พันธมิตรเสร็จนา :คอลัมน์ ใบตองแห้ง
11 ปีรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ในที่สุดบ้านเมืองก็กลับสู่ความสงบสุข หมดยุคนักการเมืองจากเลือกตั้ง
สิ้นยุคสงครามสี มีรัฐบาลเข้มแข็ง ควบคุมประเทศเป็นปึกแผ่น
เดินหน้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 ชูธง EEC ผลักดันสมาร์ตสตาร์ตอัพ ประชารัฐ
บัตรคนจน ลดเหลื่อมล้ำ
ขณะเดียวกันก็ชำระสะสางคดีความนักการเมืองและแกนนำเสื้อสี ตาม “กฎแห่งกรรม”
ปรากฏว่าแกนนำพันธมิตรก็ต้องชดใช้ “กฎแห่งกรรม”
ด้วยเหมือนกัน ค่าเสียหายปิดสนามบิน 522 ล้าน บวกดอกเบี้ย 7.5% ตั้งแต่ปี
2551 คำนวณแล้วร่วมพันล้าน แม้คดีอาญายังยืดอีกนาน เพราะจำเลย 98
คนผลัดกันป่วย
ใจหนึ่งก็สงสาร แต่อีกใจหนึ่งพันล้านยังน้อยไป
ปิดสนามบินเสียหายหลายแสนล้าน ทั้งการท่องเที่ยวชะงัก สินค้าส่งออกไม่ได้
ภาพลักษณ์ประเทศวอดวาย ไม่มีใครอยากมาลงทุน มาทำมาค้าขาย แต่การท่าฯ
ฟ้องเรียกค่าเสียหายเฉพาะตนเท่านั้น แบบเดียวกับม็อบยึดทำเนียบ
อัยการฟ้องเพียงบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ ทำให้หญ้าตาย ฯลฯ
ไม่ยักคำนึงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจสังคมความเชื่อมั่น
อ้าว แล้วทำไมสงสาร แหม่
ถึงแม้เห็นต่างกันสุดขั้วแต่หลายคนก็รู้จักกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก
คนในภาคประชาสังคม นักเคลื่อนไหว นักกิจกรรม ที่แยกอยู่สองฟากข้าง
มีอดีตร่วมกันยาวนาน บางครั้งอยากตัดญาติขาดมิตรแต่ตัดไม่ขาด เช่นพวกรุ่น
14 ตุลา 6 ตุลา ไม่ว่าอยู่สีไหน เวลาตายก็สั่งเสียให้ เปิดเพลง
“แสงดาวแห่งศรัทธา” แล้วเพื่อนพ้องทั้งสองข้างก็ไปงานศพ
แม้คุยกันมั่งไม่คุยมั่ง
ที่สงสารไม่ใช่กลัวไม่มีตังค์จ่าย สมเกียรติ
พงษ์ไพบูลย์ บอกแล้วว่าไม่มีไม่หนีไม่จ่าย แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ โถ
รู้จักพ่อยกแม่ยก พธม.น้อยไป พันล้านจิ๊บๆ
ตั้งกล่องเรี่ยไรขายน้ำมันมะพร้าวเดี๋ยวเดียวก็ได้
ยึดทำเนียบยึดสนามบินด้วยกัน 193 วัน จะทิ้งแกนนำ 13 คนชดใช้ลำพังได้ไง
เรื่องที่สงสารกว่าก็คือ วันนี้บ้านเมืองสงบ
หมดยุคสงครามสี อย่างที่บอกข้างต้น พันธมิตรก็เลยตกหล่น หมดบทบาท
หมดความหมาย เปรียบได้กับคำศัพท์เก่าๆ “ตกเวทีประวัติศาสตร์” เจ็บแทบตาย
อ.สมเกียรติอุตส่าห์ภาคภูมิใจ ยึดสนามบินเพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน
“ถ้าไม่มีพันธมิตรวันนั้น ก็ไม่มีประยุทธ์วันนี้” แต่ถามจริง
ยังมีใครสำนึกบุญคุณหรือเปล่า
ไม่มีพันธมิตรวันนั้น ก็ไม่มีวันนี้ จริงนะครับ
ถ้า พธม.ไม่ออกบัตรเชิญ ก็ไม่เกิดรัฐประหาร 19 กันยา ฟื้นอำนาจทหาร
ปลุกพลังอนุรักษนิยมกลับมายิ่งใหญ่
เพียงแต่อำนาจจากเลือกตั้งยังทำลายไม่ได้ง่ายๆ พรรคพลังประชาชนยังชนะ
พันธมิตรต้องออกโรง ทำผิดกฎหมาย ยึดทำเนียบยึดสนามบิน กระทั่ง
ตุลาการภิวัตน์ยุบพรรค แมลงสาบตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
พันธมิตรเนื้อไม่ได้กินหนังไม่ได้รองนั่ง สนธิ ลิ้ม ถูกยิงปางตาย
พอม็อบเสื้อแดงลุกฮือบ้าง ก็ถูกปราบปี 52, 53 พอพรรคเพื่อไทยนิรโทษสุดซอย
ก็เกิดม็อบนกหวีดปิดเมืองขัดขวางเลือกตั้ง ความแตกแยกจนประเทศถึงทางตัน
ถูกอ้างเป็นเงื่อนไขให้ คสช.เข้ามายึดอำนาจเบ็ดเสร็จ
“ขอเวลาอีกไม่นาน” แต่อยู่ได้ 3 ปี
สถาปนารัฐธรรมนูญ 2560 กุมอำนาจมั่นคงยั่งยืน
ก็เพราะสังคมไทยถูกหลอกหลอนให้กลัวความแตกแยก 2 ขั้ว จนกลัวประชาธิปไตย
นี่ไง ความดีความชอบของพันธมิตร
ไม่ได้ปฏิเสธว่าเสื้อแดงก็แรง แต่เสื้อแดงเป็นปฏิกิริยาตอบโต้ copycat
“ม็อบมีเส้น” สันติ อหิงสา ยึดทำเนียบยึดสนามบิน
พวกคุณสุดโต่งได้ทำไมเสื้อแดงจะยึดราชประสงค์ไม่ได้ (คำตอบคือ 99 ศพไง)
ชะตากรรมม็อบ 2 สีในยุคนี้ไม่ต่างกัน
แกนนำต้องคดีความ มวลชนเรียกร้องอะไรไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างคือ
พันธมิตรตายใต้อำนาจอนุรักษนิยมที่ออกบัตรเชิญมาเอง ซ้ำยังสูญเสียมวลชน
คนชั้นกลางระดับบนคนมั่งมี ให้กับอำนาจที่สนองความพึงพอใจได้เบ็ดเสร็จ
พันธมิตรเลยเหลือแต่มวลชนสุดโต่งหยิบมือ
พยายามตื๊อเรื่องพลังงาน ต้านกฎหมายรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ
หรือสู้เรื่องสิทธิชุมชนบางประเด็น แต่ NGO ก็คะแนนตก น้องๆ ประชาธิปัตย์
ที่พูดอย่างนี้คือเข้าใจกัน
แกนนำพันธมิตรที่มาจากภาคประชาสังคมมีอุดมคติ ไม่ได้ต้องการแค่
“โค่นระบอบทักษิณ” แต่ฝันว่ายืมมืออนุรักษนิยม “ล้มทุนสามานย์”
แล้วภาคประชาสังคมจะมีส่วนร่วมในอำนาจแบบร่างรัฐธรรมนูญบวรศักดิ์ ที่ไหนได้
กลับกลายเป็นรัฐราชการเข้มแข็ง กำปั้นเหล็กขับเคลื่อนเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่
ถามว่าพวกที่ชูป้ายประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ
ก็แพ้เหมือนกัน แล้วต่างตรงไหน แพ้ก็แพ้สิครับ
ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารแล้วแพ้ ก็ชัดเจนดี ก็ยืนหยัดต่อไป
สังคมเปลี่ยนยังพลิกได้
แต่ออกบัตรเชิญรัฐประหารแล้วไม่มีที่ยืน เขานิรโทษตัวเองแต่ไม่นิรโทษให้ ต้องทวงบุญคุณเหยงๆ นี่ถ้าไม่ใช่ตัวตลก ก็ไม่รู้จะเรียกอะไร
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar