måndag 15 oktober 2018

บทความนี้พิสูจน์การตีสองหน้าของทักษิณ !!

ความขัดแย้งทางการปกครองระหว่างระบอบอมาตยาธิปไตยกับระบอบประชาธิปไตย.!


Image may contain: 15 people, people smiling

(อุบลรัตน์ กับสองอดีตนายก ทักษิณและยิ่งลักษณ์น้องสาวขณะที่ไปชมบอลโลกด้วยกันที่รัสเซีย เดือน ก.ค.18 . 12 ปีให้หลังจากการเขียนบทความ.)  

โดย  ปูนนก

ผมไม่เคยได้ยินแม้แต่ครั้งเดียวว่า ท่านนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, รองนายกเฉลิม อยู่บำรุง หรือแม้กระทั่ง สส. หรือ รมต. ในรัฐบาลคณะนี้หลายๆ ท่านได้ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่า “รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลของคนเสื้อแดง หรือของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริงแต่อย่างใด” ประเทศไทยก็เสมือนเด็กที่กำลังจะจมน้ำอยู่กลางสระ ไม่มีใครที่กล้าหาญพอที่จะกระโดดลงมาช่วยด้วยกำลังของตนเอง แต่ทว่าเมื่อ พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แสดงความหาญกล้าเข้ามาเพื่อต้องการช่วยเหลือประเทศไทย..เพียงแค่คิดและลงมือทำไปบางส่วนเท่านั้น.. เขาก็ถูกถีบให้ตกลงมาในสระน้ำแห่งความขัดแย้งทางการปกครองระหว่างระบอบอมาตยาธิปไตย กับระบอบประชาธิปไตย โดยไม่ทันตั้งตัว
ซึ่งผมเชื่อว่า ดร. ทักษิณ เองก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้ามาทำให้เกิดความขัดแย้งเช่นนั้น (เพราะท่านมีวิญญาณแห่งความเป็นนักธุรกิจและความจงรักภักดี ไม่ใช่วิญญาณแห่งนักปฏิวัติ) ดังนั้นสิ่งที่เรา (คนเสื้อแดง และประชาชนผู้รักประชาธิปไตย) ได้พยายามต่อสู้กันมาเพื่อเรียกร้องให้ได้ความเป็นประชาธิปไตยในประเทศนี้ โดยชูท่านอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร เป็น Idol และคาดหวังว่า ด้วยสิ่งที่ท่านได้รับความอยุติธรรมตลอดหลายปีมานี้ ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ถูกยึดทรัพย์ ถูกไล่ล่าข้ามโลก จะทำให้ท่าน ดร. ทักษิณ เปลี่ยนจิตวิญญาณจากนักธุรกิจมาเป็นวิญญาณแห่งการเป็นนักปฏิวัตินั้น จึงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะเป็นไปได้ยาก

คำพูดที่ท่านอดีตนายกทักษิณ โฟนอิน เข้ามาในท่ามกลางการชุมนุมของคนเสื้อแดงในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมานั้น ท่านมักจะพูดถึงโอกาสในการพัฒนาประเทศ พูดถึงศักยภาพของประเทศไทยที่จะสามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ พูดถึงสิ่งที่ท่านได้พบเห็นมาในขณะที่ท่านยู่ต่างประเทศและต้องการนำมาปรับใช้ในการพัฒนาประเทศเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข.... แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่ท่านอดีตนายกทักษิณ จะพูดในสิ่งที่เป็นแนวทางการต่อสู้กับระบอบเผด็จการอมาตย์อย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ทั้งๆ ที่ท่านก็รู้ว่า ไม่ว่าจะทำดีเช่นไร ฝ่ายเผด็จการอมาตย์ก็ไม่ยอมรับในสิ่งที่ท่านอดีตนายกทักษิณ และคนเสื้อแดงกระทำให้ อย่างแน่นอน ฆ่าได้เป็นฆ่า ทำลายได้เป็นทำลาย ตัดสินให้ติดคุกได้พวกเขาก็จะทำ ไม่มีทางที่พวกเผด็จการจะปล่อยพวกเราเอาไว้แน่

การโฟนอินเข้ามาที่โบนันซ่า ในครั้งล่าสุดของท่านอดีตนายกทักษิณ ก็เช่นเดียวกับในครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา ไม่ได้มีเนื้อหา หรือโครงเรื่องที่ต่างไปจากเดิมแม้แต่น้อย การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้กำลังจะกลายเป็นประเด็นร้อนที่ทำให้การต่อสู้ทางการเมืองที่จะมีต่อไปนี้ จะถึงขั้นปะทะกันอย่างตรงๆ ด้วยมวลชนที่มีความคิดและแนวทางแตกแยกกันเป็นสองฝ่าย และไม่สามารถที่จะประนีประนอมต่อกันได้อีกแล้ว ซึ่งในการต่อสู้ครั้งนี้ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยพ่ายแพ้ก็จะต้องพ่ายแพ้ไปอีกนับสิบๆ ปี และท่านอดีตนายกทักษิณ ก็คงจะไม่ได้กลับประเทศไทยอีกเลยเฉกเช่นเดียวกันกับ ดร. ปรีดี พนมยงค์ ในอดีต แต่ตรงข้ามถ้าฝ่ายประชาธิปไตยชนะ ประชาชนและประเทศชาตินี้ก็จะได้พลิกฟื้นกลับขึ้นมารุ่งโรจน์ได้ดังที่ควรจะเป็น

ท่านอดีตนายกทักษิณ พูดหลายครั้งว่า ท่านเป็นนักสู้ และไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ถ้าได้ต่อสู้แล้วจะไม่ยอมจำนน ท่านพูดเสมอว่าแต่ทว่า...เมื่อการต่อสู้กับเผด็จการอมาตย์เข้ามาสู่จุดแตกหัก ที่จะชี้ชะตาว่าใครจะอยู่ใครจะไปทีไร ก็“ท่านรักคนเสื้อแดง และพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยและร่วมต่อสู้มาด้วยกันทุกคน”ท่านอดีตนายกทักษิณ นี่แหละที่เข้ามาเป็นผู้ถอดชนวนการต่อสู้นี้เสียทุกครั้ง จะด้วยเหตุผลใด หรือจุดมุ่งหมายใดก็เหลือจะเดา แต่ทุกครั้งที่ท่านอดีตนายกทักษิณ เข้ามาถอดชนวนการปะทะขั้นแตกหักนี้ทีไร ผลที่ตามมาก็คือฝ่ายเผด็จการอมาตย์ก็มักจะได้ทีและเข้ามารุกไล่พี่น้องคนเสื้อแดง และประชาชนผู้รักประชาธิปไตยอย่างเอาเป็นเอาตายทุกทีไป โดยที่ฝ่ายคนเสื้อแดงแทบจะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากการถอดชนวนความขัดแย้ง ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยท่านอดีตนายกทักษิณ นี้เลย


ผมคงจะไม่วิเคราะห์วิจารณ์อะไรเกี่ยวกับแนวทาง ความคิดของการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้อีกเพราะมีพี่น้องจำนวนมากได้แสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวางแล้วในเรื่องการทำประชามติ หรือการโหวตวาระ 3 ในทันที ซึ่งแต่ละท่านผู้อ่านย่อมมีวิจารณญานในส่วนตัวของท่านเองได้เป็นอย่างดีว่า เห็นชอบกับสิ่งใดที่จะกระทำก่อนกัน แต่อย่างไรก็ดีการโฟนอินที่โบนันซ่า ครั้งนี้ของท่านอดีตนายกทักษิณ ท่านได้แสดงชัดแล้วว่า “ท่านเลือกที่จะถอย..ไม่เข้าปะทะ” ทั้งๆ ที่ไม่ว่าท่านจะถอยโดยการรณรงค์ให้มีการทำประชามติ หรือหักดิบด้วยการโหวตวาระ 3 ทันที ผลก็ไม่แตกต่างกันก็คือ ฝ่ายเผด็จการอมาตย์ก็จะไม่ยอมให้มีการผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 นี้อย่างแน่นอน การปะทะกันทางความคิดและอาจจะขยายผลไปสู่ความรุนแรงจะต้องเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

ท่านนายกทักษิณเลือกที่จะแก้รัฐธรรมนูญด้วยการถอยเว้นระยะห่าง ไม่เข้าปะทะ... ย่อมเป็นผลดีต่ออายุการทำงาน และรักษาตัวให้พร้อมของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในการที่จะดำรงความเป็นรัฐบาลท่ามกลางความสงบเรียบร้อย (โดยฉากหน้า) ของประเทศนี้ต่อไป แต่การต่ออายุของรัฐบาลด้วยการเว้นระยะห่างจากการโจมตีของฝ่ายเผด็จการอมาตย์ กลับไม่ได้เป็นผลดีต่อการต่อสู้ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยโดยรวมเท่าใดนัก เพราะประชาชนคนเสื้อแดง และผู้รักประชาธิปไตยจำนวนมาก ก็ยังถูกจำขัง ยังถูกตามไล่ล่า ยังถูกคดีความตามราวีอยู่ไม่รู้จบสิ้นอยู่ดี และฝ่ายเผด็จการอมาตย์ก็ไม่หยุดที่จะตามราวีรัฐบาลเช่นกัน

ท่านนายกทักษิณ ครับ ผมให้ใจท่านไปแล้วทั้งดวง ด้วยความรักศรัทธา และคงไม่เรียกความรักศรัทธา คืนกลับมาจากท่านง่ายๆ หลายปีที่ผ่านมานี้ ผมและพี่น้องคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยจำนวนมากมาย ได้ต่อสู้กับเผด็จการอมาตย์มาอย่างชนิดถึงเลือดถึงเนื้อ ถึงลูกถึงคน ถ้าพลาดไม่ตายก็ติดคุก แต่ทว่าท่านนายกทักษิณ ครับ การต่อสู้เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้เป็นย่างก้าวที่สำคัญมากในการโค่นล้มอำนาจเผด็จการอมาตย์ทั้งหมด ซึ่งถ้าหากท่านนายกทักษิณ กระทำตัวให้เป็นอุปสรรค หรือถ่วงรั้ง ต่อเส้นทางการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จะโดยเอาสิ่งใดมาล่อให้ประชาชนคล้อยตาม ก็ตาม ผมอาจจะต้องพิจารณาว่า จริงๆ แล้วท่านนายกทักษิณ ยังคงรัก..ศรัทธา..ภักดี.. และซื่อสัตย์.. ต่อใครบางคน มากยิ่งกว่าที่จะรัก..และศรัทธา ต่อประชาชนคนเสื้อแดงผู้ร่วมชีวิต ร่วมเป็นร่วมตายกับท่านมา ก็เป็นได้นะครับ

 ผมเริ่มมีคำถามบางคำถามเกิดขึ้นในใจว่า"นายกผู้สามารถพัฒนาเศรษฐกิจของไทยให้ยิ่งใหญ่ได้นั้น จะเป็นคนๆ เดียวกับที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการบริหารประเทศแบบเผด็จอมาตย์ ไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย หรือเปล่า???" เท่านั้นครับ 
                               ..............................................

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar