ทุกครั้งไป เรื่องทำนองนี้เป็นที่กล่าวขวัญกันทั่ว ในบรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่ เช่น ครั้งหนึ่งขณะที่มีการแข่งขันเลือกตั้งที่ร้อยเอ็ด พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์เป็นนายทหารที่มีจิตใจประชาธิปไตย หากได้รับเลือกตั้งจะเป็นกำลังสำคัญของฝ่ายประชาธิปไตย ในการต้านทานอิทธิพลอันแสนจะล้าหลังของกษัตริย์ ในขณะรณรงค์เลือกตั้ง พล.อ.เกรียงศักดิ์เกิดเป็นไข้หวัดและต้องการไปพักผ่อน แต่ผู้ใกล้ชิดทุกคนต่างเตือนไม่ให้ พล.อ.เกรียงศักดิ์เข้าโรงพยาบาล เพราะเกรงว่าจะเสียชีวิตอย่างกะทันหันเช่นนายพลคนที่ตายอย่างมีเลศนัย เพราะบังอาจไปบดบังรัศมีของสถาบันพระมหากษัตริย์ กฤษณ์ก็เช่นกัน การขึ้นเป็นรัฐมนตรีกลาโหมตามที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอ จะทำให้กฤษณ์สามารถผนึกกำลังได้เข้มแข็งยิ่งขึ้นและอำนาจอันควรตกแก่กษัตริย์จะยิ่งริบหรี่ลงทุกวัน แน่นอนกษัตริย์และราชินีย่อมทนในสิ่งนี้ไม่ได้ ใครผู้บังอาจขวางทางพระองค์ ก็จะต้องมีอันเป็นไปตามพระบัญชา
เมื่อมามองประวัติศาสตร์ในยุคหลังจากนี้ไม่กี่ปี ได้มีนายทหารหลายคนที่จะได้เป็นผู้บัญชาการทหารระดับสูง แต่ต้องเสียชีวิตในลักษณะที่คล้ายๆกัน ไม่ทราบสาเหตุเด่นชัด เช่น พล.อ.อำนาจ ดำริกาญจน์,พล.อ.อ.คำรณ ลีละศิริ ซึ่งแต่ละคนล้วนแต่ขัดแย้งกับศักดินาใหญ่ทั้งสิ้น และก็มีข่าวลือว่าเป็นเพราะ “คำบัญชาจากเบื้องบน” ทุกครั้งไป เรื่องทำนองนี้เป็นที่กล่าวขวัญกันทั่ว ในบรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่ เช่น ครั้งหนึ่งขณะที่มีการแข่งขันเลือกตั้งที่ร้อยเอ็ด พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์เป็นนายทหารที่มีจิตใจประชาธิปไตย หากได้รับเลือกตั้งจะเป็นกำลังสำคัญของฝ่ายประชาธิปไตย ในการต้านทานอิทธิพลอันแสนจะล้าหลังของกษัตริย์ ในขณะรณรงค์เลือกตั้ง พล.อ.เกรียงศักดิ์เกิดเป็นไข้หวัดและต้องการไปพักผ่อน แต่ผู้ใกล้ชิดทุกคนต่างเตือนไม่ให้ พล.อ.เกรียงศักดิ์เข้าโรงพยาบาล เพราะเกรงว่าจะเสียชีวิตอย่างกะทันหันเช่นนายพลคนที่ตายอย่างมีเลศนัย เพราะบังอาจไปบดบังรัศมีของสถาบันพระมหากษัตริย์ กฤษณ์ก็เช่นกัน การขึ้นเป็นรัฐมนตรีกลาโหมตามที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอ จะทำให้กฤษณ์สามารถผนึกกำลังได้เข้มแข็งยิ่งขึ้นและอำนาจอันควรตกแก่กษัตริย์จะยิ่งริบหรี่ลงทุกวัน แน่นอนกษัตริย์และราชินีย่อมทนในสิ่งนี้ไม่ได้ ใครผู้บังอาจขวางทางพระองค์ ก็จะต้องมีอันเป็นไปตามพระบัญชา
แผนลับขั้นที่ ๒
ได้เริ่มขึ้นเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๑๙ มีการส่งพระถนอมเข้ามาเมืองไทยในรูปของสามเณร
เพื่อมาบวชเป็นพระที่วัดบวรนิเวศอันเป็นวัดหลวงที่กษัตริย์เคยบวช
สามเณรถนอมเข้ามาทั้งๆที่คณะรัฐมนตรีมีมติห้ามเข้ามา
พระถนอมได้รับความคุ้มครองจากตำรวจรอบวัด รวมทั้งการอารักขาจากพล.ท.ยศ
เทพหัสดินทร์แม่ทัพภาค ๑
ในช่วงนี้เองที่ฝ่ายสนับสนุนศักดินาใหญ่ได้เผยโฉมออกมาอย่างชัดเจน พระนวพล
กิตติวุฒโฑ พูดออกอากาศทางโทรทัศน์ว่า “การกลับเข้ามาและการบวชของพระถนอม
ได้รับพระบรมราชานุญาตและพระราชดำริเห็นชอบจากพระเจ้าอยู่หัว
ฉะนั้นพระถนอมจึงเป็นผู้บริสุทธิ์” นายสมัคร สุนทรเวชรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยในขณะนั้น
ได้ให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้ว่า
“ผมได้รับพระราชกระแสรับสั่งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เป็นผู้ยุติเรื่องนี้”
วันต่อมาสมัครก็เดินทางไปนราธิวาสเพื่อเข้าเฝ้ากษัตริย์และราชินี
ทั้งสองพระองค์ซึ่งทำทีว่าไม่รู้เรื่องมาตั้งแต่ต้น โดยได้หลบดูเหตุการณ์อยู่ภาคใต้ ได้รีบเสด็จขึ้นกรุงเทพฯในวันที่ ๒๓ กันยายน และเข้าเยี่ยมพระถนอมทันทีที่ลงจากเครื่องบินที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เช่นเดียวกับฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ซึ่งกลับจากออสเตรเลียก็ตรงเสด็จเข้าเยี่ยมพระถนอมทันทีในวันที่ ๓ ตุลาคม แทนที่จะเข้านมัสการพระแก้วมรกตตามปกติ การแสดงท่าทีเช่นนี้เป็นการประกาศสนับสนุนพระถนอม และคัดค้านการต่อสู้ของนักศึกษา ประชาชนที่ให้จับฆาตกรมาลงโทษอย่างตรงไปตรงมา
ทั้งสองพระองค์ซึ่งทำทีว่าไม่รู้เรื่องมาตั้งแต่ต้น โดยได้หลบดูเหตุการณ์อยู่ภาคใต้ ได้รีบเสด็จขึ้นกรุงเทพฯในวันที่ ๒๓ กันยายน และเข้าเยี่ยมพระถนอมทันทีที่ลงจากเครื่องบินที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เช่นเดียวกับฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ซึ่งกลับจากออสเตรเลียก็ตรงเสด็จเข้าเยี่ยมพระถนอมทันทีในวันที่ ๓ ตุลาคม แทนที่จะเข้านมัสการพระแก้วมรกตตามปกติ การแสดงท่าทีเช่นนี้เป็นการประกาศสนับสนุนพระถนอม และคัดค้านการต่อสู้ของนักศึกษา ประชาชนที่ให้จับฆาตกรมาลงโทษอย่างตรงไปตรงมา
วันแห่งการนองเลือดได้มาถึงเมื่อเช้าตรู่วันที่ ๖
ตุลาคม
หนุ่มสาวผู้มีแต่สองมือเปล่าถูกระเบิด กระสุนซัดดังห่าฝน
ตายและบาดเจ็บอย่างอเนจอนาถ บางคนถูกจับแขวนคอ เผาทั้งเป็นอย่างสยดสยอง
ผู้หญิงบางคนถูกข่มขืนแล้วฆ่าอย่างไร้ความปรานี
บางคนถูกทรมานเอาไม้ตอกทั้งเป็น
เอาไม้แทงเข้าช่องคลอดของเด็กสาวผู้ไร้เดียงสา
และแล้วเลือดบริสุทธิ์จากหญิงสาวพรหมจรรย์ก็ได้ถูกนำไปล้างพระบาททั้งสอง
ข้างของพระมหากษัตริย์ไทยผู้สูงส่งตามพิธีกรรมทางไสยศาสตร์อันพิสดาร
ชีวิตผู้คนจำนวนนับร้อยนับพัน ผู้ไร้ความผิด
ต้องตกเป็นเหยื่อของความโง่เขลาเบาปัญญาและความมัวเมาในอำนาจของกษัตริย์และ
ราชินี
ทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึงเหตุการณ์มหาวิปโยคในวันที่ ๖ ตุลาคม
ยากยิ่งที่ชาวไทยจะไม่หวนระลึกถึงกษัตริย์ภูมิพลและราชินีสิริกิตติ์คนบาปใน
คราบนักบุญ
ผู้บงการและอยู่เบื้องหลังการตายอันน่าขนพองสยองเกล้าของเหล่านักศึกษาผู้
บริสุทธิ์
ในช่วงหลัง ๖ ตุลา ไม่นาน
ราชินีสิริกิตติ์ผู้กำบังเหียนรัฐบาลชุดใหม่
ได้มีบทบาทมากและพยายามสร้างฐานอำนาจของตนให้มั่นคงยิ่งขึ้นในกลุ่มลูกเสือชาวบ้าน
โดยเฉพาะในเขตภูธรที่เป็นของกษัตริย์ภูมิพล และในวันที่ ๕ พฤศจิกายน๒๕๑๙
ราชินีและฟ้าชายได้พาประธานลูกเสือชาวบ้านจำนวนหนึ่งไปสาบานตนกลางดึกในวัดพระแก้ว
ว่าจะรับใช้และจงรักภักดีต่อราชินีเสมอไป การใช้เล่ห์กลสารพัด เพื่อหลอกล่อ
ผูกมัดทางจิตใจชาวบ้านและข้าราชการระดับต่างๆอย่างเช่นตัวอย่างข้างต้นมักจะมีเป็นประจำ
บางครั้งถึงกับจัดงานฉลองเลี้ยงอาหารในพระราชวังเป็นการส่วนพระองค์เอง
มีการแจกของที่ระลึกเหรียญตราเป็นกรณีพิเศษ
พวกทหารเสือราชินีและทหารที่ค่ายนวมินทรชลบุรี
เป็นตัวอย่างของขุมกำลังที่ราชินีผู้มักใหญ่ใฝ่สูงได้พยายามสร้างขึ้นมาจากศรัทธา
และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเหล่าทหาร พวกเขายังหลงคิดว่า
การเสียสละให้กับราชินีเป็นคุณอันใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ
แท้จริงการเสียสละของเขาไม่เพียงแต่ไร้ค่า
แต่ยังสร้างความฉิบหายกับประเทศโดยส่วนรวม โดยที่เขาไม่เข้าใจเลย
บทบาททางการเมืองทั้งลับและเปิดเผยด้วยลูกไม้อันแพรวพราวของสมเด็จ
เป็นที่ลือเลื่องกันไปทั่วในหมู่ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือนชั้นผู้ใหญ่
วงการนักการเมืองและนักธุรกิจชั้นสูงต่างยกย่องสมเด็จในนามสมญาต่างๆ
และใช้กันอย่างกว้างขวาง
บ่อยครั้งที่หนังสือพิมพ์มีการเขียนค่อนแคะด้วยพระสมญานามอย่างครื้นเครง เช่น
“พระนางอสรพิษ” “ซูสีไทเฮา” “ผู้บัญชาการผบ.ทบ.” “คำสั่งเบื้องบน” เป็นต้น
จนรู้กันทั่ว เดี๋ยวนี้ข้าราชการคนใดอยากเป็นใหญ่เป็นโตในพริบตาก็ต้องผ่านเส้น
“สมเด็จ” เพียงแค่กราบใต้เบื้องพระบาทงามๆ
และปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์จนมีผลงานให้ดูเสมือนหนึ่งจงรักภักดี
และจะพยายามถวายชีวิตนี้ให้พระองค์เท่านั้น ความยิ่งใหญ่นั้นก็จะมาได้อย่างง่ายดาย
จนถึงกับมีนายทหารพูดว่า “อยากเป็นผู้การ ก็ให้ไปกราบท่าน”
นี่จึงเปิดช่องให้พวกมักใหญ่ใฝ่สูงแต่ด้อยฝีมือต้องเข้ามาซบอกเกาะขอบชายกระโปรงตามๆกัน
เช่น พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก, นายสมัคร สุนทรเวช, นายพลตำรวจเจริญฤทธิ์ จำรัสโรมรัน,
นายพิศาล มูลศาสตร์สาทร, นางทมยันตี, อุทาร สนิทวงศ์ เป็นต้น
การวางพระองค์และพระท่วงท่าที่แสดงออกก็เป็นสิ่งที่ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันมาก
เช่น การประพาสอเมริกาปลายปี ๒๕๒๔
พระองค์ทรงโอบกอดเต้นรำกับหนุ่มชาวนาอเมริกาอย่างสนิทแน่น
และภาพนี้สื่อมวลชนทั่วโลก รวมทั้งภายในประเทศ มีการนำมาตีแผ่กันทั่ว
เป็นภาพที่น่าสลดสังเวชมากที่พระราชินีไทย
ไม่มีการไว้พระองค์ในฐานะสตรีผู้สูงศักดิ์ที่พึงมีสมบัติกุลสตรีไทยบ้างตามสมควร,
อีกครั้งหนึ่งราวปี ๒๕๒๐ พระองค์ทรงนั่งป้อนพระขนมแก่ชายหนุ่มลูกเสือชาวบ้านคนหนึ่ง
ด้วยท่วงท่าที่น่าชมเชย ดั่งหญิงสาวแรกแย้มป้อนขนมให้คู่รักของตน
ภาพนี้ได้รับการตีพิมพ์ในข่าวสังคมหน้าในของหนังสือพิมพ์ เป็นภาพที่บัดสี
ขนาดชาวบ้านนินทาอย่างรุนแรง จนไม่อาจจะเขียนเป็นตัวหนังสือ
ปัจจุบันพระเกียรติคุณของสมเด็จในสายตาของปวงชนลดลงจนกลายเป็นเรื่องตลก
เรื่องสนุกที่ชาวบ้านจะเล่าสูกันฟังหลังอาหารอย่างครึกครื้นเสียแล้ว
อาทิตย์
กำลังเอกผู้ต้องการเป็นใหญ่
ได้ใกล้ชิดกับสมเด็จเป็นพิเศษสุดในระยะหลังโดยผ่านคุณหญิงแดงนี่เอง
การเข้าทรงและประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์
ยิ่งทำให้พระองค์ทรงเชื่ออย่างฝังใจในเรื่องลางสังหรณ์ คำทำนายของโหรใหญ่
การดูโชคชะตาราศีของพระ
เรื่องนี้สมเด็จเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ยืนยันเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง เช่น
“เรื่องโหราศาสตร์ เชื่อเป็นบางคน เฉพาะที่คิดเลขเก่งจริงๆ
พ่อฉันก็ชอบเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์ ส่วนเรื่องวิญญาณก็เชื่อ
เราเชื่อเรื่องวิญญาณ เพราะว่าตัวเองเคยประสบหลายหน”
“เรื่องพระนเรศวรมาเข้าทรงสุบินนั้นเป็นความจริง
แต่ฉันอาจแต่งเอาเองในส่วนลึกของหัวใจก็ได้” พระองค์ทรงคลั่งไคล้เรื่องทำนองนี้
มีอยู่ครั้งหนึ่งถึงกับออกประกาศชักชวนให้ปฏิบัติตาม
จนเป็นข่าวเกรียวกราวในหน้าหนังสือพิมพ์ เพราะพระองค์ทรงสุบินไปว่า คนที่เกิดปีมะ
จะมีอันเป็นไป มีอาเพศแก่ตน ให้ชวนกันไปทำบุญที่โบสถ์พราหมณ์ มีผู้คนมากมายตื่น
แล้วบอกต่อๆกันจนโบสถ์พราหมณ์ที่เสาชิงช้าเกือบพัง,
อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นภายในราชวัง คือ หลังเหตุการณ์ ๖ ตุลาไม่นานนัก
สมเด็จทรงรับสั่งให้มีการประกอบพิธีสะเดาะเคราะห์แก่ฟ้าชายวชิราลงกรณ์
ด้วยการปั้นหุ่นขนาดเท่าฟ้าชายและมีลักษณะเหมือนจริงทุกประการ
และเอาหุ่นนั้นลงนอนในโลงศพ อันเป็นพิธีสะเดาะเคราะห์ต่ออายุให้ฟ้าชาย
เรื่องนี้ความแตกเพราะ ฟ้าชายบังเกิดความเมามันจึงจ้างคน ๔ คน
แบกโลงศพซึ่งมีหุ่นของพระองค์อยู่ข้างใน ห่อโลงศพอย่างสวยงาม ส่งไปให้น้าของโสมสวลี
บ้านอยู่แถวคลองประปาสามเสน หม่อมน้าทรงแปลกพระทัย
และเมื่อแกะกล่องออกมาเห็นในโลงศพมีศพฟ้าชายก็ตกพระทัย ร้องกรี๊ดดังลั่น
จึงโทรเรียกตำรวจท้องที่มาจัดการกับชาย ๔ คนนั้น มีชาวบ้านละแวกนั้น
แห่กันมามุงดูมืดฟ้ามัวดิน ขณะที่หม่อมน้ายังไม่หายตกพระทัย
ก็พอดีมีเสียงโทรศัพท์จากฟ้าชายและโสมสวลี หัวเราะครึกครื้นมาตามสาย
ทรงทูลหม่อมน้าว่า “ทรงตกพระทัยมากไหม” น้าของโสมสวลีจึงมาถึงบางอ้อ
ด้วยความโกรธจัดจึงพูดไปว่า “อยากถวายผางพะย่ะค่ะ”(อยากเตะ)
ทางตำรวจท้องที่หัวปั่นไม่รู้จะทำอย่างไร จึงต้องปล่อยชายผู้ต้องหาไป
เรื่องนี้สามารถสอบถามได้จากชาวบ้านละแวกนั้น
ซึ่งต่างก็รู้สึกทึ่งในการไม่สมประกอบทางปัญญาของพวกราชนิกุล
ฟ้าชายชอบใส่ชุดทหารและติดอาวุธตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
ทั้งๆที่พระองค์รับราชการฝ่ายข่าวของกองทัพ
นอกจากพระองค์จะทรงพยายามแสดงออกถึงความสามารถสูงส่งอย่างเบาปัญญาแล้ว
บรรดาที่อยู่ใกล้ชิดก็จะช่วยกันโหมข่าว
สร้างชื่อเสียงให้ฟ้าชายเพื่อจะได้มีพระเกียรติสมกับสยามมกุฎราชกุมาร เช่น วันที่
๑๓ กุมภาพันธ์ สื่อมวลชนทุกประเภทพากันประโคมข่าวว่า
รถเกราะพาหนะของฟ้าชายถูกผกค.ซุ่มโจมตีที่บริเวณเขาค้อ (เพชรบูรณ์)
พระองค์ได้แสดงวีรกรรมอย่างอาจหาญ สั่งสละรถตนเอง
ได้หลบและเคลื่อนที่เข้าจุดที่มั่น ทรงบัญชาให้หน่วยปืนใหญ่ที่บ้านทุ่งสมอ
ระดมยิงไปที่ผกค. จนพวกนั้นล่าถอยกลับไป
แต่สำหรับทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างทราบดีว่า เฮลิคอปเตอร์ของฟ้าชายถูกยิงตก
และก็ไม่มีวีรกรรมใดๆปรากฏขึ้นเลย จะมีก็เพียงข่าวลือและเขาเล่าว่า
แต่เมื่อได้พบเห็นฟ้าชายที่ทรงกระทำอะไรแผลงๆแบบไม่ค่อยเต็ม
ความที่เคยสงสัยก็กลับกระจ่างอย่างไม่น่าเชื่อ
สมเด็จแม้จะรู้ว่าชาวบ้านอดอยากแร้นแค้นมาก แต่พระองค์ไม่เคยทรงทราบเลยว่า
เลือดของประชาชนที่ขาดหายไปจนซูบซีดนั้น ใครเป็นผู้สูบไป
พระองค์ก็ไม่ต่างจากจอมเผด็จการทั้งหลายในโลกรวมทั้งพระนางซูสีไทเฮา
ซึ่งไม่เคยทราบต้นสายปลายเหตุความทุกข์ยากของแผ่นดิน พวกเขาได้แต่สงสาร
เห็นใจและสงเคราะห์ช่วยเหลือไปตามความสบายใจของตน พระองค์หารู้ไม่ว่า
ก็เพราะอำนาจของสถาบันพระองค์ที่ครอบงำความก้าวหน้าของสังคม
และคอยค้ำจุนระบบคนกินคนอันเลวร้ายของสังคม
ขณะเดียวกันธุรกิจสมัยใหม่ของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ก็มีส่วนร่วมสูบเลือดชาวไทยให้หนักหน่วงยิ่งขึ้น อิทธิพลของสถาบันพระมหากษัตริย์
คือ
ต้นตอความยากจนทุกข์เข็ญของประชาชนทั่วทั้งประเทศ
ขณะที่สมเด็จทรงใช้กลเม็ดเด็ดพรายแย่งราชบัลลังก์จากกษัตริย์ผู้ฆ่าพี่ชายอย่างเลือดเย็น มาสู่ตระกูลของตนพร้อมกับซ่องสุมกำลังทหารเสือราชินี, ผลักดันอาทิตย์ กำลังเอกขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหาร เพื่อหวังกุมอำนาจทั่วทั้งแผ่นดินมาสู่กำมือของตนเช่นนี้แล้ว พระองค์ยังจะกล้าเอ่ยปากว่า พระองค์ไม่รู้จักคำว่าการเมืองอีกหรือ เพราะทุกย่างก้าวของความมักใหญ่ใฝ่สูง ล้วนกระทบกระเทือนต่อชีวิตตัวดำๆของชาวไทยทั่วทั้งประเทศ หากพระองค์มีเจตนาหวังดีต่อประชาชนอย่างแท้จริง ก็จงมาช่วยกันล้มระบบอภิสิทธิ์ของซากเดนศักดินาใหญ่ มาช่วยกันพัฒนาและปลุกความตื่นตัวของประชาชนให้สามารถคุ้มครองและช่วยเหลือตนเอง ในการต่อสู้เพื่อปากท้องในสังคมอย่างยุติธรรมต่อไป เปิดให้มีการกระจายอำนาจการปกครองไปสู่ท้องถิ่นอย่างจริงจัง ทำการปฏิรูปที่ดินและสร้างการชลประทานอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ ก่อตั้งระบบสหกรณ์ที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาใหม่ ให้ก่อตั้งสหภาพแรงงานเพื่อต่อรองกับนายจ้างอย่างยุติธรรมตามกฎหมายแรงงาน ให้ช่วยกันสร้างเศรษฐกิจของชาติให้พ้นจากอิทธิพลของต่างชาติที่คอยสูบเลือดเรา หากสมเด็จและกษัตริย์ภูมิพลทรงรักประชาชนและประเทศไทย และต้องการให้ประเทศไทยก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศทั้งหลาย ขอให้พระองค์สละราชสมบัติ ยกเลิกระบบกษัตริย์ซึ่งค้ำจุนความคิดและระบบอันล้าหลัง งมงายลงเสีย เปลี่ยนการปกครองเป็นประเทศสาธารณรัฐมีประธานาธิบดี ควรเป็นประมุขของชาติที่อยู่ใต้กฎหมาย และไม่มีอำนาจบริหารประเทศใดๆทั้งสิ้น และหากพระองค์คิดว่าประชาชนยังคงรักและเห็นความดีงามของพระองค์ พระองค์ก็จะได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ประชาชนยกย่องนับถือ และหากองค์รัชทายาทเป็นผู้ที่ดีพอ ตำแหน่งประธานาธิบดีคงไม่แคล้วคลาดจากฟ้าชาย ยุคสมัยแห่งการสืบสันตติวงศ์ เอาเพียงสายโลหิตของกษัตริย์เป็นเครื่องวัดความดีงาม และสืบทอดตำแหน่งประมุขของชาติอย่างงมงายควรจะเลิกกันเสียที ประชาชนผู้ทุกข์ยากจำนวนล้านๆไม่อาจทนหิวโหย ผอมโซอีกต่อไปแล้ว ขอพระองค์จงเร่งตัดสินใจ ก่อนที่จะสายเกินกาล เมื่อวันนั้นมาถึง ชาติตระกูลของพระองค์คงต้องสูญสิ้น ขณะที่ประเทศและประชาชนจะช่วยกันสร้างชาติไทยให้รุ่งโรจน์สืบไป
ขณะที่สมเด็จทรงใช้กลเม็ดเด็ดพรายแย่งราชบัลลังก์จากกษัตริย์ผู้ฆ่าพี่ชายอย่างเลือดเย็น มาสู่ตระกูลของตนพร้อมกับซ่องสุมกำลังทหารเสือราชินี, ผลักดันอาทิตย์ กำลังเอกขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหาร เพื่อหวังกุมอำนาจทั่วทั้งแผ่นดินมาสู่กำมือของตนเช่นนี้แล้ว พระองค์ยังจะกล้าเอ่ยปากว่า พระองค์ไม่รู้จักคำว่าการเมืองอีกหรือ เพราะทุกย่างก้าวของความมักใหญ่ใฝ่สูง ล้วนกระทบกระเทือนต่อชีวิตตัวดำๆของชาวไทยทั่วทั้งประเทศ หากพระองค์มีเจตนาหวังดีต่อประชาชนอย่างแท้จริง ก็จงมาช่วยกันล้มระบบอภิสิทธิ์ของซากเดนศักดินาใหญ่ มาช่วยกันพัฒนาและปลุกความตื่นตัวของประชาชนให้สามารถคุ้มครองและช่วยเหลือตนเอง ในการต่อสู้เพื่อปากท้องในสังคมอย่างยุติธรรมต่อไป เปิดให้มีการกระจายอำนาจการปกครองไปสู่ท้องถิ่นอย่างจริงจัง ทำการปฏิรูปที่ดินและสร้างการชลประทานอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ ก่อตั้งระบบสหกรณ์ที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาใหม่ ให้ก่อตั้งสหภาพแรงงานเพื่อต่อรองกับนายจ้างอย่างยุติธรรมตามกฎหมายแรงงาน ให้ช่วยกันสร้างเศรษฐกิจของชาติให้พ้นจากอิทธิพลของต่างชาติที่คอยสูบเลือดเรา หากสมเด็จและกษัตริย์ภูมิพลทรงรักประชาชนและประเทศไทย และต้องการให้ประเทศไทยก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศทั้งหลาย ขอให้พระองค์สละราชสมบัติ ยกเลิกระบบกษัตริย์ซึ่งค้ำจุนความคิดและระบบอันล้าหลัง งมงายลงเสีย เปลี่ยนการปกครองเป็นประเทศสาธารณรัฐมีประธานาธิบดี ควรเป็นประมุขของชาติที่อยู่ใต้กฎหมาย และไม่มีอำนาจบริหารประเทศใดๆทั้งสิ้น และหากพระองค์คิดว่าประชาชนยังคงรักและเห็นความดีงามของพระองค์ พระองค์ก็จะได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ประชาชนยกย่องนับถือ และหากองค์รัชทายาทเป็นผู้ที่ดีพอ ตำแหน่งประธานาธิบดีคงไม่แคล้วคลาดจากฟ้าชาย ยุคสมัยแห่งการสืบสันตติวงศ์ เอาเพียงสายโลหิตของกษัตริย์เป็นเครื่องวัดความดีงาม และสืบทอดตำแหน่งประมุขของชาติอย่างงมงายควรจะเลิกกันเสียที ประชาชนผู้ทุกข์ยากจำนวนล้านๆไม่อาจทนหิวโหย ผอมโซอีกต่อไปแล้ว ขอพระองค์จงเร่งตัดสินใจ ก่อนที่จะสายเกินกาล เมื่อวันนั้นมาถึง ชาติตระกูลของพระองค์คงต้องสูญสิ้น ขณะที่ประเทศและประชาชนจะช่วยกันสร้างชาติไทยให้รุ่งโรจน์สืบไป
หลักฐานอ้างอิง
๑. สุพจน์ ด่านตระกูล แถลงการณ์เรื่องความบริสุทธิ์ของนายปรีดี พนมยงค์ ในกรณีสวรรคตของ ร.๘ (ไทยแลนด์การพิมพ์,๒๕๒๒) หน้า ๖๒
๒. ๒. ดูประชุมประกาศในสมัยรัชกาลที่ ๔ ที่คุรุสภาพิมพ์
๓. พระราชเสาวนีย์ต่อสมาคมนักข่าวหญิงแห่งประเทศไทย ดู...มาตุภูมิ วันที่ ๒๗ กค. ๒๔
๔. เรื่องเดิม
๕. สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ “ความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศ” อนุสรณ์ พล.ต.อ.หลวง วรยุทธวิชัย (วรยุทธ จารุมาศ) (โรงพิมพ์อักษรประเสริฐ,๒๕๑๔ หน้า ๔๓)
๖. พระราชกระแส สัมภาษณ์โดย นางอนงค์ เมษประสาท หนังสือสยามใหม่ ฉบับที่ ๗๑, ๒๒ ส.ค. ๒๕๒๔ หน้า ๑๒ พระองค์ให้สัมภาษณ์ว่า “ทรงโปรดการแต่งพระองค์งาม อันนี้จริง ฉันเป็นคนที่แก้ไม่หาย เพราะชอบสวยงาม อีกประการหนึ่ง ชาวบ้าน นานๆเขาจะเห็นเราสักทีหนึ่ง โดยมากชั่วชีวิตเขาก็เห็นไม่กี่ครั้งเลย คิดว่าพยายามแต่งตัวให้ดี ให้เขาเห็น ให้เขาจำเราได้
๗. หนังสือเสด็จประพาสอเมริกา
๘. พระราชกระแส สัมภาษณ์โดย นางอนงค์ ดมษประสาท หนังสือสยามใหม่ ฉบับที่ ๗๑ หน้า ๔...
๙. เรื่องเดิม หน้า ๑๙
๑. สุพจน์ ด่านตระกูล แถลงการณ์เรื่องความบริสุทธิ์ของนายปรีดี พนมยงค์ ในกรณีสวรรคตของ ร.๘ (ไทยแลนด์การพิมพ์,๒๕๒๒) หน้า ๖๒
๒. ๒. ดูประชุมประกาศในสมัยรัชกาลที่ ๔ ที่คุรุสภาพิมพ์
๓. พระราชเสาวนีย์ต่อสมาคมนักข่าวหญิงแห่งประเทศไทย ดู...มาตุภูมิ วันที่ ๒๗ กค. ๒๔
๔. เรื่องเดิม
๕. สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ “ความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศ” อนุสรณ์ พล.ต.อ.หลวง วรยุทธวิชัย (วรยุทธ จารุมาศ) (โรงพิมพ์อักษรประเสริฐ,๒๕๑๔ หน้า ๔๓)
๖. พระราชกระแส สัมภาษณ์โดย นางอนงค์ เมษประสาท หนังสือสยามใหม่ ฉบับที่ ๗๑, ๒๒ ส.ค. ๒๕๒๔ หน้า ๑๒ พระองค์ให้สัมภาษณ์ว่า “ทรงโปรดการแต่งพระองค์งาม อันนี้จริง ฉันเป็นคนที่แก้ไม่หาย เพราะชอบสวยงาม อีกประการหนึ่ง ชาวบ้าน นานๆเขาจะเห็นเราสักทีหนึ่ง โดยมากชั่วชีวิตเขาก็เห็นไม่กี่ครั้งเลย คิดว่าพยายามแต่งตัวให้ดี ให้เขาเห็น ให้เขาจำเราได้
๗. หนังสือเสด็จประพาสอเมริกา
๘. พระราชกระแส สัมภาษณ์โดย นางอนงค์ ดมษประสาท หนังสือสยามใหม่ ฉบับที่ ๗๑ หน้า ๔...
๙. เรื่องเดิม หน้า ๑๙
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar