lördag 27 oktober 2018

ความเสื่อมของ คสช. กับ (ความไม่มี)"บารมี" ของวชิราลงกรณ์..

ความเสื่อมของ คสช. กับ (ความไม่มี)"บารมี" ของวชิราลงกรณ์
ผมนั่งคิดเรื่องนี้มาหลายวัน การที่ คสช.เสื่อมลงในระยะใกล้ๆนี้ นอกจากเรื่องรูปธรรมความล้มเหลวของ คสช.เองแล้ว (จากเรื่องเศรษฐกิจ ถึงเรื่องนาฬิกา) ผมคิดว่า ในภาพกว้างออกไป ที่เป็น "ภูมิหลัง-ปริบททางประวัติศาสตร์" เรื่องนี้แยกไม่ออกจากการที่กษัตริย์องค์ใหม่เอง - วชิราลงกรณ์ - เป็นกษัตริย์ที่ไม่มีบารมีที่ได้รับการยอมรับในสังคมวงกว้างด้วย
คือตราบใดที่ในหลวงภูมิพลยังอยู่ เผด็จการทหารใดๆขึ้นมามีอำนาจ ก็ยังสามารถอ้างอิงได้ว่า ครองอำนาจเพื่อปกป้องราชบัลลังก์ และด้วยบารมีของรัชกาลที่ 9 คำอ้างทำนองนี้ ไม่ใช่อะไรที่เลื่อนลอยในความรู้สึกของคนจำนวนไม่น้อย "อำนาจนำทางวัฒนธรรม" ของรัชกาลที่ 9 เป็น "แบ๊กกราวน์" อยู่ด้านหลังที่ทำให้เผด็จการทหารที่ครองอำนาจได้ประโยชน์ไปด้วย (เรื่องนี้เป็นอะไรในลักษณะ "แบ๊กกราวน์" ที่มองไม่เห็นเสียเยอะ เป็นในแง่ของความรู้สึก ความคิด เช่น ออกมาเป็นรูปธรรมความรู้สึกทำนอง ถ้าบ้านเมืองวุ่นวาย จะ "ระคายเคืองพระองค์ท่าน" หรือที่มีการพูดกันประมาณว่า "อย่าทำให้พ่อไม่สบายใจ ไม่มีความสุข" เป็นต้น)
ลองนึกย้อนกลับไปช่วงสองปีเศษหลังรัฐประหารที่ในหลวงภูมิพลยังมีพระชนม์ชีพอยู่ (22 พฤษภา 2557 - 13 ตุลาคม 2559 และช่วงที่ตามมาหลังจากนั้นอีกระยะหนึ่ง) กับช่วงหลังจากนั้นจนถึงขณะนี้ ผมคิดว่า บรรยากาศหรือความรู้สึกในสังคมต่างออกไป
การที่วชิราลงกรณ์ทำตัวเป็น "กษัตริย์ไซด์ไลน์" อยู่เมืองไทยไม่ถึงครึ่ง ยิ่งทำให้ "อำนาจบารมี" ของสถาบันกษัตริย์ เจือจางไปอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับรัชกาลก่อน
อันที่จริง เรื่องนี้ ในระยะยาวออกไป มีนัยยะสำคัญต่อสังคมไทยอย่างมาก (มากกว่าเรื่อง คสช.) สังคมไทยที่อาศัยบารมีีของกษัตริย์ในแง่ตัวบุคคล สำหรับผูกโยงสังคมเข้าด้วยกัน เป็นเหมือน "เอกลักษณ์" ของประเทศ ของความเป็น "คนไทย" กระทั่งเป็นเหมือนศาสนา-ศาดา ทดแทน (substitute religion / substitute Bhuddha) ... ในอนาคตจะอาศัยอะไรมาแทน (ไม่ว่าในแง่อุดมการณ์ สถาบัน หรือกระทั่งตัวบุคคล)...
..............
ภาพประกอบกระทู้ ผมไม่ได้ทำเองนะครับ ระหว่างที่ผมเสิร์ชหาเมื่อครู่ ไปเจอจากเว็บไซต์ "ทีนิวส์" (55) ก็ต้องขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ https://goo.gl/FXKb36 เหมาะพอดีกับเรื่องที่ผมต้องการเขียน
อัพเดต 2-3 เรื่องเกี่ยวกับ "เสี่ย" และการเมืองไทย (วันเลือกตั้ง, พระ, ศาลฎีกาวันมะรืน และแถมเรื่องประหารชีวิตตอนท้าย)

(1) เรื่องเลือกตั้งจะมีเมื่อไร ถ้าให้ชัวร์ต้องถาม "เสี่ย"
วันก่อนที่ประยุทธ์ออกมาพูดว่า จะจัดเลือกตั้งหลังพิธีราชาภิเษกนั้น #ประยุทธ์ไม่มีทางกล้าอ้างขึ้นมาได้ถ้าไม่ได้รับการบอกจากเสี่ย ("ทำพิธีก่อน แล้วค่อยเลือกตั้ง") เสี่ยไม่ชอบคนมาอ้างอะไรเกี่ยวกับเขา ก็รู้กันอยู่
ทีนี้ เสี่ยเองจะให้มีพิธีเมื่อไร? ปีกลายที่ประยุทธ์และวิษณุออกมาพูดทำนองนี้ (จะจัดพิธีปลายปี 60) ก็เพราะเสี่ยเองตอนนั้นแสดงท่าทีอยากให้จัด แต่แล้วเปลี่ยนใจ เงียบไป
เท่าที่ผมพอเช็คได้ล่าสุด ก็ยังไม่มีวี่แววมาจากเสี่ยว่า จะให้จัดเมื่อไร
ดังนั้น ยกเว้นเสี่ยจะเปลี่ยนใจ ให้จัดเลือกตั้งก่อน การเลือกตั้งจะมีเมื่อไร ก็อย่างที่ประยุทธ์ว่านั่นแหละ คือต้องรอให้มีพิธีก่อน
(แน่นอน การกดดันก็ควรทำต่อไป กดดันประยุทธ์มากๆ เขาอาจจะกลับไปขอเสี่ยใหม่ ให้เปลี่ยนใจจัดเลือกตั้งก่อนก็ได้)
พวกเสื้อแดงที่มโนว่า เสี่ยต้องการให้มีเลือกตั้่ง เพื่อให้มีรัฐบาลเลือกตั้ง จึงจัดพิธี จะได้ "สมเกียรติ" เป็นการคิดไปเองว่า เสี่ยชอบหรือแคร์รัฐบาลเลือกตั้ง หรือแคร์กับว่าต้องมีตัวแทนเจ้าต่างชาติมากันเยอะ
อันที่จริง โดยลักษณะของเสี่ย เขาคงไม่อยากมีพิธีหลังเลือกตั้ง เพราะถ้าผ่านเลือกตั้ง โอกาสจะมีความวุ่นวาย ความขัดแย้งต่างๆสูง จัดพิธีภายใต้ประยุทธ์นี่แหละ สงบเรียบร้อยกว่า
(2) มีข่าวจากแวดวงนักกฎหมายว่า เร็วๆนี้ เสี่ยจะให้ออก พรบ.สงฆ์ฉบับใหม่มา โดยจะกลับไปอิงกับ พรบ.สงฆ์ก่อน 2475 (ร.ศ.๑๒๑ - ผมลองอ่านผ่านๆดู ก็ไม่มีอะไร แต่ผมไม่มีเวลาศึกษาละเอียด) ที่สำคัญ พรบ.ฉบับใหม่ จะกำหนดควบคุมเรื่องการเงินเป็นระบบขึ้น
ขอย้อนกลับไปพูดข่าวการกวาดล้างพระเร็วๆนี้สักนิด การกวาดล้างดังกล่าวมาจากเสี่ยแน่
เสี่ยเขาสนใจเรื่องพระน่ะ นี่เป็น "ข้อมูลใหม่" ที่ผมเพิ่งทราบเมื่อปีที่ผ่านมา ยอมรับว่าตอนได้ยินมาก็เซอร์ไพร้ซ์นิดหน่อย เพราะนึกว่า ด้วยไลฟ์สไตล์ของเขา เขาจะไม่สนใจ แต่ยืนยันได้ว่า เขาสนใจ ติดตาม และรู้จักพวก "พระผู้ใหญ่ เกจิ อาจารย์ ดังๆ" ต่างๆดี
(3) วันที่ 22 นี้ มีความเป็นไปได้ไหมที่ศาลฎีกา จะกลับคำตัดสินของศาลต้นและอุทธรณ์ คือ ให้ศาลชั้นต้นกลับไปรับฟ้องพิจารณาคดีกบฏของประยุทธ์กับพวก?
มีความเป็นไปได้อยู่เล็กน้อย แต่ไม่มาก อันนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องเป็น "ใบสั่งเสี่ย" จะล้มประยุทธ์หรืออะไร (ล่าสุด "พี่สุรชัย" มโนหนัก พูดทำนองว่า เสี่ยจะเอาประยุทธ์ลงเร็วๆนี้ ที่ประยุทธ์มายุโรปคราวนี้ อาจจะมาเพื่อหนีก็ได้ เพราะเสี่ยจะปลดประยุทธ์ระหว่างมายุโรปไม่กี่วันนี้ นี่เป็นการมโนล้วนๆ)
แต่ที่ว่า อาจจะมีความเป็นไปได้ "เล็กน้อย" (ย้ำ "เล็กน้อย") เพราะหลังๆ ศาลมีลักษณะเป็นอิสระระดับหนึ่ง ปัญหาอยู่ที่ว่า ศาล (องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ตัดสินวันที่ 22) จะกล้าที่จะตัดสินว่า ให้ศาลชั้นต้นรับพิจารณาคดีกบฏหรือไม่? โดยส่วนตัว ผมคิดว่า ยังไม่น่าจะกล้าพอ แต่ความเป็นไปได้ก็มีอยู่เล็กน้อย
ถ้าสมมุติศาลฎีกา กลับคำพิพากษาชั้นต้น-อุทธรณ์ ก็ไม่ถึงกับต้องตื่นเต้นอะไรมากไป (แม้จะเป็นเรื่องดีแน่) คือคดีก็ต้องไปเริ่มต้นนับหนึ่งตั้งแต่ศาลชั้นต้น ซึ่งยังอีกยาวนาน และอาจจะไม่ไปถึงไหน
.......................
ปล. สำหรับคนที่ไม่ได้อ่านคอมเม้นท์ผม ที่อธิบายเพิ่มเติมกรณีประหารชีวิตล่าสุดในกระทู้ก่อน ขอถือโอกาสบอกให้รู้ (ใครอ่านในคอมเม้นท์แล้ว ผ่านไปได้เลยครับ) ว่า เรื่องที่ผมเขียนในกระทู้นั้นว่า มี "มิตรสหาย" ยืนยันว่า นักโทษกับญาติได้ถวายฎีกาจริง แต่ถูก "คืนฎีกากลับมา" ซึ่งในทางปฏิบัติถือว่าเป็นการปฏิเสธฎีกา คือให้การประหารชีวิตทำไปได้
ขอยืนยันว่า มีการถวายฎีกาแน่นอนล้านเปอร์เซนต์ แม้ว่าทุกสื่อและญาติเองจะไม่ยอมเอ่ยถึงเลย (พิลึกมาก) ขอให้อ่านที่ "ไทยรัฐ" ไปสัมภาษณ์ญาติ แล้วพี่สาวนักโทษ "ตัดพ้อ" ว่า "ทำไมถึงไม่แจ้งก่อนล่วงหน้าว่า จะโดนประหารชีวิต ครอบครัวจะได้ไปเยี่ยมไปหาเป็นครั้งสุดท้าย มีแต่เพียงโทรมาล่าสุดเมื่อวานนี้ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 14.00 น. แล้วบอกว่าให้เตรียมมารับศพ ทำให้ทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น" และเล่าว่าน้องชายเขียนจดหมายมาถึงเธอประจำ "จดหมายที่เขาเขียนมาล่าสุด วันที่ 31 พ.ค.61 ยังคงมีใจความสำคัญคล้ายๆกับฉบับก่อนๆ #แต่ยังไม่รู้ตัวว่าจะโดนประหารชีวิต #และบอกยังจะคงเป็นคนดีเพื่อกลับออกสู่สังคมเช่นเดิม"
นี่เท่ากับยืนยันล้านเปอร์เซนต์ว่า มีการถวายฎีกา เพราะถ้าไม่ถวาย ทั้งนักโทษและญาติจะรู้ล่วงหน้าว่าจะโดนประหารเมื่อไร คือตามกฎหมาย หลังศาลตัดสินสิ้นสุด นักโทษและญาติมีเวลา 60 วันที่จะถวายฎีกา ถ้าไม่ถวาย วันที่ 61, 62, 63 (คือประมาณ 2-3 วันหลังครบกำหนดการถวาย) จะถูกนำไปประหารทันที
การที่ญาติและนักโทษไม่รู้เรื่องหน้า ก็เพราะถวายฎีกาไป และการถวายฎีกา ไม่มีใครรู้ว่า วังจะ "ตอบ" กลับมาเมื่อไร (อาจจะ "ดองเรื่อง" ไว้เป็นสิบๆปีก็ได้ ไม่มีข้อห้าม ระหว่างนั้นนักโทษก็จะรอด ประหารไม่ได้อย่างที่ผมเขียนไป) และโดยธรรมเนียมปฏิบัติ หากฎีกาที่ถวายไปถูก "ยก" (คือปฏิเสธ) ทางคุกก็จะดำเนินการประหารทันที โดยไม่แจ้งนักโทษหรือญาติล่วงหน้า เพราะถือว่าคำสั่งประหารมีอยู่แล้ว คดีสวรรคตก็เป็นแบบนี้ "ฎีกา" ที่ถวายถูก "ยก" คืนเรื่องมาวันที่ 16-17 กุมภา 2498 ทางเรือนจำก็เดินหน้าเรื่องประหารเลย ยิงเป้าในเช้ามืดตอนตี 4-5 วันที่ 18 กุมภา พอตอนสายวันนั้น เวลา 9 โมง ภรรยานักโทษคนหนึ่ง ยังเดินทางมาคุกเพื่อจะเยี่ยมสามีตามปกติ จึงค่อยรู้จากผู้คุมว่า สามีถูกยิงเป้าไปแล้ว 4-5 ชั่วโมง
(อย่าว่าแต่เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าไม่ถวายฎีกา แล้วนักโทษจะยังมีหวังว่าจะ "กลับออกสู่สังคม" เพราะถ้าไม่ถวาย ก็ต้องรู้ว่าจะถูกประหารหลัง 60 วันเท่านั้น)
สรุปแล้วก็เป็นดังที่ผมเขียนในกระทู้ก่อนว่า
ปมปัญหาว่า ทำไมประเทศไทย จึงไม่มีการประหารชีวิตมา 8-9 ปี?และทำไม จึงมาเริ่มมีเป็นครั้งแรกไม่กี่วันนี้?
อยู่ที่ "วัง" คือ วัง(เก่า) "ดองเรื่อง" คนที่ถูกตัดสินประหารไปแล้วร้อยกว่าคนไว้ตลอด 8-9 ปี
และตอนนี้ วัง(ใหม่) "ส่งสัญญาณ" ว่า ให้มีการประหารชีวิต ใช้โทษประหารชีวิตไปได้
 

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar